ตอน ทูตธรรมะยุคใหม่ของคนไทยในโลกหนังสือและสื่อไอที
ออกอากาศทางทีวีดิจิทัล ช่อง ๓ แฟมิลี่
ออกอากาศทางทีวีดิจิทัล ช่อง ๓ แฟมิลี่
รับฟังทางยูทูป ► https://youtu.be/Pyw7QaXFwM8
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คุณสายสวรรค์ : สวัสดีค่ะคุณผู้ชมคะ
ขอต้อนรับเข้าสู่รายการ lightning talk กับ สายสวรรค์ ขยันยิ่งค่ะ วาไรตี้ทอล์กโชว์ที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณผู้ชมทุกครอบครัวทางช่อง ๓ แฟมิลี่ หรือว่าช่อง ๑๓ แฮปปี้แฟมิลี่แห่งนี้ และคุณผู้ฟังที่ฟังอยู่ทางวิทยุครอบครัวข่าว ส.ทร. FM ๑๐๖.๐ MHz. ด้วยนะคะ มาเติมพลังสร้างแรงบันดาลใจกันทุกๆคืน กับเรื่องราวที่หลากหลายจากแขกรับเชิญคุณภาพค่ะ
คืนนี้พบกับนักเขียนแนวธรรมะชื่อดังแห่งยุค นามปากกาดังตฤณค่ะ ซึ่งก็มีผลงานเขียนมาแล้วมากมาย นับตั้งแต่เรื่องของบทความ พ็อคเก็ตบุค หนังสือต่างๆก็มีหลายระดับสำหรับคนที่สนใจธรรมะ มีตั้งแต่เข้าใจง่ายๆ ย่อยง่ายๆ สำหรับคนที่สนใจธรรมะขั้นพื้นฐานที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ไปจนกระทั่งถึงขั้นสูงๆที่อยากจะนำไปปฏิบัติจริงอย่างนั้นเลยนะคะ แล้วก็ตามมาด้วยสื่ออีกมากมายซึ่งก็สอดคล้องกับยุคสมัย ดิฉันจึงขอเรียกท่านว่าเป็นทูตธรรมะในยุคปัจจุบัน ในยุคสังคมออนไลน์เลยก็ว่าได้ค่ะ วันนี้เราจะมาฟังทั้งมุมมองการค้นหาความสุขในชีวิต แล้วก็วิธีการถ่ายทอด รวมไปถึงสิ่งที่จะเป็นประโยชน์กับคุณผู้ชมในคืนนี้ ว่าเราจะเข้าถึงธรรมะด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด อยู่ในชีวิตเรา ในชีวิตประจำวัน แบบที่ไม่ต้องฝืนตัวเอง ที่จะต้องทำอะไรแล้วรู้สึกว่าพูดถึงเรื่องธรรมะแล้วเป็นเรื่องยากนะคะ มาขอความรู้กันกับคุณศรันย์ ไมตรีเวช หรือว่าคุณดังตฤณค่ะ สวัสดีค่ะคุณศรันย์
คุณดังตฤณ : สวัสดีครับคุณหนิง
คุณสายสวรรค์ :
ขอบคุณมากๆนะคะที่สละเวลามา งานเยอะมากๆด้วย
คุณดังตฤณ : (ยิ้มกว้าง) ด้วยความยินดีครับ
คุณสายสวรรค์ :
ก่อนที่จะขอเป็นเคล็ดลับความรู้ที่จะเข้าถึงธรรมะแบบฆราวาสแบบเราๆเนี่ยนะคะ เอ่อ
อยากจะถามที่มานิดหนึ่งค่ะว่าค้นพบความสุขทางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ยังไงเหรอคะ
คุณดังตฤณ : ตั้งแต่วัยรุ่นน่ะนะครับ
คุณสายสวรรค์ : ตั้งแต่วัยรุ่นเลยเหรอคะ
คุณดังตฤณ :
คือเริ่มต้นขึ้นมาผมเป็นวัยรุ่นที่มีความสับสนในตัวเอง
คือเป็นคนมีความขัดแย้งในตัวเองสูง ก็เหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วๆไปนั่นแหละ
คุณสายสวรรค์ : เป็นมนุษย์เจ้าปัญหาเหรอคะ
คุณดังตฤณ : (ยิ้ม) ใช่ๆ คือเจ้าปัญหาสำหรับตัวเองแล้วก็คนอื่นด้วย
พอตัวของเรามีปัญหาเนี่ย เราก็ทำปัญหาให้คนอื่น สร้างปัญหาให้คนอื่นได้ง่ายๆนะ
อย่างบางทีผมก็ประหลาดใจนะ เวลาที่ อย่างจะต้องจบการศึกษาชั้นไหนไป มันก็จะมีการเซนต์เฟรนด์ชิปอะไรอย่างนี้นะ เคยมีเพื่อนบอก บอกว่า เนี่ยชื่นชมอยู่อย่างหนึ่ง ดูเป็นตัวของตัวเอง ดูเป็นแรงบันดาลใจให้เขาดี แต่ตรงนั้นอ่ะ เป็นมุมมองแรกเลยนะที่ทำให้รู้สึกสะอึก เพราะว่าข้างในเรารู้ตัวไงว่าพยายามค้นหาตัวเองอยู่ แล้วก็รู้ตัวว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง
อย่างบางทีผมก็ประหลาดใจนะ เวลาที่ อย่างจะต้องจบการศึกษาชั้นไหนไป มันก็จะมีการเซนต์เฟรนด์ชิปอะไรอย่างนี้นะ เคยมีเพื่อนบอก บอกว่า เนี่ยชื่นชมอยู่อย่างหนึ่ง ดูเป็นตัวของตัวเอง ดูเป็นแรงบันดาลใจให้เขาดี แต่ตรงนั้นอ่ะ เป็นมุมมองแรกเลยนะที่ทำให้รู้สึกสะอึก เพราะว่าข้างในเรารู้ตัวไงว่าพยายามค้นหาตัวเองอยู่ แล้วก็รู้ตัวว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง
คุณสายสวรรค์ : แต่คนอื่นกลับมองว่าเราเป็นตัวของตัวเอง
คุณดังตฤณ : ใช่ เหมือนกับว่ามีความมั่นใจในตัวเองสูง คล้ายๆว่าคงจะมองว่าเราไปไหนไปคนเดียว
หรือว่าไม่ค่อยจะแคร์กับการจะต้องไปเป็นกลุ่มหรืออะไรแบบนี้เท่าไหร่
จริงๆก็มีกลุ่มนะ มีกลุ่มเพื่อน แต่ว่าเวลาคนเขามองเรา เขาจะมองว่าเราเหมือนกับพร้อมจะทำอะไรแบบฉายเดี่ยว
คุณสายสวรรค์ : สันโดษ อยู่ด้วยตนเองได้
คุณดังตฤณ : ทำนองนั้น
เพราะว่าอย่างเวลาตอนกลางวัน เราก็จะขึ้นห้องสมุดอยู่คนเดียว
ไม่ชวนเพื่อน แล้วก็ไม่สนใจว่าจะมีเพื่อนไปหรือเปล่า
ในขณะที่เด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ ..
