- ตอนตื่นนอนในบางวันก่อนจะลืมตาเหมือนจะมีการดูลมหายใจขึ้นมาเองแบบอัตโนมัติค่ะ
ดังตฤณ : ถ้าหากว่าฝึกอานาปานสติไปถูก
นี่คือหลักฐาน อยู่ๆ คุณจะรู้ขึ้นมาเองโดยที่ไม่ต้องตั้งใจ
-
ตอนนี้ติดการทำสมาธิ ครับ มีความสุขมาก และสิ่งแวดล้อมดีขึ้นทั้งครอบครัว สุขภาพ
การงาน สติปัญญาการหยั่งรู้ครับ
ดังตฤณ : เยี่ยม
แล้วถ้ายิ่งต่อยอดเป็นวิปัสสนาได้ยิ่งดี
นี่เป็นความเห็นในช่วงต้น
ตั้งแต่ก่อนทำสมาธินะ
-
ประมาณลมหายใจที่ 3
จึงจะเกิดวิตักกะ วิจาระค่ะ แต่ไวกว่าเดิมขึ้นเยอะค่ะ และเห็นลมหายใจชัด
คอตั้งหลังตรงยืดขึ้นมาออโต้ด้วยค่ะ
ดังตฤณ : ถ้าลมหายใจที่สาม
ถือว่าเห็นเลยนะ ถือว่าเห็นได้เป็นปกตินะครับ เพราะแบบนี้เร็วนะ
บางท่านอาจไปตอบเป็น choice ที่ 2
แต่จริงๆ แล้วแค่สามลมหายใจนี่ถือว่าเห็นเลยนะ จัดเข้าข่ายว่าเห็นเลย
-
ฟังแล้วชื่นใจยิ่งเลยครับ และอย่างน้อย
รู้สึกว่าอยู่กับลมหายใจนานขึ้นสังเกตลมหายใจได้ต่อเนื่องขึ้น รู้สึกถึงความฟุ้งซ่านขณะสังเกตลม
หายใจ
บางเบาลงทันที ขอบพระคุณยิ่งครับ
ดังตฤณ : เป็นฟีดแบคหลังทำสมาธินะ ถ้าอยู่กับลมหายใจได้นานขึ้น
แปลว่ามีกำลังมากขึ้น ถ้าเข้าสมาธิได้เร็ว แปลว่ามีชนวนสมาธิดีขึ้น
คุณภาพของวิตักกะ และวิจาระ ดีขึ้น
ผลโพลออกมาบอกว่า
คนที่เข้าใจมากขึ้น 47%
เห็นกายใจโดยความเป็นรูปนามด้วย
รู้สึกว่าเกิดประสบการณ์ว่ากายใจนี้ไม่ใช่บุคคล กายใจนี้ไม่ใช่ตัวตน ยินดีด้วย
แล้วผมก็ดีใจมาก เพราะว่าแค่คุณเกิดสมาธิ แบบที่เห็นกายใจเป็นรูปนามได้นี่นะ
แล้วคุณเอาไปทำต่อเรื่อยๆ จะเข้าข่ายคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่า
ใครก็ตาม เห็นกายใจนี้โดยความเป็นธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6
พูดง่ายๆ
ว่าเห็นเป็นรูปนาม ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน จะไม่มีทางตายก่อนได้โสดาบัน ..
ไปค้นหาดู พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้จริงๆ
ถ้าเห็นได้เป็นปกติ
เห็นได้เรื่อยๆ .. เห็นเป็นปกติไม่ได้แปลว่าเห็นตลอด 24 ชั่วโมง
แต่คือเห็นได้เรื่อยๆ พูดง่ายๆ ว่าถ้าคุณทำสมาธิเก่ง จุดชนวนสมาธิได้เร็ว แล้วก็มีทิศทาง
มีมุมมองที่จะเห็นกายใจโดยความเป็นรูปนามได้อย่างนี้
พระพุทธเจ้ารับประกันว่า
ก่อนตายต้องได้โสดาบัน ถึงแม้ระหว่างมีชีวิตอยู่จะยังไม่ได้ก็ตาม สังสารวัฏนี้
เป็นเกมหลอก พวกเราตกอยู่ในวังวนของการถูกหลอก
ถูกหลอกมานานเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกโปรแกรมไว้ว่า เป็นตัวเป็นตน ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่
แล้วที่มีพุทธศาสนาขึ้นมา
ก็เพื่อที่จะหาทางออกจากการถูกหลอกนี่แหละ แล้วถ้าเราได้สมาธิ
แล้วก็เริ่มเห็นขึ้นมาจริงๆ ว่าทั้งหลายทั้งปวงที่เถียงกันมาแทบตาย ว่าอะไรผิด
อะไรถูก อะไรที่เป็นสิ่งที่ใช่ ที่ควร .. ผิดทั้งเพเลย ตั้งแต่เริ่มต้น
ตั้งแต่มุมมองเริ่มต้นว่าชิวิตเป็นตัวเป็นตน เป็นตัวเราเป็นตัวเขา
มีสิ่งที่ยุติธรรม มีสิ่งที่ไม่ยุติธรรม มีสิ่งที่ควรทำว่าอย่างนั้นอย่างนี่
