วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

01 คลายเครียดใน ๓ นาที - เกริ่นนำ

 

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ

 

สำหรับคืนนี้เราจะมาพูดกันถึง เทคนิคในการทำให้ใจผ่อนคลาย ร่างกายผ่อนคลายนะ .. พูดง่ายๆว่า หายเครียดภายในสามนาที

 

ซึ่งตอนนี้เครียดกันเพราะอะไร .. ปัจจัยของความเครียด เยอะเหลือเกินนะครับ

 

เรื่องหาอยู่หากิน ก็เป็นเรื่องหลักอยู่แล้ว แต่ว่าที่เราจะมองเป็นภาพรวมได้ ว่าความเครียดมาจากไหน ตอนนี้เอาหลักๆเลย มีสามเรื่องนะครับ 

 

หนึ่ง คือภัยธรรมชาติ .. ภัยธรรมชาตินี้ก็ไม่ว่าจะฝนฟ้า หรือว่า โรคภัยไข้เจ็บ

 

สอง คือความเห็นต่าง ความเห็นที่ไม่ตรงกันของคนทั้งโลก ที่ตอนนี้สามารถจะปะทะคารม หรือว่าแสดงความเห็น แสดงความรู้สึกภายในออกมาได้ผ่านโซเชียลฯ

 

ไม่มียุคไหน สมัยไหน ที่ผู้คนสามารถเปิดใจ เอาสิ่งที่อยู่ในใจ ล้วงออกมาแล้วก็ปาเข้าไปในโลกที่มีผู้คนรับรู้เป็นล้านๆ ได้เหมือนยุคเรานะ คือพอมีโซเชียลฯ อะไรอยู่ในใจนี่ แต่ละคนรู้หมดเลย เหมือนกับแก้ผ้าล่อนจ้อนทางความคิด ไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องมาทำให้เป็นเรื่องลับกันอีกต่อไป 

 

อันดับที่สาม ที่เป็นปัจจัยความเครียด ที่ถือว่าร้ายแรงที่สุด

เหนือกว่าภัยธรรมชาติ และภัยจากความเห็นที่ไม่ตรงกัน คือ ภัยจากความคิดลบ 

 

ภัยจากความคิดลบนี่หนักที่สุด เพราะอะไร

 

เพราะว่าอย่างอื่น เช่น อย่างภัยธรรมชาติ ถ้าเกิดขึ้น เราหนีได้ เรารักษาได้ หรือภัยจากการเห็นไม่ตรงกัน เราหลีกเลี่ยงได้ เราหลบได้ แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ หรือเครียดหน่อยก็อาจจะเหมือนกับ ปลอบตัวเอง หรือว่าสอนตัวเองกันได้

 

แต่ความคิดลบนี่ เอาคุณไปฆ่าตัวตายได้ หรือเครียดจนกระทั่งระบบการทำงานภายในร่างกายรวน ถึงขั้นหัวใจวายได้นะ คือเครียดจน เครียดเครียดแบบไม่มีทางออก ถ้าคิดลบ

 

เหตุปัจจัยอื่นนี่ สามารถที่จะหาทางออกได้ไม่ยาก แต่ถ้าคิดลบ แล้วก็เกิดอารมณ์ลบๆอยู่ตลอดเวลา มีจิตใจที่เป็นทุกข์ เป็นก้อนตันๆ อยู่ตลอดเวลา มีความรู้สึกเหมือนกับ มีถ่านหิน ถ่านร้อนๆ ไปวางหนักๆ อึ้งๆ .. ร้อนอยู่กลางหัวใจตลอดวันตลอดคืน

 

แบบนี้ ไม่สามารถที่จะเอาออกไปได้ เพราะว่าเจ้าตัวเต็มใจเลี้ยงไว้เอง ถือไว้เอง แบกไว้เอง หรือว่าให้ที่อยู่กับมันเอง

 

เพราะฉะนั้น จริงๆ อย่างช่วงนี้จะเห็นกันว่า มาช่วยกันปลอบ มาช่วยกันพูดมาช่วยกันทำให้ความคิดดีขึ้นนี่นะ ต้องคนมีความคิดดีอยู่เป็นทุนอยู่แล้ว