คุณสายสวรรค์ : ติดเพื่อน
คุณดังตฤณ : คือจะรู้สึกว่า เฮ้ย ถ้าไม่ได้ไปอย่างน้อยสองคนสามคนเนี่ย แปลว่าไม่มีใครคบ
คุณสายสวรรค์ : แปลกแยก ไม่เป็นที่ยอมรับ
ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
คุณดังตฤณ : ใช่
กลัวว่าตัวเอง จะเหมือนกับจะหลุดจากวิถีทางแบบที่เป็นที่ยอมรับ
พูดง่ายๆว่าไม่มีใครคบ
คุณสายสวรรค์ :
แต่คุณศรันย์ไม่สนใจข้อนั้น
คุณดังตฤณ :
จริงๆแล้ว คือเราจะเป็นประเภทที่ว่า... อย่างผมตอนชั้นมัธยมเนี่ยจะสนใจเรื่องของการเล่นเปียโน คือฝึกเล่น
เพิ่งหัดเล่นเนี่ย ก็จะมีความอยากจะเล่นที่โรงเรียนเขาจะมีเปียโนอยู่หลังหนึ่งให้เด็กเข้าไปเล่นได้ บางทีตอนกลางวันก็จะเข้าไปเล่น โดยไม่สนใจว่าจะมีเพื่อนตามไปหรือเปล่าอะไรอย่างนี้
ทีนี้ประเด็นก็คือว่า พอเหมือนกับคนอื่นเขามองเราอย่างหนึ่งนะ นึกว่าเรามีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่ตัวเองเนี่ยคือยังถามตัวเองอยู่ทุกวันเลยว่าเราอยากจะทำอะไร คือเป็นคำถามที่เด็กทั่วๆไปก็คิดกันนะ เพียงแต่เด็กทั่วๆไปอาจจะเกิดความรู้สึกสบายใจละถ้าเพื่อนสนิทเอ็นท์เข้าคณะนั้น เอ็นท์เข้าคณะนี้ แล้วตามๆกันไปก็จบ แต่ของผมมีความรู้สึกว่าถ้าจะต้องเรียนอะไรเนี่ย คือคิดข้ามไปอีกช็อตนึงว่าจบจากนั้นจะทำงานอะไร คือตอบตัวเองไม่ถูก
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คุณดังตฤณ : ใช่
คุณสายสวรรค์ : จะเรียน เรียนเพื่ออะไร จบแล้วจะทำยังไงต่อ
แล้วชีวิตจะดำเนินยังไงต่อ คือคิดอย่างนี้ตั้งแต่มัธยม
คุณดังตฤณ : ใช่ๆ แล้วมันคิดมากนะ
คือไม่ใช่คิดแค่เล่นๆ แต่มีความรู้สึกว่ามืดมน อนาคตมองไม่เห็น
เหมือนเข้าไปในอุโมงค์แล้วก็รู้สึกว่ามันดำมืด เพราะใจตัวเอง คือมีความรู้สึกมาลึกๆตั้งแต่ไหนแต่ไรว่า
ถ้าหากไม่มีสิ่งที่จะดึงดูดใจให้เราเกิดความรัก หรือเกิดความชอบที่จะทำไปได้นานๆเนี่ย
ชีวิตจะดูเหมือนกับไร้สาระ ว่างเปล่า แล้วก็..น่ากลุ้มใจ มันเป็นความกลุ้มใจจริงๆในช่วงนั้น
ทีนี้พอเราสงสัยในชีวิตข้างหน้ามากๆเข้า
แล้วก็ไม่เป็นสุขกับชีวิตที่กำลังอยู่ในปัจจุบันเนี่ยนะ เราเข้าห้องสมุดทุกวัน แล้วก็เกิดความนึกอยากจะลองอ่านหนังสือ
ในหิ้งหนังสือที่เราไม่เคยอ่านเลย คือเกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา
คุณสายสวรรค์ : เพราะต้องการหาคำตอบให้ชีวิตนั่นเอง
คุณดังตฤณ : ไม่ใช่ๆ วันนั้นจำความรู้สึกของตัวเองได้ คือนึกเล่นๆว่า เอ๊
เอาหนังสือมาสักเล่มหนึ่ง มันอาจจะเป็นประตูบานใหม่ในชีวิตก็ได้ อาจจะตอบคำถามอะไรบางอย่างที่อยู่ในใจเรา
แต่ก่อนจะอยู่ในยุคที่คนพูดกันมากเลยว่าศาสนาเนี่ยไม่มีสาระ ไม่มีความจริงอะไรอยู่ในนั้นหรอก ให้คำตอบอะไรคนยุคใหม่ไม่ได้หรอก เพราะว่าเป็นการคิดการค้นของคนโบราณ เอามาประยุกต์ไม่ได้แล้ว ซึ่งก็เชื่อตามนั้น เพราะว่า.. ผมก็เป็นนักอ่านนะ อ่านมาเยอะ ก็มีความรู้สึกว่าการที่เราจะไปเชื่อคนโบราณเนี่ย เหมือนกับเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เสี่ยงกับความไม่รู้แบบโบราณ คนโบราณที่ไม่เคยทราบด้วยซ้ำมั้งว่าโลกเรากลม และหมุนรอบดวงอาทิตย์ ยังนึกว่าโลกเราเป็นศูนย์กลาง แล้วมีดวงอาทิตย์หมุนรอบอะไรแบบนั้นนะ ทีนี้พอได้เริ่มอ่านตั้งแต่เล่มแรก มันทำให้ความรู้สึกข้างในแตกต่างไปหมดเลย
แต่ก่อนจะอยู่ในยุคที่คนพูดกันมากเลยว่าศาสนาเนี่ยไม่มีสาระ ไม่มีความจริงอะไรอยู่ในนั้นหรอก ให้คำตอบอะไรคนยุคใหม่ไม่ได้หรอก เพราะว่าเป็นการคิดการค้นของคนโบราณ เอามาประยุกต์ไม่ได้แล้ว ซึ่งก็เชื่อตามนั้น เพราะว่า.. ผมก็เป็นนักอ่านนะ อ่านมาเยอะ ก็มีความรู้สึกว่าการที่เราจะไปเชื่อคนโบราณเนี่ย เหมือนกับเอาตัวเข้าไปเสี่ยง เสี่ยงกับความไม่รู้แบบโบราณ คนโบราณที่ไม่เคยทราบด้วยซ้ำมั้งว่าโลกเรากลม และหมุนรอบดวงอาทิตย์ ยังนึกว่าโลกเราเป็นศูนย์กลาง แล้วมีดวงอาทิตย์หมุนรอบอะไรแบบนั้นนะ ทีนี้พอได้เริ่มอ่านตั้งแต่เล่มแรก มันทำให้ความรู้สึกข้างในแตกต่างไปหมดเลย
คุณสายสวรรค์ : คือยังไงคะ
คุณดังตฤณ : คือจากเดิม เวลาที่เราคิดถึงอนาคต เราจะคิดออกไปข้างนอกว่า ภาพการทำงานของเราเป็นภาพแบบไหน ใส่ยูนิฟอร์มแบบวิศวกร แบบหมอ
