วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2563

จิตเมื่อเริ่มสงบแล้วจะเจออาการสงบที่ต่างไปจากปกติในชีวิตประจำวัน ถึงตอนนั้นแล้วอยากทราบเทคนิคนไปตามธรรมชาติใหม่ที่เกิดขึ้นเอง กับจิตส่งออกนอกที่เกิดจากการปรุงแต่งไปตามอาการใหม่


ดังตฤณ :  ง่ายๆเลยนะครับ จิตที่ส่งออกนอกเนี่ย คือจิตที่มีจิตนาการ ไปนึกถึงหน้าคนโน้นคนนี้ หรือว่าไปนึกถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ฌานหรือว่ามรรคผลนะครับ อันนี้เรียกว่าส่งออกนอก

แต่ว่าตัวที่มันอยู่ข้างใน แล้วก็ทำให้สติเจริญขึ้น มันจะเห็นสภาวะของตัวเอง อย่างเช่น สมาธิจิตคืออะไร คือจิตที่มันมีความโล่ง ความว่าง ความใหญ่ ความนิ่ง ตรงนี้ถ้าหากเห็นสภาวะนั้น จนกระทั้งเห็นนานพอจนเกิดการเปลี่ยน อย่างเช่นที่สว่างอยู่ สว่างอยู่แล้วเนี่ย สว่างยิ่งขึ้นไปอีกหรือว่าที่สว่างอยู่มันหรี่ลงมา หรือว่าที่มันว่างๆ มันเกิดความคิดฟุ้งๆๆ ยุ่งๆๆ ขึ้นมาเนี่ย ถ้าเราเห็นอย่างนี้เรียกว่าไม่ใช่การส่งจิตออกนอก เพราะเราเห็นสภาวะที่มันเกิดขึ้นจริงๆไม่ได้จินตนาการขึ้นมา

ถึงแม้ว่าจะเห็นราวกับตาเห็นรูป เห็นความนิ่งเป็นสมาธิเนี่ย เหมือนแผ่นน้ำหรือว่าดวงไฟใหญ่หรือว่าเหมือนพระอาทิตย์ที่สว่างนวลแล้วก็เย็น จะเห็นอะไรก็แล้วแต่ แต่มันต้องมาจากฐานความจริงที่ปรากฏอยู่ภายในกายนี้ใจนี้

แต่ถ้าเราไปนึกถึง เอ้เราจะมีอภิญญากับเขาได้ไหม เนี่ยมองทะลุออกไปเดี๋ยวจะเห็นสวรรค์ได้ไหม นี่คือส่งออกนอกแล้วนะครับ

มันไม่มีเทคนิคนะ มันมีแต่ข้อสังเกตง่ายๆนะครับ ถ้าอะไรก็แล้วแต่ทำให้เราอยากออกไปข้างนอกเกินกว่ากายใจนี้ นั่นแหละส่งออกนอกหมดเลย

--------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         จิตเมื่อเริ่มสงบแล้วจะเจออาการสงบที่ต่างไปจากปกติในชีวิตประจำวัน 
                              ถึงตอนนั้นแล้วอยากทราบเทคนิคที่จะทำให้เรารู้ความแตกต่าง
                              ระหว่างจิตที่จะเปลี่ยนไปตามธรรมชาติใหม่ที่เกิดขึ้น
                             เอง กับจิตส่งออกนอกที่เกิดจากการปรุงแต่งไปตามอาการใหม่
ระยะเวลาคลิป           ๒.๑๑ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=xIfSg-VCO6Y&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=11

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2563

อธิษฐานอย่างไรถึงจะเป็นอธิษฐานบารมีคะ?


ดังตฤณ :  ง่ายๆเลยนะ อย่างถ้าใครที่ขี้เกียจไม่สามารถที่จะเอาชนะกิเลส ไม่สามารถจะต่อสู้กับแรงดึงดูดของที่นอนได้ อยากตื่นมาตีห้ามาสวดมนต์ หรือว่ามาทำสมาธิ หรืออยากจะมาใส่บาตร หรืออยากจะมาทำอะไร พูดง่ายๆว่าขอให้ตัวเองเนี่ยตื่นตีห้า หรือว่าตีสี่

อย่างบางคนต้องตื่นตีห้าอยู่แล้ว เพราะว่าสภาพการจราจรในปัจจุบันมันบังคับ แต่บางคนเนี่ยคืออยากจะได้เวลาในชีวิตของตัวเองเพิ่มขึ้นนิดนึง ๑๕ นาทีก็ยังดี หรือครึ่งชั่วโมงก็วิเศษเลย ซึ่งไปหาจากช่วงอื่นของวันไม่ได้ ต้องอาศัยช่วงเช้านั่นแหละ ก่อนจะออกจากบ้านไปทำงาน ก็อาศัยช่วงตื่นนอนนั่นแหละเป็นตัวเพิ่มเวลา ซึ่งถ้าหากว่าลุกได้ก่อนหน้าที่เราจะถึงเวลาตื่นจริงๆเพื่อไปทำงาน สักชั่วโมงนึง สักครึ่งชั่วโมงเนี่ยนั่นแปลว่า ชีวิตของคุณมีเวลาเพิ่มขึ้นวันละ ๑ ชั่วโมง วันละครึ่งชั่วโมงแล้วนะครับ

แต่พอแพ้ มันมีความรู้สึกว่าเวลาช่วงนี้มันไม่จำเป็นต้องตื่น ที่มีความปราถนาพิเศษอยากจะได้เวลาในชีวิตเพิ่มมาซักครึ่งชั่วโมงเนี่ย มันไม่ใช่ไฟล์ทบังคับ ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องทำ คือไม่ทำก็ไม่อดตาย ไม่ทำก็ไม่มีใครเดือนร้อน มันก็เลยมีข้ออ้างว่า เออขอนอนต่อหน่อย อย่าทำตามความตั้งใจเลย อันนี้เรียกว่า เป็นผู้ไม่มีอธิษฐานบารมี

อธิษฐาน แปลว่า ตั้งใจมั่นที่จะทำอะไรให้สำเร็จ ถ้าตั้งใจทำอะไรดีๆแล้วทำไม่สำเร็จบ่อยๆเข้ามันกลายเป็นความอ่อนแอทางใจ จิตใจของคนอ่อนแอเนี่ยเหมือนกับพอคิดอยากจะทำอะไรมันคิดแบบลมๆแล้งๆ คิดแบบไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเอาซะเลย นี่คือความเหลาะแหละโลเล แล้วก็กลายเป็นความรู้สึกว่า เราไม่สามารถเชื่อใจตัวเองได้ เราไม่สามารถที่จะไปบอกใครได้ว่า เราเนี่ยมีความมั่นใจอะไรในตัวเองอยู่บ้าง

ทีนี้ถ้าเราจะสร้างอธิษฐานบารมีก็คือ ตั้งใจมั่นว่า เนี่ยถ้ามันเป็นเรื่องดีนะ เราจะต้องทำให้ได้ ไม่มีการมาแบบว่าแพ้แรงดึงดูดโลก หรือว่าแพ้อ้อมกอดของที่นอน หรือว่าแพ้กลิ่นหมอน กลิ่นอะไรที่มันยังน่าติดใจ อยากจะซุกหน้าเข้าไปดมดอมหอมมันไม่เลิกอะไรแบบนี้เนี่ยนะครับ เอาความสามารถที่จะเชื่อใจตัวเองได้ นี่ตัวนี้เรียกว่ามีบารมีแล้ว คือถ้าตั้งใจทำอะไรดีๆแล้วเชื่อใจตัวเลยนะว่าเราต้องทำได้แน่ๆชัวร์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ หรือถ้ามันจะได้แค่ ๙๘ เปอร์เซ็นต์ อีก ๒ เปอร์เซ็นต์ที่แหว่งไปเนี่ย มันเพราะเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่ใจของเรายอมแพ้ต่อกิเลส นี่แหละเรียกว่ามีบารมีนะครับ

คนที่มีอธิษฐานบารมีมากๆ มันมีพลังมหัศจรรย์อะไรหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตให้เห็นเลยนะ คนอื่นเนี่ยมองมาแล้ว โอ้โหนี่ทำได้ยังไง บางคนเนี่ยแค่ตั้งใจว่าจะทำงานนี้ให้สำเร็จ คนอื่นทำไม่สำเร็จเลย แต่งานนี้คนนี้ทำได้ เพราะอะไร เพราะว่ามันสะสมมา ไม่ใช่อยู่ๆวันแรกแล้วสามารถที่จะทำปาฏิหาร์อะไรชนิดที่คนอื่นต้องลืมตาค้างเนี่ย มันไม่ได้นะครับ มันต้องอาศัยการสะสมมา

