วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ

 ดังตฤณ :  สำหรับคืนนี้เราก็มาเข้าสู่ช่วงท้ายนะครับ มาสวดมนต์ร่วมกัน มาสวดอิติปิโสด้วยกันนะครับ สำหรับท่านที่อาจจะยังไม่เคยมาถึงช่วงท้ายของรายการ เดี๋ยวเราจะมาสวดมนต์โดยอาศัยเทคโนโลยีทางเสียง ต้องใช้หูฟังนะครับ แอล(L)เข้าซ้าย อาร์(R)เข้าขวา พอสวดไปด้วยแล้วฟังไปด้วยมันจะมีสมาธิมากขึ้น เพราะออกแบบมาเพื่อให้สวดมนต์ได้นิ่งขึ้นโดยเฉพาะนะครับ เรามาเริ่มกันเลย

 

คุณดังตฤณนำสวดมนต์
โดยอัญเชิญ พระบูรณพุทธ เป็นพระประธาน
และใช้ ))เสียงสติ(( ช่วยสวดมนต์




ก็จบลงสำหรับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านคืนนี้นะครับ ในหัวข้อที่ว่า ทำยังไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย เอาล่ะถ้าคืนวันเสาร์หน้าเราพร้อมด้วยกัน ก็กลับมาพบกันใหม่นะครับ

สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

----------------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

ช่วง     : สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ

ระยะเวลาคลิป    ๓.๒๖ นาที
รับชมทางยูทูบ       https://www.youtube.com/watch?v=ozhc3MJBA-A&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=9

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ก่อนตาย..มีใจที่สงบนิ่งอยู่ไม่หวาดวิตกอะไรเลย ถามว่าตายไปตอนนั้นจะไปดี หรือไม่ดีอย่างไร?

 ดังตฤณ :  มันจะไม่มีแค่ความสงบ ในขณะตายมันจะมีกรรมนิมิต หรือว่ามีคตินิมิตอย่างใดอย่างหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ส่วนใหญ่ถ้าตายด้วยความไม่ห่วง ไม่กังวล มีความรู้สึกดีๆ มักจะมีกรรมนิมิตในทางที่เป็นบุญกุศล ตั้งแต่เด็กจนโตจนแก่ ระดมเข้ามาเป็นชุดเลย เป็นปืนกลให้เรานึกถึงแต่อะไรดีๆ สิ่งดีๆที่เราทำมา จะนึกไม่ออกว่าเคยทำอะไรไม่ดีไว้บ้าง

หรืออาจจะมีแสงสว่างจ้าขึ้นมา ไม่มีกรรมนิมิต มีแต่นิมิตของสวรรค์วิมาน หรือว่าทิพยสมบัติอันคู่ควรแก่บุญที่เราสะสมมากองอยู่ หรือว่าอาจจะเห็นลักษณะเห็นอยู่ลิบๆเห็นอยู่รำไรว่า เรากำลังจะพุ่งตรงไปสู่สิ่งนั้น อันนี้ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ใจที่นิ่งที่สงบมันจะดึงดูดของดีเข้ามา จำไว้ง่ายๆก็แล้วกัน

------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม : ก่อนตายหากเราดูลมหายใจเข้า-ออก จนลมหายใจไม่รู้สึก และร่างกายนี้ก็ไม่มี มีใจที่สงบนิ่งอยู่ ไม่หวาดวิตกอะไรเลย ถามว่าตอนตายตอนนั้นจะไปดี หรือไม่ดีอย่างไร?

ระยะเวลาคลิป    ๑.๓๓ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=-qjoopSin2g&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=1

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ก่อนจะตายควรระลึกถึงบุญที่เคยทำมาหรือการภาวนาบริกรรมพุทโธ อย่างไหนดีกว่ากัน?

 ดังตฤณ :  สังเกตใจตัวเองว่าอันไหนมีความรู้สึกปลื้มกว่ากัน อันไหนมีความชุ่มชื่นกว่ากัน อันไหนมีความรู้สึกเป็นสมาธิได้มากกว่ากันนะครับ จำตรงนี้ไว้เป็นหลัก มันไม่มีตายตัวหรอกว่าอะไรดีกว่ากันนะครับ

-------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม : ก่อนจะตายควรระลึกถึงบุญที่เคยทำมาหรือการภาวนาบริกรรมพุทโธ อย่างไหนดีกว่ากัน?

ระยะเวลาคลิป      ๐.๒๔ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=0aDEzqrNqEU&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=2

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

พิจารณากับลมหายใจยังไงคะ พอเอามาเทียบแล้วมันจมกับความคิดตลอดเลย?

 ดังตฤณ :  คุณจับจุดสังเกตเวลามาเริ่มฝึกจิตเจริญสติมันก็เหมือนกับเราฝึกทำอะไรใหม่ๆ ที่มันยากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกีฬา การเทคนิคคอมพิวเตอร์ หรือว่าการเล่นเกม การมาออกกำลังยกน้ำหนักอะไรทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เวลาที่เรามาทำความรู้จักกับมันใหม่ๆ มันจะไม่คุ้น มันจะไม่ชิน มันจะรู้สึกว่าไม่ชำนาญ ไม่เชี่ยวชาญ แล้วก็ไม่เข้าใจถึงที่มาที่ไปอะไรต่างๆ

ก็เหมือนกันกับจิต ถ้าเราเริ่มมาสังเกตมันใหม่ๆ แต่เดิมตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครสอนให้สังเกตเลย พอมาพบพระพุทธศาสนาถึงเพิ่งรู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนให้สังเกตจิต ถ้ามองจิตเป็นวัตถุ มันก็เป็นวัตถุที่เรายังไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับมันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลไกในการที่ความคิดมันย้อนกลับมาวกไปวนมา เราไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ อยากแล้วก็ไปอยากให้มันหายไป ตัวความอยากนี่แหละ เป็นรายละเอียดส่วนหนึ่งของจิตที่เรายังไม่เข้าใจมัน แล้วเราก็ตามไปแล่นตามมัน

เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเกิดความอยากจบความคิด ไม่อยากให้มันวกวนกลับมาอีก ให้บอกตัวเองว่าความอยากนี้แหละ เกิดจากความไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะไปห้าม ความคิดมันจะย้อนกลับมามันไม่ใช่ตัวเรานะความคิดเนี่ย ถ้าเราค่อยๆทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง ซึ่งมันจะสวนทางกับสัญชาตญาณของเรา

สัญชาตญาณของเราตั้งแต่เกิดมา เรานึกว่าความคิดเป็นตัวเราแน่ๆ เป็นของเราที่เราน่าจะควบคุมมันได้ แต่กลับทำอะไรกับมันไม่ได้เลย ก็แปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอมาเริ่มฝึกเนี่ย บอกห้ามอย่ามา ยิ่งมา เพราะอะไร? เพราะว่าความอยากมันไปกระตุ้นให้มันวนเวียนมาบ่อยขึ้น หรือว่าหนักหน่วงขึ้น ถี่ขึ้น

แล้วเวลาที่มันเกิดความคิดซ้ำๆวนเวียนกลับมา แล้วเราเห็นว่ามีความอยากจะไม่ให้มันกลับมาอีก อย่าไปดูความคิด ให้ทิ้งความคิดไป มาดูตัวความอยาก ดูว่าความอยากหน้าตามันเป็นยังไง มันจะมีอาการกระวนกระวาย งุ่นง่าน มันจะมีลักษณะของความยึดว่า จงอย่ามา อย่ามาอีกเลยพ่อคุณ แต่มันก็ยังมา แล้วก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาอีก เกิดความกระสับกระส่ายขึ้นมาอีก ณ จุดนี้เราก็จะได้เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตัณหาคือต้นเหตุของความกระสับกระส่ายทางใจ หรือความทุกข์ทางใจนั่นเอง นี่เราได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พึงจะได้เห็น ณ ขณะนั้นแล้ว คือเห็นว่าความอยากเป็นต้นเหตุของความกระสับกระส่ายทางใจ

เมื่อไหร่ก็ตามที่มีความอยาก แม้กระทั่งอยากจะไม่ให้คิด อยากจะสงบ อยากจะให้จิตมันเป็นแต่กุศล เป็นความอยากอันเป็นต้นเหตุของความกระสับกระส่ายทางจิตวิญญาณทั้งสิ้น มันทำให้จิตวิญญาณกระเพื่อม มันทำให้ความรู้สึกของเรามันร้อน หันไปดูตรงนี้ อย่าไปดูความคิด ลืมไปเลยความคิด มาดูตัวตัณหาแทน

ทุกครั้งที่เราเห็นตัณหาว่ามันเป็นต้นเหตุของความกระสับกระส่าย จะเป็นทุกครั้งที่ปัญญาค่อยๆเกิดขึ้น เกิดขึ้น เกิดขึ้น จนได้ข้อสรุป กลายเป็นจิตที่ฉลาด ฉลาดทางธรรม ฉลาดแบบพุทธ รู้ว่า ตัวความอยากยิ่งเราไปแล่นตามมันมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งเรามีความรู้ทันความอยากมากขึ้นเท่าไหร่ ความอยากยิ่งทำอะไรจิตเราไม่ได้มากขึ้นเท่านั้นนะครับในทางกลับกัน เห็นให้ได้แค่นี้ อย่าไปจัดการอะไรกับความคิด ความคิดมันไม่ใช่ตัวเรา มันอยากแวะเวียนกลับมา ก็ให้มันมา พอมาแล้วเราก็ดูว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดทุกข์ทางใจแบบไหน เกิดความอยากแบบไหนขึ้น

-------------------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม : พิจารณากับลมหายใจยังไงคะ พอเอามาเทียบแล้วมันจมกับความคิดตลอดเลย?