แบบข้าราชการ หรือว่านักธุรกิจ ผูกไทใส่สูทอะไรแบบนี้นะ คือนึกภาพไม่ออก
แต่พออ่านหนังสือเล่มแรกที่ชี้ให้ดูเข้ามาข้างใน มันเริ่มนึกออกว่า ณ ขณะนั้น ยังไม่ต้องเอาข้างหน้านะ มันมีความมืดมนของจิตอยู่ มันเหมือนกับเป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้นึกถึงตัวเองเป็นภาพ แต่เห็นตัวเองเป็นสภาพของจิตที่ยังมีความมืดบอด
แต่พออ่านหนังสือเล่มแรกที่ชี้ให้ดูเข้ามาข้างใน มันเริ่มนึกออกว่า ณ ขณะนั้น ยังไม่ต้องเอาข้างหน้านะ มันมีความมืดมนของจิตอยู่ มันเหมือนกับเป็นครั้งแรกที่เราไม่ได้นึกถึงตัวเองเป็นภาพ แต่เห็นตัวเองเป็นสภาพของจิตที่ยังมีความมืดบอด
คุณสายสวรรค์ : นั่นเป็นหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจ
แล้วก็ทำให้เริ่มหันกลับมามองข้างใน
คุณดังตฤณ :
คือจริงๆแล้วไม่ใช่หนังสือทางพุทธนะ
คุณสายสวรรค์ : เป็นปรัชญา
คุณดังตฤณ : เป็นวิถีแห่งความรู้แจ้ง วิถีแห่งเต๋า
คือจริงๆแล้วเต๋าก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณแบบเดียวกับพุทธนั่นแหละ เผลอๆก็พูดแบบเดียวกับพุทธเลยด้วยซ้ำนะ
แล้วคนพูดเองก็เป็นผู้มีความรู้ทางจิตวิญญาณอันสูงส่ง
แต่ตอนนั้นเป็นแบบเหมือนแรงบันดาลใจให้เกิดความรู้สึกข้างในมากกว่าจะเป็นความรู้ที่แท้จริง
เพราะว่าเหล่าจื๊อหรือว่าเล่าจือเนี่ยท่านบันทึกในลักษณะถ่ายทอดประสบการณ์ทางจิตมากเสียกว่าจะให้ความรู้เป็นขั้นเป็นตอนว่าจะต้องทำอย่างไร
ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นเหมือนกับ โอเค เราได้ถนนเส้นใหม่ที่ทำให้เรารู้สึกว่า ที่คนพูดๆกันว่าศาสนาเป็นเรื่องล้าสมัย หรือว่าเรื่องทางจิตวิญญาณเป็นเรื่องเหลวไหล จับต้องไม่ได้ เออ มันจับต้องไม่ได้จริงๆแต่สัมผัสรู้ได้ แล้วรู้สึกได้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงของชีวิตตั้งแต่วันที่เรารู้สึกถึงจิตใจของตัวเองเดี๋ยวนั้น
จิตมันเปิด เปิดรับสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น นั่นก็คือใจของตัวเอง
คุณสายสวรรค์ : นั่นก็เลยเป็นบันไดขั้นแรก
คุณดังตฤณ : ก้าวแรกๆ
คุณสายสวรรค์ : ได้ฟังไปแล้วนะคะว่า จากวัยเด็ก
วัยรุ่นที่กำลังค้นหาคำตอบของชีวิต แล้วก็ไปเจอเอาประตูบานหนึ่งเข้า
ที่ทำให้สะดุ้ง แล้วก็มองกลับเข้าไปในจิตใจของตัวเอง
จากนั้นค่ะเขาก็เริ่มศึกษาทั้งปรัชญา ทั้งธรรมะอะไรต่างๆ แบบพัฒนามาเป็นลำดับขั้น
ขณะเดียวกันทางโลกก็ดำเนินต่อไป ทำไมถึงไปเรียนคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
คือชอบทางด้านไอที ชอบทางด้านคอมพิวเตอร์เหรอคะ
คุณดังตฤณ : ใช่ เป็นสิ่งเดียวที่เรารู้สึกว่าทำให้เราสนุก คือตั้งใจว่าจะเรียนคอมพิวเตอร์ แล้วก็เอแบคก็มีสาขาคอมพิวเตอร์อยู่
ก็เลยไปเรียนที่นั่น
คุณสายสวรรค์ : ก็เลยจบปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
คุณดังตฤณ : ใช่ครับ
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คุณสายสวรรค์ : จบมาก็เป็นโปรแกรมเมอร์ แล้วคือมันเหมือนคนละทางกับเรื่องของธรรมะและงานที่ทำอยู่ปัจจุบันนี้เลยนะคะ
จุดไหนที่ทำให้คุณศรันย์ขมวดมัน แล้วก็วางอย่างหนึ่ง
แล้วก็มาเดินหน้าธรรมะอย่างเต็มตัวคะ
คุณดังตฤณ :
คนส่วนใหญ่มองว่าคอมพิวเตอร์กับธรรมะเป็นคนละเรื่องกันนะ
แต่ถามว่า โปรแกรมเมอร์อ่ะเป็นหุ่นยนต์หรือว่าเป็นคน
คุณสายสวรรค์ :
ก็คือคน
คุณดังตฤณ : ก็ต้องตอบว่าโปรแกรมเมอร์ก็คือคน คนมีเลือดเนื้อธรรมดา มีลมหายใจ
ก่อนมาเป็นโปรแกรมเมอร์ก็คือคน
คนธรรมดาคนหนึ่งที่ยังไม่รู้ตัวว่าวันหนึ่งจะต้องมาเป็นโปรแกรมเมอร์
และถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นคน มันมีความทุกข์ มีความกระวนกระวาย มีความฟุ้งซ่าน มีความอยากได้อยากมี อยากที่จะโน่นอยากที่จะนี่ตลอดเวลา อย่างผมอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของอนาคตของตัวเอง นี่ก็คือความอยาก ที่ไม่ได้รับคำตอบ แล้วก็เป็นทุกข์ คือเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ซึ่ง ณ เวลานั้นอธิบายให้ใครฟังคงไม่เข้าใจว่าทุกข์ขนาดไหน แต่ทุกข์ขนาดที่ว่าถ้าไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไรเนี่ย มันแทบไม่อยากมีชีวิตเลยทีเดียว
และถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นคน มันมีความทุกข์ มีความกระวนกระวาย มีความฟุ้งซ่าน มีความอยากได้อยากมี อยากที่จะโน่นอยากที่จะนี่ตลอดเวลา อย่างผมอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องของอนาคตของตัวเอง นี่ก็คือความอยาก ที่ไม่ได้รับคำตอบ แล้วก็เป็นทุกข์ คือเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ซึ่ง ณ เวลานั้นอธิบายให้ใครฟังคงไม่เข้าใจว่าทุกข์ขนาดไหน แต่ทุกข์ขนาดที่ว่าถ้าไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไรเนี่ย มันแทบไม่อยากมีชีวิตเลยทีเดียว
คุณสายสวรรค์ : ไม่มีพลังที่จะตื่นขึ้นมาทำอะไรเลย
คุณดังตฤณ : ใช่ๆ
ช่วงนั้นสุขภาพไม่ค่อยดีด้วย พอสุขภาพไม่ค่อยดีบวกกับมองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง มันเหมือนไม่อยากมีชีวิต คือไม่ถึงขนาดอยากฆ่าตัวตายนะ
คุณสายสวรรค์ : แต่หดหู่
คุณดังตฤณ :
แต่คือรู้สึกไม่อยากที่จะตื่นขึ้นมาใช้ชีวิต เพราะไม่รู้ว่าจะใช้ไปในทางไหนนะ
ทีนี้ความเป็นโปรแกรมเมอร์เนี่ยไม่ได้ช่วยให้เราตอบตัวเองได้นะ ว่านี่คือสิ่งที่น่าพอใจที่สุดในชีวิตแล้ว
แล้วก็ความเป็นโปรแกรมเมอร์ก็เหมือนความเป็นหมอ ความเป็นวิศวกร ความเป็นข้าราชการ
ความเป็นนักดนตรี อะไรก็แล้วแต่ที่คนเราจะสร้างตัวเองขึ้นมาได้ ในที่สุดแล้ว ก็ไปติดอยู่ที่สุดของอาชีพน่ะ ก็ย้อนกลับมาว่าเรามีความสุขไหม
คือไม่ใช่ว่าอาชีพ จะทำไปแล้วมีความทุกข์นะ คือหมายความว่าเราใช้ชีวิตจริงๆแบบมนุษย์คนหนึ่งเนี่ย เป็นนักดนตรี เป็นโปรแกรมเมอร์ เป็นหมอ เป็นข้าราชการแล้ว ที่สุดแล้วมันแก้ทุกข์ได้ไหม คือถ้าหากว่าเรามองที่ตรงนี้นะ เราจะไม่มีการแบ่งแยกเลยว่าสาขาอาชีพไหน เป็นต่างหากจากธรรมะ
ธรรมะเข้าถึงทะลุทลวงได้ถึงทุกสาขาอาชีพ ไม่มีกำแพงของสาขาอาชีพใดที่กั้นธรรมะไว้ได้ ในเมื่อที่สุดของสายอาชีพไม่ว่าจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ผมรู้จักคนมา ไม่ว่าจะอาชีพใดหรือว่ารวยขนาดไหน ไปถึงที่สุดของอาชีพตัวเอง ก็คือว่ามันยังไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ ยังมีความกระวนกระวาย ยังมีความรู้สึกว่าไปไม่ถึง
คือไม่ใช่ว่าอาชีพ จะทำไปแล้วมีความทุกข์นะ คือหมายความว่าเราใช้ชีวิตจริงๆแบบมนุษย์คนหนึ่งเนี่ย เป็นนักดนตรี เป็นโปรแกรมเมอร์ เป็นหมอ เป็นข้าราชการแล้ว ที่สุดแล้วมันแก้ทุกข์ได้ไหม คือถ้าหากว่าเรามองที่ตรงนี้นะ เราจะไม่มีการแบ่งแยกเลยว่าสาขาอาชีพไหน เป็นต่างหากจากธรรมะ
ธรรมะเข้าถึงทะลุทลวงได้ถึงทุกสาขาอาชีพ ไม่มีกำแพงของสาขาอาชีพใดที่กั้นธรรมะไว้ได้ ในเมื่อที่สุดของสายอาชีพไม่ว่าจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ผมรู้จักคนมา ไม่ว่าจะอาชีพใดหรือว่ารวยขนาดไหน ไปถึงที่สุดของอาชีพตัวเอง ก็คือว่ามันยังไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ ยังมีความกระวนกระวาย ยังมีความรู้สึกว่าไปไม่ถึง
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คุณสายสวรรค์ :
เหมือนกับฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับพุทธประวัติเลยนะคะ
ว่าทำไมเจ้าชายสิทธัตถะถึงต้องออกบวช เพราะว่าเป็นเจ้าชายอยู่ในวัง
ทุกอย่างมีพร้อม
คุณดังตฤณ : มีพร้อม
คุณสายสวรรค์ : แต่ว่ายังหาไม่เจอว่าอะไรคือความสุขของชีวิต
คุณดังตฤณ : คือที่สุดแล้วมันมาอยู่ที่ตรงนี้
(เอานิ้วชี้มาที่กลางอก) ตรงว่ายังกระวนกระวายอยู่หรือเปล่า
ถ้ายังกระวนกระวายอยู่เนี่ยมันไม่จบ
คุณสายสวรรค์ : ไม่จบ
คุณดังตฤณ : พอกระวนกระวายอยู่ พระพุทธเจ้าท่าน
ตอนที่ท่านเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ท่านมีปัญญาเหนือโลกนะ คำว่าปัญญาเหนือโลกนี่หมายความว่าเห็นเข้ามาข้างใน
คือคนอื่น มัวแต่มองออกไปข้างนอกว่า ทำยังไงถึงจะหยุดกระวนกระวายได้ จะต้องได้อะไรมาชีวิตถึงจะเต็ม