 

ถ้าคนที่คิดลบ มีความคิดลบมาแต่ไหนแต่ไร อันนี้จะยาก .. ฟังคนอื่นปรับทัศนคติ หรือว่าปรับความคิดอะไรกันอย่างไร ปรับให้ตาย ก็รู้สึกว่าไม่หายทุกข์ เพราะอะไร .. เพราะว่ามันไปถึงภาวะจิตภาวะใจ 

 

พื้นฐานของชีวิตแต่ละคนนี่นะ ไม่ได้อยู่ที่ความคิดครับ แต่อยู่ที่พื้นจิตพื้นใจว่า มีสภาวะเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล 

 

ถ้าหากว่าสะสมอะไรที่เป็นอกุศลมามาก จนกระทั่งว่า สภาวะของใจ 

มีความรู้สึกเหมือนดำมืดแล้ว ให้คิดให้ตายอย่างไร ก็หนีไม่พ้นจากความรู้สึกแย่ 

 

และความรู้สึกแย่ที่แท้จริง ก็จะผลิตเอาความคิดแย่ๆ ออกมาแบบไม่จำกัด 

 

คือจะแกล้งคิดให้ดีอย่างไร ก็เป็นแค่ความคิดที่เป็นกุศลเล็กๆ เป็นเหมือนกับน้ำดี น้ำใส น้ำจืด ที่มีปริมาณน้อย สู้ไม่ได้กับน้ำขุ่น น้ำที่ดำทะมึน น้ำครำที่เหม็นเน่าแล้วก็โชยกลิ่นอยู่ตลอดเวลา ที่ส่วนลึก

 

ตรงนี้ บางคนพอมีภาวะที่รู้สึกแย่กับตัวเองแล้ว ถึงได้อยากหาทางออกด้วยการทิ้งชีวิตไปเสีย เพราะว่าชีวิตทั้งชีวิตเหมือนกับก้อนเน่าก้อนเหม็นอะไรก้อนหนึ่ง ที่ตัวเองนี่ทนดมกลิ่นอีกต่อไปไม่ได้

 

ฉะนั้นถ้าเอาตามที่ความเป็นจริง เราปรับที่ความคิดไม่ได้ในสถานการณ์แย่ ในวันนี้ แล้วจะทำอย่างไร 

 

ยอมแพ้หรือ? หรือว่าจะหาวิธีใหม่ มาปรับจิตปรับใจกัน

 

คือจิตนี่นะ ถ้าปรับจากอกุศลให้กลายเป็นกุศลได้ .. ความคิดไม่ยากครับ เพราะว่าจิตดีๆ จิตที่สว่าง จิตที่มีความเป็นกุศล คำว่าภาวะธรรมชาติของความเป็นกุศลนี่ หมายความว่ามีความพร้อม ที่จะผลิตความสว่าง มีความพร้อมที่จะผลิตภาวะอื่นๆ ที่ดีงามตามมา

 

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆ ไหลมาแต่ใจ คุณจะได้เห็นชัดก็ในวันนี้แหละ

 

ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะปรับพื้นจิตพื้นใจของเรา ให้มีความสว่าง ให้มีความว่าง ให้มีความพร้อม จะดำเนินชีวิตไปบนพื้นฐานของกุศลธรรม

 

ตัวภาวะจิต ภาวะใจที่เป็นกุศลนั้นเอง จะพาอะไรดีๆ เข้ามาหาชีวิตของเราเอง 

 

แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนของอุบายวิธี ที่จะละลายความเครียดภายในสามนาที อย่างที่ผมเกริ่นไว้ โฆษณาไว้ เราไม่ทำความเข้าใจไม่ได้นะ อยู่ๆ ไปทำท่าทำทางอะไรเลยนี่ จะรู้สึกเหมือนกับ งง ว่าจะให้ทำอะไร 

 

ผมขอแจกแจงอย่างนี้ก่อนว่า ที่คิดขึ้นมาได้นี่ มาจากหลายๆเหตุ หลายๆ ปัจจัย หลายๆความรู้ หลายๆประสบการณ์ ที่สะสมมานะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องสมอง 