ระยะเวลาคลิป    ๕.๒๗ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=KlgQcdyiILA&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=4

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

เราควรกำหนดจิตอย่างไรเพื่อเตรียมตัวก่อนตาย?

 

ดังตฤณ :  ก็อย่างที่พูดมาทั้งหมดนะครับ สำรวจว่าเรายังยึดอะไรอยู่บ้าง ไปเตรียมตอนนั้นไม่ได้นะครับ ต้องฝึกเตรียมไว้มีมรณานุสสติในขณะกำลังมีชีวิตอยู่นะครับ ลองย้อนกลับไปฟังหม่ตั้งแต่ต้นรายการนะครับ

--------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม : เราควรกำหนดจิตอย่างไรเพื่อเตรียมตัวก่อนตาย?

ระยะเวลาคลิป    ๐.๒๓ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=P3vWjzH47E8&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=5

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ทำอย่างไรให้รู้สึกตัวไวๆเวลาโกรธ?

 ดังตฤณ :  ความโกรธเนี่ย ถ้ามันกลายเป็นความเคยชินนะ มันไปจงใจให้มีสติรู้ทันไวๆไม่ได้หรอก ต้องเอาคู่ปรับของมันมาสู้ คู่ปรับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ชัดเจนอยู่แล้วก็คือ เมตตา ตัวเมตตาเป็นอริเป็นปฏิปักษ์กันกับความพยาบาท แล้วก็รวมมาถึงความมีโทสะอะไรขึ้นมาด้วย

ถ้าเราแผ่เมตตาเป็น ทำให้จิตของเรามีความว่าง มีความผ่องแผ้ว มีความพร้อมที่จะเผื่อแผ่ความสุขให้กับคนอื่น ดูใจจริงตรงที่ว่า เวลาเห็นใครเดือนร้อนแล้วเราอยากช่วยให้เขาพ้นจากความเดือดร้อน เวลามีโอกาสจะเอาเปรียบใครได้ เบียดเบียนใครได้ เรารู้สึกถอนออกมาทันที ใจถอนออกมา อย่างนี้เรียกว่าเมตตา เพราะว่ามันมีความพร้อมจะเผื่อแผ่ความสุข แล้วก็รักษาป้องกันตัวเขาจากอันตรายจากเรา คือไม่ตั้งตนเป็นอันตรายให้กับคนอื่น นี่ตัวนี้แหละคือเมตตาแล้ว

เมื่อมีเมตตา เมื่อมีความสุข แล้วรักษาใจนั้นไว้ มันก็เป็นสมาธิขึ้นมาได้ แค่คิดขึ้นมานะ วันนี้ผิดศีลข้อไหนมั้ย แล้วปรากฏว่าไม่มีผิดแม้แต่ข้อเดียว ก็รู้สึกแล้วว่ามันเบา เบาเพราะอะไร? เพราะว่าลักษณะของจิตที่ไม่ผิดศีล มันก็คือจิตที่มีเมตตาไม่คิดเบียดเบียนนั่นเอง มันก็เกิดความเบา ความผ่องใสขึ้นมา สำรวจตัวเองบ่อยๆ วันนี้ผิดศีลหรือเปล่า เราไม่ผิดศีลเราก็เบา เราก็รักษาความเบาไว้ มันก็กลายเป็นสมาธิเข้ามาอยู่กับจิตที่มันเบา ที่มันผ่องแผ้วจากการไม่เบียดเบียน นี่ตรงนี้ก็เป็นลักษณะหนึ่งของการแผ่เมตตาแล้ว

คุณสังเกตง่ายๆ ถ้าใจของเราแผ่ออกด้วยความผ่องแผ้ว ไม่คิดเบียดเบียน ไม่คิดเอาเปรียบใคร คิดจะช่วยคนอื่นอยู่เป็นนิจ ใจมันจะค่อยๆขยายออก ขยายออก แล้วก็รู้สึกว่างออกมาจากตรงกลาง ลักษณะความว่าง ลักษณะความที่มันตั้งอยู่กับความสบายอกสบายใจผ่องแผ้วแบบนั้นได้ นี่แหละเป็นลักษณะของการแผ่เมตตา

พอแผ่เมตตาจนคุณรู้สึกว่าใจมันเป็นหนึ่งได้ง่ายๆ คือไม่ใช่ต้องมาหลับตาทำสมาธิเสมอไป เอาแค่นึกถึงว่า ใจของเรากำลังเบาอยู่ หรือว่าหนักอยู่ แล้วพบว่ามันเบา เบาแบบที่พร้อมจะเป็นหนึ่ง เบาแบบที่มันจะไม่ซัดส่ายไปไหน นี่ตัวนี้แบบที่พระพุทธเจ้าตรัสเป๊ะเลย คือ ศีลเป็นเหตุให้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจในระหว่างมีชีวิต เป็น ทิฎฐธรรมเวทนียกรรม เป็นสิ่งที่สามารถเห็นผลได้ เห็นในชาตินี้ทันตา

ผู้ที่มีศีลเป็นปกติย่อมตั้งเป็นสมาธิได้ง่าย เพราะอะไร? เพราะใจมันสงบอยู่ว่างๆเป็นหนึ่งเดียวไม่ซัดส่าย ไม่มีความกังวล ไม่มีความอยากไปเบียดเบียนใครให้เดือดเนื้อร้อนใจ มันมีความเย็น มันมีลักษณะของความเบา มีความพร้อมจะสว่างแผ่ออกมาจากตรงกลาง ตรงนี้แหละถ้าเราจำไว้เป็นคำเดียว ถ้าเราฝึกแผ่เมตตาอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่ไปฝึกแผ่ด้วยคำว่า สัพเพ สัตตา อะเวรา โหนตุ แล้วหลับตาอย่างเดียว เสร็จแล้วใจยังหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ดูอยู่ระหว่างวันเป็นปกติว่า ถ้าใจเราเบาจากการเบียดเบียน อันนี้เรียกว่าสะสมการแผ่เมตตา มากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น แล้วจะมีผลให้ตอนคุณถูกกระทบ หรือว่าถูกกระตุ้นให้โกรธให้เคือง ให้เกิดความไม่พอใจ มันเห็นถนัดว่า มีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นในความว่างความเบาความเย็นนั้น มันกลายเป็นความร้อน มันกลายเป็นความขัด ความเคือง มันกลายเป็นอะไรที่ระคาย ไม่เบา ไม่ว่าง ไม่โล่ง ไม่โปร่ง ไม่ใส

การเห็นได้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในใจที่ว่าง ที่วาง ที่เย็น นั่นแหละคือการมีสติในตัวแล้ว สติเท่าทันความโกรธได้โดยไม่ต้องมาเบ่งกำลังภายในว่าทำยังไงจะดับได้ทันนะครับ ความโกรธเข้ามาตอนไหนเราจะไม่เผลอตัวอีก

คิดจะเบ่งกำลังภายในแบบนั้นมันทำไม่สำเร็จหรอก เพราะมันไม่ใช่ธรรมชาติของจิตที่จะมีสติรู้เท่าทันความโกรธในขณะที่เรายังคิดเบียดเบียนใครเขาอยู่ ยังคิดอยากเอาเปรียบเขา ยังคิดไม่อยากช่วยเหลืออะไรใครเลย จิตแบบนั้นมันไม่มีทางเท่าทันโทสะที่มันไวกว่า ไวกว่าหลายร้อยหลายพันเท่านะครับ

---------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม : ทำอย่างไรให้รู้สึกตัวไวๆเวลาโกรธ?

ระยะเวลาคลิป        ๕.๓๙ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=h3XFkZtrDso&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

การที่เราคิดอยากฆ่าตัวตาย คือการคิดไม่ดีอยู่แล้วใช่ไหม เป็นคนคิดมาก คิดเยอะ คิดวนเวียน?