แต่ว่าเจ้าชายสิทธัตถะ คือมองเข้ามาตรงนี้ (เอานิ้วชี้มาที่กลางอก)
แล้วบอกว่ามันยังไม่หยุด มันยังกระวนกระวาย มันยังหาทางออกไม่เจอ
คคำว่าทางออก คนมักจะนึกถึงประตูบานใดบานหนึ่งที่จับต้องได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ค้นหาสิ่งที่สูงสุด อย่างพวกที่แสวงหาสัจธรรมนั่นเองนะฮะ จะมองว่าถ้าหากว่าใจ ยังไม่เปิด ยังไม่สว่าง ยังไม่เห็นทาง ยังไม่ได้อยู่ที่ต้นทางเนี่ย อันนั้นแปลว่ายังไม่เจอประตู
คือพูดง่ายๆว่าเขาจะรู้สึกกันในหมู่นักแสวงสัจธรรมว่า ถ้าใจยังปิดอยู่ ยังกระวนกระวาย ยังอึดอัด ยังคิดแต่ที่ตัวนี้ ตัวตนแบบนี้ มันรู้สึกยังดิ้นอยู่ ตราบนั้นยังไม่เจอประตู
คคำว่าทางออก คนมักจะนึกถึงประตูบานใดบานหนึ่งที่จับต้องได้ แต่ถ้าเป็นคนที่ค้นหาสิ่งที่สูงสุด อย่างพวกที่แสวงหาสัจธรรมนั่นเองนะฮะ จะมองว่าถ้าหากว่าใจ ยังไม่เปิด ยังไม่สว่าง ยังไม่เห็นทาง ยังไม่ได้อยู่ที่ต้นทางเนี่ย อันนั้นแปลว่ายังไม่เจอประตู
คือพูดง่ายๆว่าเขาจะรู้สึกกันในหมู่นักแสวงสัจธรรมว่า ถ้าใจยังปิดอยู่ ยังกระวนกระวาย ยังอึดอัด ยังคิดแต่ที่ตัวนี้ ตัวตนแบบนี้ มันรู้สึกยังดิ้นอยู่ ตราบนั้นยังไม่เจอประตู
คุณสายสวรรค์ :
แล้วมันก็เต็มไปด้วยคนที่ยังไม่เจอประตูอยู่รอบข้าง
คุณดังตฤณ : ใช่
คุณสายสวรรค์ : ทุกคนก็ดิ้นรน ทุกคนก็เลยทุกข์ร้อนเต็มไปหมด
คุณดังตฤณ : ทีนี้ คืออย่างพอผมรู้สึกว่าถ้าเราจะเอาจริงเอาจังกับประตูบานที่เราค้นพบตั้งแต่ยังสมัยวัยรุ่นเนี่ยนะ
ไม่ใช่ว่าเราจะต้องวางสาขาที่กำลังทำอยู่เสมอไปนะ เคยบวชมาแล้วตอนอายุ ๒๐ แต่เป็นการบวชที่รู้ว่าชั่วคราวนะ
ทีนี้ในระหว่างที่เราเรียนกำลังจะจบแล้ว แล้วก็ทำงานช่วงต้นๆ เราก็เหมือนกับทำสมาธิได้ เดินจงกรมได้ เราก็เขียน
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คุณสายสวรรค์ : ปฏิบัติ แล้วก็เริ่มถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้
คุณดังตฤณ : ไม่ใช่เริ่มถ่ายทอด
แต่ว่าเป็นการเริ่มระบายสิ่งที่เราคิด
คือนักเขียนเนี่ย จะมีความคิดที่ล้นหัว จะมีแรงดันที่อยากจะระบายความคิด ไอเดีย แล้วก็ประสบการณ์ตรงออกมาเป็นคำพูด ชนิดที่คนอื่นและตัวเราเองสามารถย้อนกลับมาอ่านได้ เป็นบันทึกที่บันทึกประสบการณ์ทางจิต ที่สามารถทำให้จิตเกิดประสบการณ์แบบเดียวกันนั้นหรือใกล้เคียงกันในขณะอ่านซ้ำได้ ตรงนี้นี่คือแนวคิดแบบการเขียนในเชิงศาสนานะ
คือพูดง่ายๆว่าเราบันทึก ใช้ลีลา ใช้สำนวน ใช้ภาษาในแบบที่จะก่อให้เกิดการปรุงแต่งประสบการณ์แบบที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกันเด๊ะกับที่เคยเกิดขึ้น อย่างเช่นถ้าเรามีความสุข ถ้าเรามีความสงบ ถ้าเรามีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับอยู่ในโลกนี้ แต่เหมือนกับไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่มีความผาสุก มีสันติที่ยิ่งใหญ่นะ แล้วเราอยากจะเอาความยิ่งใหญ่แบบนั้นมาถ่ายทอดนี่ บางทีคำพูดไม่สามารถบอกเล่าได้ แต่การเขียน สามารถปรุงแต่งให้เกิด ให้คนอ่าน...
คือนักเขียนเนี่ย จะมีความคิดที่ล้นหัว จะมีแรงดันที่อยากจะระบายความคิด ไอเดีย แล้วก็ประสบการณ์ตรงออกมาเป็นคำพูด ชนิดที่คนอื่นและตัวเราเองสามารถย้อนกลับมาอ่านได้ เป็นบันทึกที่บันทึกประสบการณ์ทางจิต ที่สามารถทำให้จิตเกิดประสบการณ์แบบเดียวกันนั้นหรือใกล้เคียงกันในขณะอ่านซ้ำได้ ตรงนี้นี่คือแนวคิดแบบการเขียนในเชิงศาสนานะ
คือพูดง่ายๆว่าเราบันทึก ใช้ลีลา ใช้สำนวน ใช้ภาษาในแบบที่จะก่อให้เกิดการปรุงแต่งประสบการณ์แบบที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกันเด๊ะกับที่เคยเกิดขึ้น อย่างเช่นถ้าเรามีความสุข ถ้าเรามีความสงบ ถ้าเรามีความรู้สึกที่ไม่เหมือนกับอยู่ในโลกนี้ แต่เหมือนกับไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งที่มีความผาสุก มีสันติที่ยิ่งใหญ่นะ แล้วเราอยากจะเอาความยิ่งใหญ่แบบนั้นมาถ่ายทอดนี่ บางทีคำพูดไม่สามารถบอกเล่าได้ แต่การเขียน สามารถปรุงแต่งให้เกิด ให้คนอ่าน...
