ดังตฤณ : ใช่ครับ คือพอมีความเข้าใจว่าคำว่า สังขารขันธ์ ก็คือธรรมชาติที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง
อย่างความคิด ความฟุ้งซ่าน
ที่ทำให้มองคนอื่นไม่ดี ทำให้มองโลกไม่ดี ทำให้มองตัวเองไม่ดี อย่างนี้
เรียกว่าเป็นอกุศลสังขารขันธ์ เป็นสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล เป็นสังขารขันธ์ฝ่ายมืด
ที่ทำให้จิตยุ่งเหยิง ปรุงแต่งจิตให้ยุ่งเหยิง แล้วก็ดำมืด
แต่ถ้าเรามีวิตักกะ มีวิจาระ
แล้วเกิดความเห็นลมหายใจชัด ลมหายใจอันชัดนี้ ทำให้กายสงบระงับ จนเกิดปีติขึ้นมา
ปีติ ทำให้ความคิดฟุ้งซ่านสงบระงับ เกิดเป็นความสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
นี่ก็เรียกว่าเป็นสังขารขันธ์ ที่แปรรูปมาเป็นขั้นๆ
เราเห็นอย่างนี้
แล้วมองว่าเป็นสังขารขันธ์ฝ่ายสว่าง ฝ่ายกุศล ในที่สุด จิตเห็นบ่อยๆ เข้า
ก็ตีความว่า นี่ก็สังขารขันธ์เหมือนกัน ไม่เที่ยงเหมือนกัน
นี่แหละ ตัวนี้แหละ ที่จะเป็นแก่นสาร
ที่จะเป็นสาระว่า เราเห็นอะไรๆ ที่ปรุงแต่งจิตโดยความเป็นสังขารขันธ์ไปทำไม
เห็นเพื่อที่จะได้ตัดสินว่า
ก็เหมือนกันที่จุดสุดท้าย คือต้องเปลี่ยนไป
หมดเหตุ หมดปัจจัย ก็ต้องแตกต่างไป
ถ้ามีเหตุมีปัจจัยใหม่
ก็เกิดสังขารขันธ์ชนิดใหม่ เกิดขึ้นแทน อย่างนี้
ด้วยความเข้าใจ ด้วยความมองเห็น
สามารถที่จะมองเห็นอย่างนี้ ในที่สุด จะมองขาด ทะลุได้ว่า ขันธ์ 5 ที่เราหวงไว้
ยึดไว้ หรือว่าครอบงำใจของเราไว้ จะไม่มีอิทธิพล ได้เท่าเดิมอีกต่อไป
ใจของเราจะเป็นอิสระจากมันมากขึ้นๆ
จนถึงจุดหนึ่งที่ทะลุออกไปได้นะ
ปกติเกิดความสว่าง
แต่เห็นว่าบางทียังลงไปยุ่งกับความคิด ไม่ยอมปล่อยให้ผ่านไปเลย แล้วกลับมา
วันนี้เริ่มเห็นความสว่างเป็นสังขารขันธ์ค่ะ ควรมองความคิด ความฟุ้งซ่าน
แบบที่เห็นความสว่างเป็นสังขารขันธ์ใช่มั้ยคะ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน เหลือแต่ตัวรู้สังขารขันธ์
-
ช่วงคำถาม คำตอบ
วันที่
25 กันยายน 2564
ถอดคำ
: เอ้
รับชมคลิป
: https://www.youtube.com/watch?v=u4SHiqMvnOY
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น