ชีวิตควรเป็นอย่างไร มีปรัชญาจะสูงส่งกี่ขนานก็ตาม ผิดทั้งเพ ผิดมาทั้งเพ
เริ่มต้นของมุมมองทางใจ
ถ้ามามีจุดเริ่มต้นของมุมมองทางใจเห็นว่ากายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ตัวตน ไม่เที่ยง
เราตกอยู่ในเกมของการถูกหลอก แล้วก็หาทางออกจากการถูกหลอกนี้ได้
จุดเริ่มต้นนี่ขอให้เกิดขึ้นเถอะ
แล้วคุณทำสมาธิเก่งๆ จะได้ออกแน่ จากการถูกหลอกนี้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ
ใครก็ตามเห็นกายใจนี้โดยความเป็นธาตุ
4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6 ไม่มีทางตายก่อนได้โสดาบันนะครับ
-
วันนี้เหนื่อยค่ะ พอทำสมาธิไปก็เผลอหลับไปเลย
ดังตฤณ : เดี๋ยวย้อนกลับมาดูนะ
วันนี้สำคัญมากนะ อาจสำคัญยิ่งกับชีวิตของหลายๆ คน
เป็นตัวตัดสินเลยนะว่าจะทำสมาธิแบบพุทธเป็นไหม แล้วถ้าทำเป็น
จะไม่มีอะไรที่คุ้มยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว
-
วันนี้รู้สึกแปลก ๆ ไม่ค่อยมีสมาธิ เพราะจิตออกจะฟุ้ง ๆ แต่เราก็สามารถรับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา
แต่ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ ค่ะ
ดังตฤณ : ไม่เป็นไร ย้อนกลับมาดูใหม่นะ
เพราะถ้าหากว่าเราอยู่ในภาวะตั้งแต่ 3 ทุ่มเป็นต้นมา ภาวะทางกายทางใจไม่พร้อม
ไม่ใช่ความผิดของคุณนะ เป็นช่วงเวลา เป็นจุดตัดของเวลาที่คุณยังไม่พร้อมจะรับ
แต่ถ้าหากว่ามีความเต็มใจ ย้อนกลับมาดูใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงทำสมาธิ
แล้วก็ช่วง
upgrade เป็นวิปัสสนา สำคัญมากนะ กับชีวิตของคุณ
-
รู้สึกเหมือนมีอีกตัวหนึ่งที่เห็นกายนั่งอยู่ มีลมหายใจเข้าออก และเห็นความยิบๆ ในหัวที่เกิดดับ
หนักบ้างเบาบางบ้าง เป็นต่างหากจากกายและลมหายใจ
ดังตฤณ : นั่นแหละ ถ้าเราสามารถรู้สึกได้ถึงอะไรที่เป็นภาวะต่างหากจากกัน
เห็นกายใจซ้อนกันเป็น
layer นั่นเป็นจุดเริ่มต้นแล้วที่จะเห็นรูปนาม เพราะปกติ
กายใจจะเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นก้อนอัตตา เป็นตัวตน
ที่มีก้อนอะไรอยู่ก้อนหนึ่ง เป็นเราอยู่แน่ๆ
ต่อเมื่อเราพิจารณาด้วยกำลังของสมาธิ
เห็นแยกเป็นชั้นๆ เป็น
layer ตัวนี้ ภาวะก้อนตัวก้อนตน จะสลายไป
แล้วกลายเป็นความรับรู้อย่างใหม่ขึ้นมาแทน
ซึ่งประสบการณ์การรับรู้กายใจโดยความเป็น layer เป็นชั้นๆ
ยิ่งชัดเจนขึ้นเท่าไหร่ ก้อนตัวก้อนตนยิ่งละลายหายไปมากขึ้นเท่านั้น
เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
เป้าถูกทำลายด้วยฝีมือนายขมังธนูที่แม่นยำและยิ่งได้ไกลขึ้นเรื่อยๆ
-
ได้ฝึกแล้ว ทำให้เกิดกำลังในลมหายใจที่ตั้งมั่น ตามลมเข้าลมออกเด่นชัดขึ้น
แทบจะตลอดเวลา และช่วงความคิดเข้ามาก็ ไม่กระทบกับลมเท่าไร เหมือนไม่ไปสนใจในความคิดที่เข้ามานั้นๆค่ะ
ดังตฤณ : ผมเข้าใจที่คุณพูดนะ
เราเห็นภาวะความคิดเป็นสายที่เข้ามากระทบ เหมือนแมลงหวี่แมลงวันที่เข้ามาหากองไฟ
แล้วก็มอดดับไปก่อนที่จะถึงกองไฟด้วยซ้ำ อันนี้ แค่พิจารณาด้วยสติ
