วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

พี่ฉอดสัมภาษณ์คุณดังตฤณ (ช่วงที่ ๖)

<< อ่านบทสัมภาษณ์ก่อนหน้า

พี่ฉอด : มีคำถามหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องของการไปหาหมอดู เชื่อว่ามีคนจำนวนเยอะมาก ที่พึ่งพาหมอดูกัน ด้วยเหตุผลต่างๆกัน คุณตุลย์มีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องการไปหาหมอดูอย่างไรบ้างคะ?

ดังตฤณ : ก็จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุดว่า การไปหาหมอดูคือการแสดงถึงการเป็นคนงมงาย หรือว่าหมอดูคู่กับหมอเดา อะไรทำนองนี้ ทีนี้ ถ้าพิจารณากันตามจริง ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะที่ชอบดูหมอเนี่ย ทั่วโลก แม้แต่พวกบิลเกตส์ พวกอะไร เขาก็มีนะ ไม่ใช่ไม่มี เพียงแต่ว่าใครจะเชื่อแค่ไหน หรือเอามาใช้ประโยชน์แค่ไหนเท่านั้น

จริงๆแล้วที่จะตัดสินว่าการดูหมอเป็นเรื่องงมงายหรือไม่งมมงาย มันขึ้นอยู่กับว่าหมอดู ดูด้วยวิธีไหนด้วย และก็ขึ้นอยู่กับว่าเรามีความเข้าใจเรื่องกรรมวิบากเป็นทุนอยู่แค่ไหน

ถ้าดูกันแบบไม่มีเหตุผล โดยไม่มีเรื่องของกรรมวิบากมารองรับบ้างเลยเนี่ย อันนี้เรียกว่างมงายได้ เพราะต่างฝ่ายก็ต่างเชื่ออะไรกันอยู่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามีกฎ มีตำรา มีครูสืบๆความเชื่อกันมาว่าต้องลงล็อคนั้น ลงล็อคนี้ แล้วก็ทำนายกัน เชื่อกัน

ขอตั้งข้อสังเกตไว้อย่างหนึ่งนะครับ อันนี้ขอพูดฉีกมานิดหนึ่ง คือคุณลองไปสืบๆดูนะ ชีวิตของหมอดูส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่เขาใช้ชีวิตกันอย่างกระวนกระวายนะ และทั้งนี้เนี่ย อธิบายได้ด้วยปัจจุบันกรรมของเขาโดยอาชีพ เพราะว่าโดยอาชีพของหมอดู ไปก่อความกระวนกระวายให้ลูกค้าโดยไม่มีเหตุผลอันควร คือเขามาหาเนี่ย ก็ด้วยความกระวนกระวาย อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ขากลับ ก็พกเอาความกระวนกระวายรูปแบบใหม่ออกไปอีก อันนี้ทำอยู่ทุกวัน มันก็เลยได้ผลเร็ว

แต่ถ้าหมอดู สามารถทำให้คนมาดูเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ทำกรรมแบบไหนจึงมารับผลแบบนี้ ทำให้เขาตาสว่าง กลัวบาปกลัวกรรม รักบุญรักกุศล อันนี้ถือว่าได้บุญนะครับ แต่พวกที่จะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกรรมวิบาก หรือกระทั่งพวกที่มีญาณล่วงรู้กรรมวิบาก มันมีน้อย มีนะครับ แต่มีน้อย ผมเคยเห็นมา หมอดูที่เขารู้เรื่องกรรมวิบาก มีญาณทิพย์ มีอะไรต่อมิอะไรต่างๆแต่มันน้อย

แล้วก็... อันนี้ถ้าจะถามว่าจะพิสูจน์ได้อย่างไร ก็ขอให้ดูว่า ถ้าใครนะครับ อ้างว่ามีตาทิพย์ เห็นกรรมในอดีตชาติของคุณได้นะ ให้ลองถามกรรมในวัยเด็กของคุณก่อนว่า 'เคย' ทำอะไร แล้ว 'ได้รับผล' มาแล้วอย่างไรบ้าง เขาต้องจับคู่ได้ถูกนะครับ ถ้าเขาตอบถูก ค่อยเชื่อเรื่องอดีตชาติ เพราะสำหรับผู้มีญาณจริงๆนะครับ จะทราบว่าอดีตชาตินั้น ดูยากกว่าอดีตใกล้ในปัจจุบัน