 ดังตฤณ :  การที่เราอยากตายจริงๆแล้วเป็นเรื่องดีนะ เป็นเรื่องถูกต้องนะครับ แต่ต้องอยากตายแบบพุทธ ไม่ใช่อยากตายแบบตามใจฉัน ไม่ใช่ว่ามีความขัดเคืองอะไรกับชีวิตแล้วอยากทำลายชีวิตทิ้ง อันนั้นเป็นการทำลายในแบบที่จะทำให้จิตเศร้าหมองติดตามตัวเราไป

พระพุทธเจ้าตรัส อันนี้ย้ำนะครับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ก่อนตายถ้ามีจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้ ทีนี้เราอย่ามองว่าความอยากตายเป็นการคิดที่ไม่ดีอย่างเดียว การอยากจบชีวิตแบบนี้ หรือว่าการจบชีวิตไปเลย ไม่ต้องกลับมาวนเวียนอีก อันนี้จริงๆแล้วเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพุทธศาสนาเลยทีเดียว แต่แบบนั้นจะไม่เรียก “ฆ่าตัวตาย” จะเรียกว่า “ฆ่าตัวตน”

ถ้าหากว่าทำจิตให้พ้นจากการมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่ากายนี้ใจนี้คือฉัน กายนี้ใจนี้เป็นของฉัน ถ้าทำได้นะ มันจะเป็นอิสระจากความรู้สึกว่ามีตัวมีตน

ถ้าหากว่าจิตพ้นจากอุปาทานได้ขาดเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็คือเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ไม่ต้องมาเกิดอีก พอไม่เกิดอีกมันก็ไม่ต้องตายอีก ไม่ต้องอยากมาฆ่าตัวตายอีก เพราะว่าฆ่าตัวตนไปสมบูรณ์แบบแล้ว

การคิดเยอะ การคิดวน การคิดอยากฆ่าตัวตาย ทุกครั้งที่เกิดความอยากจะตายขึ้นมา ขอให้เป็นทุกครั้งที่ย้อนกลับเข้ามาว่า นี่เรายังมีตัวตนอยู่หรือเปล่า ที่อยากจบชีวิตนี้ จริงๆแล้วตัวตนนั้นมันอยากหนีตัวเองออกไปต่างหาก แล้วก็คาดหวังว่าทุกอย่างจะจบ ทุกอย่างจะสิ้น ซึ่งมันไม่สิ้น ตอนตายถ้าจิตยังมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่นอยู่ว่าอยากตาย นี่ก็คือมีตัวของตนที่อยากพ้นไปจากสภาพของตัวเองแล้ว

แต่ถ้าหากว่าระหว่างมีชีวิตอยู่ แล้วสำรวจเข้ามา เออมันค่อยๆเบาลงเรื่อยๆนะว่าความอยากตายเห็นเข้ามา ทำให้เห็นเข้ามาว่ามันยังมีตัวที่อยากพ้นจากสภาพของตัวเองอยู่อย่างนี้ไปง่ายๆ แล้วมันยังไม่พ้นจริงนะครับ ยิ่งอยากเท่าไหร่ จำไว้ว่ายิ่งยึดเท่านั้น ยิ่งอยาก ยิ่งพิสูจน์ว่ายังมีตัณหา ยังมียางเหนียวผูกไว้กับภพกับชาติกับการเกิดใหม่อยู่ อันนี้เรียกว่าเป็น วิภวตัณหา ความอยากตายเนี่ยนะครับ

ตัณหามีอยู่ ๒ อย่าง ภวตัณหา คือ อยากมี อยากดี อยากเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง อยากมีเงินก็เรียกว่าเป็น ภวตัณหา อยากเป็นเทวดาก็เรียกว่า ภวตัณหา

แต่ไม่อยากเป็นอย่างนี้ อยากหนีไป อยากกลั้นใจตายไปเดี๋ยวนี้ หรือเอามีดมาแทงตัวให้ตายไปเลย อย่างนี้เรียกว่า วิภวตัณหา คืออยากดิ้น อยากหนี ความอยากดิ้นอยากหนีมันก็คือลักษณะหนึ่งของความยึดว่าตัวนี้เป็นตัวเป็นตน แล้วเราจะเอาตัวรอดให้พ้นจากความเป็นสภาพแบบนี้ตัวตนแบบนี้ มันก็กระโดดไปเกาะตัวตนแบบอื่น ตัวตนที่มันสบายกว่า หรือว่าไปนึกถึงความว่างชนิดที่ไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีอะไรเลย จบสูญจบสิ้นขาดสิ้น แบบนี้ก็เป็นการยึดภาวะ หรือว่าภพของความขาดสิ้นขาดสูญ เป็นวิภวตัณหาชนิดหนึ่งนะครับ

แต่ถ้าสำรวจเข้ามา มันยังมีความอยากเพื่อตัวตน อยากพ้นเพื่อให้ตัวนี้มันได้ดิบได้ดีขึ้นมากว่าที่เป็นอยู่ เห็นเรื่อยๆจนกระทั่งพบขึ้นมาว่า ตอนที่จิตเกิดอุปาทานว่ามีตัวฉันกำลังเป็นทุกข์ มันเกิดความเบา มันเกิดความสุขกว่าที่เป็นอยู่ขึ้นมาได้ทันที คือพอพบว่ามันมีก้อนตัวก้อนตนอะไรอยู่ตัวหนึ่งที่มันเหมือนเป็นขยุ้มๆอยู่ เป็นก้อนอัดแน่นอยู่ด้วยความรู้สึกว่าอยากจะเอาอะไรเพื่อตัวตน หรือว่าอยากจะหนีพ้น เพื่อให้ตัวตนนี้มันรอด มันปลอดภัย มันดีขึ้น ตัวนี้ถ้าจับได้มั่นคั้นได้ตาย จับได้คาหนังคาเขาว่ามันเกิดขึ้นในใจเรา ณ บัดนี้เนี่ย มันจะเบาลงทันที เพราะว่าสติมันเกิดขึ้น เห็นว่าสภาพความยึดมั่นถือมั่นที่มันเป็นก้อน ที่มันผูกเป็นปมเหนียวแน่นนั้น เป็นแค่ภาวะสูญเปล่าภาวะหนึ่งในช่วงเวลาสั้นๆ ณ ลมหายใจหนึ่งๆ

พอลมหายใจที่มีสติก่อตัวขึ้นมา แล้วรู้ว่านั่นเป็นก้อนความสูญเปล่าก้อนหนึ่ง เป็นสภาวธรรมที่มันไม่มีใครอยู่จริงที่ตรงนั้น พอความอัดแน่นมันหายไปมันคลายออก เหลือแต่ใจที่เป็นอิสระเผยตัวออกมา ใจที่ไม่ยึดนั้นมันมีความรู้สึกเบา มันมีความรู้สึกว่าง มีความรู้สึกกว้างโล่ง มันจะฉลาดขึ้นเรื่อยๆทีละครั้งทีละหน

พูดง่ายๆว่า ทุกครั้งที่คิดอยากตาย จะเป็นทุกครั้งที่ปัญญาค่อยๆสว่างขึ้น ค่อยๆเรืองแสงขึ้น จิตจะค่อยๆเบา จิตจะค่อยๆคลาย แล้วจิตจะเลิกอยากตายแบบผิดๆ แต่มีความพึงพอใจที่ได้เห็นตัวตนมันฝ่อลง แล้วก็จากตายหายสูญไปจากจิตใจทีละน้อยนะครับ เปลี่ยนจากอยากฆ่าตัวตายมาเป็นพอใจในการฆ่าตัวตน นี่แหละคือที่สุดของความเป็นพุทธ!

--------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม : การที่เราคิดอยากฆ่าตัวตาย คือการคิดไม่ดีอยู่แล้วใช่ไหม เป็นคนคิดมาก คิดเยอะ คิดวนเวียน?

ระยะเวลาคลิป        ๖.๔๑ นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=oVWYFqF65PA&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=6

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


** IG **

ดูลมหายใจก่อนหลับ .. เหมือนการรับรู้กำลังค่อยๆหมดไป เหมือนตาย สามารถใช้โอกาสนี้ ซ้อมตายได้ไหม?

 ดังตฤณ :  คำถามคือ “ดูลมหายใจก่อนนอนหลับ แล้วเห็นลมหายใจท้ายๆก่อนจะหลับ

ระหว่างยังมีสติเหลืออยู่บางๆกับการเข้าสู่ภวังค์การหลับ” อันนี้ดีนะ เห็นแบบนี้ดี แต่พอตกใจสะดุ้งตื่นอันนี้ไม่ดีแล้ว

(ทวนคำถาม) “รู้สึกเหมือนกับการรับรู้ค่อยๆหมดไปเหมือนจะตายเลย ควรเจริญสติต่ออย่างไร สามารถใช้โอกาสนี้เป็นการซ้อมตายได้มั้ย”

มันก็ดีนะ แต่ลักษณะจิตของคุณในเวลานี้ มันยังไปจดจ่ออยู่กับว่ากลัวตาย คือถ้าไปจดจ่ออยู่ตรงนี้ แล้วยึดอาการกลัวตายไว้ในอาการหลับที่มันครึ่งหลับครึ่งตื่นยังสติไม่เต็ม มันอาจจะกลายเป็นปมให้นอนผวาได้ เพราะฉะนั้นไม่แนะนำให้ใช้ที่ตรงจุดนี้มาเจริญเป็นมรณานุสสตินะครับ

อยากให้ทำแบบนี้มากกว่า ให้พิจารณาว่า การมีสติในการย่างเข้าสู่นิทรารมณ์ หรือว่ามีสติก่อนนอนหลับ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญ ถ้ามีสติก่อนหลับขอให้เป็นสติจริงๆเถอะ มันจะทำให้ไม่ฝันร้าย ไม่ฝันลามก ไม่ฝันในแบบที่จะกระสับกระส่าย หรือว่าตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่ม

มันจะมีสติในแบบที่รวม เป็นแหล่งรวมเอาตัวกุศลธรรมที่เราสะสมมาในระหว่างวันมาทำความชุ่มชื่นให้กับการหลับ หลับอย่างมีสตินะครับ

ถ้าหลับอย่างถูกต้องจิตมันจะแผ่ออกแบบเมตตา ถ้าระหว่างวันเราไม่ผิดศีล แล้วมีแก่ใจช่วยคนโน้นคนนี้ ไม่คิดเล็กคิดน้อย มีสติก่อนหลับด้วย คุณจะพบเลยว่ามันกลายเป็นจุดรวมความสุข มันจะเป็นจุดตัดของความสุข ใจมันจะถอนจากความห่วงความพะวงเรื่องการงาน เรื่องชีวิต ไม่ว่าวันก่อนหรือวันหน้าที่จะมาถึง มันจะตัดออกหมดเลย เหลือแต่สติที่อยู่กับจิตที่มีลักษณะแผ่ผายผ่องแผ้ว