คุณสายสวรรค์ : ได้รับอรรถรสจากตัวอักษร
คุณดังตฤณ : ใช่
คุณสายสวรรค์ : แล้วไปสู่ความรู้สึกที่อยากจะบอกได้
คุณดังตฤณ : แบบเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน
คือจริงๆแล้วอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ที่เป็นคนอ่าน
หมายความว่าอีกปีสองปีเราอาจจะลืมไปแล้ว เรากลับมาอ่านอีกทีหนึ่ง
คุณสายสวรรค์ : เราก็รู้สึกถึงสัมผัสนั้นได้อยู่
คุณดังตฤณ : ใช่
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คุณสายสวรรค์ : นั่นคือวิธีการแล้วก็ความเป็นมาของดังตฤณ
ที่ถ่ายทอดเส้นทางการเรียนรู้ด้านในของตัวเอง
เส้นทางการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของตัวเอง แล้วอยากจะถ่ายทอดสู่คนอื่น
ก็เลยเริ่มเป็นงานเขียนออกมา แต่ว่ามันมีหลายระดับมากนะคะ ทั้งคนที่ย่อยง่าย
ต้องการอ่านแบบที่อะไรง่ายๆ คุณดังตฤณก็มีให้ คนที่ต้องการแบบยาก ซับซ้อน ขั้นลึก
ขั้นเทพเนี่ยก็มีให้ สุดแท้แต่จริตใครหรือว่าต้นทุนใครที่อยากจะอ่านแบบไหนใช่ไหมคะ
และยิ่งเดี๋ยวนี้นะคะ คุณดังตฤณก็ยิ่งมีผลงานผ่านทางสื่อซึ่งเหมาะกับสังคมออนไลน์อีกมากมายเลยทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะติดตามได้ใน YouTube ในอะไรต่างๆนะคะ ในรายการวิทยุโทรทัศน์มีหมด ดังนั้นเป็นอีกหนึ่งทูตธรรมะที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ว่าไม่ใช่แค่เข้าถึงคุณดังตฤณนะคะ เพราะเชื่อว่าเจ้าตัวก็คงอยากจะให้เป็นทางผ่าน แล้วผ่านไปสู่สิ่งที่เป็นแก่นของคำสอนของธรรมะนะคะ
แต่ว่าสุดท้ายแล้วคุณดังตฤณอยากจะบอกให้คนที่ดูรายการเราอยู่ยังไงคะว่า เราหาไปเถอะ แล้วช่องทางอะไรต่างๆมากมายมันมีแบบนี้เนี่ย สุดท้ายแล้วเราต้องยึดอะไรเป็นกุญแจเปิดไปสู่ประตูบานที่คุณดังตฤณพบ เราถึงจะมีความสุขได้ในชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ
และยิ่งเดี๋ยวนี้นะคะ คุณดังตฤณก็ยิ่งมีผลงานผ่านทางสื่อซึ่งเหมาะกับสังคมออนไลน์อีกมากมายเลยทีเดียวค่ะ ไม่ว่าจะติดตามได้ใน YouTube ในอะไรต่างๆนะคะ ในรายการวิทยุโทรทัศน์มีหมด ดังนั้นเป็นอีกหนึ่งทูตธรรมะที่ทุกคนเข้าถึงได้ง่าย แต่ว่าไม่ใช่แค่เข้าถึงคุณดังตฤณนะคะ เพราะเชื่อว่าเจ้าตัวก็คงอยากจะให้เป็นทางผ่าน แล้วผ่านไปสู่สิ่งที่เป็นแก่นของคำสอนของธรรมะนะคะ
แต่ว่าสุดท้ายแล้วคุณดังตฤณอยากจะบอกให้คนที่ดูรายการเราอยู่ยังไงคะว่า เราหาไปเถอะ แล้วช่องทางอะไรต่างๆมากมายมันมีแบบนี้เนี่ย สุดท้ายแล้วเราต้องยึดอะไรเป็นกุญแจเปิดไปสู่ประตูบานที่คุณดังตฤณพบ เราถึงจะมีความสุขได้ในชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ
คุณดังตฤณ : ครับ
สมัยก่อนเวลาพูดถึงธรรมะ คนจะอยากเอาธรรมะที่ตัวเองคิดว่าดีมาให้กับคนรุ่นใหม่นะ
คือไม่สนใจว่าวิธีการเป็นของคนรุ่นเก่า หรือว่าเป็นวิธีการที่โบราณนานมาแล้ว
ก็จะให้ธรรมะกันตรงๆ เป็นความรู้ที่มีศัพท์แสง
เป็นเรื่องของการจัดหมวดหมู่ธรรมะไว้ว่าจะต้องรู้ธรรมะแบบนั้นแบบนี้
หรือว่าหัวใจธรรมะของพุทธศาสนา คืออริยสัจ ๔ อะไรแบบนั้นนะ
ทีนี้ถ้าสำหรับคนรุ่นใหม่ คือไม่พร้อมจะรับอะไรแบบนั้นแล้วนะ คนรุ่นใหม่ ต้องเข้าใจว่าเวลาเขาจะรับอะไร มันต้องแรง ต้องมีแรงปะทะ แล้วก็ต้องสั้น
ทีนี้ถ้าสำหรับคนรุ่นใหม่ คือไม่พร้อมจะรับอะไรแบบนั้นแล้วนะ คนรุ่นใหม่ ต้องเข้าใจว่าเวลาเขาจะรับอะไร มันต้องแรง ต้องมีแรงปะทะ แล้วก็ต้องสั้น
คุณสายสวรรค์ : ภาษาวัยรุ่นอาจจะบอกว่าต้องโดนใจ
คุณดังตฤณ : ใช่
ฉะนั้นเนี่ยวิธีเดียวที่จะทำธรรมะให้เข้าสู่คนรุ่นใหม่ได้ก็คือว่า
ถามตัวเองว่าในขณะนั้นคุณสนใจอะไรอยู่นะครับ
ถ้าหากว่าคุณอยู่ในช่วงวัยรุ่น ก็มักจะสนใจเรื่องของความรัก เรื่องของการมีคู่ เรื่องของเนื้อคู่ ซึ่งพุทธศาสนาก็มีคำตอบให้
หรือสำหรับคนที่กำลังอยากจะเรียน ต้องการทำงาน ต้องการแรงบันดาลใจที่จะสร้างความปลอดภัยให้ชีวิตตัวเอง ต้องการสร้างความมั่งคั่ง ให้มีความมั่นคงก่อน อันนั้นพุทธศาสนาก็มีคำตอบให้ในเรื่องของแรงบันดาลใจในการทำงานให้เกิดความสนุก ให้เกิดฤทธิ์ คือคนที่เก่งๆอ่ะ พูดง่ายๆว่าทางพุทธศาสนาเรียกว่า 'มีฤทธิ์'
ถ้าหากว่าคุณอยู่ในช่วงวัยรุ่น ก็มักจะสนใจเรื่องของความรัก เรื่องของการมีคู่ เรื่องของเนื้อคู่ ซึ่งพุทธศาสนาก็มีคำตอบให้
หรือสำหรับคนที่กำลังอยากจะเรียน ต้องการทำงาน ต้องการแรงบันดาลใจที่จะสร้างความปลอดภัยให้ชีวิตตัวเอง ต้องการสร้างความมั่งคั่ง ให้มีความมั่นคงก่อน อันนั้นพุทธศาสนาก็มีคำตอบให้ในเรื่องของแรงบันดาลใจในการทำงานให้เกิดความสนุก ให้เกิดฤทธิ์ คือคนที่เก่งๆอ่ะ พูดง่ายๆว่าทางพุทธศาสนาเรียกว่า 'มีฤทธิ์'
คุณสายสวรรค์ : ผู้มีฤทธิ์
คุณดังตฤณ :
เป็นผู้มีความสามารถในวงการหนึ่งๆที่จะเป็นพ่อมด
ที่จะทำอะไรให้เกิดความรู้สึกตื่นตาตื่นใจ พุทธศาสนาก็มีคำตอบให้ตรงนั้น แล้วถ้าหากว่าทุกอย่างในชีวิตของคุณโอเคแล้ว
อิ่มตัวแล้ว สุดท้ายมันยังรู้สึกเหมือนกับหลงทางอยู่ดี!