เพราะว่าสิ่งที่มันเป็นปัจจุบันเนี่ย คือ... มันแทบจะไม่ต้องอาศัยตาทิพย์น่ะ มันเหมือนกับเป็นสิ่งที่ตามตัวเขามาอยู่แล้ว ถ้าคนที่มีความคล่องมีความชำนาญในการรู้ความสัมพันธ์ระหว่างกรรม กับวิบากกรรม กับผลของกรรมเนี่ย ดูแวบเดียว เขาก็เห็นแล้วว่าช่วงเด็กทำอะไรมา คือไม่ต้องหลับตาอะไรมากมาย

แต่ว่าถ้าจะดูอดีตชาติ บางทีมันต้อง... เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่เรียกกันว่านั่งทางในคือนั่งหลับตา แล้วก็ไปรู้ไปเห็นว่าภาพในอดีต ภาพของกรรม ภาพนิมิตของวัตถุที่เคยประกอบกรรม อะไรต่อมิอะไรต่างๆเป็นอย่างไร มันถึงได้ส่งผลให้มามีความติดขัด มามีความเดือดร้อน หรือว่ามีรูปแบบเหตุการณ์ซ้ำๆในชีวิตปัจจุบัน อันนั้นจะดูยากกว่า

พี่ฉอด : ถ้าอย่างนั้น ถ้าเกิดใครที่ได้ไปเจอหมอดูประเภทนี้ถือว่าเป็นโชคดีไหมคะ กับการที่เราได้รู้อะไรในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้?

ดังตฤณ : ผมว่าหายากนะ แล้วความหายากเนี่ย อะไรที่มันดีๆที่มันหายาก แล้วเราไปเจอเนี่ย ก็ถือว่า...

พี่ฉอด : เพราะว่าเขามีบุญที่จะได้รู้อย่างงี้หรือเปล่าคะ?

ดังตฤณ : ครับ ก็จะ... จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่า คือผมขอตั้งข้อสังเกตไว้นิดหนึ่งนะ แม้แต่ในช่วงต้นรายการเนี่ย เราก็พูดกันว่า บางคนเจอพระพุทธเจ้าเนี่ย แทนที่จะรับอะไรดีๆหรือศรัทธาท่านเนี่ย กลับไปเถียงท่านก็มี กลับไปจงเกลียดจงชังก็มี หรือว่าไปต่อต้านหรือว่าทำร้ายท่านก็มี

เพราะฉะนั้น คนที่เจอหมอดูดีๆเนี่ยนะ เราต้องมองด้วยว่าคนที่ไปดู เขาได้อะไรกลับมาบ้าง หรือว่าฟังเรื่องบุญเรื่องกรรมแล้ว เขามีความเชื่อหรือเปล่า มีความศรัทธาหรือเปล่า ถ้าหากว่าไม่เชื่อเนี่ย ต่อให้หมอดูทายทักอะไร น่าศรัทธาน่าเลื่อมในแค่ไหน มันก็ไม่มีประโยชน์เพราะฉะนั้น จะโชคดีหรือโชคร้าย ขึ้นอยู่กับทุนเก่าของเขาเองด้วยว่า เขาพร้อมที่จะไปเชื่ออะไรที่เป็นเหตุเป็นผลไหม แต่ว่าถ้าเบื้องต้นน่ะ อันนั้นโชคดีแน่นอนครับ ที่ได้เจอ แต่เจอแล้วได้ผลอะไรกลับมา นั่นเป็นตัววัดด้วย เพราะบางคนไปเจอคนที่ดี แต่ว่าไปคิดร้ายกับเขา อย่างนี้ก็มี หรือว่ายิ่งไปตอกย้ำว่า วิบากกรรมไม่มีหรอก ทำไปแล้วมันสูญเปล่ามากกว่า หมอดูก็แค่นักเดาอะไรทำนองนั้น มันมีสิทธิ์ที่จะคิดกันได้ มันมีสิทธิ์ที่จะไปกันได้เรื่อยๆน่ะนะครับ