 

คือปัจจุบันนี้ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปถึงที่ว่า มีเทคโนโลยีในการที่จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมา อย่างถ้ามีขายตามตลาดตอนนี้ ก็ประเภทที่เอามาสวมหัว

 

 

ในลักษณะสวมแบบนี้นะ สวมข้างหน้าเพื่อที่จะจัดการกับสมองส่วนหน้า




สวมข้างหลังเพื่อที่จะจัดการกับสมองส่วนหลัง



 มี position อะไรที่พอปล่อยคลื่นเหล็กไฟฟ้าออกไปแล้วเขาพบว่า มันไปจัดการกับสมองให้เข้าที่เข้าทางตามวัตถุประสงค์ได้



ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอยากให้สมองมีความตื่นตัว ก็จัดการกับสมองส่วนหน้า

ถ้าหากจะให้สมองส่วนหลัง มีการทำงานดีขึ้น มีความผ่อนพัก มีความผ่อนคลายก็เอาไป คั่นไว้ที่หัวด้านหลังอย่างนี้

 

นี้คืออุปกรณ์ หรือว่าสินค้าไอที ที่มีราคาหลักหมื่น

 

แต่ถ้าหากราคาหลักล้านเลย คือปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามาเหมือนกัน

 




เขาพบหลักการทำงานนี้มานานแล้ว ถ้าปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไปที่ส่วนต่างๆ จะเป็นส่วนหัวก็ดี จะเป็นส่วนตัวก็ดี จะมีการปรับแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายของเรา ให้เป็นไปตามคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ปล่อยออกมา

 

ที่ให้ดูนี่เพื่อที่จะบอกว่า อุปกรณ์ราคาหลักหมื่น ราคาหลักล้าน 

พวกนี้ ยังสู้อุปกรณ์ที่ติดตัวคุณมาตั้งแต่เกิดไม่ได้ นั่นคือ ฝ่ามือ 

 

ฝ่ามือ จัดการกับสมองและหัวใจของคุณได้ แบบที่คุณไม่ต้องมีพื้นฐานทำสมาธิมาก่อนด้วยนะ ขอแค่ว่า รู้ลำดับในการที่จะเอามือไปวางไว้ที่จุดต่างๆ

 

ตรงนี้คือ เพิ่งเมื่อสองวันก่อนนี้เอง .. ต้องเล่าให้ฟัง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณจะสงสัยนะ พอทำไปแล้วคุณจะสงสัยว่ามาได้อย่างไร

 

ผมก็ทำเกี่ยวกับเสียงสติมาสองปี แล้วพาแผ่เมตตามา ก็เข้าใจการทำงาน หลักการทำงานของสมอง รวมทั้งรู้เรื่องเกี่ยวกับจุดเชื่อมโยง ของภาวะทางกาย ภาวะทางใจ

 

แล้วเมื่อสองวันก่อน ผมอ่านข่าว .. หมอและพยาบาลเครียดกันมาก

 

ใจเกิดนึกนะว่าถ้าเป็นภาวะปกติ ก็อยากจะจัดคอร์สเลย ให้หมอกับพยาบาลมาเข้าคอร์ส แล้วก็รู้วิธีผ่อนคลายความตึงเครียดอะไรต่างๆ แต่ว่าเป็นไปไม่ได้ในช่วงนี้ 

 

เอาแค่ว่า จะไปดึงเวลาจากที่หมอและพยาบาลอยู่กับคนไข้มานี่ ก็แทบจะไม่ได้อยู่แล้ว หมอบางคน พยาบาลบางคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่างจังหวัด ทุกวันนี้ทำงานเจ็ดวัน แล้วก็ทำกันเป็นแบบว่าสิบๆ ชั่วโมง

 

คือรู้สึกสงสารจริงๆ อยากช่วย แต่จะช่วยด้วยการที่อยู่ๆ เอาวิธีทำสมาธิ วิธีเดินจงกรมไปให้ ก็คงเป็นไปไม่ได้ ไม่ทันการ

 

เสร็จแล้ว พอเข้าสมาธิในคืนก่อนหน้าเช้าวันนั้น ก็ได้คำตอบออกมาว่า ถ้าจะช่วยจริงๆ ตอนนี้เราตัดวิธีการ หรือขั้นตอนอะไรต่างๆ ที่ยุ่งยากออกไปให้หมดดีกว่า

 

เหลือแค่ ทำอะไรง่ายๆ สามนาที แล้วเห็นผลเลย ซึ่งก็ได้ความรู้มาว่า ถ้าจะจัดการกับภาวะทางกล้ามเนื้อ ให้ผ่อนคลาย ทำให้หัวโล่ง แล้วก็ทำให้ระบบการทรงตัวดี ..

 

คือคุณจะนึกว่าระบบการทรงตัวของคุณ ซึ่งเกี่ยวข้องกับหู .. หูชั้นในนี่ .. นึกว่าดีอยู่แล้ว แต่จริงๆ ถ้าหากว่าจัดทำให้เข้าที่เข้าทางจริงๆ คุณจะรู้นะว่าปกติ ตอนที่คุณมึนๆ เซๆ อยู่ หรือว่ารู้สึกหนักๆ หัวอยู่ การรับรู้เกี่ยวกับทิศทาง หรือว่าที่ตั้ง การทรงตัวว่าหัวอยู่ตรงไหน เอนไปบ้างหรือยังนี่ ยังไม่เข้าที่เข้าทางดีนะ ตอนที่มึน

 

แต่พอเราสามารถทำให้เข้าที่เข้าทางได้แล้ว การรับรู้เกี่ยวกับทิศทางของคุณจะแตกต่างไป แล้วถ้าหากว่า เอาใจของคุณ ณ ขณะที่ร่างกายมีสมดุลดีแล้ว ไปรับรู้ความว่าง

 

จะรู้ได้ชัด จะรู้ได้กว้างขวาง จะรู้ได้จริง ทุกทิศทุกทาง

 

เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาเริ่มกันเลย .. คืออย่างเมื่อกี้ ยกตัวอย่างอุปกรณ์ไอที อุปกรณ์ไฮเทค ที่ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

 

คราวนี้เราจะใช้ฝ่ามือ ในการปล่อย คลื่นชีวะ 

ที่ใช้คำว่า คลื่นชีวะ ก็เพราะว่า ประกอบด้วยทั้งฝ่ายรูป และฝ่ายนาม

 

ชีวะ หรือว่าชีวิตนี้ ไม่ได้มีแต่ฝ่ายรูปอย่างเดียว ต้องมีฝ่ายนามประกอบอยู่ด้วย คือจิตของคุณ ต้องน้อมนึกไปด้วย

 

ไม่ใช่ว่าเอามือมาวางที่ตำแหน่งไหน แล้วจะเกิดผลขึ้นมาทันที ต้องอาศัยอำนาจของใจ ในการน้อมนึกไปด้วย เลยจะบอกว่า ที่คุณจะสัมผัสต่อไปนี้ ผมจะไม่เรียกเป็น ธาตุไฟ จะไม่เรียกเป็นพลังฝ่ามือหรืออะไร

 

แต่จะเรียกเป็นคลื่นชีวะ เพื่อให้เกิดการเห็นภาพตรงกัน ว่าเรากำลังทำอะไร อยู่ที่จุดไหน 

 

ดูตามท่าทางที่ผมจะไกด์นะ แต่เสร็จจากนี้ ผมจะทำแอนิเมชั่นให้ 

อาจเป็นคลิปโดยเฉพาะ คลิปเดี่ยวๆ เลย ที่จะทำให้เกิดการเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น 

 

ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่เอามาเผยแพร่ และยังทำแอนิเมชั่นไม่ทัน เพราะฉะนั้นดูผมไปก่อนนะครับ จะมีอยู่ทั้งหมด 6 ขั้นตอนนะ

 

อันดับแรกเลยคือ นั่งคอตั้งหลังตรง

 

