วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2563

ถ้าเราตัดตัณหาได้ เราก็จะไม่เกิดอีกใช่ไหมคะ?


ดังตฤณ :  ใช่ครับ แต่ไม่ใช่ง่ายๆนะ คือถ้าหากว่าเราสามารถคิดเองได้ หรือว่ารู้วิธีเองได้ คงไม่ต้องรอพระพุทธเจ้ามาอุบัตินะครับ อย่างการที่ท่านสอน ท่านสอนแบบเป็นขั้นเป็นตอนนะครับ ขึ้นมาเนี่ยก็ให้ทำความเข้าว่าอะไรๆมันไม่เที่ยง คือการที่เห็นกายเห็นใจนี้ไม่เที่ยง หรือว่าแสดงความไม่ใช่ตัวตนเนี่ย อันนี้ก็เป็นการดับอุปาทาน

คือพูดง่ายๆว่าเป็นหนังชั้นนอกของตัวตัณหา แต่ตัวที่เป็นแก่นตัณหาจริงๆมันลงลึกไปถึงระดับของอวิชชา ซึ่งมันเห็นได้ยากมาก

แล้วก็ถ้าฆ่าอวิชชาไม่ได้ ตัณหาไม่มีทางจบ เพราะแม้แต่พระอนาคามีนะครับ แค่มีจิตที่ดีๆหรูๆเลยเนี่ยแค่นั้นติดได้แล้ว พอยึดติดมีอุปาทานว่าจิตน่ามีเป็นของดี แล้วอยู่ยั้งยั่งยืนเป็นกัปเป็นกัลป์ได้เนี่ย ไปเป็นพรหมชั้นสูงนะครับ อยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์เนี่ยแค่นั้นก็เป็นอุปาทานที่ก่อให้เกิดตัณหาเกิดนันทิ ตัวความพอใจในจิตแบบนั้น ต่อเมื่อเลิกพอใจในจิตแบบนั้น เลิกกลัวว่าจะไม่มีจิตได้ นั่นแหละตรงนั้นแหละที่ถึงทำลายตัณหาได้เด็ดขาด

ตัณหาขั้นสุดท้ายเป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมากลึกซึ้งมากนะครับ คือคำตอบสำหรับคำถามนี้คือใช่ แต่ไม่ใช่คิดว่าเราจะหยุดตัณหาแล้วก็จบนะครับ

หรือแม้กระทั่งอย่างที่พระพุทธเจ้า หรือว่าศาสดาอื่นๆเคยทดลองมาหมดแล้ว มากัดลิ้นทำให้ตัวเองเป็นทุกข์อยู่เป็นปีๆอะไรต่างๆ ทำให้เกิดความรู้สึกว่า ร่างกายอันนี้เป็นของไม่น่าเอา เป็นของไม่น่ามี มันก็ไม่ใช่ที่จะดับตัณหาได้

การดับตัณหามีวิธีการ ซึ่งพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถรู้ว่าทำยังไงนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะทำคลิปให้ดูในคลิปสุดท้ายที่เกี่ยวกับเรื่องของสังสารวัฏ

-----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส อุทิศให้ เคววิน
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ถ้าเราตัดตัณหาได้ เราก็จะไม่เกิดอีกใช่ไหมคะ?                           
ระยะเวลาคลิป           ๒.๓๕ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=6dkm90StgmI&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=14

** IG **

สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ


ดังตฤณ :  เอาล่ะวันนี้นะครับ เดี๋ยวเรามาสวดมนต์ตบท้ายกันอย่างเคยนะครับ ขอให้ใช้หูฟังนะครับ ถ้าใครยังไม่เคยมาก่อนร่วมสวดมนต์ เดี๋ยวจะมีเทคโนโลยีทางเสียงนะครับ เป็นคลื่นสมาธิ มาช่วยให้จิตของคุณมีความสงบในขณะสวดมนต์ อันนี้จูนไว้โฟกัสไว้เฉพาะเลย ถ้าสวดอิติปิโสช้าๆจะรู้สึกเลยว่า มันมีความกลมกลืนกับเสียงสติที่จะเปิดให้ฟังต่อไปนี้ เอาล่ะนะครับเดี๋ยวเรามาเริ่มกัน

คุณดังตฤณนำสวดมนต์โดยใช้ ))เสียงสติ(( ช่วยสวดมนต์

เดี๋ยวสัปดาห์หน้าจะพยายามไม่ให้ผิดพลาดนะครับ เพราะว่าอย่างที่รับปากไว้นะครับ คลิปเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทจะทำให้ได้ภายใจเดือนนึง ก็น่าจะสัปดาห์หน้านะครับ แล้วถัดจากนั้นก็จะเป็นคลิปสุดท้ายของลอทนี้ของคลื่นปัญญา จะเป็นเรื่องของการพิจารณากายใจหนึ่งโดยความเป็นห่วงโซ่ของสังสารวัฏว่าเราจะตัดออกไปได้ยังไงด้วยวิธีไหนนะครับ

เอาล่ะครับคืนนี้ก็ขอร่ำลากันที่ตรงนี้ ถ้าใครสวดมนต์แล้วเกิดจิตที่สว่าง จิตที่โล่ง จิตที่สบายพร้อมจะแผ่เมตตาก็ขอให้แผ่เมตตา ทั้งสำหรับสิ่งมีชีวิตที่เราสามารถเห็นได้ด้วยแก้วตาเปล่า แล้วก็อะไรก็ตามที่เรามองไม่เห็นด้วยตา แต่ว่าสัมผัสได้ด้วยใจว่ามีการอนุโมทนาได้จริงมาจากฝั่งโน้นนะครับ ก็ขอให้แผ่เมตตาออกไปทุกทิศทุกทาง แล้วก็มีความสุขโดยทั่วกันครับ

ราตรีสวัสดิ์ครับ

-----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส อุทิศให้ เคววิน
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ช่วง                              สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ                         
ระยะเวลาคลิป           ๔.๒๐ นาที
รับชมทางยูทูบ               https://www.youtube.com/watch?v=wzWxRpzW504&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=16

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2563

(เกริ่นนำ) ความต่างระหว่างพระโสดาบันกับพระอรหันต์


ดังตฤณ :  สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านคืนวันเสาร์สามทุ่ม

เมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็ได้พูดกันเกี่ยวกับเรื่องของปฏิจจสมุปบาทไปนิดนึง อย่างน้อยเราได้เห็นนะครับว่า หน้าตาของปฏิจจสมุปบาทเรียงมาตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาณอะไรต่างๆ แล้วก็ได้ทำความเข้าใจกันไปเล็กน้อยในเบื้องต้นนะครับว่า จริงๆแล้วมันไม่ใช่ว่า อะไรเป็นต้นเหตุของอะไรตามลำดับ เหมือนกับต้องมีสิ่งนี้แล้วอีกสิ่งนั้นถึงจะเกิด แต่ว่ามันเป็นการอิงอาศัยกัน เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน แล้วก็สลับขั้วกันได้ ยกตัวอย่างเช่น บุญเป็นตัวที่ทำให้วิญญาณเกิดขึ้น วิญญาณดวงแรกเกิดขึ้น แล้ววิญญาณก็ต้องอาศัยนามรูป คือก้อนเลือดก้อนเนื้อในท้องมารดา แล้วก็ในขณะเดียวกัน ถ้าไม่มีก้อนเลือดก้อนเนื้อในท้องมารดาวิญญาณก็มาหยั่งลงไม่ได้ อะไรแบบนี้เรียกว่า ปัจจัยอิงกันและกัน ที่ทำให้กันและกันสามารถเกิดขึ้นได้

ที่นี้ถ้าเราเข้าใจลึกซึ้งไปอีกนิดนึง อย่างที่เดี๋ยวจะทำออกมาเป็นคลิปนะครับ ก็คือที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กรรมเหมือนผืนนา เปรียบเหมือนผืนนา แล้วก็วิญญาณเปรียบเหมือนพืชที่บนอยู่ผืนนา แล้วก็ตัณหาเปรียบเหมือนกับยางพืช หรือว่ายางเหนียวที่มันจะอยู่ในเมล็ดพันธุ์ของพืชแล้วก็นำไปปลูกต่อได้

ซึ่งตรงนี้ถ้าเข้าใจในระดับที่มองเห็นจากตัวเองเลยนะครับ คือพอปฏิบัติมาตามลำดับ ตามกายานุปัสสนาถึงสุดทางของกายานุปัสสนา เห็นกายเป็นของเกิดดับเป็นธรรมดา แล้วจิตมีความเป็นอิสระจากกาย แล้วก็มีปัญญาเห็นธรรมชาติของกายว่า เกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา ก็จะเห็นลึกลงไปอีกชั้นหนึ่งว่า ก่อนที่จะเกิดกายต้องมีเหตุ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้อาศัยกายนี้เป็นเครื่องพิจารณา เครื่องเจริญปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมก็ยกมา

ทีนี้พอเราสามารถเห็นได้อย่างนี้แล้วเนี่ย มันก็จะอีกนิดเดียวต่อยอดไปนะครับ มันจะรู้เลยว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตัณหาเปรียบเหมือนกับยางเหนียว หรือว่าตัวที่จะเชื่อมให้กายนี้ เมื่อดับลงไปแล้วเนี่ย เกิดกายหน้าขึ้นมาได้ใหม่ เหมือนกับพืชที่งอกขึ้นมาใหม่บนผืนนาคือกรรม ทำกรรมอะไรไว้ก็จะต้องงอกเงยขึ้นมาจากพื้นฐานแบบนั้นๆ

ตรงนี้แหละถ้าใครสงสัยอยากรู้ว่า พระโสดาบันกับพระอรหันต์มีความต่างกันอย่างไร ดูจากเงื่อนตรงนี้แหละ เงื่อนของปฏิจจสมุปบาทตรงที่ว่า ถ้าเรามองเห็นว่าปฏิจจสมุปบาทแสดงทั้งความทุกข์ในสายเกิด คือจะต้องเกิดใหม่อีกร่ำไป ถ้าหากว่าตัณหาไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าหากจะตัดวงจรของปฏิจจสมุปบาทก็คือต้องดับตัณหา

ดับตัณหาหมายความว่าอย่างไร ดับตัณหาในความหมายของพุทธนะครับ คือไม่กลับกำเริบขึ้นมาอีกเลย ไม่กลับมีไม่กลับเป็นขึ้นมาอีก ซึ่งตรงนี้แหละที่เราเล็งกัน

ในแบบของพุทธนะครับเป้าหมายสูงสุดก็คือว่าดับตัณหาให้ได้เพื่อตัดวงจรทุกข์ให้ขาดสิ้นเหมือนกับตาลยอดด้วน ที่เมื่อด้วนแล้วไม่สามารถกลับมาต่อ หรือมางอกขึ้นมาใหม่ได้อีก

ลักษณะของเป้าหมายแบบพุทธคือ จะต้องตัดตัณหาแล้วไม่กลับมากำเริบได้อีก ตรงนี้ถ้าเรามองอย่างเข้าใจออกมาจากจิตที่เห็นว่ากายต้องเกิดต้องดับเป็นธรรมดา แล้วการเกิดของกายแต่ละครั้งแต่ละรอบ ก็คือหนึ่งชาติหนึ่งภพ ซึ่งมันเป็นไปตามกรรม

ทีนี้กรรมจะทำอะไรมาเท่าไหร่ก็ตาม ถ้าขาดยางเหนียวคือตัณหาแค่ตัวเดียว เป็นอันว่าเจ๊ากันหมด คือที่เรียกกันว่าอโหสิกรรมเนี่ยนะ ท่านเรียกกันเฉพาะตรงนี้ เดิมศัพท์คำนี้มาจากอย่างนี้นะครับ คือว่ากรรมอะไรเนี่ยที่ทำมาก็แล้วแต่ ถ้าสิ้นตัณหาไป เป็นอันเจ๊ากันเป็นอโหสิกรรม คือพอเสวยกรรมจบในชาติปัจจุบันในร่างนี้ในจิตแบบนี้ จิตดวงสุดท้ายเกิดขึ้นคือจริมจิต