ที่รับรู้ทั่วพร้อมถึงความเป็นกาย ถึงความเป็นใจ แล้วก็ความคิดที่จรมา
ผ่านมาแล้วผ่านไป เกิดขึ้น แล้วดับหาย ตัวนี้ ความคิดจะไม่ได้ที่เกิด
ความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนนะ
ทีนี้ถ้าเทียบกับอายตนบรรพะ
ก็คือว่า ธรรมารมณ์กระทบใจแล้วไม่เกิดสังโยชน์
ที่ผ่านมา
อย่างตอนนี้ ถ้าธรรมารมณ์คือความคิดกระทบใจปุ๊บ เกิดการยึดว่าความคิดเป็นตัวเรา
เกิดสังโยชน์ แต่ถ้าอยู่ในภาวะของสมาธิ แล้วมีความรู้สึกว่า ความคิดเข้ามากระทบ
เหมือนกับแมลงหวี่แมลงวันที่บินเข้ากองไฟ แล้วมอดหายไปทันที นี่ ไม่เกิดสังโยชน์
ไม่เกิดความยึดติดว่าความคิดนั้นเป็นตัวเป็นตนของเรา ดูไปเรื่อยๆ
ยิ่งดูได้บ่อยมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมีความแจ่มชัด แจ่มแจ้งมากขึ้นเท่านั้นนะครับ
-
วันนี้ชอบตั้งแต่โพสตอนเช้า และตอนนี้ถึงเรื่องการเปรียบเทียบยานอวกาศร่างกายคือหุ่นยนต์
พอเทียบแล้วเข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้าชัดขึ้น
ผลปฏิบัติวันนี้ชัดตั้งแต่ลมหายใจแรกพอช่วงพี่ตลย์อธิบายยิ่งเห็นความฟุ้งของวงจรสมองชัด
ขอบพระคุณมากค่ะ
ดังตฤณ : คือถ้าประโยชน์ของสมาธิอยู่ที่ตรงนี้
เวลาที่เราย้อนกลับไปศึกษาธรรมะ
เราย้อนกลับไปดูว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสอะไรไว้บ้าง จากเดิม ที่ฟัง
หรือว่าอ่านแล้วไม่เคยรู้เรื่องเลย
ว่าพระองค์ตรัสเปรียบเทียบกายใจเข้ากับสิ่งนั้นสิ่งนี้
นั่นเพราะว่าเดิมเราไม่มี
สมาธิมากพอ ไม่มีมุมมองแบบคนที่ตั้งสมาธิได้
ต่อเมื่อเรามีมุมมองออกมาจากจิตที่เป็นสมาธิ
ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบแบบห่างไกลออกไปเช่น นิพพาน
ท่านตรัสเปรียบเหมือนกับอะไรที่ เป็นที่น่าพิสมัยที่สุด เป็นบรมสุข
อย่างน้อยเราก็มีเครื่องเปรียบเทียบทางใจแล้วว่า ความสุขในสมาธิ
น่าพิสมัยกว่าความสุขแบบโลกๆ
แล้วมีตัวต่อ
มี link บอกว่าความสุขแบบสมาธิ ยังน่าพิสมัยขนาดนี้ แล้วความสุขที่เป็นบรมสุข
ที่ไม่ปรับไม่เปลี่ยน แบบนิพพานนี่ จะยิ่งกว่าขนาดไหน
ก็เกิดความเข้าใจขึ้นมา
ถ้าเรามีสมาธิเห็นสภาวะทางกายทางใจ กำลังปรากฏความแปรปรวนต่อหน้าต่อตาได้ อันนี้
พอฟังพระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบ เหมือนกับจะบอกว่า เวทนาเหมือนฟองน้ำ
สัญญาเหมือนพยับแดด สังขารเหมือนแก่นกล้วยที่ไม่มี หรือวิญญาณเปรียบเหมือนมายากล
จะเห็นเลยนะว่า
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบแต่ละอย่าง ต้องมองออกมาจากความรู้สึกของคนมีสมาธิ
ที่แจ่มแจ้ง ในโหมดของจิตที่เป็นสมาธิเวลาเห็นสภาวะทางกายทางใจโดยความเป็นรูปนาม
จะไม่ได้เห็นแบบคิดๆ ไม่ได้เห็นแบบตอนที่กำลังมีความรู้สึก สามัญธรรมดาอยู่
แบบคนธรรมดา แต่จะเห็นออกมาจากอีกมุมมองหนึ่ง ซึ่งตรงนี้แหละ เป็นคำอธิบายว่า
ทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงจำเป็นต้องตรัสในเชิงเปรียบเทียบ
เพราะในประสบการณ์สมาธิ
ไม่มีตัวที่จะมาอธิบายแบบชัดๆ ว่ากำลังเห็นอะไรอยู่ คนที่ได้สมาธิส่วนใหญ่