ทีนี้มาพิจารณาดู คุณบอกว่าพอจะย่างเข้าสู่นิทรารมณ์ ย่างเข้าสู่การหลับใหลเข้าจริงๆมันมีความสะดุ้ง นั่นเพราะว่าจิตยังไม่มีอาการเคยชิน ควรสร้างความเคยชินใหม่ บอกตัวเองไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อใดที่จิตกำลังคาบลูกคาบดอก อยู่ในช่วงคาบเกี่ยวย่างเข้าสู่นิทรารมณ์ เราจะเห็นว่าจิตถึงตอนนั้นควรเป็นจิตที่ปล่อยได้วางได้ บอกตัวเองอย่างนี้ ซ้อมบอกตัวเองอย่างนี้ไว้ล่วงหน้า มันจะทำให้นิวรณ์หรือว่าความฉุกใจว่า นี่เรากำลังหลับ นี่เรากำลังจะขาดสติ มันจะได้ไม่เกิดขึ้น มันจะได้ไม่ก่อตัวขึ้นมารบกวนสติขณะกำลังย่างเข้าสู่นิทรารมณ์ เห็นมั้ยองศาของจิตในเรื่องของจิต มันเหมือนคนอยู่ในป่ารก ถ้าเราไม่รู้ช่องทาง บางทีเลี้ยวผิดแค่นิดเดียวองศาเดียว มันเตลิดเข้าป่าต่อ

แต่ถ้าหากว่าเรารู้อยู่ว่า ทิศนี้นะองศานี้นะเป๊ะๆเลยเนี่ย จะตรงดิ่งไปสู่ทุ่งโล่ง ออกจากป่ารกได้ แบบนี้มันก็จะเดินไปด้วยความมั่นใจ แล้วก็ถึงจุดนั้นเราจะรู้ว่า มันออกสู่ที่โล่งได้ วิธีนี้เป็นวิธีทำใจแบบเดียวกันกับการนั่งสมาธิการเข้าสมาธิ

บางคนจิตกำลังจะรวมอยู่ แล้วก็เกิดความหวั่นไหวขึ้นมาว่านี่เกิดอะไรขึ้น เพราะประสบการณ์ของการเข้าสมาธิ ถ้าเป็นครั้งแรกๆ มันแตกต่างจากจิตที่มันยู่ยี่คิดๆนึกๆแบบปกติอย่างนี้นะครับ มันก็เลยเกิดความกลัวว่า นี่กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรา

แต่ถ้าตั้งใจไว้ล่วงหน้าว่า ตอนจิตจะรวมมันจะมีอาการแปลก มันจะมีอาการเหมือนกับรวมฮวบลง ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ แล้วก็มีแต่การอยู่กับจิต มีสติอยู่กับลักษณะที่มันกำลังรวมเข้าสมาธิอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไปทำอะไรกับมัน ไม่ไปยุ่งเกี่ยว แค่ให้ความจดจ่อ จดจ่อแบบเนียนๆนิ่งๆบางๆ ไม่ใส่แรงเข้าไป มันก็รวมเป็นสมาธิขึ้นมาได้ เหมือนกันอันนี้เนี่ย พอเรามีสติช่วงคาบลูกคาบดอกระหว่างคิดฟุ้งซ่านกับเริ่มเข้าสู่การหลับใหล ถ้าอยู่กับตรงนั้น แต่เอาความรู้สึกแตะอยู่บางๆว่า นี่กำลังจะหลับแล้วก็ปล่อยให้มันดำเนินต่อไปตามวิถี ในที่สุดสติมันก็มากกว่าความสะดุ้งผวานะครับ

และถึงจุดนั้น ถ้าหากว่าทุกคืนคุณสามารถย่างเข้าสู่นิทรารมณ์ได้ด้วยสติที่มันเนียน ที่มันนิ่ง ที่มันไปเรื่อยๆแบบสบายๆเนี่ยนะ คุณจะเห็นอาการของจิตแบบหนึ่งว่า จิตที่มันมีสติอยู่กับความรู้สึกดีๆ มันจะกว้าง มันจะแผ่ มันจะเปิดออก มันจะไม่ปิดเข้าเหมือนกับจิตคนหลับแบบไม่รู้สติทั่วไป ตรงนั้นแค่คุณอยู่กับใจว่า เราจะคิดดี ไม่ทำร้าย เราจะอยู่กับความรู้สึกอยากอนุเคราะห์สิ่งมีชีวิตเพื่อนร่วมทุกข์ ใจที่หลับไปพร้อมกับความคิดประมาณนั้น คือไม่ใช่คิดเยอะอย่างนี้นะ แต่คิดประมาณว่าเราจะคิดดี เราจะรู้สึกดี เราจะมีความอยากอนุเคราะห์ เอาแค่ความรู้สึกแค่มันอยากช่วย เหมือนอยากจะช่วยคน เหมือนอยากจะเป็นความปลอดภัยให้กับคนทั้งโลก เอาความรู้สึกนั้นความรู้สึกเดียวเป็นตัวที่ทำให้สงบหลับลงไป จิตมันจะรวมแล้วก็แผ่ออกมาเอง

ในเวลาหลับเนี่ย คุณจะรู้ด้วยประสบการณ์ตรงของคุณเองว่า มันสามารถเป็นสมาธิได้ เป็นสมาธิในแบบ .. คือมันหลับไปแล้วนะ แต่ว่าจิตเนี่ย บางทีช่วงแรกๆจะเหมือนกับแผ่ออก เราก็มีส่วนหนึ่งภาคหนึ่งที่อยู่กับความรู้สึกยิ้มๆแบบนั้น เป็นความรู้สึกที่ดีนะ มันก็จะหลับแบบในอาการแผ่เมตตา แล้วก็ไม่มีอาการฝันร้าย ไม่มีอาการลามก ไม่มีอาการที่จะมาถูกอะไรภายนอกเข้ามาครอบงำได้ จิตจะมีรัศมีที่สามารถปกป้องตัวเองได้ มันเหมือนกับมีสติ หลับอย่างมีสติ รู้ว่ากำลังหลับอยู่ แล้วก็ไม่มีภาพนิมิตเลอะเลือนเลอะเทอะขึ้นมา คือถ้าจะหลับลึกลงไป มันก็จะมีช่วงจังหวะที่หลับไปในแบบที่ ถ้าฝันก็จะเป็นฝันดี มีภาพอะไรที่ชัดเจน นี่ก็เป็นหลักการในการนอนนะครับ

----------------------------------------

๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๓

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

คำถาม
: ดูลมหายใจก่อนนอนหลับ แล้วเห็นลมหายใจท้ายๆก่อนจะหลับ ระหว่างการมีสติและการเข้าสู่ภวังค์การหลับ ทำให้ตกใจสะดุ้งตื่น รู้สึกเหมือนการรับรู้กำลังค่อยๆหมดไป เหมือนตาย ควรเจริญต่ออย่างไร และสามารถใช้โอกาสนี้เป็นการซ้อมตายได้ไหม?

ระยะเวลาคลิป    ๘.๕๔    นาที
รับชมทางยูทูบ    https://www.youtube.com/watch?v=AgrG5EzOCMY&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=3

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย?

วันที่ 24 ตุลาคม 2563

 

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านคืนวันเสาร์สามทุ่มเช่นเคยครับ

 

สำหรับคืนนี้ หัวข้อก็เรื่องตายๆ นิดหนึ่ง เพราะว่าผู้ถามมีปัญหาติดใจอยู่ตรงที่ว่า ตัวเอง ปกติเป็นคนชอบคิดไม่ดี อยู่ดีไม่ว่าดีชอบคิดอกุศล แล้วก็ พูดง่ายๆ ว่า ศรัทธามานานแล้วล่ะว่า ตายไปไม่ได้จบ แล้วจะต้องได้รับผลสิ่งที่ทำมา

 

ก็พยายามทำบุญ พยายามทำกุศล โน่นนี่นั่น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดไม่ดี ก็เลยเกิดความกลัวขึ้นมาว่า ถ้าคิดไม่ดีในจังหวะที่เข้าด้ายเข้าเข็มพอดี หรือว่ามีอุบัติเหตุกระทันหัน เกิดจะต้องตายไปขณะที่กำลังเกิดอกุศลธรรมครอบงำชีวิตนี่ แล้วจะทำอย่างไร จะมีวิธีไหนมาช่วยแก้ตรงนี้ได้

 

อย่างน้อย ให้ความกังวลหายไป เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังไม่สบายใจ คิดขึ้นมาทีไร ก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้นะว่า ตัวเองนี่มีสิทธิ์ไปไม่ดี มากกว่าที่จะไปดี ถ้าหากว่าตัดสินกันตรงที่แค่ว่า ก่อนตายคิดอะไร บอกได้เลยว่าตัวเองนี่ คิดถึงเรื่องไม่ดี มากกว่าคิดถึงเรื่องดีนะ อันนี้ก็เป็นโจทย์ในใจของผู้ถามนะครับ

 

วิธีการ คือบางทีนะ หลักการแก้ไขจิต หรือว่าแก้ความรู้สึกไม่ดีของตัวเอง  ไม่ได้มีอยู่ในตำราเล่มไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าว่ากันด้วยเรื่องของจิตก่อนตาย หรือว่าชีวิตกำลังจะตาย จะไม่ค่อยมีใครเอามาตีแผ่ หรือว่าวิเคราะห์วิจัยกันมาก เพราะว่าไม่ได้เป็นธุรกิจที่ทำกำไรขึ้นมาได้ เหมือนกับที่แก้ไขปัญหาทางใจให้กับคนที่ยังมีชีวิตอยู่