พระอรหันต์เนี่ยพอจิตสุดท้ายดับไปแล้ว จะไม่มีการไปมีปฏิสนธิจิต หรือว่าจิตดวงใหม่ในภพอื่นๆอีกเลย เพราะว่าไม่มีตัณหาเป็นยางเหนียวให้ไปปลูกให้ไปเพาะเมล็ดพันธุ์ต่อได้อีก นี่ตรงนี้พอเราเข้าใจออกมาจากประสบการณ์ คือถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้บรรลุมรรคผล แต่ก็จะเกิดความเชื่อมั่น คือเกิดความแน่วไปทางปัญญารู้แจ้งเห็นจริงว่า อ๋อกายนี้เนี่ยเงื่อนของการเกิดก็คือมีตัณหาพาไป ดับตัณหาได้ แล้วเห็นจริงๆว่าตัณหาหน้าตาเป็นอย่างไร มันก็จะเข้าใจว่า ตราบใดยังมีความชุ่มตัณหา ยังมีความชุ่มยางเหนียวอยู่ในจิตวิญญาณ ตราบนั้นยังไงมันก็ต้องเกิดอีก

แต่ถ้าจะเป็นพระอรหันต์คือ สามารถทำให้ตัณหาดับไป ตรงนี้มันก็จะกลายเป็นการสิ้นทุกข์ กลายเป็นชาติสุดท้าย ซึ่งตัวตัณหาเนี่ย ถ้าเรามองกันแบบคนที่เป็นปุถุชนธรรมดาทั่วไป ที่ยังชุ่มอยู่ด้วยกิเลสมากๆหนักๆ มันจะมองไม่ออก

แต่คนที่ปฏิบัติจนกระทั่งถึงจุดที่เริ่มรู้แล้วว่าจะหายใจเข้า-ออก ให้เห็นลมหายใจเดี๋ยวยาวเดี๋ยวสั้นยังไง เห็นอิริยาบถที่มันกำลังเป็นปัจจุบันยังไง เห็นตับไตไส้พุง เห็นตัวเป็นโครงกระดูกได้ยังไง เห็นว่ากายนี้จะต้องเกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดายังไงเนี่ย อันนี้เนี่ยกลับมาเหมือนกับรับกระทบทางหูทางตา มันจะได้ข้อสังเกตใหม่ที่แตกต่างจากปุถุชนทั่วไป เพราะว่ามีข้อเปรียบเทียบ ตอนที่จิตมันแห้งๆสะอาดๆอยู่ กับตอนที่มันมีเมือกเหนียวของตัณหามาเกาะ เห็นภาพได้ยินเสียง แล้วเกิดความติดใจ เกิดความรู้สึกอยากได้อยากมีอยากดีอยากเป็น มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบนึงว่า เออไอ้ลักษณะยางเหนียวแบบนี้แหละ ที่จะต้องพาเราไปมีร่างใหม่อีก ความเข้าใจตรงนี้มันจะเกิดขึ้นสำหรับคนที่มีฐานในการพิจารณา ในการเจริญสติมาระดับนึงแล้ว

แล้วพอเห็นได้ว่า ตัณหานี่คือเงื่อนที่จะพาเราไปเกิดใหม่ได้ มันก็จะได้ข้อสรุปที่ทำให้เกิดความเข้าใจในธรรมข้ออื่นๆ อย่างเช่นถ้าสงสัยว่า พระโสดาบันกับพระอรหันต์ ท่านต่างกันอย่างไร แล้วเราศึกษาไว้ก่อนล่วงหน้าด้วยความเข้าใจอันนี้ด้วยสุตมยปัญญา แล้วก็ด้วยจินตามยปัญญา คือยังอาจจะไปไม่ถึงในระดับที่ล้างผลาญกิเลส เกิดมรรคจิตผลจิตได้จริง แต่มันก็เกิดความเข้าใจได้ว่า พระโสดาบันยังดับตัณหาไม่ได้ แต่ฆ่าอุปาทานตัวแรกได้ ที่ท่านเรียกกันว่า สักกายทิฏฐิ หรือว่าอัตตวาทุปาทาน ที่มันมีความรู้สึก ที่มันมีความเห็นฝังแน่นหมักหมมอยู่ในขันธสันดานว่า มันจะต้องมีตัวตนของเราอยู่แน่ๆในกายใจนี้

หรือถ้าไม่ได้มีตัวตนอยู่ในกายใจนี้ ก็ต้องมีตัวตนอื่นในภพอื่นภูมิอื่นในอัตภาพอื่น มันฝังใจอยู่อย่างนี้มาชั่วกัปชั่วกัลป์ มันฝังใจในระดับที่ลึกลงไปกว่าความคิด ก่อนที่จะมีความคิดขึ้นมาบอก เออเชื่อมั้ยว่ามีตัวเรา แล้วเราตอบว่าเชื่อเนี่ย นี่ระดับของความคิดเนี่ย มันเป็นแค่ปลายทาง แต่โครตเง้าของความรู้สึก หรือว่าต้นตอความรู้สึกดิบๆจริงๆที่ว่า ต้องมีตัวเราแน่ๆเนี่ย อันนั้นเป็นเหตุความเห็นในส่วนลึกลงไปในระดับของจิตจริงๆ จิตมันเชื่อจริงๆมันยึดจริงๆว่า ต้องมีตัวตน ต้องมีตัวเรา

ทีนี้พระโสดาบันทำไมถึงประหารความเชื่อนี้ได้ ทำไมถึงทำลายอุปาทานข้อแรกนี้ได้ ก็เพราะว่าได้พิจารณากายใจมา จนกระทั่งเห็นว่า กายนี้เกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา รวมทั้งมีความเข้าใจว่า การที่เรามีรูปร่างหน้าตาขึ้นมาแบบหนึ่งๆ มีชะตากรรมแบบหนึ่งๆ ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ แต่เป็นเพราะว่ามีกรรมเก่าแบบหนึ่ง มีกรรมเก่าชุดหนึ่ง มันเสกมันบันดาลมันเนรมิตขึ้นมา ที่มาเข้าท้องแม่เนี่ย นี่ก็ส่วนหนึ่ง ส่วนของความเป็นวิญญาณที่หยั่งลงมาประกบประกอบกับก้อนเลือดก้อนเนื้อ หรือที่เรียกกันเป็นศัพท์ว่านามรูป มีขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ครบ คือมีทั้งความรู้สึกนึกคิด มีทั้งความปรุงแต่งทางใจ แล้วก็มีรูปกายเป็นก้อนเป็นเนื้อ อันนี้รวมแล้วเรียกว่านามรูป