คนที่มีอธิษฐานบารมีมากๆ บางทีงานยากที่ดูเหมือนกับไม่น่าจะทำไหว แต่พอตั้งใจมันก็ทำได้ขึ้นมา นี่เพราะว่าทำสำเร็จมาก่อนมันเลยเชื่อใจตัวเอง มันเลยเกิดความมั่นใจมีพลังพิเศษอะไรบางอย่างที่บอกตัวเองว่า เนี่ยฉันทำได้

ยกตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้าท่านมีอธิษฐานบารมาเต็มเปี่ยม คืนวันที่พระองค์จะตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก ท่านก็อธิษฐานว่า ถ้านั่งสมาธิคราวนี้แล้วไม่สำเร็จพระโพธิญาณไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ท่านจะยอมตาย ยอมให้เลือดเนื้อเหือดแห้งไปเลย

เพราะว่า ๖ พรรษา ๖ ปี ที่พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญทุกรกิริยามาเนี่ย นานพอที่พระองค์จะรู้ใจตัวเองนะครับว่า ทำได้แน่ๆนะครับ คือยอมตาย ไม่ลุกจากที่นั่งจนกว่าจะได้สำเร็จ เพราะตอนนั้นบวกกับที่พระองค์เชื่อมั่นจากสัญชาตญาณของคนเป็นพระพุทธเจ้าจะรู้ว่าตัวเองเริ่มมาถูกทางแล้ว ๖ ปีที่ผ่านมาๆผิดเลยไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มเข้าเค้าแล้วว่า ต้องใช้ทางสายกลาง ไม่ทุกข์ขนาดที่ว่าจะทำร้ายร่างกายตัวเอง แล้วก็ไม่สุขขนาดที่จะมาเสพกามแบบชาวโลก แต่ต้องเป็นกลางๆ โดยอาศัยสมาธิที่มีความเบา ที่มีความปลอดโปร่ง ที่มีความสบายทั้งกายแล้วก็ใจนะครับ พอมันห่างจากกิเลสมาก็สามารถที่จะเห็นแจ้งแทงสัจธรรมได้ แล้วก็สามารถที่จะเห็นประตูที่จะเข้าถึงพระนิพพานได้ อันนี้เป็นความมั่นใจของพระพุทธองค์ ซึ่งท่านสั่งสมบารมีมา ๔๐๐,๐๐๐ อสงไขยมหากัป เพื่อที่จะเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ คือเป็นผู้อาศัยปัญญาในการแทงทะลุหนทางที่จะเข้าสู่พระนิพพาน

อธิษฐานบามี ก็สรุปง่ายๆนะครับ ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองจะไว้ใจตัวเองได้ แล้วก็เชื่อมั่นว่าสามารถทำอะไรสำเร็จแม้ยังไม่เคยทำมาก่อน อันนี้เป็นผู้มีอธิษฐานบารมีมาดีนะครับ

-----------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         อธิษฐานอย่างไรถึงจะเป็นอธิษฐานบารมีคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๗.๒๘ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=XxLZ2CDhwb0&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=25

** IG **

ในระหว่างเดินจงกรม นับก้าวไปด้วยได้รึเปล่าคะ?


ดังตฤณ :  ถ้าหมายถึงเจริญสติไปด้วยเนี่ยนะครับ ถ้าใครชอบก็โอเคนะครับ คืออย่างอยู่ว่างๆเนี่ย คุณต้องเข้าใจปรัชญาของการบริกรรมก่อน พื้นฐานเลยเนี่ยปกติคลื่นความคิดในสมองของคนเราเนี่ยเป็นคลื่นความคิดแบบสุ่ม เอาแน่เอานอนไม่ได้ จิตมันเลยแส่ส่าย

ทีนี้ถ้าหากว่ามีคำสั้นๆที่เราจะนึกได้แบบง่ายอย่างเช่น พุทโธ สัมมาอะระหัง หรือว่า ยุบหนอ พองหนอ หรือศาสนาอื่นมีคำว่า โอม หรืออะไรต่างๆก็ได้ทั้งนั้นนะครับ

เพราะว่าจุดมุ่งหมายของคำบริกรรมก็คือ เปลี่ยนความคิดแบบสุ่มให้เป็นความคิดที่แน่นอน เปลี่ยนความคิดแบบวกวน ให้กลายเป็นเส้นตรงที่มีความชัดเจน

ทีนี้ถ้าบริกรรมก็ต้องสังเกตในหัวของตัวเองด้วย ส่วนใหญ่บริกรรมกันไม่เป็น ถ้าบริกรรมที่จะทำให้เกิดสมาธิ เสียงในหัวต้องสม่ำเสมออย่างเช่น พุทโธ พุทโธ พุทโธ เอาง่ายๆเวลาที่คุณอ่านตัวหนังสือเนี่ยคุณมีเสียงกระซิบประมาณไหน พุทโธ พุทโธ พุทโธ ก็ให้จำเสียงกระซิบนั้นไปท่องไปบริกรรม

ทีนี้เวลาเจริญสติจะดูลมหายใจก็ตาม จะดูเวทนาก็ตาม จะดูจิตสังขารก็ตาม ความฟุ้งซ่านหรือว่าจะดูอิริยาบถ อะไรก็แล้วแต่ที่มันเป็นความรู้สึกทางกายใจ ถ้าเราใช้คำบริกรรม ตอนแรกๆเนี่ยมันก็ดี คือเปลี่ยนความคิดที่มันเป็นแบบสุ่ม แรนดอม (Random) เนี่ยนะ ให้กลายเป็นความคิดที่เป็นระเบียบชัดเจนเป็นเส้นตรง

แต่สำคัญตรงที่พอคนส่วนใหญ่บริกรรมไปแล้วก็จะติดอยู่แค่ตรงนั้น มีคำบริกรรมคำไหนก็จะยึดว่านี่แหละคือการปฏิบัติธรรมแล้ว นี่แหละคือสิ่งที่พุทธศาสนาสอน

บางคนบอกเลยบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนพุทโธ คือจริงๆไม่ใช่นะครับ พุทโธเป็นอุบายที่ครูอาจารย์ร่วมสมัยของเรา ท่านอาศัยทำให้ตัวเองเกิดสมาธิขึ้นมาได้ แล้วท่านก็สอนนะบอกว่า พอบริกรรมพุทโธ พุทโธ พุทโธ ไปเนี่ยจิตเป็นสมาธิแล้ว จิตเกิดความสว่างเป็นดวงอาทิตย์แล้วเนี่ยนะครับ คำบริกรรมจะหายไป แล้วก็ตรงนั้นไม่ต้องไปเอาคำบริกรรมกลับมาอีก ก็ให้พิจารณากายใจนี้ต่อเลย

แต่คนเนี่ยไม่จำแล้วก็ไม่เข้าใจ หรือบางทีไม่ทราบด้วยซ้ำว่าท่านสอนอย่างนี้นะ ก็ไปบริกรรมต่อไปเรื่อยๆ อันนี้บางทีมันก็กลายเป็นความติด แล้วก็กลายเป็นความไม่เข้าใจในทิศทางของการเจริญสติ

ทีนี้ถ้าเรามาเอาแบบที่ปูพื้นกันเบสิคเลย ตั้งแต่ที่หายใจยังไง หายใจยาวแล้วมันจะมีความสุข พอมีความสุขแล้วสามารถเห็นลมหายใจเป็นสายได้ เห็นความฟุ้งซ่าน แล้วก็จิตสังขารประเภทอื่นๆ คือพูดง่ายๆความคิดนึกนั่นแหละ เวลาที่มันมาปรุงแต่งจิตอย่างไรเราจะสามารถเห็นได้โดยความเป็นนิมิตดุจตาเห็นรูปนะครับ

ทีนี้ถ้าเราติดอยู่กับแค่คำบริกรรมเนี่ย เวลาที่ลมหายใจชัดขึ้นมา เราก็ไม่ได้ไม่ได้กลับมาพุทโธต่อ หรือพอความคิดมันปราฏกเป็นสายเมฆหมอกขึ้นมา แทนที่เราจะเห็นความคิดนะเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็ไม่ได้ มาพุทโธต่อ อย่างนี้มันก็เลยกลายเป็นว่าเราติดอยู่กับคำบริกรรม

คำบริกรรมเนี่ยนะไม่ต้องรอพระพุทธเจ้ามาอุบัติก็ได้ ศาสนาไหนลัทธิใดเขาก็สอนกันอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ถ้าหากว่าเราเข้าใจพื้นฐานอย่างชัดเจนนะครับ จะบริกรรมเนี่ยไม่เป็นไร แต่ถ้าเรารู้สึกว่าแฮปปี้ที่จะดูแค่สภาวะ นับเริ่มตั้งแต่ลมหายใจ เวทนา จิตสังขาร รู้สึกว่ามันไม่ต้องอาศัยคำบริกรรมสติก็อยู่ตัวได้ อันนี้เยี่ยมเลยเพราะว่ามันจะเข้าทางได้เร็วนะครับ

-----------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ในระหว่างเดินจงกรม นับก้าวไปด้วยได้รึเปล่าคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๔.๔๐ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=27UkcdOeM5s&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=20

ในระหว่างเดินจงกรม นับก้าวไปด้วยได้รึเปล่าคะ?