 

อย่างถ้าจะบอกว่า มีปัญหาทางใจ อยากจะมีความสุขในชีวิตมากขึ้น แบบนี้มีคนคิดกันเยอะ เทคนิควิธี แต่ประเภทที่ก่อนตาย จะทำอย่างไรให้จิตคิดดี ไม่ค่อยมีใครคิดกันเพราะว่าไม่มี demand ไม่ค่อยมีคนอยากจะมาแก้ไขปัญหา คนคิดมากก่อนตายนะ ส่วนใหญ่ก็แก้ปัญหาคนคิดมากตอนกำลังอยู่อีกนานๆ

 

วิธี หรือหลักการง่ายๆ ก็คืออย่ากลัวแค่เรื่องเดียว ให้กระจายความกลัวเหมือนกระจายความเสี่ยง คือถ้าจะรับประกันอะไรให้ตัวเองนี่นะ ให้อุ่นใจว่าก่อนตาย เราน่าจะมีสิทธิ์คิดดีมากกว่าคิดร้ายอะไรแบบนี้ ก็นึกถึงหลักการแบบประกันภัย กระจายความเสี่ยง โดยการแตกหัวข้อความเสี่ยงออกไปเยอะๆ นะ แล้วก็จะได้มีความเป็นไปได้น้อยลง ที่เราจะเสี่ยงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

 

การกระจายความกลัวทำอย่างไร

 

คือทำความเข้าใจ ... ที่คุณกำลังมีความกลัว มีความวิตกเป็นพิเศษเกี่ยวกับเรื่องคิดไม่ดีก่อนตายนี่ จะมีอยู่แค่ความกลัวเรื่องเดียว จะมีสิ่งที่ทำให้จิตจับอยู่แค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ก็เลยจี้เข้าไป แล้วคิดเข้าไป กังวลเข้าไป เกี่ยวกับเรื่องนี้แค่เรื่องเดียว ใจก็เลยไม่ไปไหน ก็ออกจากกับดักทางความคิดไม่ได้ หรือว่าติดกับตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะเพิ่มความกลัวให้ตัวเองทบทวีเข้าไปเรื่อยๆ

 

ทีนี้ ถ้าสำรวจใจของตัวเองจริงจัง คือสมมติขึ้นมาจริงจังว่า ถ้าไม่นับเอาความกลัวเรื่องคิดไม่ดี จริงๆ แล้ว หนึ่งนาทีข้างหน้า หรือหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า ถ้ารู้ตัวว่าจะต้องตาย ใจของคุณยังติดค้างอยู่กับอะไรอีกบ้าง

 

ยกตัวอย่าง เช่น ความเจ็บ ความเจ็บนี่มีทั้งความเจ็บตัว แล้วก็มีทั้งความเจ็บใจ

เจ็บตัวนี่ก็อย่าง ป่วย ออดๆ แอดๆ กระเสาะกระแสะ สามวันดีสี่วันไข้ หรือว่าคุณรู้ตัวแล้วว่า ตอนนี้เป็นผู้ป่วยติดเตียง ไม่มีสิทธิ์ไปไหน

หรือความเจ็บใจ ยังเจ็บแบบติดค้างนะว่า ทำอย่างไรก็ถอนไม่ออก บอกว่า พยายามอภัยแล้ว แต่ก็วกไปวนมา กลับมามีให้เจ็บอยู่

 

นี่ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องน่าห่วงใช่ไหม ไม่ใช่ความคิดไม่ดีอย่างเดียวนะ ความรู้สึกเจ็บที่ติดค้างนี่ ทั้งเจ็บตัว แล้วก็เจ็บใจ ก็ยังมีให้เป็น ให้เกิดอกุศลธรรม เป็นตัวกระตุ้นให้รู้สึกว่าจิตใจของเราหม่นหมอง จิตใจของเรามีความเศร้า มีความหมองแบบที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุคติเป็นที่หวังสำหรับคนที่มีจิตใจเศร้าหมอง

 

ถ้าสำรวจมาแล้ว เออ เรายังติดอยู่ ติดเรื่องความเจ็บ ต่อมา อาจมีเรื่องความหวง หวงนี่มีทั้ง หวงคน แล้วก็หวงสมบัติ

คนเราถ้าสมบัติน้อยๆ จะไม่ค่อยมีห่วงเรื่องสมบัติพัสถานเท่าไรนะ อยากจะหนีสภาพไม่มีสมบัติ ไปสู่ความมีสมบัติมากกว่า

 

แต่เรื่องห่วงคน เรื่องหวง หวงกับห่วงนี่ ก็ใกล้เคียงกันแหละนะ คืออย่างบอกว่า ตัวเองเป็นคนที่ใจกว้าง ไม่ค่อยจะหวง ไม่ค่อยจะอะไรใครเท่าไหร่ แต่เป็นห่วง ไม่ว่าจะเป็นญาติสนิท มิตรสหาย พ่อแม่พี่น้อง ภรรยา หรือว่าบุตรธิดาอะไรแบบนี้ ก็อดห่วงไม่ได้

 

บางคนบอกว่าตัดได้หมดเลย ทรัพย์สมบัติ ยกให้เป็นสาธารณกุศลได้หมด แต่อดห่วงไม่ได้ นึกกังวลว่าเขาจะเป็นอย่างไรต่อ ลักษณะความห่วงก็คือการที่ใจ ยังยึดอยู่กับโลก เหมือนสมอ มันไม่ถูกถอน เรือก็ไปไหนไม่ได้ ก็ติดอยู่ตรงนี้แหละ ตำแหน่งที่มันลงสมอไว้ ปักสมอไว้

 

นอกจากความเจ็บ กับความหวง ยังมีความกลัว ความกลัวอย่างอื่น อย่างเช่น กลัวหนี้บาป อันนี้ไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องคิดไม่ดีนะ แต่เป็นบาปกรรม ที่เคยทำไว้ แล้วก็มีความรู้สึกว่า หนี้บาปชนิดนี้ ลบอย่างไรก็ลบออกไปจากใจไม่ได้ มันไม่ลืม

 

คือตอนทำ ไม่กลัวเลยนะ แต่พออยู่ไปอยู่มา รู้สึกผิด สำนึกขึ้นมา หรือว่า มาศึกษาธรรมะ แล้วเกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาขึ้นมาว่า สงสัยที่บอกว่า ตายแล้วสูญ เป็นความงมงายชนิดหนึ่ง ตายแล้วไปไหนต่างหาก ที่เป็นโจทย์สำคัญ ที่เหนือกว่าการมีชีวิต มีลมหายใจนะ

 

เพราะว่า ชีวิตแบบมนุษย์นี่แป๊บเดียว แต่ชีวิตข้างหน้า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ายังอีกยึดยาว ถ้าทำไม่ดีอะไรไว้ ทำไปแล้ว มันลบล้างไม่ได้แล้ว กลับไปดีลีท (delete) ไม่ได้แล้ว ไม่เหมือนกับไฟล์คอมพิวเตอร์นะ ทำผิดคิดพลาดอะไรไปแล้ว ไปดีลีททิ้ง สบายใจ แต่ว่าเรื่องบาปเรื่องกรรม อยากจะแก้ตัว อยากจะย้อนเวลากลับไปอย่างไร ไม่มีทางที่จะทำได้ ก็เลยเกิดความกลัวหนี้บาป

 

หรือไม่ก็เป็นคนทำบุญ แต่กลัวว่าบุญที่ทำไว้ สะสมไว้ จะไม่พอให้ไปดี เพราะว่าได้ยิน เล่ากันหนาหูว่า สวรรค์ไม่ได้ไปกันง่ายๆ ไปดี ไม่ได้ไปกันง่ายๆ มีเยอะ ที่อุตส่าห์ทำบุญทำทาน แต่สุดท้าย กลายไปเป็นผีเปรตอะไรแบบนี้ ก็เนื่องจากธรรมชาตินี่ ปิดกั้นไม่ให้เรารู้ว่า ตกลงตายแล้วเรามีสิทธิ์ไปไหนกันแน่ จะรู้ก็นาทีนั้นเลยนะ แก้ไขไม่ได้แล้ว สายไปแล้ว

 

ก็เลยกังวล วิตกกังวล กลัวว่าบุญจะไม่พอ เห็นไหม คือไม่ได้มีเรื่องแค่ว่าเราจะคิดไม่ดีก่อนตายเป็นอสัญกรรม หรือกรรมใกล้ตายอย่างเดียว ให้น่าเป็นห่วง

 

มันมีความน่าห่วง มีความติดข้องอยู่ในโลกนี้อีกเยอะ ในชีวิตนี้อีกมากมายก่ายกอง มีความพิสดารของความติด ความห่วง ความหวง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บ ความห่วง หรือความกลัว จะมาให้ยึด มาให้ติด มาให้ค้างคา ไปแบบไม่ปลอดโปร่งนะ

 

เพราะฉะนั้น เราพิจารณาแบบนี้ว่า มีเรื่องให้คิดได้อีกเยอะ ก่อนตายนี่ จิตมันประวัติถึงสิ่งที่น่ากังวลได้ไม่ใช่แค่เรื่องคิดไม่ดีเท่านั้น