คือพระโสดาบันเนี่ย ปฏิบัติมาจนกระทั่งรู้ว่ากายใจนี้ ยังไงมันก็ต้องดับลงแน่ๆ ไม่ได้คลุมรูปอยู่เป็นตัวเป็นตนเป็นหน้าเป็นตาตามมโนภาพที่มีอยู่ในขณะนี้แน่ๆ แล้วก็จิตเนี่ย ณ ขณะที่เห็นว่ากายใจนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดาเนี่ย ไม่ใช่จิตแบบนึกๆคิดๆธรรมดา แต่ต้องเป็นสมาธิในระดับฌาน

คือถ้ามันถึงฌาน จิตถึงฌานด้วยการเห็นว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา จิตมันจะเห็นทะลุไป เห็นทะลุกายใจนี้ไปพบกับนิพพาน ซึ่งอยู่ตรงหน้านี้แหละ คือไม่ได้อยู่ข้างบน ไม่ได้อยู่ข้างใต้ ไม่ได้อยู่ข้างซ้าย ไม่ได้อยู่ข้างขวา แต่อยู่ตรงหน้าพวกเรานั่นแหละ แต่พวกเรามองไม่เห็น เพราะว่าหูตามันบังไว้ คือแก้วตาคนเนี่ย มันพาให้เราเห็นสิ่งที่มันสามารถเห็นได้ แต่มันเป็นตัวบดบังไม่ให้จิตเห็นนิพพาน

ทีนี้พระโสดาบันสามารถที่จะมีจิตที่ชนะประสาทแก้วตาได้ แล้วก็ไปรู้ไปเห็นอะไรที่มันทะลุออกไปจากความเป็นกำแพงทางกาย กำแพงทางใจนี้ แล้วก็เห็นความว่าง อันเป็นที่สุดนะครับ ซึ่งตรงนั้นก็ถึงได้พ้นความเชื่อไป ก้าวข้ามความเชื่อไปสู่การรู้แจ้งเห็นจริงว่า นิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร

แล้วเปรียบเทียบได้ว่า นิพพานเนี่ยของจริง เพราะจะไม่มีเกิดไม่มีดับ ในขณะที่กายใจนี้มันต้องเกิดมันต้องดับ โลกทั้งใบเนี่ย จริงๆไม่มีความหมายมากไปกว่าการมีกายของเราไปรับรู้โลก เพราะต่อให้ไม่มีโลกใบนี้ กรรมก็จะพาเราไปมีอัตภาพทางกายทางใจในโลกอื่น ที่เหมาะสมกับกรรมของเราอยู่ดี

การที่เรามองเห็นว่าพระโสดาบัน คือผู้ที่กำจัดอุปาทานว่ามีตัวตนเสียได้ ถึงแม้ว่ายังมีตัณหาอยู่ ยังมีราคะ ยังมีโทสะ ยังมีโมหะครบ แล้วก็จะสามารถอนุมานได้ เกิดความเข้าใจขึ้นมาได้ลางๆว่า พระโสดาบันจะเป็นผู้ไม่กลับเปลี่ยนความคิดความเชื่อได้อีกเลย เพราะอะไร เพราะว่าไปเห็นนิพพานแล้ว แล้วก็รู้แล้วว่าวิธีที่จะไปเห็นนิพพานไม่ใช่ด้วยแค่การถือศีล ไม่ใช่แค่ด้วยการให้ทาน แต่ต้องเป็นการเห็นเข้ามาในกายใจ เห็นเข้ามาอย่างลึกซึ้ง จนกระทั่งจิตพ้นจากความเป็นกาย พ้นจากความยึดติดทางกายทางใจออกไป คือคุกเนี่ย ที่มีอยู่เป็นร่างกายกับสภาพจิตใจแบบนี้ เปรียบเหมือนกง

แล้วพระโสดาบันเนี่ย คือสามารถแหกกรงออกไปเห็นท้องฟ้าได้ หรือทำลายกำแพงได้ส่วนนึง จากเดิมที่ปิดทึบหมดเลย มองไม่เห็นท้องฟ้าเลยเนี่ย สามารถรู้ได้ว่า ท้องฟ้าหน้าตาเป็นยังไง ถึงแม้ว่าจะโดนยึดตัวไว้ โซ่ตรวนที่ผูกข้อมือข้อเท้ายังคงอยู่ แต่ก็รู้แล้วว่า ไม่ได้มีแต่สภาพภายในคุก ไม่ได้มีแค่คุกที่นึกว่ามันน่าพอใจอะไรนักหนา จริงๆแล้วท้องฟ้าที่อยู่เกินออกไปจากกำแพงคุกน่าปราถนาน่าพิสมัยมากกว่า

ท่านถึงว่า พระอริยบุคคลจะเป็นผู้ที่รักนิพพาน หมายความว่าคือเห็นแล้วว่า ดีที่สุดคืออย่างไร หน้าตาเป็นยังไง ธรรมชาติที่มีอยู่จริงแล้วก็ไม่เกิดไม่ดับเนี่ยเป็นอย่างไรนะครับ

เพราะฉะนั้นจะไม่มีทางที่พระโสดาบันจะหลงไปเคารพ หรือว่านับศาสดาองค์อื่นที่สอนนอกเหนือจากทางนิพพานเนี่ย เป็นศาสดาของตนอีก

พระโสดาบันก็เลยเป็นผู้ที่มีความเคารพในพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว เพราะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่สอนให้ไปถึงนิพพานได้

แล้วพอข้ามความสงสัยเกี่ยวกับพระศาสดาไปเนี่ย ก็จะไม่มีความลังเลสงสัยด้วยว่า หนทางปฏิบัติจะต้องตั้งความเชื่อยังไง หรือว่าจะต้องถือศีลแบบไหน ที่เขาเรียกว่าเป็นทิฏฐุปาทาน คือมีอุปาทานในทิฏฐิอย่างเช่นว่า ฆ่าสัตว์ไม่เป็นไร หรือว่าจะต้องบูชายัญแพะ บูชายัญแกะ ถึงจะได้ไปสวรรค์ได้ อันนี้พระโสดาบันก็จะข้ามทิฏฐิพวกนี้ไป