ดังตฤณ :  ได้ครับ ผมไม่ได้แอนตี้การบริกรรมนะครับ บริกรรมได้แต่ต้องเข้าใจจริงๆว่า ถ้าตราบใดคำบริกรรมยังอยู่ในหัว เราจะยังอยู่กับความคิดที่ทำให้ไม่เห็นสภาวะปรุงแต่งทางกายทางใจ แล้วก็โอกาสที่จะได้เห็นกายใจแสดงความไม่เที่ยงเนี่ย มันริบหรี่นิดเดียวเลยนะครับ

ถ้าหากว่าเรานับไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ แล้วเรายังรู้สึกถึงเท้ากระทบอยู่ อันนี้มันจะดูได้เลย พอเรารู้สึกถึงเท้ากระทบไปได้นานๆ ถ้านานพอนะมันจะเห็นขึ้นมาทั้งตัว ราวกับว่าร่างกายนี้กลายเป็นหุ่นของใครอยู่ อันนี้เรียกว่าสติของเรา ถูกแบ่งภาคมาให้รู้ความเป็นกายได้ถึงได้เห็นอย่างนั้น

แต่ถ้าหากว่าคุณนับ ๑ ๒ ๓ ไปแล้วยิ่งนานยิ่งมีแต่ ๑ ๒ ๓ อยู่ในใจนะครับ อันนี้แสดงว่ามาผิดทาง แบ่งใจไม่ถูกนะครับ ก็ทดลองดูก็แล้วกัน ดูตามคลิปของวันนี้เนี่ย เดี๋ยวผมเอาขึ้น แล้วลองดูว่า มันจะมีความเปลี่ยนแปลงยังไงไม๊

อย่างที่สอนเดินจงกรมไปในคลิปนี้ ผมไม่ได้พูดลงรายละเอียดเพื่อหลีกเลี่ยงการมาโต้เถียงกันนะครับ อย่างเช่นว่า ทางจงกรมควรจะยาวแค่ไหน หรือว่าเราควรจะบริกรรมกำกับไปด้วยรึเปล่าอะไรต่างๆเนี่ยจะหลีกเลี่ยงนะครับ ไม่ได้เอาใส่ไว้ในคลิปด้วย

แต่เอาเฉพาะแก่นที่คุณจะไปปฏิบัติยังไงของคุณเนี่ยตามใจนะครับ ขอแค่ว่าเข้าใจหลักการว่าจะทำยังไงให้เห็นกายเดิน กายนั่ง กายยืน กายนอน เป็นของไม่เที่ยง เพราะว่าปรัชญาแบบพุทธนะครับ มีอยู่แค่นี้จริงๆคือ เห็นอะไรไม่สู้เห็นว่ามันเที่ยงหรือไม่เที่ยง

ถ้าหากว่าจะเห็นอะไรพิศดาร หรือว่าจะบริกรรมอะไรกำกับเนี่ย เสร็จแล้วไม่ได้เกิดความเห็นว่า ความไม่เที่ยงกำลังแสดงตัวอยู่ ข้อโต้เถียงอะไรที่เถียงกันไปเปล่าๆมากี่ร้อยปีก็ไม่ทราบเนี่ยนะ มันตกไปเลยนะ มันไร้ความหมาย มันไร้ประโยชน์จริงๆ ที่ว่าสำนักไหนถูก หรือว่าจะทำโน่นทำนี่ประกอบไปด้วยกับการเจริญสติได้หรือไม่ได้อะไรต่างๆเนี่ย มันเป็นข้อถกเถียงที่ไร้แก่นสาร

แต่ถ้าหากว่าเราจับแก่นสารถูกนะครับ รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนไปทั้งหมดเพื่อที่จะให้เห็นว่า สิ่งที่เรามองอยู่ รู้อยู่เนี่ย มันกำลังแสดงความไม่เที่ยง มันกำลังแสดงความเป็นอนัตตา นี่ตรงนี้ถ้าได้แค่ตรงนี้เป็นหลักไว้แม่นๆ เป็นเสาหลักของการเจริญสตินะครับ คุณไม่มีทางหลงทิศหลงทางไปจากนิพพานได้เลย

-------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ในระหว่างเดินจงกรม นับก้าวไปด้วยได้รึเปล่าคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๓.๓๔ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=BPtjI-z80bM&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=17

ตอนเริ่มเดินจงกรมใหม่ๆ เอามือไผล่หลังแล้วรู้สึกเมื่อย เกร็งมากเวลาเดินไปนานๆ เลยปล่อยมือตามสบาย ในคลื่นปัญญาแนะนำให้เอามือไผล่หลังเพื่อให้อกผาย อยากถามคุณดังตฤณว่า การเอามือไผล่หลังตอนเดินจงกรมจำเป็นมากไหมคะ?


ดังตฤณ :  สังเกตไหมในคลิปผมไม่พูดถึงเอามือไผล่หลังนะ ผมพูดแค่ว่าขอให้อกเปิด ขอให้ไหล่เปิด อกผายไหล่ผึ่ง แล้วมันมีความหมายยังไง มันมีความหมายว่า คุณจะได้หายใจสะดวก

เพราะว่าหลายคนนะเดินเอามือกุมเป้า แล้วไหล่ห่อหายใจไม่ค่อยได้ หายใจได้สั้นๆ ยิ่งเดินยิ่งทำไมตัวเองมันหดหู่ห่อเหี่ยวมากขึ้นทุกทีนะครับ

หรือว่าพอเกิดสมาธิก็เกิดสมาธิในแบบที่ไม่ผ่องใส มองไม่เห็นทั้งกาย รู้แต่ว่าฉันกำลังบำเพ็ญตบะอยู่ ทำตามหลักการตามหลักเกณฑ์ที่รับรู้มา เสร็จแล้วก็ไม่สงสัยไม่ถามตัวเองเลยนะว่า ที่ทำๆไปเนี่ยมันมีความก้าวหน้ารึเปล่า

อันนี้เนี่ยนะครับอยากให้ไว้เป็นอีกข้อนึงนะครับ ข้อสังเกตที่เราจะตัดสินตัวเองได้ว่า กำลังทำถูกหรือทำผิดนะครับ ยิ่งทำไปเนี่ยยิ่งได้สมาธิยิ่งได้สติ หรือว่ายิ่งได้ความห่อเหี่ยว ได้ความเกร็ง

จะเดินแกว่งแขนหรืออะไรเนี่ยเอาเลย แต่ปกติเนี่ยขอโน๊ตไว้นิดนึง เวลาเราเดินแกว่งแขนเนี่ยนะครับ ใจมันจะแกว่งตามไปด้วย ถ้ามืออยู่นิ่งๆได้เนี่ย สติมันจะอยู่กับร่องกับรอยมากขึ้น

แล้วก็ไม่ใช่นิ่งแบบทำให้รู้สึกเหมือนจิ๊กโก๋นะ อย่างเช่นเดินเอามือล้วงกระเป๋า แล้วก็เดินอยู่บนทางจงกรมเนี่ยไม่มีใครเขาทำกันนะ อันนี้คือให้สังเกตจากสติที่เกิดขึ้นสมาธิที่เกิดขึ้นในระยะยาว

ถ้าหากว่าทำอย่างไรแล้วสติเกิด สติเจริญ สมาธิมีความผ่องแผ้วมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้น่ะคุณมาถูกทางแน่นะครับ เพราะว่าสังเกตไหม ในพระไตรปิฎกก็จารึกไว้นะครับ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แค่ว่า เดิน ยืน นั่ง นอน อย่างไรอยู่ในอาการไหนๆแล้วมีสติได้ ถือว่าโอเคหมดนะครับ

คือให้มีสติรู้ว่าเรากำลังอยู่ในอิริยาบถไหน ตรงนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเน้นเลยนะ ไม่มีการมาใส่รายละเอียดเข้าไปนะครับว่า จะต้องเดินช้าเดินเร็ว หรือว่าจะต้องเอามือไผล่หลัง หรือว่ากุมเป้า สุดแท้แต่ว่าเราสังเกตตัวเองแล้วว่า ทำอย่างนี้สติมันดีขึ้น สมาธิผ่องแผ้วไพบูลย์ขึ้น อันนี้แหละใช่แน่ๆ

เพราะว่าสุดท้ายแล้วเนี่ย ร่างกาย ท่าทางของกายไม่ได้ตามเราไปนิพพานนะครับ มีแต่จิตนะ ถ้าหากว่าเข้าส่วนแล้วเนี่ย ก็จะสามารถถึงฌานแล้วก็เห็นนิพพาน พูดง่ายๆบรรลุมรรคผลนะครับ

------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ตอนเริ่มเดินจงกรมใหม่ๆ เอามือไผล่หลังแล้วรู้สึกเมื่อย 
                              เกร็งมากเวลาเดินไปนานๆ เลยปล่อยมือตามสบาย
                              ในคลื่นปัญญาแนะนำให้เอามือไผล่หลังเพื่อให้อกผาย 
                              อยากถามคุณดังตฤณว่า การเอามือไผล่หลังตอนเดินจงกรม
                              จำเป็นมากไหมคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๓.๒๒ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=ugZG-5_37Z8&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=15

เราจะเช็คได้อย่างไรว่าเราก้าวหน้าทางธรรมไปถึงระดับไหนแล้ว?