คุณสายสวรรค์ : ไม่พออยู่ดี
คุณดังตฤณ : จะเอาคำตอบอย่างไหน
อันนี้ก็ให้ไปดูเรื่องของการเจริญสติ
ซึ่งแนวทางที่ผมทำ ก็จะออกไปในทำนองที่ว่า
อย่างเมื่อกี้ที่เห็นโชว์เป็นปกหนังสือนะ มีทั้งเรื่องของความรัก
มีทั้งเรื่องของการทำงาน แล้วก็ในเรื่องของการเจริญสติ
คุณสายสวรรค์ : วัยรุ่นอ่านได้ คนทำงานอ่านได้
ผู้ใหญ่อ่านได้ มีให้ทุกแบบเลย
คุณดังตฤณ : ซึ่งทีนี้ ตรงที่มันเป็นหนังสือ
บางทีมันก็ยังอาจจะเป็นก้อนใหญ่เกินไป หรือว่าดูไกลตัวเกินไป
คุณสายสวรรค์ : หรือห่างไกลคนไม่ชอบอ่าน
คุณดังตฤณ : ใช่
คุณสายสวรรค์ : มีเยอะ
คุณดังตฤณ : ผมก็เลยเอามาทำให้เป็นรูปแบบที่ถูกกับหนทางของคนยุคปัจจุบัน
คือใช้เฟสบุ๊ก
คุณสายสวรรค์ : หรือหนังสือเสียง ไม่ชอบอ่านก็ฟังเอา
อย่างนี้เป็นต้น
.. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
คุณดังตฤณ : ใช่ คืออย่างในเฟสบุ๊กเนี่ยจะเป็นการโต้ตอบกันแบบที่พูดง่ายๆว่าทุกเช้าจะมีเรื่องที่แตกต่างไป
อาจจะเกี่ยวกับความรักก็ได้ อาจจะเกี่ยวกับการทำงานก็ได้
หรืออาจจะเกี่ยวกับการเจริญสติก็ได้นะฮะ
ซึ่งประเด็นคำถาม ที่ฮิตๆ ที่ฮอตๆ มาทุกยุคทุกสมัยเนี่ย ผมพยายามนำมาทำให้เกิดความหลากหลาย คือจริงๆน่ะเขียนเรื่องเดิม แต่ว่าทำให้เป็นเรื่องของความรู้สึกในขณะหนึ่งๆของแต่ละคน
อย่างบางคน อาจจะเกิดความสงสัยว่า ทำยังไงถึงจะลืมอดีตคนรัก เพราะว่ามันยังอยู่ตรงนั้น ยังทรมานใจอยู่อย่างเงี้ย หกปีก็แล้ว สิบปีก็แล้ว ยังไม่ไปไหนเลย ยังแกะออกจากหัวไม่ได้ ทำยังไง คือเรื่องของความรักมันไม่ใช่เรื่องของความสมหวังเสมอไป บางทีมันมีอะไรที่เด่นกว่านั้น ทำยังไงจะเจอเนื้อคู่เนี่ยโอเคก็มีอยู่ด้วย แต่ว่าตอนหลังๆจะไม่ค่อยเน้น
หรืออย่างเรื่องการทำงาน ทำยังไงถึงจะเจองานอันเป็นที่รัก คนส่วนใหญ่ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ มักจะถามว่าทำยังไงจะรวย แต่ลืมถามว่ารวยไปแล้ว จะสนุกกับการทำงานต่อไปจนถึงอายุสักสี่สิบห้าสิบได้ไหม ตอนอายุสี่สิบห้าสิบเนี่ยสมมุติว่ารวยแล้ว คุณยังสนุกอยู่หรือเปล่า บางคนไปฆ่าตัวตายเอาตอนสี่สิบห้าสิบเพราะว่ามันไม่มีเรื่องสนุก อย่างนี้ก็มีนะ
ซึ่งประเด็นคำถาม ที่ฮิตๆ ที่ฮอตๆ มาทุกยุคทุกสมัยเนี่ย ผมพยายามนำมาทำให้เกิดความหลากหลาย คือจริงๆน่ะเขียนเรื่องเดิม แต่ว่าทำให้เป็นเรื่องของความรู้สึกในขณะหนึ่งๆของแต่ละคน
อย่างบางคน อาจจะเกิดความสงสัยว่า ทำยังไงถึงจะลืมอดีตคนรัก เพราะว่ามันยังอยู่ตรงนั้น ยังทรมานใจอยู่อย่างเงี้ย หกปีก็แล้ว สิบปีก็แล้ว ยังไม่ไปไหนเลย ยังแกะออกจากหัวไม่ได้ ทำยังไง คือเรื่องของความรักมันไม่ใช่เรื่องของความสมหวังเสมอไป บางทีมันมีอะไรที่เด่นกว่านั้น ทำยังไงจะเจอเนื้อคู่เนี่ยโอเคก็มีอยู่ด้วย แต่ว่าตอนหลังๆจะไม่ค่อยเน้น
หรืออย่างเรื่องการทำงาน ทำยังไงถึงจะเจองานอันเป็นที่รัก คนส่วนใหญ่ปัจจุบัน คนรุ่นใหม่ มักจะถามว่าทำยังไงจะรวย แต่ลืมถามว่ารวยไปแล้ว จะสนุกกับการทำงานต่อไปจนถึงอายุสักสี่สิบห้าสิบได้ไหม ตอนอายุสี่สิบห้าสิบเนี่ยสมมุติว่ารวยแล้ว คุณยังสนุกอยู่หรือเปล่า บางคนไปฆ่าตัวตายเอาตอนสี่สิบห้าสิบเพราะว่ามันไม่มีเรื่องสนุก อย่างนี้ก็มีนะ
คุณสายสวรรค์ : ทั้งๆที่รวยแล้วด้วยซ้ำ
คุณดังตฤณ : ทั้งๆที่รวยแล้ว
แต่ความรวยนั่นแหละกัดกินหัวใจ คือบางทีพลาดทางธุรกิจ
