วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2564

Q04แค่ทำสมาธิเพิ่ม ก็จะรู้ถึงกายใจแยกกันเลยหรือ

ดังตฤณ : จริงๆ แล้วนี่ ตอนที่คุณเกิดสมาธิขึ้นมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าทำสมาธิแบบดูลมหายใจเป็นหลัก ที่เรียกว่า อานาปานสตินี่นะ ทันทีที่เกิดสมาธิ สภาวะทางกายกับสภาวะทางใจ จะแยกกันอยู่แล้ว

 

คือลมหายใจนี่นะ พอคุณรู้ชัด มีวิตักกะ มีวิจาระแล้ว ลมหายใจจะปรากฏเป็นสาย เป็นนิมิต

 

ตอนที่วิจาระเกิดเต็ม จะเป็นสายชัดเหมือนน้ำ เหมือนสายน้ำ

 

ฉะนั้น ด้วยความที่ลมหายใจแยกเป็นต่างหากจากภาวะกายนั่งชัดๆ ก็จะรู้ว่า ที่กายนั่งอยู่นี่เป็นคนละตัวกับลมหายใจ

 

แล้วถ้าจิตของคุณเป็นสมาธิขึ้นมาด้วยการเห็นลมหายใจแบบนั้น จิตจะปรากฏเป็นอะไรสว่างๆ ว่างๆ ที่มีหน้าที่รู้อยู่เป็นแบคกราวด์

 

คือพูดง่ายๆ ว่า .. ผมไม่พูดถึงการทำสมาธิแบบอื่นนะ ถ้าทำสมาธิมาแบบไหน ไม่รับประกันนะว่าคุณจะเห็นแบบนี้หรือเปล่า แต่ถ้าหากว่าคุณทำอานาปานสติ แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในทีปสูตรนะ ว่าอานาปานสติ คือศูนย์กลางของกรรมฐานทั้งปวง

 

อานาปานสตินี้ ถ้าคุณเจริญจนกระทั่งเกิดสมาธิแล้ว จะมีกาย มีใจ แยกออกกันอยู่แล้วโดยคุณไม่จำเป็นต้องพิจารณาอะไร

 

แต่ถ้าหากว่าคุณมีสัมมาทิฏฐินำหน้าสมาธิ คือรู้อยู่ก่อนล่วงหน้าว่าเราจะพิจารณาอะไรๆ ที่เห็นขณะอยู่ในสมาธิ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นของที่เป็นโทษเป็นภัย เป็นของอื่น

 

ตรงนี้ จะต่อยอดไปอีก ไม่ใช่แค่มีสมาธิแล้วเห็นแยกอย่างเดียว แต่จะมีปัญญาประกอบ ทำให้การแยกนั้น ชัดเจนแจ่มแจ้ง

 

เพราะว่าจิตที่มีความเข้าใจประกอบกับสมาธิ จะเป็นจิตที่ไม่มีความลังเล เป็นจิตที่มีความแน่วไปเพื่อรู้ว่า อะไรๆ ที่กำลังปรากฏอยู่ ณ ขณะนั้น เป็นอะไรที่ไม่น่าเอา

 

แต่ถ้าเราไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิไว้ก่อน ไม่ได้มีความแน่นอนที่จะดูโดยความเป็นอย่างนั้น พอเกิดสมาธิขึ้นมา ความติดใจเอาไปกิน ความรู้สึกว่า ดีจัง มีความสุขจัง มีความสุขล้นหลาม นี่แหละคือเป้าหมายของฉัน ฉันอยากได้อย่างนี้มานานแล้ว อย่างนี้ก็ติด

 

เห็นไหม ถึงแยกได้ว่ามีรูปมีนาม แต่ก็ยังรู้สึกว่า ฉันเอา ตรงฉันเอานี่แหละ เป็นก้อนตัวก้อนตนแล้ว แม้ว่ากายใจจะแยกเป็น layer อยู่อ่อนๆ ก็ไม่ถูกรู้ เพราะความติดใจในสมาธิ เอาไปกินก่อน

 

หรือความอยากจะใช้งานไปในแบบโลกๆ อย่างเช่น ได้สมาธิแล้วอยากไปเล่นไสยศาสตร์ เสกหนังควายเข้าท้องคน หรือว่าแค้นมานาน มีนะ มีจริงๆ ท่าน มิลาเรปะ เคยเล่าให้ฟังว่า ท่านฝึกสมาธิเอาให้ถึงฌาน เพื่อแก้แค้นคน ไปเผาหมู่บ้าน มีอยู่จริงๆ ประเภทที่ทำสมาธิขนาดนี้ ทำได้รุ่งเรืองรุ่งโรจน์มาก มีความสุขมาก เพื่อเอาไปสนองตอบในการทำร้าย ทำลายคนอื่น มีอยู่จริงๆ

 

ที่พูดมาเพื่อที่จะบอกว่า การที่เราจะเห็นกายใจแยก จะประกอบด้วยเหตุปัจจัยที่ลงตัว หลายๆ อย่าง

 

อย่างสำคัญที่สุดที่เราลืมไม่ได้เลยก็คือว่า เกิดสมาธิขึ้นแล้ว เราจะไม่หวังอะไร ไม่อยากได้อะไร นอกจากความจริง ที่กำลังปรากฏอยู่ ในสภาวะเดี๋ยวนั้น ว่ามันเที่ยงหรือไม่เที่ยง

 

ถ้าหากว่าเห็นว่า มันกำลังแสดงความไม่เที่ยงอยู่ แล้วเรามีความพอใจที่จะเห็นความไม่เที่ยงนั้นต่อไปเรื่อยๆ อย่างเช่นลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก ว่าไม่ใช่ตัวตน ความรู้สึกตรงนั้น จิตที่เบิกบานออกมา แล้วไม่เอาอะไร ไม่กระสับกระส่าย ไม่มีความดิ้นรน จิตแบบนั้นแหละ ที่จะมีคุณภาพ ที่จะเห็นว่ากายใจนี่แยกเป็นต่างหากออกจากกันเป็นชั้นๆ ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ

 

ยิ่งแยกชั้นได้มากขึ้นเท่าไหร่ ตัวตนยิ่งกระจาย ยิ่งหาย หรือกระทั่งไม่เหลือเลย

 

จุดประสงค์การแยก เพื่อที่จะสลายก้อนตัวก้อนตน ไม่ใช่แยกเพื่อที่จะให้เกิดปรากฏการณ์ดีๆ อะไรมาให้เรานะ

 

แยกเพื่อที่จะสลายก้อนตัวก้อนตน ต้องทำความเข้าใจตรงนี้ ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของสัมมาทิฏฐินะครับ

__________________________

ไม่รู้สึกกายใจแยกกัน แค่ทำสมาธิเพิ่ม ก็จะรู้ขึ้นมาเองหรอคะ ต้องพิจารณาอะไรเพิ่ม? 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ชนวนสมาธิ

ช่วง คำถาม - คำตอบ

วันที่ 4 กันยายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=w31x0kdVKv4

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น