ดังตฤณ :  เอาง่ายๆถ้าหากว่า พอนึกถึงกายใจขึ้นมา มีสติไม่ต้องทำงาน แล้วก็เกิดความรู้สึกว่านี่เรากำลังนั่งอยู่ ถามตัวเองง่ายๆเลยว่า เรานั่งอยู่เพื่อเห็นอะไร

ถ้าหากว่านั่งอยู่ได้นาน ไม่อยากลุกไปทำอะไรที่ไหน แค่หายใจอย่างเป็นสุขได้ แล้วก็เห็นว่าลมหายใจมันไม่เที่ยง หรือความคิดที่จรมาแล้วเดี๋ยวมันก็จรไป ความฟุ้งซ่านไม่สามารถกระชากตัวเราไปที่อื่นได้ อันนี้แหละคือก้าวหน้าแล้ว ก้าวหน้าแบบเห็นหยาบๆเลยนะ นี่คือการเห็นได้แบบเปลือกๆ

แต่ถ้าหากว่าจะเอาลงไปถึงขั้นแอดวานซ์ (Advance) จริงๆเนี่ย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อยู่แล้วนะครับ ท่านให้ดูความก้าวหน้าทางธรรมว่า โลภะ โทสะ โมหะ มันลดลงรึเปล่า

คนส่วนใหญ่จะจ้องแค่ว่าโลภะ โทสะ มันน้อยลงไหม เบาบางลงไหม ยังแสดงอาการปึงปังเหมือนเดิมรึเปล่า แต่จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าตรัสไว้ลึกซึ้งนะครับ บอกว่าโมหะเนี่ยมันเบาบางลงไหม ตรงนี้จะไม่ค่อยมีใครสังเกต เพราะไม่รู้จะสังเกตยังไง

ถ้าโมหะเบาบางลงเนี่ย แค่เรารู้สึกเข้ามาที่กายที่ใจเนี่ย มันรู้สึกขึ้นมาแล้วว่า เนี่ยไม่ใช่กายเราไม่ใช่ใจเรา แต่เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็วิญญาณธาตุมาประกอบประชุมกัน มีอากาศว่าง มีช่องว่างอยู่ หรือว่าที่เรียกว่า อากาศธาตุ แล้วก็มีกรรมคลุมรูปอยู่ เนี่ยมันจะรู้สึกขึ้นมาง่ายๆว่า ที่มันทรงรูปเป็นรูปพรรณสัณฐานแบบนี้เนี่ยของหลอก มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นเหยื่อที่ทำให้เราไปยึดว่า เนี่ยคือตัวเรา ถ้าเรารู้สึกแบบนี้ขึ้นมาวูบๆวาบๆขึ้นมาเรื่อยๆ อันนี้ก็เรียกว่าเป็นการที่แสดงแล้วว่าโมหะเนี่ย มันลดน้อยถอยหรือว่าเบาบางลง

แต่ถ้านั่งอยู่เฉยๆ แล้วเกิดความรู้สึกงึดงัดๆ อยากจะเอามือถือขึ้นมา อยากจะดูว่าใครเข้าโพสต์ถึงตัวเองว่าไง อันนี้นะต่อให้คุณใช้เหตุผลแค่ไหน หรือว่าใครชมคุณอย่างไรนะครับ ให้รู้ตัวเองนะครับว่ายังๆ .. คืออาจก้าวหน้าทางการทำสมาธิ หรือว่าก้าวหน้ายังไงก็แล้วเนี่ยนะ แต่ที่จะหลุดพ้นจากความยึดติด หรือว่าหลุดจากอุปาทานว่ามีตัวเราของเราเนี่ย มันยังห่างนะครับ อันนี้ก็เป็นแบบง่ายๆนะครับ ที่จะใช้เป็นเกณฑ์ว่าเรามาถึงไหนแล้ว

-----------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         เราจะเช็คได้อย่างไรว่าเราก้าวหน้าทางธรรมไปถึงระดับไหนแล้ว?
ระยะเวลาคลิป           ๒.๕๙ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=lu39FKyoVcI&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7

** IG **

คำว่าฝึกมรณานุสติคืออะไรคะ แล้วทำยังไงคะถ้าเราเพิ่งเริ่มฝึกใหม่ๆ?


ดังตฤณ :  ก่อนอื่นต้องเข้าใจคำว่าอนุสติก่อน ประสบการณ์ง่ายๆของคนที่มีอนุสติก็คือว่า มันเกิดขึ้นเอง มันอยู่ในใจ ขึ้นใจ อย่างนี้เรียกว่าอนุสติ

คำว่ามรณสติ หมายความว่า พอเรานึกขึ้นมาทีไรว่า เดี๋ยวมีสิทธิ์ต้องตาย มันเข้ามาที่กายใจนี้ก่อน ไม่ใช่ออกไปข้างนอก ไม่ใช่ไปมองว่าใครเขาตาย ใครเขาไปเผาศพกันที่ไหน หรือว่าเราจะต้องไปเป็นแบบเขาไหมอะไรต่างๆ อันนั้นมันเป็นแค่สมมติ ใจมันรู้อยู่ว่า เอออีกนาน

แต่ถ้ามองเข้ามาที่กายที่ใจตัวเอง แล้วมีความรู้สึกว่า เออเนี่ยมันคลุมรูปอยู่ได้ชั่วคราว เดี๋ยวมันต้องแตกสลายไป ถ้ามีความขึ้นใจว่า เดี๋ยวมันต้องแตกสลายไปเป็นธรรดา รู้สึกจริงๆ รู้สึกออกมาจากใจที่เบา ไม่ใช่ใจที่กลัวนะครับ ตัวนี้เรียกว่ามีอนุสติ

ทีนี้ฝึกยังไง เอาง่ายๆคิดง่ายๆเลยว่า ถ้าต้องตายตอนนี้ใจเราจะยึดอะไร เนี่ยสมมติให้มันเป็นจริงเป็นจัง ถามตัวเองดีๆเลยนะว่า ถ้าต้องตายไปนาทีนี้ ใจเราจะคิดเรื่องอะไรก่อนเป็นอันดับแรก

ถ้าหากว่าคำตอบคือการคิดถึงสิ่งที่คุ้นเคยในทางไม่ดี นี่ก็บอกตัวเองไงว่า เออถามกี่ครั้งกี่ครั้งมันนึกถึงเรื่องไม่ดีตลอด แบบนี้มีสิทธิ์ตายไม่ดี เสร็จแล้วมันก็เกิดกำลังใจ เกิดความมีมานะที่จะฝึกในชีวิตประจำวันเนี่ยนึกถึงเรื่องดีๆ ไม่เสพข่าวลบๆอยู่ตลอดเวลา

คือเอาแค่เตรียมตัวไม่ใช่กลัวอยู่ตลอด หรือไม่ไปร่วมวงเม้าท์ ร่วมวงที่จะนินทาว่าร้ายใครแบบที่ไม่มีหลักฐาน คือถ้าจะต้องพูดถึงแง่ไม่ดีของใคร ก็พูดเฉพาะที่มันต้องใช้ พูดเพื่อที่จะระวังตัว พูดเพื่อที่จะได้รู้ว่า เออคนนี้จะร่วมมือด้วย หรือว่าควรจะโบกมือลา เนี่ยพอเรามองตัวเองจากชีวิตประจำวัน แล้วเห็นว่าเราคิดอะไรในทางดีมากขึ้น ระวังตัวมากขึ้น

แล้วสำรวจเข้ามาอีกทีนึงว่า ถ้าต้องตายตอนนี้ จะคิดถึงเรื่องอะไรก่อน เนี่ยเรื่องร้ายๆมันจะเริ่มหายไป แล้วเราก็จะมีกำลังใจ มีแก่ใจที่จะคิดเรื่องดีๆนะครับ เรื่องทำบุญ เรื่องอะไรที่เป็นบุญเป็นกุศล