 

พอสำรวจแบบนี้แล้วเกิดประโยชน์อะไร ไม่ยิ่งกลายไปเพิ่มความกังวลให้ตัวเองเหรอ

 

ไม่ใช่นะ คือถ้าเรากระจายความกลัวออกเป็นหัวข้อต่างๆ แล้วนี่ คุณลองดูได้เลย คิดดู แล้วจะเห็นเอาเดี๋ยวนี้เลยว่า พอความกลัวถูกกระจายเป็นข้อๆ  ให้ใจไม่ยึดข้อใดข้อหนึ่งเป็นพิเศษ มันจะไม่รู้ว่าเราควรไปจี้จุดข้อไหน ไปกังวลสุดๆ กับเรื่องไหน

ใจจะไม่มีอาการที่เรียกว่า มีที่ยืนที่เดียวให้ไปจับ ให้ไปเกาะนะ

 

พอมีหลายข้อ มีหลายจุดยืนให้คำนึง ให้กังวล ก็เลยกังวลน้อยลง ไม่รู้จะกังวลเรื่องไหนเป็นพิเศษ

 

ทุกข้อของความน่ากังวลเหล่านี้ที่ผมยกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความเจ็บ ความหวง หรือความกลัว ล้วนแล้วแต่ทำให้ไปไม่ดีได้ทั้งนั้น คือถ้าจิตไม่สะอาด ถ้าจิตไม่คลีน (Clean) ไม่ปลอดโปร่ง ก็ไม่เป็นกุศลเต็มที่ สุ่มเสี่ยงที่จะไปดีหรือไปร้าย พอๆ กัน

 

พอกระจายความกลัวเข้าไปแล้ว ก็จะมีแก่ใจสำรวจตัวเองทีละลำดับ ระหว่างมีชีวิต ไม่ว่าคุณจะยังเดินเหินได้เป็นปกติ หรือนอนติดเตียงแล้วก็ตาม ธรรมชาติจะเหลือเวลาไว้ให้คุณได้ค่อยๆ สำรวจใจ เข้ามาทีละเรื่อง เรื่องไหนเกิดก่อนสำรวจตรงนั้นก่อน

 

มรณานุสติ หรือว่า มรณสติ นี่นะ ท่านให้สำรวจใจบ่อยๆ ก็เพราะอย่างนี้ จะได้เตรียมหลายๆเรื่อง หลายๆประเด็น ค่อยๆ สำรวจตัวเองว่ายังมีอะไรที่ติดค้างคา ถ้าต้องตายตอนนี้ ยังเคลียร์ไม่หมด

 

อย่างเรื่องของความเจ็บ คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้นอนติดเตียงกันหรอก แต่จะติดอยู่กับความพยาบาท หรือความอาฆาต เวลามีใครมาทำให้เจ็บใจ ซึ่งมักจะมาแบบไม่บอกไม่กล่าวนะ รูปแบบของความเจ็บใจนี่

 

แต่พอเจ็บใจแล้ว อดผูกอยู่ตรงนั้นไม่ได้ ไปไหนไม่รอด ก็เกิดความเหมือนกับว่า ใช้ชีวิตแบบที่พ่วงเอาบุคคล อันเป็นต้นตอของความเจ็บนั้น ติดจิตติดวิญญาณไปด้วยตลอดเวลา ในระหว่างวันปกติ

 

เหมือนกัน เวลาก่อนตายนี่ ถ้าคุณยังผูกใจอยู่ ยังทิ้งไม่ได้ ก็เท่ากับเอาคู่กรณี ติดตัวข้ามภพข้ามชาติตามไปด้วย ถ้ามีเหตุเหวี่ยงมาให้เจอกันอีก ก็ต้องมาผูกพยาบาท ผูกเวรกันอีก

 

นี่คือหลักง่ายๆ เลยของธรรมชาตินะ คุณผูกใจในทางไม่ดีไว้กับใคร เจอกันใหม่ ก็ต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นให้เขม่นกันอีก หรือว่ามีเรื่องมีราวกันอีก

 

รวมทั้งก่อนตาย ถ้าจับพลัดจับผลู เราเป็นพวกที่ว่าอดคิดถึงศัตรูไม่ได้ แล้วสมมตินะ สมมติ ว่าแค้นกันมาก แล้วสำรวจใจแล้ว แบบทำใจไม่ถูก แล้วนาทีสุดท้าย อ้าวตายแล้ว ทำไมมานึกถึงคนคนนี้ขึ้นมา แล้วจิตตอนที่ใกล้จะไป มันจะลนลาน ยิ่งกลัวอะไรมาก จะยิ่งยึดอันนั้นแน่น แน่นขึ้น

 

เสร็จแล้ว ก็ตายไปกับความคิดแบบนั้น อารมณ์แบบนั้นมีสิทธิ์กลายเป็นเปรต คอยตามล้างตามผลาญ ทั้งๆ ที่ใจบอกไม่ได้อยากแล้วนะ ไม่ได้อยากจะยุ่งด้วยแล้ว แต่ดันมาคิดถึง ช่วงสุดท้ายพอดี โอ๊ย ไม่รู้เวรกรรมอะไร ไม่รู้เคยไปผูกเวรกันนักกันหนา ทำไมถึงมาคิด

 

เรื่องดีๆ มีให้คิดมากมาย พระอรหันต์มีให้คิดถึง มีให้ระลึกถึงก็ไม่นึก มานึกถึงคู่เวรนี่ ที่ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ โอ้โหแบบ ความรู้สึกนี่นะ ตอนที่จวนอยู่จวนไป แล้วเห็นตัวเองมาผูกใจอยู่กับคนคนนี้ ก็เกิดความเศร้าโศกนะ แล้วยิ่งมีความรู้สึกเลยว่า ประเภท ทำไงดีๆ นี่นะ จะทวีตัวขึ้นเป็นว่า จะทำไงได้ จะเอาดีตรงไหนได้ ไม่ทันแล้ว

 

ก็เลยกลายเป็นเหมือนกับ ตายแบบผิดวิธีทางใจ ตายไปพร้อมกับบ่วงความอาฆาตที่ผูกไว้

 

ทีนี้ระหว่างมีชีวิตนี่ พอเราเห็นอยู่ชัดๆ ในระหว่างวันว่า ใจยังวนกลับไปผูกอยู่ อันนี้มีเวลา คิดแบบที่พระพุทธเจ้าให้คิด บอกว่า ถ้ายังมีความพยาบาทอยู่ จะเหมือนมีอาการป่วย หายป่วยได้ก็กลับมามีกำลังวังชา กลายเป็นคนสดชื่น กลายเป็นคนดีๆ ขึ้นมา

 

เราก็คิดเข้าไปอีกว่า ถ้ายังผูกอยู่อย่างนี้ก่อนตาย จังหวะที่กำลังจะตายนี่ ซวยแสนซวยจริงๆ สุดเลยนะ ซวยสุดๆ ไม่รู้จะว่าอย่างไร เกิดไปผูกกับคนๆ นี้ ก็เท่ากับว่าเราจะต้องตายไป พร้อมกับเอาเขาไปด้วย

 

ความหมายก็คือไปเกิดในภพ หรืออยู่ในสภาพที่จะต้องจองกับเขาไป ถ้าคุณมีบุญมาน้อย ก็เสร็จเลยนะ คือความคิดหรือความผูกช่วงนั้น จะพาคุณไปเหมือนกับมีสาย .. คล้ายๆ กับ ขอโทษนะ .. คล้ายกับสายลากจูงสุนัข นึกแบบนี้เลยนะ เหมือนกับตัวเขานี่ ยังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ใช่ไหม แล้วก็จูงเราไป ตัวเขาไปไหน ก็จูงเราเหมือนสุนัขตามเขาไปด้วย

 

แต่ไม่ใช่สุนัขที่อยู่กันดีๆ เป็นสุนัขที่คอยจ้องว่า เมื่อไรเผลอ เมื่อไรพลาด จะกระโดดเข้างับน่องอะไรแบบนี้

 

น่ากลัวนะ เรื่องของจิตนี่ คือถ้ามาเล็งกันแบบพุทธศาสนานะ พระพุทธเจ้าให้เล็งว่า ก่อนตาย เราอะไรไปด้วย ท่านให้ดูอย่างนั้น

 

อุตส่าห์ได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว จะเอาเวรติดตัวไปด้วย หรือว่าจะเอาบุญ หรือจะเอานิพพาน เลือกได้ ตอนระหว่างมีชีวิตนี่

 

ทีนี้ พอมีการระลึกแบบนี้ได้เป็นปกติอยู่เรื่อยๆ ว่า ก่อนตาย เราไม่เอาคนนี้ไปด้วยนะ ก็มีกำลังใจ มีกำลังที่จะตัด กำลังที่จะวางลง คือมีความรู้สึกว่า เห็นโทษเห็นภัย ของสายลากจูงสุนัขทางวิญญาณนี่

 

ความพยาบาทเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ ไม่ได้พูดด้วยจะให้เป็นสภาพน่าสังเวช แต่มีลักษณะอย่างนี้จริงๆ จะคล้ายๆ กับตัวสายโซ่ที่จูงนักโทษ อะไรแบบนั้นนะ ที่ไปไหนไม่ได้ ก็ต้องไปตาม

 