พี่ฉอด : เหมือนคนที่ให้อะไรมาแต่เราไม่รับ ก็ไม่ได้

ดังตฤณ : ใช่ครับ ใช่

พี่ฉอด : มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการทำอะไรที่เป็นเรื่องร้ายแรง แต่ว่าไม่ได้ตั้งใจ เช่น ขับรถชนคนตาย หรือไปทำให้คนเขาเสียใจ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ลงไป โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ อันนี้ถือว่ามันจะเป็นบาปไหมคะ?

ดังตฤณ : เอาเรื่องการขับรถชนคนตายก่อนนะครับ คือต้องดูว่า ก่อนชนเนี่ย มีความประมาทอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่มี ก็ไม่บาปตอนเริ่มต้น คือไม่ได้ประมาทอยู่

แล้วดูว่า ตอนที่ชนไปแล้ว แล้วเขาตายเนี่ย มันไม่ได้เกิดจากเจตนาที่เราจะไปฆ่า แต่เขาตั้งใจว่าจะขับรถไปตามธรรมดา แล้วมันมีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้น มันถึงเกิดการตายกันขึ้นมา

พระพุทธเจ้าตรัสว่า 'กรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม' ไอ้ตัวความตั้งใจนี่แหละ ความจงใจนี่แหละ เป็นประธานของการก่อกกรรม ถ้าหากว่า ในขณะที่เราขับรถไปแล้วไม่มีเจตนาว่าจะไปไล่ชนใครเขาเนี่ยนะ ไม่ได้ไปล่าฆ่าใครเขาเนี่ย ตรงนั้น ไม่มีเรื่องของปาณาติบาตเกิดขึ้นในใจ คือปาณาติบาตยังไม่ได้ผุดขึ้นมา

ทีนี้ ถ้าหากว่า เราพิจารณาในภายหลังว่าหลังจากที่ชนไปแล้ว แล้วเกิดการตายกันขึ้นมา ท่าทีของเราเป็นอย่างไร เพราะบางคนเนี่ย พอชนเสร็จ ก็หนีเลย ไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น กลัวจะติดคุก กลัวจะต้องเสียค่าปรับ กลัวจะต้องรับผิดชอบคนถูกชน อะไรต่างๆเนี่ยนะ ตรงนั้น มันกลายเป็นกรรมแบบเล็กๆน้อยๆที่.. คือ ไม่ได้เจตนาฆ่าก็จริง แต่เสมือนว่ามีความเต็มใจให้เขาตาย คือทอดทิ้งเขา ดูดาย ไม่ดูแล ตรงนั้น ก็อาจจะเป็นบาปส่วนหนึ่ง บาปของการไม่ดูแล

เพราะฉะนั้น เราต้องดูว่า ก่อนทำ ขณะทำ แล้วก็หลังทำ ก่อนชน ขณะชน แล้วก็หลังชน มีท่าทีอย่างไร มีเจตนาอย่างไร ถ้าก่อนชน ไม่ได้เจตนาฆ่า โอเค ตรงนั้นคุณไม่ใช่นักฆ่า แล้วถ้าหากว่า หลังชนแล้ว มีความรับผิดชอบ ตรงนั้นคุณมีใจเป็นกุศล ไม่ใช่มีใจที่คิดดูดาย ไม่ใช่มีใจที่คิดทำบาป โดยการปล่อยให้เขาตาย

พี่ฉอด : เพราะฉะนั้น โดยวิธีคิดแบบนี้ก็ใช้กับการกระทำอื่นๆด้วยใช่ไหมคะ มันใช้หลักการเดียวกัน?