หรืออย่างการถือศีลพรต ไปสงสัยมั้ยว่า ถือศีลอย่างไรมันถึงจะมีความกลมกลืน หรือว่ามีแรงผลักดันให้เป็นไปในทางที่จะตรงแน่วสู่นิพพาน อันนี้พระโสดาบันก็จะไม่สงสัย คือมันจะมีศีลอยู่กับจิตประกอบอยู่กับจิต รู้ว่าการไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ไม่ช่อโกง ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวมุสาวาท ไม่โกหกไม่ไปทิ่มแทงให้ใครเจ็บใจเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วก็ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เสพยาอี ตรงนี้ถึงจะเป็นศีลในแบบที่ทำให้จิตเป็นปกติพอที่จะทำให้เกิดสมาธิเห็นนิพพานได้ ทะลุความยึดมั่นในกายใจออกไปได้

ตรงนี้พูดง่ายๆว่า ถ้าเรามามองในแง่ของความเป็นปฏิจจสมุปบาท เมื่อมีตัณหาอยากได้อยากมีอยากดีอยากเป็น อยากเอานั่นเอานี่ อยากมีนั่นมีนี่ อยากมีหน้ามีตา ความอยากเหล่านี้ยิ่งมากขึ้นเท่าไหร่ อุปาทานยิ่งหนาแน่นเหนียวแน่นมากขึ้นเท่านั้น

ทีนี้ถ้าหากว่า กลับกันแล้วทำให้อุปาทานมันเบาบางลง คือเห็นที่ฝึกรู้ความไม่เที่ยงของลมหายใจ รู้ความไม่เที่ยงของอิริยาบถ รู้ความไม่เที่ยงของกายใจทั้งหมดเลย แล้วอุปาทานมันน้อยลง เบาบางลง ตัวตัณหามันก็จะพลอยอ่อนกำลังลงตามไปด้วย

แล้วท่านถึงบอกนะครับว่า เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วก็เที่ยงที่จะตรงดิ่งสู่ความเป็นพระอรหันต์ในวันนึง อย่างช้าที่สุด ๗ ชาติ อย่างเร็วก็ชาตินี้แหละ ที่จะได้บรรลุพระอรหันตผลต่อไปในขั้นต่อไป

ตรงนี้คุณก็จะมีความเข้าใจในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่ท่านบอกว่า ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน ให้อุปาทานตั้งอยู่ได้ ในขณะเดียวกันอุปาทาน ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ตัณหามันยืดเยื้อต่อได้เหมือนกัน

คนเราเนี่ยถ้าเป็นปุถุชนนะ มีอุปาทานยึดมั่นอยู่ว่า กายนี้ของเรา ต่อให้อยากฆ่าตัวตายขึ้นมา แล้วมีความรู้สึกขึ้นมาว่ากายนี้ของเรา ใจนี้ของเรา ถ้ามันดับลงถ้ามันแตกพังลงได้ ทุกข์ก็จบ เนี่ยอันนี้คืออุปาทานแล้ว คือมันไม่รู้ไงว่าจริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอยู่แค่กายนี้ใจนี้ ตราบใดยังมียางเหนียวอยู่ ยังมีอุปาทานอยู่ ตราบนั้นตายไป มันก็ต้องไปเกิดใหม่ตามกรรมที่สะสมไว้ในชีวิตปัจจุบัน

อันนี้เดี๋ยวพอทำคลิป ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับตามที่ได้รับปากไว้ตั้งแต่เริ่มทำนะครับ คลิปต่อไปเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท คาดว่าสัปดาห์หน้าน่าจะเสร็จ แล้วก็คลิปถัดจากนั้นไป เป็นคลิปการฝึกรู้กายใจหนึ่งในสังสารวัฏ คือเห็นกายใจนี้เป็นห่วงโซ่หนึ่งของสังสารวัฏ แล้วก็จะพูดถึงเรื่องของการดับตัณหา หรือว่าทำลายอุปาทาน ที่มันเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้เนี่ย แล้วนึกว่ากายนี้ใจนี้ มันเป็นตัวเราอยู่แน่ๆ ถ้าไปถึงตรงนั้นแล้วถ้าฝึกไปถึงตรงนั้นได้เนี่ย มันจะมองไปอีกแบบนึงเลยนะครับ พลิกกลับอย่างสิ้นเชิง มันจะมองไปว่า กายนี้ใจนี้คือเหยื่อล่ออีกครั้งนึง แล้วทุกคนที่เกิดมาเนี่ยนะครับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์จะต้องตะครุบเหยื่อ หรือว่างับเหยื่อล่อนั้น นึกว่ามันเป็นกายของเราใจของเรา หรือนึกว่ามันจะต้องมีกายอื่นใจอื่น ที่เป็นตัวของเรารออยู่แน่ๆ

เอาล่ะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะครับ หวังว่าสัปดาห์หน้าคงจะเสร็จ เพราะจริงๆแล้วก็สิ่งที่สัญญาไปคลิปที่ผ่านมาทั้งหมดนี่คือ งานที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมเลยนะครับ ที่ทำมาทั้งหมดคือเทียบไม่ได้กับที่ทำคลิปที่ผ่านมานี้เลย

--------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส อุทิศให้เคววิน
วันที่ไลฟ์                  ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน                             (เกริ่นนำ) ความต่างระหว่างพระโสดาบันกับพระอรหันต์
ระยะเวลาคลิป           ๒๒.๔๕ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=kNNIHkv4H7Y&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=15

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563

สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ



ดังตฤณ :  มาสวดมนต์ใช้เสียงสติช่วยให้ใจโฟกัสอยู่กับบทสวดง่ายๆนะครับ แล้วก็ถ้ามีความรู้สึกว่า ใจสงบลงมีความแผ่กว้าง มีสุขมีปิตินะครับ เราก็แผ่เมตตาร่วมกัน แผ่เมตตาให้กับสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ตาม หรือว่าเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่าก็ตาม พอคุณมีสมาธินะ พอใจคุณว่างๆ โล่งๆ แล้วรู้สึกถึงพื้นที่ว่างรอบตัวได้เนี่ย ตรงนั้นจิตมีพลังนะครับ แล้วก็คุณจะสัมผัสได้เลยทีเดียวนะครับว่าถ้าแผ่ออกไป แผ่บุญแผ่กุศลนั้นเกิดจากสมาธิ ณ ขณะนั้นนะครับ จะมีสิ่งที่รับได้รออยู่รอบๆจริงๆนะครับ