ทีนี้ พอเราเห็นว่า ยังมีสายโซ่อยู่ วนคิดขึ้นมาทีไร จะเกิดสติว่า อย่าคิดมาก อย่าถลำลึกลงไป ค่อยๆ ตัด ค่อยๆ วาง ตัดวางนี่ ไม่ใช่เรื่องยากถ้าเรามีกำลังใจที่จะตัด ถ้ามีทิศทางที่อยากจะตัด ไม่ยากเลยนะ พอเห็นโผล่ขึ้นมา เราก็รู้ แล้วเราก็ไม่คิดต่อ แค่นี้ก็จะค่อยๆ จางหายไป

 

หรือต่อให้ต้องเจอเขาอีกบ่อยๆ ยิ่งเจอ ก็จะยิ่งเตือนว่า นี่ยังมี นี่ยังผูกอยู่ นี่ยังมีสิทธิ์ว่าก่อนตาย จะยังมีสายโซ่ล่ามสุนัขให้ไปตามเขา ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่นี่ เราเสียเปรียบเลยนะ เราไปอยู่ในภพเปรต แต่เขายังอยู่ในภพมนุษย์

 

เห็นไหม ประโยชน์ของมรณสติ เห็นง่ายๆ เลย คือทำให้เราสำรวจใจตัวเองว่า ยังผูกพยาบาทอยู่ มีแก่ใจที่จะปล่อยวางลง ณ ขณะมีชีวิต กำลังมีชีวิตทำอะไรได้ รีบทำ

 

แล้วทีนี้ถ้าสำรวจเข้ามา ไม่มีเรื่องความผูกใจแล้ว แล้วก็อาการเจ็บ อาการป่วยทางกายก็ เอ้า ดูไป ว่า ร่างกายสังขารไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ก็ปล่อยๆ มัน ตอนเราจะตาย เราก็ไม่เอาร่างกาย

แค่นี้ ความเจ็บตัว กับความเจ็บใจก็จะคลายลง ไม่มารบกวนจิตใจเรา ไม่มายึด ไม่มาหน่วงรั้งเราไว้จากการไปดี

 

ทีนี้ ไม่มีความเจ็บตัว ไม่มีความเจ็บใจแล้ว ยังมีความหวง ยังมีความห่วงคนข้างหลัง หรือว่า สมบัติที่อุตส่าห์สะสมมาทั้งชีวิต ยิ่งรวยยิ่งหวง ยิ่งรวยยิ่งเสียดายว่า โอ้โห สะสมมา บางคนหลายสิบปี สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตัวเองจากศูนย์ เสร็จแล้วหายไปเฉยๆ อยู่ๆ เหมือนโดนริบคืน

ตอนใกล้ตายนี่ แล้วตอนขยับแขนขยับขา มาคว้าสมบัติอะไรไปไม่ได้ จะรู้เลยว่า ที่นึกว่ามี จริงๆ ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง เอาติดตัวไปไม่ได้เลย

 

นึกไล่เรียงขึ้นมานี่ว่า ตัวเองมีอะไรบ้าง หรือว่าตัวเอง มีกี่หมื่นบาท กี่แสนบาท กี่ล้านบาท กี่ร้อยล้านบาท กี่พันล้านบาท มีค่าเท่ากันเลย คือ ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ เอาติดตัวไปไม่ได้แม้แต่แดงเดียว

 

หรือ ไม่ห่วงสมบัติแล้ว ทำใจไว้ตั้งนานแล้ว บางคนนี่รวยแล้ว ก็ตั้งมูลนิธิ บอกว่า ฉันทำสาธารณประโยชน์ตั้งแต่ยังมีชีวิต ฉะนั้น ความรู้สึกให้ออก สละออก มีมานานแล้ว ซ้อมมานานแล้ว แต่ยังอดห่วงคนไม่ได้

มนุษย์เรา ถ้าทำตัวดีๆ ก็ต้องมีบุคคลอันเป็นที่รัก เราต้องทำตัวให้เป็นที่รักกับเขา แล้วเขาก็ต้องดีตอบ มาทำให้เราเกิดความห่วง เกิดความพิสวาส เกิดความรักกลับ รักตอบ

 

หลายคนก็เลย อดห่วงไม่ได้ อดกังวลถึงไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่เจอหน้ากันแล้ว แล้วเขาจะอยู่อย่างไรในโลกนี้

 

บางคนนี่นะ อย่างนี้นะ ทำบุญมาจนมั่นใจว่าตัวเองนี่ไปดีแน่ จิตผ่องแผ้วอยู่ตลอดเวลา เวลาคิดอะไรขึ้นมา คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง เวลาที่จะอยู่ว่างๆ สวดมนต์ มานึกท่องคำพุทโธ นึกถึงลมหายใจ นึกถึงการเจริญสติ โน่นนี่นั่น จนกระทั่งไม่กังวลแล้ว ตัวเองไปดีแน่

 

แต่พอมองกลับมาที่คนใกล้ตัว บุคคลอันเป็นที่รัก ยังไม่ดีนะ ยังไม่เข้าใจเลยธรรมะคืออะไร ยังไม่เชื่อ ยังไม่รู้เลยว่า จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร ต่างๆ ช่วงจวนตาย จวนอยู่ ไม่มีอยู่ในหัวเลย ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า ถ้าเราช่วยให้เขามาศรัทธาธรรมะไม่ทัน สงสัยเขาคงต้องเสี่ยงบุญเสี่ยงบาปเอาเอง อดเป็นห่วงไม่ได้

 

หรือ บางคน ไม่มีบุคคลอันเป็นที่รัก ไม่ได้ห่วงใคร แล้วก็ไม่มีใครห่วง อยู่ๆ อดนึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ว่า นี่ มีจริงๆนะ พ่อแม่ที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เกิดอยู่ๆ นึกถึงขึ้นมา ที่โกรธๆ กันตอนที่โตๆ แก่ๆ กันนี่ ไม่ได้คุยกัน นึกว่าจิตใจจะชาด้านไปแล้ว ไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่อยู่ๆ ความคิดของคนใกล้ตาย ก็นึกทบทวนย้อนกลับไป ตอนเป็นเด็ก จริงๆ แล้วก็ดีต่อกัน รักกัน ก็เกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจขึ้นมา เราลุกไปหาไม่ได้แล้ว

 

แบบนี้ ก็เป็นความห่วงอีกรูปแบบหนึ่ง คือเสียดาย ไม่ได้อโหสิกรรมกันก่อนจาก ก็จากกันไปทั้งที่รู้สึกไม่ดีอะไรแบบนี้

 

เพราะฉะนั้น ระหว่างมีชีวิตนะ เคลียร์ให้หมด คือถ้าเราอยากขอโทษใคร อย่าไปนึกอยากเอาตอนใกล้ตาย หรือว่าอย่าไปคิดว่า เราจะไม่มานึกอยากขอโทษ มีสิทธิ์นะ มันหวนกลับมา เรื่องเก่าๆ มันกลับมาตอนใกล้ตาย ผมบอกเลยนะ อันนี้จริงๆ บางเรื่องคุณลืมไปแล้ว บุคคลที่คุณนึกว่าคุณจะไม่คิดถึงอีกแล้ว มันกลับมา เหตุการณ์เก่าๆ ดีๆ ทำให้เสียดายว่า จะไม่ได้มาคืนดีกันอีก ก็ย้อนกลับมาได้

 

หรืออย่างถ้า คนที่คุณห่วงเขาว่า เขาคงจะเอาดีทางธรรมะไม่ได้ เอาตัวรอดทางจิตวิญญาณไม่ได้ แล้วก็เป็นบุคคลที่รัก ที่คุณห่วง คุณก็พิจารณาว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม พิจารณาบ่อยๆ ทุกครั้งที่เกิดความห่วง ความหวง ความตัดไม่ได้ขึ้นมา ต่อให้คุณช่วยเข้าให้เกิดความสนใจธรรมะได้ ก็ไม่แน่ว่าเขาจะไปสนใจธรรมะในแบบที่ถูกหรือผิด

 

คนนี่นะ ถ้าไปบีบเขามากๆ แล้วเขาสนใจธรรมะในทางที่ผิด หรือว่าไปนับถือคนที่ให้คำแนะนำอะไรแบบที่ ไม่ใช่ทางสว่าง แทนที่จะดี กลับร้ายเข้าไปอีก เพราะฉะนั้น ทำใจไว้ว่า ระหว่างมีชีวิตอยู่ คุณพยายามเกื้อกูลทางธรรมไปแค่ไหน นั่นคือดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว

 

ถึงคุณจะห่วงอย่างไร ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาเข้าที่เข้าทางไปได้ ตามกระแสความห่วงของคุณ จิตใจคนนี่ บังคับไม่ได้ สะกดกันตลอดเวลาไม่ได้

 

ถ้าคณอยู่กับเขา เอาความเย็นทางธรรมะ เอาความสว่างทางธรรมะ เผื่อแผ่ให้เขาเต็มที่แล้วก่อนตาย นั่นคือที่สุดที่คุณจะทำได้ คุณอย่าไปทำตอนก่อนตาย

 

เพราะฉะนั้น เวลาที่เราระลึกขึ้นมา ถ้าก่อนตายเรายังห่วงเขาอยู่อย่างนี้ไหม ห่วงอย่างสูญเปล่า ห่วงอย่างไม่ได้อะไรดีกับใครเลย ทั้งตัวเองและตัวเขา นี่ ใจก็จะค่อยๆ ตัด ใจก็จะค่อยๆ ถอด ค่อยๆ ถอน ค่อยๆ คลายความกังวลออกไป แล้วเห็นธรรมดาของสังสารวัฏขึ้นมาจริงๆ ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