ดังตฤณ : ใช่ครับ ใช่ มันขึ้นอยู่กับว่ามีเจตนาทำให้เป็นแบบนั้นหรือเปล่า ตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าหากว่ายิ่งตั้งใจหนักแน่นเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีผลเป็นบุญหรือเป็นบาปมากขึ้น เป็นอัตราเดียวกัน

พี่ฉอด : ค่ะ ทีนี้มีคำถามเกี่ยวกับเรื่องของการทำบุญแทนน่ะค่ะ เช่น สมมติว่าเราไปทำบุญโดยที่เราบอกว่าเราให้กับคนนั้นคนนี้ เหมือนกับเอาผลบุญเนี่ยให้คนอื่น เป็นไปได้ไหมคะ?

ดังตฤณ : ถ้าหากว่าเขามีใจยินดีด้วย คือเขารับรู้ และก็ยินดีด้วย อย่างนั้น เขาก็ได้ส่วนบุญ แต่ถ้าหากว่าเราทำบุญแทนเฉยๆ แล้วก็นึกอยู่ในใจคนเดียวโดยที่ไม่ให้เขารับรู้ด้วย อันนั้น เขาก็จะไม่ได้อะไร คือจะมีใจของเรานี่แหละได้เต็มๆ คือมีใจคิดเป็นทาน มีใจคิดเฉลี่ยบุญ

และถ้าพูดถึงหลักธรรมชาติ ถ้าอันนี้พูดในแง่ของพลังอะไรทำนองนี้ คนที่เป็นเป้าหมายอาจจะได้รับบ้าง ในแง่ของความรู้สึกสบายขึ้นมาชั่ววูบ เพราะเวลาที่เราคิดดีกับใคร มันจะมีพลังออกไป ถ้าหากว่าการคิดดีของเรามันมีความหนักแน่นมาก จิตของเราเป็นสมาธิใหญ่ ตรงเจตนาดี เจตนาอุทิศให้คนอื่นเขาสบายเนี่ย มันจะไปถึงเขาจริงๆ แต่เขาจะไม่รู้ว่าความสบายนั้น ได้มาอย่างไร อยู่ๆก็สบายขึ้นมาวูบหนึ่ง แล้วก็หายไป

พี่ฉอด : แล้วอย่างเวลาที่เราทำบุญ แล้วก็บอกว่า อุทิศให้พ่อแม่ญาติพี่น้องอะไรอย่างนี้น่ะค่ะ มันได้ไปถึงจริงๆอย่างนั้นหรือเปล่า?

ดังตฤณ : ตรงนี้เป็นเรื่องละอียดอ่อนนะครับ เพราะถ้าหากว่า เรามองกัน อันนี้ยกตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด สมมติว่าพ่อแม่เราไปเกิดเป็นเทวดา บุญที่เราทำ ถ้าหากว่าน้อยๆมันก็เหมือนกับ อยากเอาเงินร้อยบาทไปให้เศรษฐีที่มีเป็นหมื่นล้าน อะไรอย่างเงี้ยะ เขาก็ไม่สนใจ หรือสมมติว่าเขาจะอนุโมทนา แต่คือ...มันก็จะไม่มีกำลังใจที่จะทำให้เบิกบานในบุญของเราเท่าไหร่ ถ้าเราทำบุญน้อยๆอะไรอย่างนี้น่ะนะ

หรือไม่บางที สมมติน่ะนะ อันนี้สมมติว่าพ่อแม่เราไปอยู่ในที่ต่ำ สมมติไปอยู่ในท้องสัตว์ ขณะนั้นไม่สามารถที่จะอนุโมทนาอะไรทั้งสิ้นได้แน่นอน เพราะจิตเป็นภวังค์อยู่ หรืออย่างกลับมาเกิดเป็นคนอีก อยู่ในท้อง ก็อนุโมทนาไม่ได้ หรือว่ารับส่วนบุญไม่ได้ อันนี้ยกตัวอย่างภาพที่ชัดเจนที่สุด เพื่อให้เห็นนะครับว่า การที่เราจะให้ใครรู้สึกยินดีในบุญร่วมกับเราเนี่ย มันต้องทำกันในขณะที่มีชีวิต ไอ้ที่ทำไปหลังจากตายไปแล้วเนี่ย มันมีนะ มีทางเป็นไปได้ อย่างเช่น ถ้าไปเป็นเปรต หรือเป็นวิญญาณที่พอจะรับส่วนบุญได้ หรือว่าอนุโมทนาร่วมยินดีกับบุญได้เนี่ย อันนั้นก็มีสิทธิ์ แต่ยาก