แม้กระทั่งเวลามีใครเขาขู่ว่า ความตายอาจมาถึงตัวได้นะ เนี่ยเดี๋ยวมันใกล้ตัวเราเข้ามาทุกวันๆ แทนที่เราจะเกิดความวิตก เราจะเกิดคำว่า เออตายได้ก็ดีสิ มันเห็นอยู่ว่า ใจแบบนี้มันดีกว่าแต่ก่อน มันสะสมอะไรไว้ในแบบที่ทำให้อุ่นใจได้ว่า เดี๋ยวตายไปเมื่อไหร่ได้สบายเมื่อนั้น เนี่ยตัวนี้เรียกว่าเริ่มมีอนุสติแล้ว เริ่มมีมรณานุสติแล้ว

แต่ถ้าดีกว่านั้นคือ เจริญสติเห็นกายใจ นับเริ่มตั้งแต่ลมหายใจมีความรู้สึกเป็นสุขจากการหายใจยาว หรือว่ามีความอึดอัดจากการหายใจสั้น แล้วเห็นว่าสภาวะ หรือสภาพที่มันปรากฏอยู่เป็นรูปกายแล้วก็เป็นดวงจิต อันนี้เนี่ยมันแตกดับอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วทุกลมหายใจเข้าออก เราแค่ไม่รู้


ทีนี้พอเห็นเข้ามาถึงระดับนี้ มรณานุสติจะยกระดับขึ้นไป กลายเป็นการเห็นสักแต่ว่ากายใจเป็นธาตุที่มาประชุมหลอกๆเหมือนนักมายากล มาตกแต่งให้เกิดความรู้สึกหลงไป หลงไปชาติหนึ่งว่า มีตัวเราอยู่จริง มีตัวเราอยู่ที่อื่น มีตัวเราอยู่ที่ไหน

พอมรณานุสติยกระดับขึ้น ผสมกลมกลืนเป็นอันเดียวกับการเจริญสติ ที่เรียกว่าสติปัฏฐาน ๔ ได้ คุณจะเข้าใจเลยว่า ทุกวินาทีมันมีความตายอยู่แล้ว มันมีความเกิดดับ จากสิ่งหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกสิ่งหนึ่งอยู่แล้ว ตัวนี้แหละที่เป็นมรณานุสติของจริงเลยนะครับ เป็นอนุสติในแบบที่ไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้อีกแล้ว ถ้าเห็นมันเกิดดับอยู่ตลอดเวลาได้

--------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         คำว่าฝึกมรณานุสติคืออะไรคะ แล้วคำยังไงคะถ้าเราเพิ่งเริ่มฝึกใหม่ๆ?
ระยะเวลาคลิป           ๕.๐๗ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=Y-q8hcKDC3w&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=6

** IG **

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2563

อาการทางจิตของคนมีรัก (Dungtrin)


อาการทางกายใดบ้างเป็นสัญญาณว่ากำลังมีรักคำถามแบบนี้อาจชวนให้คุณสังเกตพฤติกรรมภายนอกของคนอื่น เช่นเห็นเขานั่งเหม่อลอยแม้ในเวลาสมควรตั้งใจมีสมาธิฟังครูสอนหรือฟังนายสั่ง
แต่เมื่อถามเจาะจงลงไปว่าเป็น ‘อาการทางจิต’ แบบไหนบ้าง เป็นสัญญาณว่ากำลังมีรักอย่างนี้มีสิทธิ์ชวนให้นึกถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวเองได้มากขึ้น เพราะคุณไม่รู้วาระจิตผู้อื่น จึงไม่อาจทราบว่าโลกภายในของแต่ละคนที่มีรักเป็นอย่างไร ในขณะที่สำรวจเข้ามาทราบภาวะจิตใจและอารมณ์ของตนเองได้ง่ายกว่า
ตัวอย่างเช่นถ้าคุณถูกบังคับให้ตอบว่ารักใครสักคนไหม หากต้องชั่งใจเพื่อหาคำตอบที่แท้จริงเกินหนึ่งพริบตาเดียว แปลว่าดีกรีความรักที่คุณมีต่อคนๆหนึ่งยังต่ำอยู่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ อาการทะยานทางจิตที่พุ่งเข้าไปยึดเหนี่ยวคนๆนั้นไม่แรงพอ หากแม้นว่าแรงพอแล้ว คุณจะตอบได้ชัดถ้อยชัดคำเหมือนเอาอีโต้ฟันโชะเข้าที่หูคนถามทันที ว่ารักหรือไม่รัก
หากอ่านจิตเป็น คุณจะพบความวิจิตรพิสดารของความรักได้หลากหลายเหลือเชื่อ บางความรักทำให้จิตของคุณพุ่งแน่วไปที่คนๆหนึ่งด้วยความโลภอยากครอบครองกายใจของเขาไว้ในมือคุณคนเดียว อาการเล็งละโมบโลภมาก อยากเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาจากคนรัก ทั้งเวลา ทั้งของขวัญ ตลอดจนบริการรับใช้ครบวงจรจากเขา อาการทางจิตชนิดนี้มาพร้อมกับความพลุ่งพล่านร้อนรน รักแล้วกระวนกระวาย ทำความทรมานมากกว่าสบายใจ
อีกขั้วตรงข้ามของความรักข้างต้นจะทำให้คุณยอมโง่ ทุ่มกายถวายชีวิต ยอมเสียสละจนกลายเป็นอ่อนแอปวกเปียก เปิดโอกาสให้เขาใช้คุณเป็นไร่นาเพาะบาปเพาะเวร ปล่อยให้เขานิสัยเสียโดยไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้น อาการทางจิตชนิดนี้มาพร้อมกับความมืดบอด ยิ่งรักยิ่งทึบหนัก อาศัยความสุขเล็กๆน้อยๆเป็นกำลังใจให้ยอมจำนนไปเรื่อย
แต่บางความรักก็ทำให้จิตของคุณสงบเย็นลึกซึ้ง ปราศจากอาการเกาะเกี่ยวกระหวัดเข้าหาตัว มีแต่กระแสความปรารถนาดีแผ่ออกไป สุขใจแค่มีใครคนหนึ่งเป็นที่ตั้งของความรู้สึกด้านสว่าง รักได้ทั้งที่เป็นอิสระต่อกันอย่างสิ้นเชิง
คุณเกิดมาต้องผ่านประสบการณ์ทางจิตขณะมีรักมาแล้วหลายรูปแบบ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วความรักทั้งหลายจะมีพื้นฐานคล้ายคลึงกันบางประการ คือมีแรงดึงดูดในด้านดี เสมือนระหว่างใจกับใจเป็นแม่เหล็กที่กระทำต่อกัน
ความรักฉันญาติมิตรทำให้จิตของคุณมีแรงดึงดูดอ่อนๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง ส่วนความรักสีชมพูจะทำให้จิตของคุณเกิดแรงดึงดูดรุนแรง ให้ความรู้สึกวาบหวาม เหนี่ยวนำให้อยากแนบชิด แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมจะผลักไสให้เป็นอื่นอยู่ในส่วนลึก ขอเพียงเกิดความแปรปรวนทางอารมณ์เพียงเล็กน้อยก็จะรู้สึกได้
พอโตมาคนเราจะอยากมีประสบการณ์ทางจิตแบบวาบหวามกันทั้งนั้น ความอยากดังกล่าวทำให้รู้สึกโหยหา จึงดูเหมือนธรรมชาติบังคับให้ทุกคนเกิดอุปาทานว่าตนเองเกิดมาแล้วต้องเสาะหารักแท้ให้เจอ
หากคุณเป็นนักล่าฝัน คุณสร้างความรักไว้ล่วงหน้า ชนิดที่ทำให้จิตเกิดอาการอ้อยอิ่ง เต็มไปด้วยภาพงดงามสูงส่งชวนหลงใหลทะยานอยาก ความรักล่วงหน้าของคุณอาจกลายเป็นปมปัญหาสำคัญ เมื่อพบว่าตัวตนที่มีเลือดเนื้อและกลิ่นเหงื่อไคลของผู้คนหาใช่อะไรที่หอมหวนดังฝันไม่
ในทางกลับกัน หากคุณฝันไม่เป็น เอาแต่เชื่อทฤษฎีประเภทมนุษย์แค่มีหน้าที่หลั่งน้ำกามใส่กัน จิตคุณย่อมมีอาการเย็นชา เพ่งเล็งแต่ในแง่ได้ประโยชน์เสียประโยชน์จากเพศตรงข้ามแปลกหน้า นั่นก็จะเป็นปมปัญหา เมื่อพบว่าจิตใจของใครๆและตัวคุณเองร้องหาความสุขอันละเอียดอ่อนยิ่งกว่าผลประโยชน์ทางเพศมากนัก
ความผิดหวังและความสัมพันธ์ที่แตกพังซ้ำๆอาจทำให้หลายคนชาด้านมากขึ้นเรื่อยๆกับรักแท้ คนส่วนใหญ่ในโลกเหลือความหวังแค่ค้นหาใครสักคนที่พอไปด้วยกันได้ เอามาแก้เหงา เอามาสร้างครอบครัว เอามามีเซ็กซ์
โดยธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนต้องการเสรีภาพ ไม่มีใครอยากเจอห่วงล่ามคอ ไม่มีใครอยากโดนผูกมัด แต่ขณะเดียวกันก็อยากกะเกณฑ์ให้คู่ของตนซื่อสัตย์ รายงานความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าว พูดง่ายๆคืออยากเป็นนาย ไม่อยากเป็นทาส และหนทางง่ายที่สุดที่คนเราจะได้ทาส ก็คือใช้อำนาจความรักและความเป็นกันเองแบบผัวเมียลากจูงมา
ความเคยชินและภาระหน้าที่ของการครองคู่จะทำให้อาการทางจิตซึ่งมีต่อกันแปรไปทีละน้อย แรงดึงดูดจะลดลง หรือกระทั่งคลายออกอย่างสิ้นเชิง เหลือไว้แต่สายใยผูกพันในฐานะคนข้างเคียง
ทุกคนแสวงหาความรักอันหวานชื่นโดยไม่ทราบอย่างแท้จริงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วจะรักษาไว้ได้ด้วยท่าไหน รู้แต่ว่าต้องหาให้ได้ รู้แต่ว่าต้องมีให้ได้
การจะมองให้เห็นหน้าตาความรัก บางทีอาจต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับอาการทางจิตแบบอื่นๆ เช่น
๑) ตรงข้ามกับคำว่ารักคือเกลียด เพราะความเกลียดทำให้อาการทางจิตเป็นไปในทางผลักไส เมื่อผลักไม่พ้นตัวก็คาอยู่ อึดอัดอยู่
๒) ใกล้กับคำว่ารักคือนิยม เพราะความนิยมปรุงแต่งให้จิตเกิดความสดใส คุณอาจรู้สึกถึงแรงดึงดูด แต่ก็ไม่ถึงขนาดวาบหวาม
๓) เสมอกับคำว่ารักคือชมชอบ เพราะความชมชอบมักแฝงอยู่ด้วยพลังพิศวาส หากมีปัจจัยแวดล้อมเร่งพลังพิศวาสได้มากพอ คุณก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาเขาหรือเธอมาอยู่ในชีวิตคุณ
๔) เหนือกว่าคำว่ารักคือเมตตา เพราะความเมตตาไม่ได้ต้องการสิ่งแลกเปลี่ยน เหมือนอาการทางใจของคนรดน้ำต้นไม้ ย่อมได้ความฉ่ำชื่นตอบแทนกลับมาในขณะนั้นๆอยู่แล้วโดยตัวเอง
ข้อสุดท้ายนี่แหละคือบทสรุปแห่งวิธีรักษาความรักไว้ให้ยั่งยืน เพราะเมตตาตัวเดียวจะทำงานครอบจักรวาล คือตัดรอนอาการเกลียด ลดความหวังในเชิงวาบหวาม และแทนที่เงามืดของความเห็นแก่ตัวลงได้
หากเมตตาของคุณมีชีวิตยืนยาวพอจะเบื่อความโกรธ เห็นว่าไม่รู้จะโกรธไปทำไม แม้คนเลวที่น่าระคายอย่างที่สุด ก็ไม่ควรค่าพอจะเก็บไว้เป็นทุกข์ทางใจเลย คนบัดซบที่สุดนั่นแหละ ที่คุณควรทิ้งไปจากใจก่อนเพื่อน และเปิดโอกาสให้เขารบกวนจิตใจคุณน้อยกว่าใครเพื่อน
เมตตาจัดเป็นธรรมใกล้พ้นโลก ยกตัวอย่างเช่นความรู้สึกแบบโลกๆจะทำให้คุณอยากเอาชนะ ขณะอยากเอาชนะจะไม่มีเมตตา เมื่อคุณเลือกที่จะอยู่ข้างเมตตาย่อมไม่อยากเอาชนะ ลงเอยคือเท้าของคุณย่อมใกล้ข้ามเส้นแห่งความทุกข์และภัยเวรในโลกไปได้
เมื่อเมตตาเป็น วันหนึ่งคุณอาจขยับขึ้นไปเข้าถึงสัจธรรมที่ว่าความไม่มีตัวตนให้เห็นแก่ตัวเลยนั่นแหละ เป็นอันเดียวกับการเข้าถึงความรักขั้นสูงสุด
ก้าวแรกของเมตตา อาจมาจากการคิดถึงความจริงง่ายๆเช่น ‘ให้จริงแล้วใจเบา’ สังเกตความจริงผ่านการกระทำจริงเรื่อยๆ กระทั่งวันหนึ่งใจคุณมีแต่เบาแบบไม่กลับหนักด้วยฤทธิ์ความเอาแต่ได้เลย นั่นแหละครับ คุณยืนอยู่ข้างชนกลุ่มน้อยที่เต็มไปด้วยอาการทางจิตอันเป็นสุขแล้ว



วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2563

รับชมคลิป ))คลื่นปัญญา(( ฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ


ดังตฤณนำรับชมคลิป ))คลื่นปัญญา(( ฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ
เสียงบรรยายโดย คุณดังตฤณ

จุดประสงค์ของคลื่นปัญญาคลิปนี้คือ ช่วยให้คุณเกิดสติเห็นอิริยาบถต่างๆโดยความเป็นของเปลี่ยนได้ กับทั้งอาศัยอิริยาบถเดินเป็นแบบฝึกสมาธิ เพื่อเห็นรายละเอียดความเป็นกายลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นในขั้นต่อๆไป

เดิมที่เมื่อนั่งอยู่ คุณจะเห็นว่ามีตัวเองนั่งอยู่ และราวกับศรีษะของคุณคือศูนย์กลางโลก หรือใจกลางจักรวาลที่ผลิตความรู้สึกในตัวตนออกมาไม่ขาด แต่หลังจากเห็นกลุ่มความคิดที่เดี๋ยวรวมตัวกันเป็นเมฆหมอกในหัวบ้าง สลายตัวลงเหลือแต่หัวโล่งๆบ้าง ที่ตรงนั้นหลุมดำแห่งความเป็นตัวตนจะหายไปชั่วขณะ มีเพียงสภาพทางกายที่ยกตั้งหลังตรงอยู่ ประกอบด้วยหัว ตัว แขนขา และเท้าที่ไม่ปรากฏชื่อ นามสกุลใครอยู่ในขอบเขตนี้ ตรงนี้แหละที่จะเกิดประสบการณ์เห็นมีแต่อิริยาบถนั่ง ไม่มีผู้นั่ง

อิริยาบถนั่ง คือสภาพทางกายในท่าคอตั้งหลังตรงทำมุมฉากกับพื้น โดยมีก้นเป็นอวัยวะรับน้ำหนักส่วนบนของร่างกาย แรงโน้มถ่วงของโลกจะกระทำต่อกล้ามเนื้อในทางรั้งลง คุณจะรู้สึกถึงมัดเนื้อต่างๆ ที่ต้านทานการโน้มถ่วงของโลก แล้วสะสมตัวจนเกิดความเครียดตึงนานไปจนรู้สึกเมื่อยและต้องขยับเปลี่ยนท่า หากรู้สึกได้ประมาณนี้ ก็ได้ชื่อว่าเห็นเหตุของความไม่เที่ยงในอิริยาบทนั่งแล้ว

ต่อมาเมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้ต้องเปลี่ยนตำแหน่งที่อยู่ของกาย ย้ายจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่ง ธรรมชาติก็ออกแบบให้มีอิริยาบถเดินเพื่อการนั้น แล้วที่จะได้ชื่อว่าเป็นท่าเดิน ก็เมื่อมีการก้าวขาสลับซ้ายขวาไปข้างหน้า โดยมีฝ่าเท้าทำหน้าที่แบกรับน้ำหนักทั้งหมดของร่างกาย จากความจริงดังกล่าว เราจึงสามารถจับจุดได้ว่า ถ้าจะมีสติเห็นอิริยาบถเดินให้ต่อเนื่อง ก็ควรมีสติรู้สัมผัสกระทบระหว่างฝ่าเท้ากับพื้น เมื่อทราบอัตราเร็วของจังหวะเท้ากระทบนานพอ คุณจะทราบเองว่า อิริยาบถเดินไม่อาจมีอัตราเร็วคงที่ บางครั้งควรช้าลง เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ บางครั้งควรเร็วขึ้น เพื่อปรับสภาพเหม่อซึมของการเดินให้มีชีวิตชีวาขึ้น การเห็นเหตุที่ควรเร็วบ้างช้าบ้างนั้น ได้ชื่อว่าเห็นเหตุของความไม่เที่ยงในอิริยาบถเดินแล้ว