คุณจะนั่งขัดสมาธิอยู่ก็ดี หรือนั่งเก้าอี้อยู่ก็ตาม ได้หมดนะครับ 

 

ไม่ว่าคุณจะอยู่ท่าไหน มือกับเท้าของคุณ ก็จะรายงานให้คุณทราบได้ เพียงแค่คุณสำรวจเข้าไปนะ ว่าขณะนี้ ฝ่าเท้าของคุณผ่อนคลายอยู่ หรือว่าตึงเกร็งอยู่ งองุ้มอยู่หรือเปล่า หรือว่ามีอาการเกร็งๆ หรือเปล่า

 

ถ้าหากว่ามีอาการเกร็ง ก็แค่ผ่อนคลาย อย่างนี้เรียกว่าเป็นสติ ที่รับรู้ภาวะทางกายตามจริง 

 

ซึ่งถ้าหากว่า ฝ่าเท้าผ่อนคลาย โดยความสัมพันธ์กับจิต ก็คือพื้นจิตพื้นใจจะมีความผ่อนคลาย จะมีความผ่อนพักขึ้นมาให้รู้สึกได้ 

 

จากเดิม ถ้าคุณมีอาการขมวดมุ่น หมกมุ่น เคร่งเครียดอยู่

แค่ผ่อนคลายฝ่าเท้า จะรู้สึกสบายขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว เพราะว่านั่นเป็นความสัมพันธ์กับจิต เป็นพื้นจิตพื้นใจของคุณ 

 

ฝ่าเท้านี่สำคัญมาก ถ้าหากว่าเรารู้สึกผ่อนคลายที่ฝ่าเท้าได้ พื้นจิตพื้นใจของคุณ จะเริ่มผ่อนคลายขึ้นมาทันที

 

จากนั้นสำรวจไล่ขึ้นมาว่า ฝ่ามือของคุณ จะวางอยู่บนหน้าตักก็ตาม หรือว่า ใครอยากจะวางมือซ้อนมือก็ตาม

ให้มองว่ามือกำลังอยู่ในอาการ ใกล้จะกำ กล้จะเกร็ง หรือว่า อยู่ในอาการแบ วาง สบาย

 

อาจคว่ำอยู่ก็ได้นะ คว่ำอยู่ในอาการที่วางสบาย ปล่อยเหมือนกับเราจะไม่ยึดสิ่งใดไว้อีก

 

ให้สังเกต ถ้ามือมีอาการกำ มีอาการเกร็ง .. ใจจะมีอาการยึด ตามไปด้วยแต่ถ้าหากว่า มือมีอาการปล่อย แล้วคุณรู้สึกถึงอาการที่มือปล่อยสบายได้ นั่นแหละ เป็นอาการเดียวกับใจที่วาง ใจที่คลาย ใจที่ไม่อยากยึดอะไรไว้เป็นอาการเดียวกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 

 

เมื่อฝ่าเท้า ฝ่ามือของคุณ มีความผ่อนคลาย มีความสบาย 

แล้วคุณรู้สึกถึงอาการ คอตั้งหลังตรงได้ 

ภาวะทางกาย จะปรุงแต่งให้จิตของคุณเกิดความรู้สึกสบายขึ้นมา 

เป็นความสบายแบบครึ่งตัว อาจจะยังมีอาการตึงๆ แน่นๆ อยู่ในหัวอยู่ อันนั้นเดี๋ยวเราไปเคลียร์กันทีหลัง 

 

อันดับต่อมา .. อันดับสอง ให้คุณหายใจสบายๆ หายใจลึกๆ แค่ครั้งเดียวพอ

 

คนส่วนใหญ่พอหายใจหลายๆ ครั้งด้วยความตั้งอกตั้งใจจะให้ยาวนี่ จะกลายเป็นความอึดอัดขึ้นมาแทน จากนั้น พอรู้สึกถึงความผ่อนพักทางกายแล้ว อันนี้สำคัญมากนะ ต้องผ่อนพักให้ได้ก่อน

____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน คลายเครียดใน ๓ นาที

- เกริ่นนำ

วันที่ 24 กรกฎาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=zHsMiJlnyus



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น