ดังตฤณ : ตอนที่บอกว่า รู้ลมต่อเนื่องได้เป็นชั่วโมงนี่นะ นั่นก็คือนิมิตแล้ว
ถ้าใจไม่เกิดนิมิตลม
ก็จะไม่มีทางอยู่ได้เป็นชั่วโมงหรอกนะครับ ขอให้ทำความเข้าใจใหม่
นิมิต ไม่ใช่หมายถึงภาพอย่างเดียว
เอาแค่ .. อย่างเราเห็น และรู้สึกถึงลมหายใจเข้า รู้สึกลมหายใจออก เป็นระลอกอย่างชัดเจน
ตัวนี้ก็เป็นนิมิตแล้ว เพียงแต่เป็นนิมิตแบบเลือนราง อ่อนๆ
ถ้าหากว่าจะเป็นนิมิตลมแบบกสิณลมเลย
จะเห็นชัดแจ่มแจ๋วแบบกลุ่มแรก 8% นั่นคือ เกิดนิมิตเต็มแล้วนะ เห็นลมหายใจมาพร้อมกับแสงสว่าง
ซึ่งไม่ใช่ว่าเราจะต้องทำให้ถึงขั้นนั้น แล้วถึงจะได้มรรคผลนะ
เอาแค่ว่าเรารู้สึกถึงลมหายใจได้
ก็โอเคแล้ว ที่จะเห็นลมหายใจไม่เที่ยงนะครับ
แต่ถ้าบอกว่าสังเกตตัวเอง
ใช้คำบริกรรมแล้วเข้าสมาธิได้ง่าย แล้วคำบริกรรมหายไป เหลือแต่รู้ อย่างนี้ก็โอเค
ในกรณีของคุณ เป็นสิ่งที่จะช่วยให้ เป็นเทคนิคเป็นอุบาย เป็นท่าไม้ตายของเรา
ที่จะเข้ามารู้สึกถึงลมหายใจนะครับจะใช้คำบริกรรมก็ไม่ว่าอะไร
ประเด็นคือว่า
เมื่อเหลือแต่ลมหายใจ ให้เกิดความเคยชินที่จะเห็นว่า ลมหายใจไม่เที่ยง
แล้วก็เข้าออกอยู่ในท่านั่ง คอตั้งหลังตรงนี้
เพราะถ้าไม่กลับมารู้อิริยาบถนะ
จะไปต่อไม่ถูกเลยนะ จะไม่ได้จุดสังเกต จะไม่ได้ที่ตั้งของทุกข์
ไม่ได้ที่ตั้งของจิต ว่ากำลังปรากฏอยู่ในสภาพแบบไหน เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลนะ
ท่านั่งคอตั้งหลังตรงนี่
สำคัญนะครับ จะด้วยพุทโธ หรืออะไรก็แล้วแต่ ขอให้มาอยู่กับลมหายใจ
แล้วท่านั่งคอตั้งหลังตรงได้ แบบนี้ จะเป็นประตู
เป็นจุดเริ่มต้นของคนที่จะเข้าสู่วิปัสสนากันจริงๆ
________________________
ไม่เคยมีนิมิตอะไรในลักษณะของ
"การมองเห็น" เลยครับ หากนั่งสมาธินานพอจะนิ่ง
รู้ลมต่อเนื่องได้ยาวเป็นชม. แต่ไม่เคยเห็น "ภาพ" อะไร สว่างไปทั่ว ๆ
หรือเหมือนเปิดไฟข้างบนหัว
วิเคราะห์ตัวเองว่าเป็นคนที่คิดเป็นคำพูดมากกว่าจะคิดเป็นภาพ สังเกตว่าใช้คำบริกรรม
แล้วจะเข้าสมาธิง่าย แล้วคำบริกรรมก็จะหายไป เหลือแต่รู้ลมครับ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
จากสมถะสู่วิปัสสนา
- ช่วงตอบคำถาม
วันที่ 22 สิงหาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=Gc_e-mHUaRM&t=1s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น