วิธีแผ่เมตตาง่ายๆ ก็คือทอดตาไปสบายๆๆนะครับ ให้โฟกัสเนี่ยเหมือนกับไปข้างหน้า ตานิ่งๆแล้วก็ไม่บีบไปที่จุดใดจุดหนึ่ง แต่ให้แผ่ขยายออกเหมือนกับเรามองท้องฟ้า หรือมองขอบทะเลนะครับ

เดี๋ยวเราเริ่มกันเลยนะครับ ต้องใช้หูฟังนะครับ สำหรับบางท่านอาจจะไม่เคยมาร่วมสวดมนต์กันตรงนี้ อันนี้เป็นเสียงเรียกร้องจากคนที่ดูอยู่นะ อันนี้ก็เหมือนกลายเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่า ก่อนปิดรายการเราก็มาสวดมนต์ร่วมกัน เอาล่ะครับเริ่มเลยนะครับ

คุณดังตฤณสำสวดมนต์โดยใช้ ))เสียงสติ(( ช่วยสวดมนต์

ก็ผ่านไปนะครับสำหรับคืนนี้ที่เรามาคลี่ปมการเจริญปติจจสมุปบาท คลายความสงสัยเบื้องต้นก่อนว่า การเจริญปฏิจจสมุปบาทเป็นการเอามาทำได้จริง หรือว่าเป็นแค่การฟังเล่นๆนะครับ ถ้าหากว่าท่านใดยังไม่เคยเห็น คลิปคลื่นสมาธิ คลื่นปัญญา ยังไม่รู้จักเสียงสติ ก็ขอแนะนำให้เข้าไป จำง่ายๆเลย www.เสียงสติ.com

คืนนี้ก็คงจะร่ำลากันแต่เพียงเท่านี้ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

-------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ช่วง                              สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ                         
ระยะเวลาคลิป           ๕.๐๓ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=jcBlgXVJ8FY&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=23

เคยนั่งสมาธิแล้วร่างกายหายหมด เหลือจิตดวงเดียว เพราะเหตุใดเราจึงยึดกายบ้างปล่อยบ้างคะ?


ดังตฤณ :  เพราะว่ากำลังของสมาธิมันไม่เท่ากันนะครับ ความปรุงแต่งทางจิตเนี่ย ถ้าไม่เท่าเดิม มีปัจจัยแตกต่างมันก็หลุดบ้างไม่หลุดบ้าง ยึดบ้างไม่ยึดบ้างเป็นธรรมดานะครับ ก็พิจารณาไปว่า แม้อาการทางใจในขณะปฏิบัติก็มีเหตุและปัจจัย แล้วก็ไม่เที่ยง เราดูไปโดยความเป็นอย่างนั้น อย่างไปแคร์ว่า นี่ฉันทำได้หรือทำไม่ได้ เพราะตรงที่ฉันทำได้ฉันทำไม่ได้นี่แหละ ตัวนั้นแหละเป็นอุปาทานในอัตตา นึกว่ามีตัวเราที่เป็นเจ้าของจิต ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง

แต่พอพิจารณาไปอย่างมีสติ อย่างมีปัญญาประกอบนะว่า จิตเนี่ยไม่ว่าอยู่ในสภาวะไหนมันก็เกิดจากเหตุปัจจัย แล้วพอเหตุปัจจัยหมด จิตแบบนั้นก็หายไปคลี่คลายกลายเป็นจิตแบบอื่น เนี่ยดูโดยความเป็นอย่างนี้ไปเนี่ย ตัวเราหรือว่าอุปาทานว่ามีตัวฉัน มันจะหายตามไปด้วยนะครับ

--------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         เคยนั่งสมาธิแล้วร่างกายหายหมด เหลือจิตดวงเดียว เพราะเหตุใด
                              เราจึงยึดกายบ้างปล่อยบ้างคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๑.๑๐ นาที
รับชมทางยูทูบ             https://www.youtube.com/watch?v=1ijQ7La9xeY&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=1

การฝึกถอดกายทิพย์ทำได้จริงไหมครับ?


ดังตฤณ :  จริงครับ พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันไว้นะครับ ลองดูนะครับ ลองไปดูในพระไตรปิฎก ท่านพูดถึงว่า ถ้าได้จตุตถฌานแล้ว ก็สามารถเอากายออกไปโน่นไปนี่ได้ตามใจชอบอะไรแบบนี้นะครับ คีย์เวิร์ดจตุตถฌานนะครับ ไม่แน่ใจว่ามีคำว่าถอดหรือเปล่าในพระไตรปิฎกนะครับ แต่ว่าเอากายออกไปได้ เอากายในออกไปได้นะครับ

----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         การฝึกถอดกายทิพย์ทำได้จริงไหมครับ?
ระยะเวลาคลิป           ๐.๓๕ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=m9GlUE4_gk0&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=4

นั่งสมาธิแล้วเกิดจิตอิ่มเอิบ เบาสบาย ความรู้สึกแผ่กระจายออกไปเนืองๆ แต่จิตไม่ติดสุข เป็นแบบนี้มาหลายปี ต้องต่อยอดยังไงคะ ให้ละเอียดขึ้น?