พี่ฉอด : มีคำถามเรื่องคู่ ยังวนๆอยู่เรื่องคู่ๆนะคะ สมมติว่าเขาบอกว่ามันมีคนที่เป็นคู่กัน ที่บอกว่ามีอะไรที่พ้องต้องกันในสี่ข้อที่ว่า ทีนี้ มันก็อาจจะมีบางคู่ที่อยู่ด้วยกันไปแล้วก็เหมือนเป็นศัตรู ที่เขาเรียกว่าคู่เวรคู่กรรมอะไรกันมาแบบนี้ อันนี้โอกาสในการที่จะไปพบไปเจอคนที่เป็นคู่ประเภทนี้เนี่ย เราจะต้องมีวิธีการทำอย่างไร?

ดังตฤณ : ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ที่เป็นคู่เวรกันเนี่ย สาเหตุมันเพราะว่าอยู่ด้วยกันแบบไม่ดี อย่างเช่น พูดจาหยาบคายต่อกัน หรือว่ามีการแสดงอารมณ์เกี้ยวกราดต่อกันอยู่เรื่อยๆ หรือว่ากระทั่งไปนอกใจกัน หรือว่ามีการทำร้ายกัน ตบตีกัน หรือกระทั่งฆ่ากัน พวกนี้ จะมีความผูกมัดกัน พอมาเจอกันใหม่ จะเหมือนคล้ายๆ อาศัยแรงดึงดูดทางกามารมณ์ หรือว่าเพศสัมพันธ์มาเป็นสื่อแต่พอมาอยู่ด้วยกันแล้ว ก็จะอยู่ด้วยกันด้วยความรู้สึกที่ต่ำ มันจะมีเหตุบันดาลหรือว่ามีเหตุจูงใจให้เกิดความเกรี้ยวดกราดใส่กันอีก หรือว่าให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกันอีก หรือว่าอยากนอกใจกันอีกตรงนี้ มันก็เลยกลายเป็นคู่เวร คือพอเจอกันแล้วเนี่ย ก่อเวรต่อกันไปไม่รู้จบ

ทีนี้ ถ้าหากว่าอยากเปลี่ยนภาวะของคู่เวรให้เป็นคู่บุญ ก็ต้องมาทำความเข้าใจพื้นฐานร่วมกันว่า ที่ต้องมาเป็นคู่เวรกันเนี่ย เพราะทำไม่ดี พูดไม่ดี คิดไม่ดี ต่อกันมาก่อน มันถึงได้เกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ขึ้นมา อะไรนิดอะไรหน่อยมันเป็นเรื่องได้หมด อะไรอย่างนี้น่ะนะ

ถ้าหากว่าทำความเข้าใจอย่างนี้แล้ว และก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นตรงกันข้าม คือเริ่มจากคิดดีต่อกันก่อน คือมีทัศนคติที่ดีต่อกันว่า เออ ไหนๆก็มาผูกมัดกันแล้ว พยายามร่วมมือกัน ทำให้อะไรๆมันดีขึ้น ทำให้ความสัมพันธ์ข้างหน้ามันมีความสว่าง ไม่ใช่มีแต่ความมืดอย่างที่เป็นอยู่

พอคิดดีอย่างนี้แล้ว มันก็จะได้เริ่มมีแก่ใจที่จะพูดดีต่อกัน ไอ้ที่ไม่เคยมีแก่ใจที่จะพูดหวานๆ ไอ้ที่ไม่เคยมีแก่ใจเรียกกันด้วยสรรพนามที่มันไพเราะเสนาะหู มันก็จะเริ่มมีแก่ใจ แล้วทีนี้ การประพฤติปฏิบัติต่อกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน ไม่นอกใจกัน มันก็จะตามมาอีก ตรงนี้ล่ะครับ ที่ในที่สุดมันพลิกทางได้ มันเปลี่ยนทางได้ จากคู่เวรเป็นคู่บุญ

พี่ฉอด : ซึ่งเมื่อกี้ฟังบอกว่า สมมติว่าถ้าเราทำบุญให้นี่ มันก็ต้องมีทั้งความรู้สึกในการให้ มีความรู้สึกในการรับ พอเป็นคู่กัน ก็ต้องมีทั้งความตั้งใจในการที่จะเปลี่ยนแปลงร่วมกันอะไรอย่างเงี้ยะ มันเหมือนกับว่ามันต้องเป็นสองฝ่ายอยู่ตลอด

ดังตฤณ : ใช่ครับ

พี่ฉอด : มันมีโอกาสไหมคะที่เราฝ่ายเดียว คืออยากจะเปลี่ยน หรือว่าอยากจะให้ หรืออยากจะทำอะไรให้ใคร แล้วอีกคนเขาไม่รู้ ไม่ร่วมมืออะไรอย่างเนี้ย?

ดังตฤณ : มีทางครับ มีทาง แต่ว่าเราต้องเหนือกว่าเขามากๆ เหนือกว่าจนกระทั่งเป็นแรงบันดาลใจให้เขา

อย่างมีนะครับ คือคู่เวรเนี่ยนะ พอมาเจอกันแล้ว เหมือนต้องมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องน่าหงุดหงิด เรื่องไม่พอใจครอบครัวของแต่ละฝ่าย ไม่ชอบ อะไรอย่างเนี้ยะ มันมีแต่ปัญหาเยอะแยะไปหมด แต่ว่า อันนี้เคยเห็นมานะครับ ฝ่ายหนึ่งมีความตั้งใจที่แน่วแน่มาก ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง คือต่อให้อีกฝ่ายร้ายมาอย่างไร ก็พยายามทำใจ คือไม่ใช่พยายามทำใจแบบหงอนะ เพราะถ้าหงออย่างเดียวเนี่ย มันก็ปล่อยให้เขาร้ายไปเรื่อยๆ

พี่ฉอด : เขาก็ยิ่งร้ายใหญ่

ดังตฤณ : ใช่ ธรรมชาติคนมันจะเป็นแบบนั้น แต่คือ... มีการพยายามเอาชนะอีกฝ่าย ด้วยความดีงาม ด้วยความรู้สึกที่เป็นกุศล ด้วยความรู้สึกที่ทำให้เขาเห็นว่าความดีมันมีจริง และผลของความดีคือมันจะได้เป็นสุข คือหมายความว่า ให้อภัยได้ไม่มีขอบเขต และในขณะเดียวกัน คือไม่ใช่ให้อภัยแบบไม่พูดอะไรเลย ไม่ชี้แจงอะไรเลย แต่พยายามค่อยๆพูด ค่อยๆชี้แจง ค่อยๆทำความเข้าใจ ด้วยความสงบ ด้วยความเยือกเย็น ด้วยความมีใจเมตตาจริงๆ พอผ่านเดือนผ่านปีไป ...เขาทนไม่ได้หรอกครับ

คนทุกคนเนี่ย พร้อมที่จะดี เพียงแต่ไม่มีแรงบันดาลใจให้ดี แต่ทีนี้ถ้าหากว่าได้มาอยู่ใกล้กับคนที่มีความตั้งใจแน่วแน่จริงๆ ผ่านเดือนผ่านปีไปเนี่ย ในที่สุด กำแพงนั้นมันก็พัง กำแพงทิฏฐิ กำแพงอะไรต่อมิอะไร กำแพงบาปมันก็พังทลายลงไป แล้วก็ยอมอ่อนให้กับความดี เพราะว่าหลักการเลยนะครับ ถ้าหากว่า มีใครคนหนึ่งที่ยอมใช้เวลา ยอมอุทิศตัว ทำตัวเป็นแบบอย่าง ทำตัวเป็นแรงบันดาลใจ จะต้องมีผลกระทบ เขาจะต้องได้รับแรงบันดาลใจในจุดใดจุดหนึ่งเสมอ

พี่ฉอด : ค่ะ คงได้อีกสักคำถามหนึ่ง มีคนฝากถามถึงเรื่องของการทำบุญว่า จำเป็นไหมคะที่ต้องมีเรื่องของการกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลให้อะไรต่างๆ อันนี้เป็นความถูกต้องหรือเปล่าในการทำบุญ?