แล้วไม่ได้ศึกษาพุทธพจน์ ถึงได้เกิดความงงว่าจะไปไหนต่อ หรือแม้กระทั่งว่า
เกิดประสบการณ์แบบวิปัสสนาแล้ว ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอย่างไร
ไม่มีอะไรเป็นที่เปรียบเทียบ
ต่อเมื่อมาทำความเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า
ท่านเปรียบเทียบไว้ เหมือนอย่างนั้นอย่างนี้ ยกตัวอย่าง บอกว่า วิญญาณขันธ์
เหมือนมายากล ถ้าคุณศึกษาแบบนักทฤษฎี นักวิชาการ คุณจะผ่านไปเลย ตรงนี้
ไม่เข้าสู่ใจเลยไม่รู้ว่าท่านตรัสถึงอะไร
แต่ถ้าคุณมีประสบการณ์ภายใน
มีสมาธิ แล้วเห็นว่า ณ ขณะแห่งการรับรู้ของจิต ต้องมีเครื่องประชุม ประกอบ
เหมือนกับในการแสดงมายากล ต้องมีชุดอุปกรณ์ ต้องมีเครื่องเครา ต้องมีอะไรหลายอย่าง
สิ่งที่คนดูเห็น
ไม่ใช่เครื่องประกอบทั้งหมด แต่เห็นสิ่งที่เขาอยากให้เห็นแค่นิดเดียว
แล้วคนธรรมดาก็เป็นแบบนั้น
มีแต่ความรู้สึกว่า จิตเป็นเรา เราเป็นจิต นี่คือสิ่งที่ถูกหลอกให้เห็น
แต่แท้จริงแล้วมีเครื่องประกอบอะไรมากมาย อย่างเช่น ถ้าไม่มีสิ่งกระทบ จิตไม่เกิด
ตัววิญญาณขันธ์นี่ ไม่เกิดนะ มีแต่ภวังคจิตที่จะไม่รู้อะไรเลย
ต่อเมื่อถูกกระทบ
แล้วกระตุ้นให้จิตตื่นขึ้นมา รู้มามีวิถีการรับรู้ทางหูทางตา ทางอะไรสักอย่าง
อย่างนี้ วิญญาณขันธ์ถึงได้ที่เกิด
เลยเหมือนมายากล
แล้วเห็นจะจะ ประสบการณ์ ณ ขณะที่เกิดเลยนะ ว่าเหมือนมายากลจริงๆ
เคยคุยกับนักทฤษฎี
บอกว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบ ท่านเปรียบไว้อย่างนั้น ไม่มีทางที่จะเอามาใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติอะไรได้
นี่คือการหลงไปในอัตโนมัติของความเป็นคนที่คิดเอา
แล้วพอไม่ได้สมาธิ ก็ทึกทักว่า พระพุทธเจ้าท่านเปรียบไว้อย่างนั้นเอง
ต่อเมื่อเรามีสมาธิ
เราถึงรู้นะ ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบไว้แต่ละอย่างนี่ ใช่เลย
แล้วก็มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ ต่อให้เป็นฤาษีชีไพร สำเร็จถึงขั้น
เนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปฌาน บางทีก็ไม่สามารถที่จะแปะคำพูด
แปะป้ายให้กับสภาวะทั้งหลายได้ ท่านจะได้แต่พูดว่า เป็นภาวะที่อธิบายไม่ได้ พูดไม่ได้
จริงๆ
แล้วพูดได้ แต่ต้องระดับพระพุทธเจ้า
คุณย้อนกลับไปอ่านดูในพระไตรปิฎกทั้งหมดเลย
ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัตินะ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบเทียบ
เปรียบเปรยกับภาวะหนึ่งๆ เข้ากับอะไร คุณจะเห็นเลยว่าไม่มี ด้วยอาการแบบว่า
เอาอะไรมาก็ไม่รู้
มีแต่ภาวะที่ใช่เลย
ถ้าคุณประสบ ถ้าคุณพบเห็นด้วยจิตที่เป็นสมาธิแล้วนี่
จะเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงอะไรจริงๆ นะครับ
__________________________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ชนวนสมาธิ
ช่วง รวมฟีดแบค
วันที่ 4 กันยายน 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=3k8oPF8FiRQ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น