ดังตฤณ :  ถ้าทำมาได้ถึงตรงนี้เนี่ย อยากให้มองว่าสภาวะของใจเวลาที่มันนิ่ง มันสงบ มันมีความใสอยู่แค่ไหน แล้วใสอยู่อย่างนั้นได้กี่ลมหายใจ ได้นานประมาณไหน ก่อนที่มันจะขุ่นๆทึบๆขึ้นมา หรือใสเบาไปกว่านั้นอีก จนกระทั่งไม่เหลืออะไรเลย คือเห็นความไม่เที่ยงของจิตได้เนี่ย ก็จะเริ่มย้อนกลับมาเห็นความไม่เที่ยงของความคิดที่ปรุงแต่งขึ้นมาเป็นความฟุ้งซ่านชั่วขณะเช่นกันนะครับ

เริ่มจากการเห็นว่าจิตไม่เที่ยงได้ คุณจะรู้สึกว่า ความคิดที่มาปรุงแต่งจิตก็ไม่เที่ยงเช่นกัน ต่อยอดด้วยการตั้งมุมมองไว้แบบนี้ก็แล้วกัน

------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         นั่งสมาธิแล้วเกิดจิตอิ่มเอิบ เบาสบาย ความรู้สึกแผ่กระจายออกไปเนืองๆ 
                              แต่จิตไม่ติดสุข เป็นแบบนี้มาหลายปี ต้องต่อยอดยังไงคะ ให้ละเอียดขึ้น?
ระยะเวลาคลิป           ๑.๐๙ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=7izV1VwMaDs&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=5

ถ้าปรุงอาหารถวายพระ ชิมอาหารเพื่อปรุงรสบาปไหมคะ?


ดังตฤณ :  ไม่บาปนะ เราไม่ได้เจตนาที่เอาของพระมาใช้ แต่ว่าเจตนาจะใช้อุปกรณ์การปรุงรส ซึ่งก็คือร่างกายของเราเอง มาเป็นตัวช่วยทำให้อาหารมีรสชาดดี

จริงๆแล้ว พระเนี่ยตามวินัยแล้ว ท่านไม่สามารถที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์หรือว่า เอาอร่อยเอาไม่อร่อยอะไรได้นะครับ

แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็ตรัสแนะสำหรับฆราวาสนะ ถวายของประณีต ถวายของที่เลิศรสถือว่าเป็นบุญทั้งนั้น อันนี้คือก็เป็นหน้าที่ของท่านว่า ท่านจะต้องไปพิจารณาว่า รสชาดหรือว่าความเอร็ดอร่อยของอาหารมันเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเพลิดเพลิน พระพุทธเจ้าเคยตรัสแนะไว้ให้คิดว่า เหมือนกินเนื้อศพลูกที่เดินทางข้ามทะเลทรายมาด้วยกันแล้วยังไม่พ้น พอลูกตายก็ต้องเอาเนื้อของลูกมากิน ท่านให้พิจารณาอย่างนั้นเลยนะครับสำหรับในแง่ของพระ

แต่ในแง่ของเราเนี่ยโอเค ถ้าอยากจะถวายของที่ประณีตของที่ดีเนี่ย แล้วการชิมบ้างนิดๆหน่อยๆไม่ถือว่าเป็นการขโมยของพระมาเอามากินของเราเองนะครับ จิตเจตนาของเราคือ ใช้ลิ้นตัวเองเป็นส่วนประกอบในการปรุงรสอาหารนะครับ

-----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                       แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ถ้าปรุงอาหารถวายพระ ชิมอาหารเพื่อปรุงรสบาปไหมคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๑.๔๓ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=vnzmezj7cFM&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=6

เวลาปฏิบัติทั้งเดินจงกรม และนั่งสมาธิจะง่วงเป็นตลอดช่วงนี้ จะทำอย่างไรคะ รู้สึกสติอ่อนกำลัง?


ดังตฤณ :  พระพุทธเจ้าก็ตรัสแนะไว้หลายอย่างนะครับ ซึ่งแสดงว่าท่านไม่ได้จำกัด อย่างเช่น ถ้าง่วงสมัยพุทธกาลนั้น ท่านบอกให้ออกไปดูดาว แหงนคอดูดาว ล้างหน้า ล้างหน้าเสร็จแล้วออกไปแหงนคอดูดาว หรือว่าพูดง่ายๆให้จิตมันเปิดกว้าง

หรือว่าทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ให้มันมีความตื่นตัวมากขึ้น อย่างถ้าคนเคยเป็นสมาธิ ท่านก็จะให้ใช้อุบายพิจารณาว่า ตอนนี้กำลังเป็นกลางวันอยู่ พอรู้สึกว่า เออตอนนี้กลางวันอยู่มันก็นึกถึงแสงใช่ไหม จิตพอนึกถึงมันก็เปล่งแสงออกมา แล้วก็หายง่วงอะไรแบบนี้

อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เราเนี่ย จิตเปิดขึ้นกว้างขึ้นกว่าเดิม มีความสว่างกว่าเดิม นั่นน่ะมันหายง่วง แล้วก็แก้ง่วงได้หมดนะครับ

-----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         เวลาปฏิบัติทั้งเดินจงกรม และนั่งสมาธิจะง่วงเป็นตลอดช่วงนี้ 
                             จะทำอย่างไรคะรู้สึกสติอ่อนกำลัง?
ระยะเวลาคลิป           ๑.๐๒ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=wuLZDfZZ7mQ&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=8

ทำอย่างไรจึงจะภาวนาได้ก้าวหน้าทางธรรม?


ดังตฤณ :  เข้าไปที่นี่นะครับที่ www.เสียงสติ.com จะมีคลิปคลื่นปัญญาอยู่ ให้คลิกที่ปุ่มคลื่นปัญญา แล้วก็จะเห็นคลิปแรกๆเลยนะครับ ดูมาตั้งแต่ต้นเลย ตั้งแต่คลิปแรกสำคัญเลย จะจัดตั้งอุปกรณ์ยังไง อันนี้เป็นเครื่องช่วยที่จะช่วยให้รู้ลมหายใจได้ง่ายๆสำหรับมือใหม่นะครับ ฝึกที่จะหายใจยาวให้เป็น แล้วก็ฝึกที่จะรู้ว่ากำลังหายใจสั้นอยู่

ถ้าหากว่ารู้ได้มีสติได้ว่า กำลังหายใจยาวหรือหายใจสั้นอยู่ อันนั้นแหละมันจะเป็นบาทฐาน มันจะเป็นบันไดที่สำคัญมากๆ ที่จะทำให้คุณรู้เข้ามาที่กายใจได้อย่างละเอียดนะครับในที่สุด แล้วก็เป็นสมาธิแบบที่คุณนึกไม่ถึงเลยด้วย

ถ้าใครจะปรารถนาอะไรก็แล้วแต่ แล้วฝึกเริ่มต้นจากการรู้ลมหายใจสั้นและลมหายใจยาวให้เป็น ผมรับประกันนะครับ อันนี้จริงๆแล้วการรับประกันจากพระพุทธเจ้านะครับว่า จะได้กรรมฐานทั้งปวงรวมมาอยู่ที่ในนั้น โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากเหมือนกับแนวอื่นๆนะครับ แนวทางในศาสนาหรือว่าลัทธิอื่นๆ

----------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ทำอย่างไรจึงจะภาวนาได้ก้าวหน้าทางธรรม?
ระยะเวลาคลิป           ๑.๒๗ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=0PJA8idDhq4&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=10

นั่งสมาธิไม่ได้เลย แต่เดินซ้ายให้รู้ซ้าย เดินขวาให้รู้ขวาได้เป็นชั่วโมง ถือว่าเป็นสมาธิได้ไหม คะ?