ดังตฤณ : คือเจตนาที่เป็นุบุญ เจตนาที่เป็นกุศลเนี่ย เป็นความสว่าง เป็นความอบอุ่น เป็นความดีในตัวเองอยู่แล้ว เรื่องการกรวดน้ำ ไม่ได้อยู่ในสารบบของพุทธศาสนา นะครับ แต่อย่างไรก็ตาม น้ำเนี่ย ตามความเชื่อแบบหนึ่ง เขาก็บอกว่าเป็นสื่อข้ามมิติได้ คือมีลักษณะที่เป็นตัวกลางอะไรบางอย่างที่เชื่อม ที่ส่งถ่ายจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่ง เพราะว่าทุกมิติจะมีน้ำ ตรงนั้นเราพูดได้ว่า ที่ต้องมีการกรวดน้ำ เพราะต้องการสื่อ และสิ่งที่เห็นได้เป็นรูปธรรมก็คือ มันจะเหนี่ยวน้ำให้จิตของเราไปอยู่กับความเย็นของน้ำ ก็ทำให้นึกถึงว่า เออ น้ำเนี่ย แทนบุญแทนกุศลที่เราได้ทำไป แล้วก็ได้เทให้กับคนที่อยู่ในภพอื่น

แต่ขอชี้ว่า กระแสของจิตนั่นแหละ เป็นสื่อข้ามภพข้ามมิติที่ดีที่สุด ดีกว่าน้ำ เพราะว่าจิตนั่นแหละ ที่มันสามารถเชื่อมถึงกันได้โดยไม่ต้องมีการเห็น การได้ยิน มาประกอบ

อย่างสมมติว่า เรารู้สึกถึงใครเป็นพิเศษที่เขาล่วงลับไปแล้ว ด้วยความแน่วแน่จนกระทั่งมันเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เราก็ อ้อ สงสัยนี่เขาอยู่บนสวรรค์ หรือว่าพอระลึกถึงใคร ที่เป็นญาติผู้ใหญ่ที่เรารักที่เราเป็นห่วงอะไรอย่างนี้ แล้วเพิ่งเสียไปเนี่ย เราเกิดความรู้สึกกระวนกระวาย เราเกิดความรู้สึกกลัว หรือว่าบางทีฝันร้าย ตรงนั้น เราก็รู้สึก อ้อ สงสัยเขาไปไม่ดี นี่แสดงให้เห็นว่า กระแสจิตมันเชื่อมกันได้ มันเข้าถึงกันได้ มันสัมผัสกันได้

ทีนี้ถ้าหากว่าเรามองในแง่ของการอุทิศบุญ อุทิศกุศลเนี่ย เราเพียงตั้งใจให้แน่วแน่นะครับ รู้ว่ากุศลที่เราทำไปแล้ว มันมีความอบอุ่นอย่างไร มันมีความเป็นตัวเป็นตนอย่างไร แล้วเรานึกถึงใครอีกคนหนึ่ง เสมือนกับว่าเรายื่นขนมก้อนหนึ่งให้เขา หรืออาหารจานหนึ่งให้เขา ตรงนั้น มันจะชัดเจนยิ่งกว่าการได้ไปกรวดน้ำ แต่ถ้าใครยังรู้สึกว่าติดอยู่กับการกรวดน้ำ หรือว่าจะต้องกรวดน้ำ อันนั้นก็ไม่ใช่ความผิดนะครับ ก็ทำได้ ก็ทุกวันนี้เวลาผมไปทำสังฆทาน ผมก็กรวดน้ำ ตามธรรมเนียมเขา

พี่ฉอด : คงมีคำถามอีกเยอะมากเลยนะคะ ที่เราคงไม่มีเวลาพอในการตอบ ทีนี้ อยากฝากนิดหนึ่งสำหรับคุณผู้ฟังที่ฟังอยู่แล้วเกิดรู้สึกมีข้อข้องใจ แล้วอยากถามไถ่คุณตุลย์ แบบที่เรามานั่งคุยกันวันนี้เนี่ย จะมีช่องทางหรือมีวิธีการอย่างไรบ้างไหมคะที่จะติดต่อกับคุณตุลย์?