ตัดสินใจอะไรบางอย่างแล้วผิดพลาด โดนคนล้อเลียนว่า โอ้โห เคยมีชื่อเสียงโด่งดังมาตลอดชีวิต มาตัดสินใจพลาดครั้งเดียวเนี่ย กระโดดให้รถไฟชนตายก็มี
อันนี้คือสุดท้ายแล้วเนี่ย เป็นเรื่องของว่า ถ้าธรรมะจะเข้าสู่หัวใจใครได้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นะ จะต้องมีช่องทางของเขาเองที่มาลิงก์ ที่มาเป็นตัวเชื่อม ซึ่งอันนี้ผมก็ทำในรูปแบบของคำถามคำตอบ จริงๆที่เขียนสเตตัสทุกเช้าเนี่ย มันก็รูปแบบของคำถามสำคัญที่ติดอยู่ในใจคนส่วนใหญ่ กับคำตอบที่อาจจะหลากหลายไปเรื่อยๆ แล้วก็อาจจะต้องไหลตามยุคสมัยนะ อย่างช่วงปีหนึ่งตอบแบบหนึ่งเนี่ย บางทีปีนี้ใช้ไม่ได้แล้ว
อันนี้คือสุดท้ายแล้วเนี่ย เป็นเรื่องของว่า ถ้าธรรมะจะเข้าสู่หัวใจใครได้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่นะ จะต้องมีช่องทางของเขาเองที่มาลิงก์ ที่มาเป็นตัวเชื่อม ซึ่งอันนี้ผมก็ทำในรูปแบบของคำถามคำตอบ จริงๆที่เขียนสเตตัสทุกเช้าเนี่ย มันก็รูปแบบของคำถามสำคัญที่ติดอยู่ในใจคนส่วนใหญ่ กับคำตอบที่อาจจะหลากหลายไปเรื่อยๆ แล้วก็อาจจะต้องไหลตามยุคสมัยนะ อย่างช่วงปีหนึ่งตอบแบบหนึ่งเนี่ย บางทีปีนี้ใช้ไม่ได้แล้ว
คุณสายสวรรค์ : เพราะสถานการณ์เปลี่ยน สังคมเปลี่ยน วิธีคิดของคนก็เปลี่ยน
คุณดังตฤณ : ใช่ ความรับรู้ วิธีรับรู้ของคนเนี่ยจะเปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรที่ไหลเข้ามา ไหลเข้ามาห้อมล้อม
ไหลเข้ามาครอบงำ
คุณสายสวรรค์ :
ดังนั้นจึงเป็นแนวทางในการที่นำเอาแก่นคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้านี่แหละ
จริงๆคือมีหลักอยู่หลักเดียว แต่ว่ามีพลวัตไปตามสังคม
แล้วก็การรับรู้ของผู้อ่านที่เปลี่ยนไป
คุณดังตฤณ : ใช่
คุณสายสวรรค์ : บางคนก็ติดกันอยู่ตลอดแบบเนี้ยนะคะ
เหมือนต้องสอนเรื่องซ้ำๆอยู่ตลอดเวลา ขณะที่บางคนได้ความสุขของตัวเอง
แล้วก็อาจจะจากไปก็ได้ แต่ว่านี่คือสิ่งที่คุณดังตฤณยังคงยืนหยัดอยู่
เผยแพร่ในสิ่งเหล่านี้จนกระทั่งเป็นที่นิยม แล้วก็คนก็ติด
มีทั้งคนรุ่นเก่าไปใหม่มาอะไรแบบตลอดเวลาแบบนี้
คิดที่จะยึดงานแบบนี้ไปตลอดชีวิตไหมคะ
คุณดังตฤณ :
จริงๆก็คิดถึงรูปแบบความหลากหลายเหมือนกันนะ แต่ว่าในที่สุดแล้วคืออะไรที่มันง่ายเนี่ยมันจะอยู่นาน
คือเราเขียนเราก็เขียนได้ง่ายๆ ใช้เวลาไม่นาน คนอ่านก็อ่านได้ง่ายๆ
ใช้เวลาไม่นานเหมือนกัน ตรงนี้ก็เป็นรูปแบบที่อาจจะน่าจะอยู่นานที่สุดนะ
รูปแบบอื่นๆอาจจะตามมา แต่ว่ารูปแบบการเขียนเนี่ยผมคิดว่าน่าจะทนที่สุด
คุณสายสวรรค์ : ค่ะ และนี่ก็คือวิธีคิด ประสบการณ์ชีวิต
แล้วก็สิ่งที่คุณดังตฤณอยากจะฝากไว้สำหรับคุณผู้ชมในคืนนี้นะคะ
หยิบประเด็นได้หลายๆประเด็นตั้งแต่ช่วงต้นรายการมาจนถึงตอนนี้ค่ะ
ท่านไหนรู้สึกอย่างไร มุมมองไหนของคุณดังตฤณที่พูดออกมาแล้วไปตรงกับใจท่าน
ตรงกับการรับรู้ หรือว่าตรงกับปัญหาที่ท่านกำลังหาคำตอบอยู่พอดีนะคะ
ดิฉันเชื่อว่านำไปเป็นแรงบันดาลใจ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ค่ะ
เสียดายเวลาน้อย ถ้ามีโอกาสจะต้องมาขอความรู้ แล้วก็ขอวิธีคิดดีๆแบบนี้ใหม่นะคะ
ขอบพระคุณมากๆค่ะ
คุณดังตฤณ : ครับ สวัสดีครับคุณหนิง
คุณสายสวรรค์ : ค่ะ คืนนี้คุณศรันย์หรือว่าคุณดังตฤณ และดิฉันลาไปก่อนนะคะ
ราตรีสวัสดิ์ค่ะ