การจะเดินให้เกิดสมาธิได้ ก็มีจุดเริ่มต้นเหมือนนั่งสมาธิคือ ร่างกายต้องมีความอ่อนควร ไม่เกร็งทีส่วนใดส่วนหนึ่ง เท้าของคุณต้องเตะตรงแบบไม่เกร็ง คอควรตั้งหลังควรตรง ไหล่เปิดเชิดหน้ามองตรงขนานกับพื้น โดยมีศูนยกลางสติอยู่ที่การรับรู้จังหวะช้าเร็วของเท้ากระทบ การรู้จังหวะช้าเร็วของเท้าที่อ่อนควร จะค่อยๆปรับสติของคุณให้คมชัดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งหัวโล่ง ความฟุ้งซ่านหายไปชั่วขณะ แบบที่อาจเรียกกันง่ายๆว่า ข้างบนว่างข้างล่างชัด

และเพื่อฝึกสติรู้อิริยาบถเดินจนเกิดสมาธิจริง การเดินกลับไปกลับมาอย่างที่เรียกว่าจงกรม นับว่าจำเป็น เพราะคุณจะได้เห็นเท้ากระทบอย่างถูกต้องนานพอจะเกิดสมาธิได้ โดยไม่วอกแวกไปข้างทางเหมือนอย่างเมื่อเดินตามห้าง

การเดินจงกรม ก็คล้ายกับการเดินบนทางตรงปกติ ข้อแตกต่างคือเราเน้นการมีสติรู้อิริยาบถเดิน ไม่ใช่เดินเฉยๆแบบปล่อยจิตปล่อยใจ และนั่นก็หมายความว่า เมื่อหมุนตัวกลับหลังหัน คุณควรรักษาสติไว้ด้วยจังหวะเดียวกันกับขณะเดิน โดยกลับหลังหันที่ละครึ่งรอบ สังเกตด้วยว่า การกลับทีละครึ่งเช่นนี้ ทำให้ไม่เกิดความเคว้งงงเหมือนอย่างตอนที่กลับรวดเดียวเต็มรอบ อย่างที่เราชินๆกันตอนกลับหลังหันธรรมดา

หากเป็นฆราวาสก็มีอุบายหนึ่งที่คุณอาจใช้เพื่อปัดเป่าความฟุ้งซ่าน และจะทำให้เกิดสมาธิเห็นกายทั้งตัวได้อย่างรวดเร็ว คือ เพิ่มความเร็วจากการเดินธรรมดาเป็นการวิ่งเหยาะ จะบนทางธรรมดาหรือบนสายพานก็ตาม เมื่อวิ่งเหยาะสัมผัสกระทบจะถี่ขึ้น เป็นเหตุให้เกิดสติรู้ถี่ขึ้นตามไปด้วย

เมื่อฝึกรู้จังหวะช้าเร็วของเท้ากระทบบ่อยๆ สติรู้แบบเดียวกันจะเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติในชีวิตประจำวันไปเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เพียงฝึกเดินจงกรมให้ถูกต้อง คุณจะขยายเวลาปฏิบัติได้นานขึ้น โดยอาศัยการเดินในชีวิตประจำวันนั่นเอง

เมื่อฝึกนั่งสมาธิและเดินจงกรมจนเกิดสติเป็นอัตโนมัติ เห็นกายในอิริยาบถนั่งและเดินตามจริง สติเดียวกันนั้น จะเห็นกายในอิริยาบถยืนและนอนได้ถนัดชัดเช่นกัน

อิริยาบถหลัก อันได้แก่ นั่ง เดิน ยืน นอน เหล่านี้ช่วยให้คุณเห็นสภาพความเป็นกายตามจริงว่า ตั้งอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งตลอดไปไม่ได้ และเมื่อใดเกิดสมาธิเห็นอิริยาบถ เมื่อนั้นคุณจะรู้สึกว่าไม่มีตัวใครอยู่ในอิริยาบถ ซึ่งจะเป็นสะพานเชื่อมไปสู่สติอย่างใหญ่ขึ้น ดังจะได้เห็นกันในคลิปต่อๆไป

จบการรับชมคลิป ))คลื่นปัญญา(( ฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ

ดังตฤณ  :  จบไปนะครับ ถ้ามีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจตรงไหนช่วยถามมาได้นะครับ วันนี้ไม่มีโพลล์นะเพราะว่า ผมไม่ได้คาดหมายให้ทุกท่านจะเข้าใจทันทีนะครับ อันนี้เป็นสิ่งที่อาจจะต้องใช้เวลาแล้วก็อาจจะต้องเหมือนกับทำจริงซักนิดนึงนะครับ ถึงจะรู้ว่าเราเข้าใจรึเปล่านะครับ

--------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ช่วง                              รับชมคลิป ))คลื่นปัญญา(( ฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ
ระยะเวลาคลิป           ๖.๒๐ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=LlFQ5kti2jo&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=26

(เกริ่นนำ) ฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ


ดังตฤณ :  สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม

ทุกท่านครับ ผมอยู่ในโลกนี้มาเกินครึ่งศตวรรษก็เพิ่งมีปีนี้แหละ ที่ได้เห็นได้ประจักษ์กับประสบการณ์ตัวเองว่า ความกลัวตายทั้งโลกที่เกิดขึ้นพร้อมๆกันทั่วทุกมุมโลกมันเป็นยังไงนะครับ

ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ .. เอาตามความรู้สึกเนี่ยเป็นปีที่แย่ แล้วก็เป็นปีที่คนที่ไม่เคยกลัวตายมาก่อนก็อาจจะกลัวกันคราวนี้เอง

คนที่เคยมีความรู้สึกว่าไปเดินห้างนี้ชิลล์ๆ(Chill)เหมือนบ้านที่สอง ก็เริ่มจะกลายเป็นความรู้สึกแหยงๆ เกิดความรู้สึกเหมือนกับเข้าไปในที่ๆมีการรบราฆ่าฟัน หรือว่ามีแหล่งแพร่เชื้อ หรือว่ามีอะไรที่น่ากลัว ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่ชิลล์ๆเหมือนแต่เดิมอีกต่อไป แล้วมันไม่ใช่เฉพาะเมืองไทย มันเกิดขึ้นทั่วโลกนะครับ

บรรยากาศแบบนี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้มีต้นทุนทางธรรม ก็จะรู้สึกว่าโลกนี้น่ากลัว โลกนี้ไม่น่าอยู่แล้ว หรือว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเรารึเปล่า ควรจะทำอะไรให้มันคุ้มค่ากับวันสุดท้ายแค่ไหน

ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นพร้อมๆกันแบบนี้นะ มันหาปีอื่นมาประชุมความรู้สึกเดียวกันไม่ได้นะครับมันยากมาก

ทีนี้ถ้ามองตามความรู้สึกแบบพุทธนะครับ สมมติว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้าย ต่อให้วันนี้เป็นวันสุดท้าย ถ้าหากว่าคุณมีความเข้าถึง หรือว่ารู้ว่าจะเอาจิตเอาใจไปฝากไว้กับอะไรที่คุ้มที่สุด

คุณจะรู้สึกว่าวันนี้วันสุดท้ายเป็นวันที่คุ้มกว่าร้อยปีที่คุณไม่ได้ฝากจิตฝากใจไว้กับสิ่งที่ควรฝาก เหมือนอย่างพระธรรมบทที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะครับว่า มีอายุมาร้อยปีไม่สู้คนที่อยู่มาแค่หนึ่งวันแต่รู้ธรรมะของพระองค์ ธรรมะที่พระองค์ค้นพบแล้วก็ชี้ทางให้ คือจริงๆแล้วเนี่ยไม่มีใครเป็นเจ้าของนะครับธรรมะเนี่ย

ธรรมะเป็นของกลางแต่ต้องอาศัยมหาบุรุษที่มีบารมีระดับพระพุทธเจ้า ถึงจะค้นพบโดยพระองค์เอง แล้วก็สามารถนำมาระบอกต่อ ทีนี้ตรงนี้มันเป็นเหมือนกับมาตรวัดได้

ถ้าหากว่าคุณปฏิบัติธรรมตามแนวทางที่พระพุทธองค์ชี้ แล้วเกิดความรู้ คืออาจจะไม่ได้รู้แจ่มแจ้งเหมือนกับพระอรหันต์ แต่ค่อยๆเขยิบไปตามลำดับ แล้วเกิดความรู้สึกว่า เออมันทำได้นะ ปีนี้ ๒๕๖๓ ยังทำการเจริญสติแบบที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อสองพันกว่าปีที่แล้วได้อยู่ ยังได้ผลอยู่แล้วก็ยังเป็นพยานยืนยันให้พระพุทธเจ้าได้ว่า ถ้าเห็นแบบนี้ แม้กระทั่งอยู่ที่ต้นทางมันก็คุ้มค่าชีวิตแล้ว