ดังตฤณ : ตอนนี้ผมก็... มีจดหมายข่าวจากเว็บ dungtrin.com อยู่น่ะนะ ก็เป็นการพูดคุยกันเรื่องทั่วๆไป ทุกอาทิตย์นะครับ ทุกวันพฤหัส ผมก็จะส่งจดหมายข่าวออกไป สำหรับสมาชิกนะครับ คือคงเป็นในรูปแบบนั้นมากกว่า เพราะว่าถ้าตอบคำถามของทุกคน ตอนนี้คงไม่ไหว

แต่ผมก็ทำคอลัมน์ 'เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว' อยู่ในนิตยสารบางกอก ก็จะเป็นการรวบรวมคำถามที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ หรือไม่ก็เขียนจดหมายมาโดยตรง เขียนอีเมล หรือว่าส่งผ่านนิตยสารบางกอกเนี่ยนะครับ ก็จะมีรวบรวมไปเก็บไว้ที่นั่น เยอะเลยครับ

พี่ฉอด : ก็คงจะติดตามกันได้นะคะ รวมถึงหนังสือหลายๆเล่มที่คุณตุลย์เขียนออกมาด้วย วันนี้ 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ขอบคุณคุณดังตฤณ หรือว่าคุณตุลย์ของเรามากๆเลย (เสียงปรบมือ) ที่เป็นแขกรับเชิญพิเศษของเราวันนี้ และก็ต้องบอกว่า วันนี้คงทำให้คุณผู้ฟังชาวกรีนเวฟของเรา ได้รับอะไรๆกันไปมากมายพอสมควรทีเดียวนะคะ มีอะไรอยากฝากนิดหนึ่งสุดท้ายไหมคะ?

ดังตฤณ : ก็... ความอบอุ่นใจนี่ก็มีหลายแบบนะครับ สำหรับตาเปล่าเนี่ย เราจะยึดเอาบ้าน เอารถ เอาเสื้อผ้า เอาบุคลิกของตัวเอง กับคนที่รักเนี่ย เป็นความอบอุ่น เป็นความปลอดภัย เป็นความมั่นคง ยิ่งดูไฮคลาสมากเท่าไหร่ ก็เหมือนยิ่งจะน่าอบอุ่นมากขึ้นเท่านั้น

แต่สำหรับคนที่ศรัทธาในกรรมวิบากจะเห็นว่า ที่พึ่งอันน่าอบอุ่นใจสูงสุด มีอยู่ประการเดียว คือกรรมขาวของตัวเอง คือกุศล คือบุญของตัวเอง อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อกายนี้แตกทำลายลงไปแล้ว ทรัพย์สิน บ้านเรือน และก็ลูกเมีย ต่างก็ต้องถูกทอดทิ้งไว้ในโลกนี้ มีสมบัติติดตัวเดียวที่สามารถติดตัวเราไปได้ก็คือ 'กรรม' กรรมจะเป็นที่พึ่ง เป็นแดนเกิด แล้วก็จะเป็นพลังบันดาลให้ชีวิตเป็นไปตามทิศทางอันเหมาะสมเสมอ ครับ ก็อยากฝากไว้เท่านี้ครับ

พี่ฉอด : ค่ะ ขอบคุณคุณตุลย์มากเลยนะคะ

ดังตฤณ : ขอบคุณพี่ฉอดเช่นกันครับ

พี่ฉอด : ค่ะ แล้วติดตาม 'คืนพิเศษ คนพิเศษ' ต่อไปในเดือนหน้านะคะ ใครจะเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษของเรา คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ค่ะ สวัสดีค่ะ


ดังตฤณ : ราตรีสวัสดิ์ครับ สวัสดีครับ

จบบทสัมภาษณ์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น