ดังตฤณ :  ได้ครับ ก็เรียกว่าเป็นการมีสติรู้อยู่กับอิริยาบถการเคลื่อนไหวของกาย ถ้าหากว่ารู้อะไรได้นาน ก็แสดงว่าคุณถูกจริตกับสิ่งนั้นนะครับ

----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         นั่งสมาธิไม่ได้เลย แต่เดินซ้ายให้รู้ซ้าย เดินขวาให้รู้ขวาได้เป็นชั่วโมง 
                              ถือว่าเป็นสมาธิได้ไหมคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๐.๒๒ นาที
รับชมทางยูทูบ             https://www.youtube.com/watch?v=tiDlwTKD7XM&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=11

เคยนั่งสมาธิแล้วปีติจนน้ำตาไหล มีความสุขมาก แต่เมื่อพยายามจะเข้าถึงอีก ทำไมทำไม่ได้เลยครับ?


ดังตฤณ :  ก็เพราะว่าคุณไม่ได้ทำเหตุให้เข้าถึงสมาธิ คุณสร้างเหตุด้วยการเอาความอยากเป็นตัวตั้ง แล้วก็เอาของเก่ามาพยายามก็อปปี้ อันนั้นไม่ใช่เหตุของสมาธิ เหตุของสมาธิตอนนั้นถ้าคุณนึกได้นะ ใจคุณจะว่างๆ ใจคุณจะสบายๆ ปล่อยตามเหตุปัจจัยนะครับ แล้วก็มีสติรู้ดูไป จนกระทั่งมันเข้าสู่จุดที่มันจะรวมกันได้ แล้วก็มีปีติขึ้นมาได้

อันนี้คือ ถ้าทบทวนดูเหตุในของเก่า ไม่เอาผลในของเก่ามาพยายามก็อปปี้ ในที่สุดคุณก็จะได้สมาธิแบบเดิมอีกนะครับ

--------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         เคยนั่งสมาธิแล้วปีติจนน้ำตาไหล มีความสุขมาก แต่เมื่อพยายาม
                              จะเข้าถึงอีก ทำไมทำไม่ได้เลยครับ?
ระยะเวลาคลิป           ๐.๕๓ นาที
รับชมทางยูทูบ             https://www.youtube.com/watch?v=5iCGKLq0y2I&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=12  

วันจันทร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2563

เมื่อปฏิบัติละเอียดแล้ว เมื่อยังต้องอยู่กับทางโลก ทำให้คิดงานไม่ค่อยออก เพราะรู้ว่าเป็นสังขาร ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ?


ดังตฤณ :  ถ้าสติมีความเจริญขึ้นจนรู้สึกเบื่อโลก อันนั้นก็เป็นความก้าวหน้าว่า เราก้าวมาไกลระดับหนึ่ง แต่ถ้าก้าวไปไกลกว่านั้นอีกนิด เราก็จะเห็นว่าแม้ความเบื่อ ที่บอกว่าคิดงานไม่ออก หัวตันๆ หรือว่ารู้สึกสภาพจิตมันเหมือนอู้ๆ มันอึดอัดอะไรอยู่ข้างไนมันกดๆอยู่ข้างในเนี่ย เหมือนมีเบรคมาห้ามไว้ไม่ให้ทำอะไรต่อแบบโลกๆเนี่ย นั่นก็เป็นสภาวะปรุงแต่งชนิดหนึ่ง นั่นก็คือการปรุงแต่งจิตแบบหนึ่งนะครับ ถ้าหากว่ารู้ได้บ่อยๆ แล้วก็ไม่ยอมเบรคอยู่กับมัน ในที่สุดคุณจะหลุดจากมันนะครับ

--------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         เมื่อปฏิบัติละเอียดแล้ว เมื่อยังต้องอยู่กับทางโลก 
                              ทำให้คิดงานไม่ค่อยออก เพราะรู้ว่าเป็นสังขาร
                              ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ?
ระยะเวลาคลิป           ๐.๕๗ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=rI_MB12Idg0&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=13

อยากศึกษาเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ มีหนังสือหรือสื่ออะไรแนะนำไหมครับ?


ดังตฤณ :  ลองเสิร์ชหาในกูเกิลนะครับ เข้าไปที่นี่ก็ได้ที่ dungtrin.com ให้แอดมินช่วยลิงค์ให้แล้วกัน ผมเขียนไว้นานแล้ว มหาสติปัฏฐานสูตรนะครับ

-----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         อยากศึกษาเรื่อง สติปัฏฐาน ๔ มีหนังสือหรือสื่ออะไรแนะนำไหมครับ?
ระยะเวลาคลิป           ๐.๑๙ นาที
รับชมทางยูทูบ          https://www.youtube.com/watch?v=TG7q066wpK4&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=16

(ฟีดแบค) เวลาฟังเสียงสติไปพร้อมกับการทำสมาธิ จิตรับรู้สึกว่า กายเราเบาไม่หนัก ค่อยๆเบาและ ละเอียดชัดเจน


ดังตฤณ :  ครับ ขอบคุณสำหรับฟีดแบคนะครับ

-------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๘ เมษายน ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ฟีดแบค                        เวลาฟังเสียงสติไปพร้อมกับการทำสมาธิ จิตรับรู้สึกว่า 
                              กายเราเบาไม่หนัก ค่อยๆเบาและละเอียดชัดเจน
ระยะเวลาคลิป            ๐.๑๐ นาที
รับชมทางยูทูบ              https://www.youtube.com/watch?v=DTj8CZpuLkY&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=19