หนึ่งวัน ขอแค่หนึ่งวัน ขอเอาวันสุดท้ายเลยก็ได้ สมมติว่าอะไรๆมันจะหายไปหมดในวันพรุ่งนี้ ขอแค่วันนี้เราทำอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนได้เนี่ย คุ้มแล้วกับชีวิตนี้ทั้งชีวิตนะครับ

วันนี้เราก็มาต่อกันด้วยเรื่องของการฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ คือเราเริ่มต้นจากการหายใจยาวเป็น รู้ว่าลมหายใจเข้าออกที่กายนี้ แล้วก็นำความรู้สึกเป็นสุขเวลาที่หายใจยาวมาให้กับร่างกายนะครับ แล้วจิตใจน่ะบางทีมันก็ฟุ้งบ้าง หรือว่าสงบบ้าง ถ้าหากว่ามันมีความสุขอยู่กับลมหายใจยาวมันก็สงบลง

แต่ถ้ามันมีความทุกข์ มันมีความอึดอัด มันมีความรู้สึกไม่ดี จะกับลมหายใจ หรือว่ากับเรื่องราวที่จิตคิดจิตค้นขึ้นมาเองเนี่ยนะครับ พอมีความทุกข์แล้ว ความฟุ้งซ่านมันก็จะถูกผลิตออกมาต้นตอความทุกข์นั่นแหละ แล้วก็เกิดความรู้สึกยุ่งเหยิง ควบคุมจิตใจยาก

แต่ถ้าหากว่าเราเห็นว่าลมหายใจยาว มันทำให้ความคิดสามารถที่จะเบาบางลง หรือสงบระงับลงได้เนี่ย เราก็จะมีแก่จิตแก่ใจที่จะสังเกตต่อไปว่า ความไม่เที่ยงที่บอกว่ามากับการแสดงตัวของลมหายใจก็ตาม ความสุขก็ตาม หรือว่าความฟุ้งซ่านก็ตามเนี่ย มันยิ่งเห็นก็ยิ่งมีความรู้สึกถอยออกมาจากอาการยึดมั่นถือมั่น อันนี้ถ้าหากว่าใครทำได้ถึงตรงนี้แล้ว ก็จะรู้สึกว่าต่อให้วันนี้เป็นวันสุดท้าย เราก็มีดีไปตายนะครับ มีดีพร้อมตายแล้ว

วันนี้เรามาคุยกันเรื่องของอิริยาบถอันเป็นที่ตั้งของลมหายใจ ซึ่งเรารู้มาแล้วนะว่า มันเกิดลมหายใจยาวบ้างสั้นบ้างขึ้นมาได้จริงๆ แล้วถ้าหากว่า เรามีสติพอที่จะรู้ลมรู้สุขแล้วก็รู้จิตสังขารหรือความคิดฟุ้งซ่านได้เนี่ยนะครับ การที่กลับมาย้อนกลับมาเห็นอิริยาบถอันเป็นที่ตั้งของสิ่งเหล่านั้นเนี่ยมันง่ายนิดเดียว

วันนี้นะครับก็ใช้หูฟังแบบเดิม แต่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำความเข้าใจอย่างเดียวนะครับ มันทำตามกันไม่ได้ เพราะว่าต้องมีการเดินต้องมีการลุกนั่นอะไรต่างๆ อันนี้เนี่ยจะเป็นการที่เราแสดงภาพเพื่อให้เกิดความเข้าใจถึงภาพรวมนะครับ แล้วเอาไปทำเอง

เสียงสติจะช่วยให้สมองของคุณอยู่ในโหมดจำแม่นขึ้น เพราะว่าเราจะไปโยงกับครั้งก่อนๆด้วย ถ้าหากว่าใครทำตามมาแล้วนะครับ จะเห็นว่าเสียงสติเวลาที่ทำให้จูนให้สมองของเราสงบลง มีความพร้อมเปิดรับพร้อมที่จะเรียนรู้ แล้วก็ดูเข้ามาในกายใจของตัวเอง มันจำได้แล้วว่าจะเริ่มต้นมุมมองมาจากจุดไหน มาจากจุดที่กำลังคอตั้งหลังตรงอยู่นี่แหละ มาจากจุดที่กำลังหายใจเข้าหายใจออก มาจากจุดที่เรากำลังรู้สึกผ่อนคลายสบายเป็นสุข หรือว่ารู้สึกอึดอัด ต่อให้อึดอัดแล้วรู้ก็มีสตินะครับ แต่ถ้าอึดอัดอยู่แล้วสมมติให้มันเป็นสุข หรือว่าพยายามให้มันมีความสุขยื้อความสุข หรือบางทีดึงความสุขเข้าตัว อันนี้ไม่ใช่สติ อันนี้เป็นกิเลส อันนี้เป็นตัณหาเป็นภวตัณหานะครับ

แต่ถ้าหากว่าเราขณะนี้มีความผ่อนคลายสบายดีอยู่ แล้วก็มีความพร้อมที่จะดูอิริยาบทอันเป็นที่ตั้งของลมหายใจเนี่ย มันจะเริ่มจากอิริยาบถนั่ง แต่เดี๋ยวพอดูคลิปจะมีสอนทำสมาธิด้วยการเดิน หรือพูดง่ายๆว่าเดินจงกรมให้เป็นสมาธิขึ้นมานะครับ

ตอนนี้ถึงคุณจะยังไม่ได้ทำตามก็ตาม แต่ว่าการที่ใจของเราอยู่ในพร้อมรู้ ฟังไปด้วยดูไปด้วยเนี่ย มันจะจำขึ้นใจแล้วเอาไปเดินตามเองในภายหลังได้นะครับ

พอเห็นกายได้อย่างมีสมาธิเนี่ย คราวหน้าก็จะโยงเข้ากับเรื่องวิธีเห็นกายเป็นกระดูกนะครับ ซึ่งไม่ยากอย่างที่คิดนะครับ เอาง่ายๆเลยแค่คุณหายใจได้อย่างมีสมาธิ เห็นชายโครงมันกระเพื่อมพะเยิบพะยาบเนี่ยนี่ก็เรียกว่าเป็นการที่จิตเนี่ยเข้าไปสัมผัสชัดรู้ถึงความมีกระดูกอยู่แล้ว ถ้าหากว่าจิตใสใจสบายขึ้นกว่านั้นต่อเนื่องไปอีกสักพักนึงมันก็เห็นได้สบายๆ ไม่ใช่เรื่องลึกลับหรือต้องใช้ความสามารถพิเศษอะไรเลยนะครับ

ทีนี้คุณก็จะเห็นนะว่า ลำดับของสติปัฏฐาน๔ ที่พระพุทธเจ้าสอนเนี่ย มาเริ่มจากการเห็นลมหายใจ เห็นเวทนา เห็นจิต แล้วก็สามารถที่จะเจาะลึกลงไปได้เรื่อยๆไม่ใช้ของยากนะครับ แล้วก็คือไม่ใช่ของง่ายหรอก แต่ว่าไม่ใช่ของยากเกินเอื้อม แล้วก็ไม่เกินวิสัยที่เราๆท่านๆที่ยังอยู่ในเมืองเนี่ย จะทำให้เห็นได้ด้วย

เพราะอย่างตอนนี้ก็มีเสียงสติช่วย ดึงให้สมองช้าลงคลื่นสมองช้าลง เสร็จแล้วความพร้อมที่จะรู้พร้อมที่จะโฟกัสมันก็มากขึ้น สมัยก่อนต้องอาศัยความวิเวกของป่า ตอนนี้เราก็เอาเครื่องทุ่นแรงแบบคนที่อยู่ในยุคไอที เอาเทคโนโลยีมาประยุกต์กัน

เอาล่ะครับ ต้องใช้หูฟังนะ ความยาวประมาณแค่ห้านาทีเท่านั้น สำหรับท่านที่ยังไม่เคยรับชมรับฟังมาก่อนนะครับ เสียงสติเป็นเทคโนโลยีทางเสียงต้องใช้หูฟังนะครับ แอล(L)เข้าซ้าย อาร์(R)เข้าขวาให้ถูกต้องด้วยนะครับ แล้วก็ดูไปด้วย อันนี้มันจะเป็นแอนิเมชั่นประกอบไปด้วยเพื่อความเข้าใจว่า เราจะเจริญสติในแบบที่อาศัยอิริยาบถเดิมเนี่ยมาทำสมาธิได้อย่างไรนะครับ โอเคครับเริ่มเลยนะครับ

---------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน                             (เกริ่นนำ) ฝึกรู้อิริยาบถที่ตั้งลมหายใจ
ระยะเวลาคลิป           ๑๑.๑๒ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=j3gq_KKYhgI&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=28&t=0s



** IG **