 

ขนาดพระพุทธเจ้า ยังช่วยพระญาติของพระองค์ไม่ได้ทั้งหมดเลย มีแค่บางส่วนที่ติดตามพระองค์มาในทางธรรม ที่สามารถบรรลุธรรม ตามที่พระองค์มาช่วยได้ พระญาติของพระองค์นี่ บางกลุ่ม ลงนรกเลยก็มี มีเยอะด้วย เพราะว่าตามไม่ถึง ตามไปไม่ทัน ธรรมะที่พระพุทธองค์มาเผยแผ่ให้ มาเผื่อแผ่ให้นี่เป็นของสูง แล้วบางคนไปไม่ถึง

 

เพราะฉะนั้น อันนี้ พอเราคิด แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านยังช่วยพระญาติ หอบหิ้วไปนิพพานได้ไม่ทั้งหมด ช่วยส่งให้ไปสวรรค์ได้ไม่ทั่วถึงนะ บางคนต้องเป็นไปตามกรรมของเขา อย่างพระญาติบางองค์ที่เชื้อพระวงศ์ด้วยกัน พระองค์ ดูจากประวัติแล้ว เอ็นดู เมตตามาก แต่ว่าด้วยความแค้น ด้วยความอาฆาต ก็ฆ่ากันเอง ฆ่ากันเองระหว่างพระญาติของพระองค์

 

เห็นไหม เป็นไปตามกรรมจริงๆ เป็นไปตามอำนาจ ความยึดความอยากของแต่ละคนนะ เราจะรักเขาแค่ไหน สุดท้ายเราก็เอาชนะกรรมของเขาไม่ได้

 

นี่ก็จะค่อยๆ ถอดไปทุกครั้ง ที่เราสามารถระลึกขึ้นมาได้ว่า เออ เรายังติดห่วง ติดหวงอยู่

 

ทีนี้ สุดท้ายคือ กลัวหนี้บาป หรือกลัวบุญไม่พอ ความกลัวนี่ก็เกิดจากการที่เราไม่รู้จริง

คนนี่นะ ถ้าใจไม่สบายอยู่ตลอดเวลา จะมีความรู้สึกว่า ไม่ชัวร์ (sure) ตรงนี้พระพุทธเจ้าถึงตรัสบอกว่า ศาสนาของพระองค์สอนเรื่องการละบาป เรื่องการเพิ่มบุญ แล้วก็เรื่องการทำใจให้ผ่องแผ้ว

 

ละบาป ก็คือว่า เราตีกรอบไว้เลยว่า ไม่เอา แม้ว่าจะมีเรื่องยั่วยุแค่ไหนเราก็จะไม่เอาบาปทั้งห้า รักษาศีลห้าให้สะอาดนั่นเอง

 

เพิ่มบุญ คือสำรวจตัวเองไปเลยว่า ทั้งชีวิตที่ผ่านมานี่ นึกถึงกรรม(ดี) ข้อใดของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองทำไปแล้ว เกิดความปลื้ม เกิดความเป็นสุข เกิดความชื่นใจ เกิดความภูมิใจไม่หาย แม้แค่ออกแรงช่วยมดให้รอดตาย ก็ให้นึกถึงซ้ำๆ

คือถ้าคนเรานึกถึงกรรมแบบไหนซ้ำๆ ก็มักจะมีโอกาส ให้ย้อนกลับไปทำกรรมแบบนั้นๆ ต่างกรรม ต่างวาระ ต่างบุคคล ต่างสถานที่ ต่างเวลาอีกเรื่อยๆ

 

ใจจดจ่ออยู่กับกรรมดีข้อไหน ให้นึกถึงบ่อยๆ หรือถ้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว ทำอยู่แล้วทุกวัน ก็หมั่นสำรวจ วิธีสำรวจง่ายๆ ก็ทำครั้งนี้เรามีความสุขแค่ไหน เรามีความสามารถที่จะช่วยให้คนๆ หนึ่ง มีชีวิตที่ดีขึ้นเพียงใด จากกำลังของเรา จากน้ำพักน้ำแรงของเรา

 

เพราะว่าการช่วยด้วยกำลัง การออกแรง เวลาที่ทำสำเร็จ จะเกิดความปลื้ม จะเกิดความภาคภูมิทุกครั้ง

 

ประเภททำบุญแบบง่ายๆ เอาของไปใส่บาตร บางทีจะชิน จะชา เพราะว่าเรามองไม่เห็นว่า ชีวิตคนหรือชีวิตพระที่เราไปถวายภัตตาหารให้ ท่านดีขึ้นอย่างไร

 

แต่ถ้าเราเล็งว่า อย่างมีบางคนที่รู้จักเล็งเลยว่า สิ่งใดในชีวิตของบุคคลผู้ทรงศีล เกิดความพร่องไป หรือหายไป ก็จะเอาตัวเข้าไป เอาของไปถวาย เอาของชิ้นนั้นๆ ไป นี่ จะเห็นว่าทำประโยชน์อะไรให้ท่าน จะแตกต่างจากการที่สมมติว่า เอาภัตตาหารไปถวายเฉยๆ แล้วไม่รู้ว่าท่านจะฉันหรือไม่ฉันอะไรแบบนี้

 

เรื่องกลัวบุญไม่พอ ก็บอกตัวเองว่า ให้นึกถึงสิ่งที่ทำให้เราปลาบปลื้ม ทำให้เราเกิดความชุ่มชื่นใจ เกิดความรู้สึกไม่ลืม นึกถึงทีไรแล้วมีความสุขขึ้นมา ย้ำเข้าไป แล้วหาทางทำเพิ่มให้มากๆ ทำด้วยแรง ทำด้วยการออกแรง ออกกำลัง ออกทุน

 

คือทุนทรัพย์จริงๆ แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งนะ ให้ไปก็มีส่วนทำให้ชุ่มชื่น แต่ถ้าออกแรงด้วย ออกกำลังสมองด้วย จะยิ่งทวีนะ เพราะสิ่งที่เป็นมหาทานอย่างแท้จริง ไม่ใช่เงิน แต่เป็นใจที่คิดให้ คิดอนุเคราะห์

 

อย่าไปจำคำสอนประเภทว่า ให้เงินมากเท่าไหร่บุญยิ่งมากเท่านั้น นี่คือความโลภ สำรวจเข้าไปเลย เวลาปลื้ม จะปลื้มแปบเดียว แต่นึกถึงแล้ว นึกไม่ออกว่า ไปทำประโยชน์ ให้เกิดประโยชน์จริงๆ กับชีวิตของใคร หน้าตาเป็นอย่างไร

 

แล้วก็ลักษณะของใจที่โลภแบบลงทุน จะให้ได้ลงเงินมากๆ เท่านั้นเท่านี้ แล้วจะปรารถนาเอาสมบัติ ทิพยวิมาน หรือทิพยสมบัติอะไร ที่โอ่อ่าโอฬารกว่าเป็นร้อยๆ ล้านๆ เท่า ใจแบบนั้น แคบ ไม่กว้าง สังเกตนะ จะแตกต่างจากตอนที่เราคิดอนุเคราะห์ แตกต่างจากตอนที่เราอยากให้ความช่วยเหลือกับใคร ที่เขากำลังลำบากจริงๆ หรือเขากำลังมีความติดขัดติดข้อง แล้วเราไปช่วยทะลุทะลวงให้ แบบนั้นจะปลื้มกว่า

 

จิตที่คิดอนุเคราะห์ มีค่ามากกว่าเงินนะครับ!

____________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไงดี กลัวคิดไม่ดีก่อนตาย?

วันที่ 24 ตุลาคม 2563

 

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=1J0OEyIIyGc

 

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ

 ดังตฤณ :  เรามาสวดอิติปิโสด้วยกันก่อนที่จะถึงเวลานอนในค่ำคืนนี้ นะครับ

                                     คุณดังตฤณนำสวดมนต์
                        โดยอัญเชิญ พระบูรณพุทธ เป็นพระประธาน
                                และใช้ ))เสียงสติ(( ช่วยสวดมนต์




ก็ขอให้การที่เราได้มาพูดคุยกัน ถามตอบเกี่ยวกับเรื่องการแผ่เมตตา จงเป็นความสงบ ความเย็นของจิตของทุกท่านนะครับ แล้วถ้ารวมเอาความสงบ ความเย็นของพวกเราไว้ด้วยกัน เหมือนแผ่นน้ำที่มีความใส ที่มีความเย็น ที่มีความนิ่ง ก็ขอให้ตั้งความศรัทธา ความเชื่อไว้ว่า จะทำให้โลกนี้เย็นลง สงบลง แล้วคลี่คลายกลายเป็นทางออกของความรุ่มร้อนที่มันกำลังปรากฏอยู่ทั่วโลก ณ ขณะนี้นะครับ สำหรับคืนนี้ ลาไปก่อนครับ ถ้าหากว่าสัปดาห์หน้าไม่มีอะไรติดขัด คืนวันเสาร์สามทุ่ม เรามาพบกันอีกครั้งนะครับ ในรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน

คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ครับ

-------------------------------------

๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๓
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน แผ่เมตตาแล้วเครียดเกิดจากอะไร?

ช่วง     : สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ

ระยะเวลาคลิป    ๓.๓๖ นาที
รับชมทางยูทูบ       https://www.youtube.com/watch?v=3GtXa2YTHTA&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=9

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส