วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2561

พบคนกำลังทำผิดศีล แล้วนิ่งเฉย จะมีวิบากหรือไม่



ถาม : หากคนอื่นกำลังทำผิดศีล การที่เราไม่พยายามทำอะไร จะทำให้ตัวเรามีวิบากอะไรไหมครับ?

ดังตฤณ : เรียกว่าเป็นการดูดายก็ได้นะครับ อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็บัญญัติพระวินัยไว้ข้อหนึ่ง บอกว่า ถ้าเห็นภิกษุอื่น ทำอาบัติ ต้องอาบัติแล้วไม่เตือน เราพลอยติดอาบัติไปด้วย แต่ไม่ได้อาบัติเท่าเขา แต่เป็นอาบัติทุกกฏ แปลว่าอาบัติเล็กๆ น้อยๆ ที่ยอมๆ ได้อภัยได้ เพียงด้วยการกล่าวแก้ กล่าวประกาศให้คนอื่นรู้ว่า เราผิดวินัยข้อนี้ไปนะครับ นี้เป็นเรื่องของพระ

แต่เรื่องของพระก็เป็นแบบอย่างได้ แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าโดยแนวทางของพุทธ ไม่อยากให้มีการดูดาย

เวลาเราเห็นคนอื่นกำลังเดือดร้อน คนอื่นจมน้ำ เรากระโดดลงไปช่วย หรือว่า เอาห่วงยางโยนลงไปเพื่อให้เขาตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ ให้รอด แต่เวลาคนกำลังจะผิดศีล หรือ สร้างความเดือดร้อนให้จิตวิญญาณของตัวเอง สร้างความเดือดร้อนเป็นภัย ให้กับโลกภายนอกอย่างไม่จำกัด แล้วเราไม่พยายามทำอะไรให้ดีขึ้น ก็จะรู้สึกอยู่ว่า อย่างนี้เราดูดายไป

ทีนี้ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้อีกข้อหนึ่งคือว่า ถ้าพูดแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ อันนั้นควรพูด แต่ถ้าพูดแล้วรู้สึกว่า ไม่มีประโยชน์ อย่าไปพูดเลย ฉะนั้นตรงนี้เอาเข้ามารวมด้วย คือว่า เราไม่ดูดายแล้ว เราตั้งจิตไว้ ตั้งทิศทางไว้ว่า จะช่วยให้คนที่เขากำลังจะทำความผิดพลาดทางวิญญาณ เราตั้งใจช่วยเขา แต่จะช่วยแล้วได้ประโยชน์อะไรมั้ย ถ้าช่วยแล้วได้ประโยชน์ พูดหรือว่าแสดงท่าที ภาษากายอะไรต่างๆ แล้วจะเกิดประโยชน์ขึ้นมา เอาเลย ช่วยเลย

แต่ถ้าพิจารณาแล้ว ช่วยแล้วยิ่งแย่หนักขึ้นกว่าเดิม เขาจะโมโห เขาจะเกิดทิฐิมานะ ยกตัวอย่างเช่น คนเป็นพ่อเป็นแม่ หรือว่าเป็นญาติที่อาวุโสกว่าเรา ธรรมดาเวลาทำผิดอะไร เขาจะมีอัตตาของเขา มากั้นเป็นกำแพงหนาๆ ไม่อยากให้ใครมาเตือน ยิ่งลูกหลาน ยิ่งคนที่อาวุโสน้อยกว่ายิ่งแล้วใหญ่เลยนะครับ ก็จะมีความยาก

ถ้าหากว่าเราพิจารณาว่าพูดไปเดี๋ยวนั้นแล้วไม่เกิดประโยชน์เราพักไว้ก่อนนะ คือไม่ใช่ต้อง โอ๊ย ไม่ได้สิ กำลังทำผิด ถ้าเราไม่เตือนเดี๋ยวจะเป็นการดูดาย เป็นการติดเวรติดกรรมไป อะไรต่างๆ อย่าไปเร่งร้อนขนาดนั้น ให้รอจังหวะได้ การช่วยมีหลายจังหวะ

หรือถ้าหากว่าจะกี่จังหวะก็ตาม เรามีความรู้สึกว่ามันพ้นขอบเขตความสามารถที่จะไปช่วยเขา ก็อาจดึงความสามารถของคนอื่นที่เหนือกว่าเขา หรือว่าเป็นที่ยอมรับนับถือของเขามาตักเตือนแทน หรือถ้าหากว่าไม่มีเลย ในโลกนี้เขาไม่เอาใครเลย ไม่สนใจนับถือ หรือว่าให้การยอมรับใครเลย ไม่มีการมาให้เกียรติใครทั้งสิ้น นอกจากเกียรติของตัวเอง อัตตาของตัวเอง ถ้ากรณีนี้ก็สามารถที่จะ “อุเบกขา” คือ เราตั้งจิตไว้ก่อน เป็นเมตตา กรุณา แล้วก็มุทิตา คือมีความอยากให้เขาได้ดี แล้วก็ลงมือช่วย กรุณาอนุเคราะห์ด้วยการลงมือเต็มที่ แล้วก็มีจิตพร้อมจะยินดี ถ้าหากว่าเขาได้ดีตาม แต่ถ้าหากทำมาทั้งหมดแล้ว หรือพิจารณาว่า กำลังเมตตา กรุณา กับมุทิตาของเรา ไม่เพียงพอที่จะไปช่วยอะไรเขาได้ ก็ต้องอุเบกขา คือ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

คำว่าอุเบกขา ไม่ใช่อยู่ๆ ขึ้นต้นมาดูดายนะ แบบนั้นไม่ใช่พรหมวิหารนะ ไม่ใช่อุเบกขาที่มีเมตตานำ แต่เป็นอุเบกขาชนิดที่มีใจจืดชืด ใจดำ ใจร้ายใจดำ เป็นตัวนำเป็นที่ตั้ง อุเบกขาที่ถูกต้อง ต้องผ่านการพยายามมาแล้ว เมตตาช่วยเหลือแล้ว ถ้าไม่สำเร็จก็ค่อยพิจารณาว่า เป็นเรื่องของสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ต่อให้เป็นญาติ ต่อให้เป็นพ่อแม่ ต่อให้เป็นบุคคลอันเป็นที่รักของเรา ถึงแม้ว่าจะรักขนาดไหน แสนรักขนาดไหน เราก็จำเป็นต้องมีอุเบกขา แล้วก็ระลึกถึงข้อเท็จจริงว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเสด็จไปห้ามญาติไม่ให้ฆ่ากันถึงสามรอบ รอบที่สี่ยังยกทัพมาอีก ท่านก็บอก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เห็นมั้ย พระองค์นำเป็นแบบอย่างไว้ก่อนแล้ว ถึงแม้พระองค์จะมีพระญาณ รู้อยู่ทั้งรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่พระองค์ก็พยายาม ที่จะช่วยก่อน แล้วช่วยไม่ได้ ท่านถึงอุเบกขา ตัวนี้นะครับ


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จิตรวม vs จิตค้าง
13 ตุลาคม 2561
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
▶▶ คำถามช่วง – ถามตอบ ◀◀

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อาการย้ำคิดย้ำทำ การเจริญสติช่วยได้ไหม?



 ดังตฤณ : มันไม่ใช่แค่ช่วยได้นะ แต่จะเปลี่ยนให้เรากลายเป็นอีกคนได้เลย จากที่ย้ำคิดย้ำทำ คิดมากเหลือเกิน คิดเล็กคิดน้อย อะไรต่างๆ หยุมหยิม จะกลายเป็นชีวิตอีกแบบที่ คิด เท่าที่ควรจะคิด แล้วก็ พอคิดเสร็จไปแล้ว ไม่เอากลับมาคิดใหม่ คือคิดเป็นเส้นตรง พอได้เป้าแล้ว หยุด วาง แล้วก็ไปหาเป้าหมายอื่น นี่อย่างนี้ เรียกว่า คิดน้อยๆ แต่ว่าได้ผลมากๆ

การเจริญสติที่จะช่วยให้คนเราคิดน้อยลง ต้องเป็นไปในแบบที่เรามีความสุข เรามีความพอใจ เรามีความรู้สึกที่ดี จากการมีสมาธิ จะเป็นสมาธิแบบเจริญอานาปานสติ หรือว่าเจริญความรับรู้ อะไรภายในขอบเขตกายใจก็ตาม ขอให้มีความสุข ขอให้มีความสบายใจ ขอให้มีความรู้สึกว่า เออนี่มีเป้าหมายให้จิตทำอะไรอยู่ในขณะนี้ อย่างต่อเนื่อง มันจะรู้ขึ้นมาเองว่า อาการคิดมากเป็นแค่ของแปลกปลอม จากภาวะที่ควรจะว่าง จริงๆ แล้วไม่ต้องคิดมากก็ได้ จริงๆ แล้ว เราว่างก็ได้ แต่เราไม่ว่าง แล้วเราเลือกที่จะคิดมาก

ถ้าเราเลือกที่จะคิดน้อย เลือกที่จะมีความสุขกับการหายใจ เลือกที่จะมีความสุขกับการเจริญสติ มันจะมีความพออกพอใจอย่างใหม่ขึ้นมา คือตอนจิตว่างๆ จิตสบายๆ ปล่อยมันว่างอยู่อย่างนี้ แล้วคอยดู ว่าเดี๋ยวมันจะกลับวุ่นขึ้นมาใหม่เมื่อไหร่ ลมหายใจไหน พอวุ่นขึ้นมา รู้ทัน ว่านี่เกิดขึ้น ณ ลมหายใจนี้ แล้วลมหายใจต่อมาก็ดูว่า เออ ตอนมันหายไป ก็กลับไปสบายใหม่ ไม่เห็นต้องกลับมาคิดมากอีก จะได้ข้อเปรียบเทียบอย่างนี้

แต่ตอนคิดมากอย่างเดียว ไม่เจริญสตินี่ มันไม่ได้ข้อเปรียบเทียบอะไรเลย มีแต่จะให้จิตหลงเอาๆ ว่า เออการคิดฟุ้งซ่านมันจำเป็น  การคิดมาก มันต้องคิด ไม่คิดไม่ได้ ไม่คิดแล้วเหมือนกับไม่รับผิดชอบ ไม่คิดแล้วเหมือนกับว่า ไม่ได้ทำหน้าที่ หรือไม่ได้ทำในสิ่งที่ควรจะทำ คนเรามันเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ความคิดนี่หลอกเรามาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ คือถ้าไม่คิด ถ้าไม่ยอมเป็นพวกเดียวกับมัน คล้ายๆ จะไม่ได้ทำหน้าที่ที่สมควรจะทำ ทั้งๆ ที่ไปคิดมาก หรือว่าไปฟุ้งซ่านอะไร ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรขึ้นเลย เรื่องที่เกิดแล้ว เรื่องที่เป็นปัญหาอยู่ ก็ไม่ได้ถูกแก้ แล้วจิตใจของเราก็เป็นทุกข์มากขึ้น ไม่มีอะไรดีเลย แต่เราก็ยังอุตส่าห์หลงยึด หลงเชื่อความคิดฟุ้งซ่านนี่ ว่าถ้าไม่คิด ถือว่าไม่ได้ทำหน้าที่นะครับ!




ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน จิตรวม vs จิตค้าง
13 ตุลาคม 2561
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
▶▶ คำถามช่วง – ถามตอบ ◀◀

ถ้าเราเปลี่ยนชื่อจะมีผลกับชีวิตใหม



ดังตฤณ : มีครับ คนต้องมาจำกันใหม่นะ ว่าคุณชื่ออะไร แล้วบางคนก็เหลือเกิน คือ ศาสตร์การตั้งชื่อในเมืองไทย ... นี่ไม่อยากว่าใคร ไม่ได้พูดเพื่อให้เกิดการกระทบกระทั่งใครทั้งสิ้นนะ แต่มันไม่มีการวัดผลน่ะ
คุณลองวัดผลง่ายๆ ว่าถ้าชื่อของคุณต่างไป ในแบบที่ยาวและจำยาก คนจะขี้เกียจเรียกชื่อคุณ คุณจะมีความรู้สึกอึดอัด ลำบากในการจดจำชื่อตัวเอง แล้วก็บอกชื่อตัวเองกับคนอื่น
คนที่เปลี่ยนชื่อนี่ผมสังเกตนะ ไม่รู้ไปเอาหลักการอะไรที่ไหนมา จะต้องตั้งชื่อให้ยาวๆ แล้วก็ฟังไม่รู้เรื่อง บอกว่าศัพท์ ดึงมาจากคำนู้นคำนี้ แปลว่าอย่างนั้นอย่างนี้ พอไปสืบดู อ้าว ไม่เห็นจะแปลอย่างนั้นจริงๆ เลย

คือถ้าเราเปลี่ยนชื่ออย่างมีหลักการ เช่น เดิมชื่อนายเหม็น พ่อแม่เกิดเปลี่ยนใจบอก ลูก เปลี่ยนเถอะ ชื่อหอมดีกว่า เอ้า อย่างนี้โอเค เปลี่ยนจากอัปมงคลชัดๆ เป็นมงคลขึ้น อย่างนี้โอเค แต่บางคนนี่นะ นี่พูดตรงๆนะ ชื่อดีอยู่แล้ว แต่ยังทำตัวไม่ดีต่างหาก แล้วไปโทษชื่อ เสร็จแล้วไปเปลี่ยนชื่อ จากชื่อที่ดีอยู่แล้ว กลายเป็นชื่อที่ทำให้ตัวเองแย่ลง คนจำชื่อไม่ค่อยจะได้ แล้วก็จริงๆ นะ ถ้าพูดในทางลึกลับเนี่ย บางคนไม่ได้เปลี่ยนให้มันดีขึ้น (กลับ) เปลี่ยนให้แย่ลง แล้วทีนี้ผมก็เลย เคยเขียนไว้หลายครั้งบอกว่า เราเปลี่ยนกรรม ให้กับชื่อ ดีกว่าเปลี่ยนชื่อให้กับกรรม

หมายความว่ายังไง หมายความว่า คนเราสิ่งสำคัญที่สุดคือ กรรม ที่กระทำอยู่ทุกวันนี่แหละ คิดพูดทำ นั่นแหละ ทีนี้ คนจะจำว่า เราเป็นใคร ก็จากกรรมของเราใช่มั้ย เสร็จแล้วเขาก็ถาม นี่ชื่ออะไรเนี่ย เจ๋งนะเนี่ย ทำตัวดีนะเนี่ย หรือพอถาม นี่ชื่ออะไร ลูกเต้าเหล่าใคร ทำตัวแย่จัง
คือเวลาที่เขาถาม เอาชื่อ จะจดจำชื่อกัน เขาจะจดจำว่า คนๆนี้ที่ทำกรรมแบบนี้ ชื่ออะไร จะเป็นวีรบุรุษ หรือว่า เป็นวีรเวร วีรภัยกับโลก นะ
ทีนี้ถ้าจะชื่ออะไรก็แล้วแต่ เราทำให้กรรม เป็นมงคล เป็นศรี เป็นสว่างกับชื่อซะ ชื่อเดิมนั่นแหละ จะหอมหวลขึ้น บางคนคือปักใจเชื่อในแบบที่ว่า ถ้าเปลี่ยนชื่อแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น แล้วไม่เปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองเลย มันก็เหมือนกับ เนื้อตัวยังสกปรก แล้วก็เปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนกางเกงหลอก ชาวบ้านว่าไปอาบน้ำมาแล้ว แต่จริงๆ ไม่ได้มีอะไรต่างไปเลย เนื้อในยังเหมือนเดิม
ฉะนั้นสรุปก็คือ เปลี่ยนชื่อ ถ้าพูดแบบให้ฟันธงนะ มีผล มีผลจริงๆ ผลกับความจำของตัวเอง ผลกับความจำของคนอื่น

แต่ว่าในแง่ของชีวิต จะรุ่งเรืองขึ้น หรือว่าจะเจอนู่น เจอนี่อะไรต่างๆ ถ้าคนรู้จริง แล้วมีวิธี ใช้วิชาเคล็ดลางเกี่ยวกับศาสตร์ของชื่อมาทำให้ดีขึ้น อย่างนั้นก็โอเค ถ้าไปเจอแบบนั้นก็อนุโมทนาสาธุ แต่ระวังแล้วกัน จะไปเจอคนที่ เขาเอง เขายังทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้นไม่ได้ แล้วจะมาทำให้ชื่อของคนอื่นกลายเป็น ตัวปรับปรุงชีวิต ให้คนไม่รู้จัก ให้คนแปลกหน้าได้ไม่จำกัด อันนั้นผมว่ามันเป็นหนึ่งในความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานยอมรับนะครับ ถ้าคุณรู้ว่า ที่มาที่ไปของศาสตร์เปลี่ยนชื่อมาจากไหนนี่ การตั้งชื่อ การอะไรต่างๆ คุณอาจรู้สึกว่า ไม่น่าไปเสียเวลากับเรื่องพวกนี้เลย   เพราะตำราของไทยจริงๆ ที่จะเปลี่ยนชื่อ ที่เป็นต้นตำรับจากไทย ผมไม่รู้ว่ามีหรือเปล่านะ แต่ว่าส่วนใหญ่จะเอามาจากต่างประเทศ แล้วก็เอามาตีความเป็นภาษาไทย เอามาพยายามจับให้ลงเป็นภาษาไทยอีกทีหนึ่งนะ



▶▶ คำถามช่วง – ถามตอบ ◀◀
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ดวงตก VS จิตตก
27 ตุลาคม 2561

ฝึกอย่างไรให้จิตรวม

ดังตฤณ : คำถามนี้ก็เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับในหมู่นักปฏิบัติเช่นกันนะครับ เพราะว่า คนจะคาดหวังว่า ทำสมาธิแล้ว น่าจะได้สมาธิดีๆ น่าจะได้ฌานนะ นี่คือโอเคมีแนวทางฝึกต่อให้ถูกต้อง แต่ถ้าหากว่าประพฤติปฏิบัติตัวยังไม่ได้ ยังไม่ใช่ ยังไงก็ไม่รวมนะ
บางคนได้แนวทางที่จะฝึกอานาปานสติอย่างถูกต้องไปแล้ว รู้แล้วว่าลมไม่เที่ยง เดี๋ยวก็เข้า เดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวก็ยาว เดี๋ยวก็สั้น แต่จิตนี่ มีความวิ่งพล่านอยู่ มีความอยากไขว่คว้า หารูป รส กลิ่น เสียง ที่น่าต้องใจ น่าสัมผัส มาเข้าตัว ก็มีความกระวนกระวาย มีความอยาก มีความงุ่นง่าน มีความรู้สึกว่า จิตพุ่งไปทางนู้นที พุ่งไปทางนี้ที ไม่สามารถที่จะจดจ่ออยู่กับลมหายใจได้อย่างมีความสุข แค่นั้น ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติที่ยังไงก็ไม่รวม

ถ้าคาดหวังว่าแค่เราปฏิบัติถูก ได้ครูบาอาจารย์ถูก แล้วจิตจะรวม ก็เป็นความคาดหวังที่เพี้ยนจากความเป็นจริง ที่ไม่ถูกต้อง ที่จูน (tune) ไม่ติดกับความเป็นจริงแล้ว

ทีนี้ถ้าเราเข้าใจจริงๆว่า จิตรวม เกิดจากการที่เราปฏิบัติถูกวิธีด้วย มีกรรมฐานที่ถูกต้องด้วย แล้วก็มีการปฏิบัติตน คือมีการใช้ชีวิตประจำวันที่สอดคล้อง ที่มีความวิเวก ที่มีความไม่เอาอะไร ที่มีความทิ้งไป เป็นที่ตั้ง เป็นหลัก ตรงนี้จะค่อยเกิดความเห็นจากประสบการณ์ภายในว่า เออ มันเป็นไปได้

เพราะอะไร เพราะว่ายิ่งปฏิบัติไป จิตยิ่งไม่เอา จิตที่ไม่เอา จิตที่ไม่คาดหวัง จิตที่ไม่มีอะไรอยู่ในใจ มีแต่ความพอใจที่จะเห็นลมผ่านเข้าผ่านออก ผ่านเข้าผ่านออก แล้วก็มีความอิ่ม มีความเต็มที่จะอยู่กับความว่าง ณ ขณะ ของการเห็นลมหายใจ มีปรากฎการณ์แบบใหม่ขึ้นมาทางจิต จิตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มีความว่างที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ความว่างนี้ รู้สึกว่ามีสภาพตั้งอยู่ ไม่ใช่ตั้งอยู่ด้วยการบังคับ ด้วยการคิด แต่ตั้งอยู่ด้วยลักษณะของมันเองที่มีความว่าง มีความเบา มีความอิ่ม มีความเต็มอยู่อย่างนั้น แล้วกระแสของจิตที่มีความอิ่ม มีความเต็ม มันค่อยๆ อยู่ตัว ค่อยๆ ทรงตัว เหมือนคนสามารถเลี้ยงตัวด้วยขาเดียว นิ่งๆ โดยไม่มีอาการเป๋เลย มีความตั้งมั่น มีความอยู่กับสิ่งเดียว แบบเรียบง่าย แบบไม่คิดอะไรเลย ไม่ได้มีความสำคัญมั่นหมายอะไรเลย ก็จะเห็นจากตัวกระแสของจิตนะ ว่ามันค่อยๆ ผนึก ค่อยๆ มีความสามารถที่จะทรงอยู่ด้วยการรวม

รวมนี่ ไม่ใช่อัดเข้ามานะ ตรงกันข้าม มันมีความว่างจากภายในที่แผ่ออกไป แล้วเวลาที่จิตรวม มันรวมในลักษณะที่จิตของเราไม่ได้มามีความคาดหมาย หรือมีความนึกคิดว่า จงตั้งอยู่ในสภาพอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นแม่เหล็ก เป็นธรรมชาติของแม่เหล็กที่รวมกระแสเข้ามา แล้วแผ่ออกไป แผ่ออกไปไม่มีสิ้นสุด รวมแบบที่ไม่ได้มีความอยาก มีแต่ความพร้อม ตามธรรมชาติของจิต เขาจัดการของเขาเอง

ฉะนั้นสรุปก็คือว่า จะฝึกอย่างไรให้จิตรวม (คำตอบคือ) ฝึกอย่างที่ถูกทาง ถูกต้อง ตามที่พระพุทธเจ้าแนะนำนะ แล้วก็มีการประพฤติปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันที่สอดคล้องด้วย มีความวิเวก ไม่ใช่ ยังหวังนู่น หวังนี่ จะเอาแบบโลกๆ ด้วย แล้วก็ เอาดีทางธรรมด้วย ซึ่งคนปฏิบัติธรรมนี่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะฆราวาส เบื้องต้นขึ้นมาจะเหมือนกันหมด โลกจะไม่ทิ้ง แล้วก็ธรรมนี่ก็จะเอาด้วย จับปลาสองมือแบบเต็มกำเลยนะ เต็มกำทั้งสองมือนี้เลย แล้วก็จะเอาทั้งสองมือนี้ให้ได้ ไม่ใช่วิสัยนะครับ


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ปฏิบัติธรรมหวังสวรรค์ผิดไหม?
1 ธันวาคม 2561

ขอวิธีลดความทุกข์ ในใจ



ดังตฤณ : วิธีลดความทุกข์ในใจ ไปสั่งลดไม่ได้ แต่ต้องสร้างเหตุที่จะไม่ให้เป็นทุกข์ ที่จะทำให้ ใจ เปิดรับความสุขเข้ามา มากกว่าความทุกข์นะครับ ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่นได้ นั่นแหละ ตรงนั้นแหละ ลดความทุกข์ลงแล้ว

ในขณะที่เราอยู่ในสภาวะหนาทึบ จะมีวิธีไหนที่จะดึงสติเราได้ไวที่สุด ก็คือ ให้ “ยอมรับ” ตามจริง ว่ากำลังอยู่ในภาวะหนาทึบอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ในจิตตานุปัสนา ท่านให้ “รู้” ให้ยอมรับนั่นเองว่า ขณะนี้ “โมหะ” มีอยู่ในจิต โมหะกำลังห่อหุ้มจิตอยู่ โมหะกำลังปิดบังจิตอยู่ แค่รู้เท่านั้น ยอมรับเท่านั้น “สติ” เกิดแล้ว

สติเกิดขึ้นแล้วยังไง สติเกิดขึ้นรู้ว่า ภาวะของเราขณะนี้ เรียกว่ามีโมหะ จิตมีโมหะ เมื่อยอมรับได้ เมื่อเกิดสติได้ โมหะจะถูกมองเป็นของอื่น เป็นของต่างหากจากจิตทันที แล้วพอเกิดความรู้สึกว่า ที่ทึบๆ หนาๆ แน่นๆ อยู่นี่ แค่ลมหายใจต่างกันสองสามลมหายใจ มันก็โปร่งบางลง ก็เบาบางลง หรืออาจจะย้อนกลับมาหนาทึบขึ้นได้อีก ยอมรับตามจริงไปให้หมด ก็คือการมีสติเห็นได้หมด ว่าขณะไหนกำลังมีโมหะ ขณะไหนไม่มีโมหะแล้ว


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ภาวะโปร่งใส vs ภาวะหนาทึบ
วันที่ 17 พฤศจิกายน 2561

จะตอบคำถามคนที่ไม่เชื่อในการเกิดอีกครั้งอย่างไรดี


ดังตฤณ : ไม่ต้องไปพยายาม คือคนที่เขาไม่เชื่อ ไปพูดยังไง ให้ตายก็ไม่เชื่อ อย่างฝรั่ง ผมเจอประจำ พอเขารู้ว่าเรานับถือพุทธ เราศรัทธาพุทธนี่ ถามคำแรก ถามด้วยการเห็นว่า ศาสนาพุทธเรา งมงายอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด

คือเขาจะจับจุดไม่ถูก มองไม่ออกว่า ศาสนาเราเป็นศาสนาที่เน้นเรื่องการพ้นทุกข์ เรื่องการดับทุกข์ เขาจะมองไว้ก่อนเลยว่า ศาสนาเรา สอนให้งมงาย เชื่ออะไรผิดๆ ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง แล้วก็จะเอาการรับรู้ของตัวเองเป็นหลักฐานว่า ตัวเองไม่รับรู้ว่าชาติหน้ามีจริง มันก็ต้องไม่มีจริง หรือนักวิทยาศาสตร์บางคนก็ทดลองในแบบที่ตัวเองไบแอส (bias) ว่า ทั้งหลายทั้งปวงจะมุ่งเน้น จะโฟกัส (focus) อยู่แค่ว่า อย่างคนไปเห็นนรกสวรรค์ หรือว่าตายชั่วคราวแล้วฟื้นกลับมาเล่าเป็นตุเป็นตะ ว่าไปเห็นนู่น เห็นนี่ เป็นแค่การทำงานของสมองทั้งสิ้น เขาจะเชื่ออย่างนี้ ถ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ แต่ไม่นับชาวบ้านตาสีตาสา ที่บอกว่า ไม่เชื่อ

ถ้าใจปิด ถ้าใจไม่เชื่อเสียอย่าง ยังไงมันก็ไม่เชื่อ อย่างศัลยแพทย์คนหนึ่งที่ตายชั่วคราว แล้วกลับมาบอกกับโลกว่า เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว แต่ก่อนเขาก็พูดอย่างนี้เหมือนกัน ว่าอะไรๆ ที่เป็นภาวะ ไปเห็นความตาย หลังความตาย เป็นการทำงานของสมองทั้งสิ้น อันนี้เขามีหลักฐานทางการแพทย์เลยว่าสมองเขาหยุดทำงานสิ้นเชิง ก็อุตส่าห์มีนักวิทยาศาสตร์อื่นที่เป็นพรรคพวกบอกว่า บ้าไปแล้ว คงยังมีฟังก์ชั่น (function) อะไรบางอย่างในสมองที่เราไม่รู้จัก ยังทำงานอยู่ แต่ detect ดีเทคไมได้ คือตรวจสอบด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีที่มีในปัจจุบันไม่ได้
มันอ้างได้หมด คือต่อให้เป็นวงการวิทยาศาสตร์ มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จะรู้ ที่จะพิสูจน์ ก็อุตส่าห์ดิ้นไปจนได้แหละว่าการทำงานของสมองยังไงเนี่ย ก็ต้องมี ถึงแม้ว่าจะ detect ไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะตรวจสอบไม่เจอจากเครื่องมือที่มีอยู่ในปัจจุบัน
หรืออย่างกระทั่งที่ว่า อย่างแม้แต่ สตีเฟน ฮอว์กิง (หมายเหตุผู้ถอดความ: สตีเฟน วิลเลียม ฮอว์กิง / Stephen William Hawking) นักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับว่าฉลาดที่สุดในโลกคคนหนึ่งในปัจจุบัน ตอนนี้เสียชีวิตไปแล้วก็เคยบอก บอกว่า นรก สวรรค์ ไม่มีจริงหรอก ทุกอย่างเป็นการทำงานของสมองทั้งสิ้น ตายไปก็จบ ตอนนี้ก็คงไปรู้แล้วว่า จบจริงหรือเปล่านะ

นี่คือคนระดับนั้นยังพูดเลยว่า มันไม่จริง ทั้งๆที่ คนที่ศึกษาสมองมาจริงๆ ทำวิจัยในห้องแล็บ เก็บสถิติอะไรมามากมาย ยังบอกเลยว่า ไม่มีข้อพิสูจน์ว่าพื้นที่ของสมองส่วนใด ที่ผลิตการรับรู้ที่เป็นปัจจุบัน ออกมา

การรับรู้ที่เป็นปัจจุบัน หมายความว่า ที่เห็น ที่ได้ยิน คือที่เรารู้สึกว่า ได้เห็น ได้ยิน เพราะมีการทำงานของสมองส่วนหนึ่ง อันนั้นเป็นฟังก์ชั่นของการรับรู้ทางตา ทางหู แต่ตัวที่รับรู้ ตัวที่เป็น conscious ที่มีสำนึกรับรู้อยู่ได้ มาจากสมองส่วนไหน พื้นที่สมองส่วนไหน ยังบอกไม่ได้นะ มีแต่การสันนิษฐานล่าสุด ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุดเลยที่จะบอกได้ บอกว่า สงสัยอยู่ตรงใจกลางสมอง เพราะมีเซลส์ประสาทขนาดยักษ์อยู่ตรงนั้น สันนิษฐานอย่างเดียวนะ ไม่สามารถหาหลักฐานอ้างอิงพิสูจน์ หรือว่ามีวิธีการใด ที่จะไปมองว่าตรงนั้น เป็นแหล่งผลิตตัวสำนึกรับรู้ขึ้นมาจริงๆ

นักวิทยาศาสตร์ที่เก่งที่สุดในโลก ตอบไม่ได้ ว่าพื้นที่ไหนของสมองที่ผลิตการรับรู้ขึ้นมา

ทีนี้ถ้ามองทางศาสนา มีคำตอบอยู่ชัดเจนอยู่แล้วว่า จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว จิต นี่แหละที่เป็นตัวรับรู้ สมองเป็นเพียงฟังก์ชั่นของการรับรู้ ว่าจะรับรู้ส่วนไหน หรือแม้แต่ความทรงจำ ก็มีเก็บ มีลักษณะการเก็บเหมือนกับฮาร์ดดิสก์ เป็นประจุ มีเซลส์ประสาทที่งอกใหม่ได้ แล้วทำหน้าที่จำ แต่ไม่ใช่ตัวความจำ ไม่ใช่ตัวความจำจริงๆ
ลักษณะความจำจริงๆ มันเกิดขึ้นในระดับ นามธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้นี่ ต้องรู้เฉพาะตน ต้องปฏิบัติ เข้ามาดูกาย เข้ามาดูใจ อยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดความเห็น สักแต่เป็นรูป สักแต่เป็นนาม แล้วเห็นว่า อันนี้เป็นผล รูปนี้เป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากเหตุในอดีต และเหตุในอดีต ไม่ได้มีแต่เหตุในชาตินี้ มันมีเหตุก่อนหน้านี้อีก ก่อนหน้าที่จะมีรูปนี้ กายนี้ ใจนี้ ตอนนี้ถึงหายสงสัย ถึงจะทะลุออกไป
คนที่แม้จะเชื่อแล้วเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด หรือว่าเชื่อเรื่องชาตินี้ชาติหน้า ความเชื่อนั้นก็ไม่ช่วยให้เปลี่ยนใจไม่ได้นะ อย่างหลายคน ดาราดังๆ ก็มี บอกว่าเข้ามาปฏิบัติในพุทธเต็มที่แล้ว แต่ไม่เจออะไรเลย ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย ก็ไปเปลี่ยนศาสนา เป็นศาสนาอื่น บอกแล้วว่าเรื่องศาสนามันใหญ่กว่าชีวิต ฉะนั้นถ้าไม่ได้คำตอบจากอะไรอย่างหนึ่ง ก็ต้องไปแสวงหาใหม่

นี่ก็เหมือนกัน คือ ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด แต่เรายังไม่ได้เห็นจริงๆ ว่า หน้าตาเป็นยังไง ก็อย่าเพิ่งไปสรุปว่าเรามีดีกว่าคนที่เขาไม่เชื่อแล้วแน่ๆ เวลาที่เราจะชักจูงคนที่เขาไม่เชื่อ ให้เกิดความเชื่อ อย่าไปพยายามชวนคุยในเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างพิสูจน์กันไม่ได้ ช่วยเปิดหูเปิดตากันไม่ได้ เอาแง่มุมที่เราสามารถช่วยให้เขาเปิดหูเปิดตาได้ดีกว่า

ชวนกันมาคุยเรื่องทุกข์ และการดับทุกข์ อันเห็นได้ในปัจจุบัน ถึงเขาจะไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ถึงแม้ว่าเขาจะยังทำผิดศีล ผิดธรรมอยู่ อย่างน้อยก็ยังได้มีอะไรบางอย่างจากพุทธศาสนาไป ติดตัวไป แล้วก็ถ้าได้ดี ได้รู้สึกว่า มีความทุกข์เบาบางลง อย่างน้อยก็จะได้นับถือพระพุทธเจ้า คนนี่นะ นับถือพระพุทธเจ้า มีศรัทธาในพระพุทธเจ้า พระองค์เองท่านให้คำรับรองว่า ยังไงก็จะต้องได้ไปเจอพุทธศาสนาอีก ยังไงก็ต้องได้ไปดีนะครับ คือบางทีถ้าไปเน้น ไปย้ำเรื่องที่ยังไงๆ ก็พิสูจน์ไม่ได้ แล้วเขาเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา กลายเป็นว่าไปเอายาพิษใส่ปากเขา ไปทำให้เขานี่ลบหลู่พระพุทธเจ้ามากขึ้นๆ จนกระทั่ง กลายเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิในชาติปัจจุบัน คือกลายเป็นมีความเที่ยงที่จะจงเกลียดจงชัง พุทธศาสนา
6
ฉะนั้นถ้าหวังดีกับใคร เราต้องเอาแง่ดีของพุทธศาสนาไปทำให้เขาเกิดความรู้สึกดี แล้วก็เกิดความรู้สึกที่อยากฟังต่อ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการเอาแพ้ เอาชนะที่สูญเปล่า ตัวเราเองก็ไม่ได้บุญเพิ่ม ตัวเขาเอง ที่แย่อยู่แล้ว อาจยิ่งแย่หนักขึ้น ก็เอาสิ่งที่เราสามารถทำได้ แล้วก็เอื้อให้เกิดกุศลกับทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ปฏิบัติธรรมหวังสวรรค์ผิดไหม?
1 ธันวาคม 2561

อยากทราบแนวความคิดคุณดังตฤณเกี่ยวกับคำว่า "ปีชง"


ดังตฤณ : เอาที่ผมเชื่อนะว่า “ปีชง” เป็นยังไง
ผมก็ไม่ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับโหราศาสตร์ลึกซึ้งนะ เอาเป็นว่าปีชง ถ้าหมายความว่าเป็นปีที่ไม่ดี เป็นปีที่ พูดง่ายๆ ว่า จะเป็นปีที่เจอแต่อะไรร้ายๆ อย่างนี้นะ
อย่างปีนี้ ปี 2018 หรือว่า 2561 นี่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นปีมหาวินาศอะไรของโลก ทุกคนจะบ่นว่า เหนื่อย เบื่อ ท้อ แล้วก็หลายคนพูดเหมือนกันเลย บอกว่าเป็นปีที่แย่ที่สุดในชีวิต ก็ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาเป็นบรรทัดฐานในการวัดอารมณ์แย่ แต่ก็น่าจะจริงนะ เพราะว่าหลายๆ คนพูดแบบนี้จริงๆ ว่าเกิดมาไม่เคยเจอ ไม่เคยเหนื่อยขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยรู้สึกว่าจะต้องรับแรงกระแทกหนักหนาสาหัสเท่านี้ในชีวิต
ฉะนั้น คำว่าปีชงนี่ ก็เป็นปีที่ทำให้เราเป็นทุกข์ บีบให้เราเป็นทุกข์ ในทางพุทธนี่ยอมรับว่ามีจริงนะครับ

อย่างโหราศาสตร์นี่ เอาโหราศาสตร์แบบขนานแท้ดั้งเดิม ที่มาใช้หลักการสังเกตดวงดาวกันจริงๆ เขาก็ว่าดวงดาวมีความสัมพันธ์กันจริงๆ นักวิทยาศาสตร์ที่ถือเป็นบิดาของดาราศาสตร์ ทอเลมี (หมายเหตุ: เคลาดิออส โตเลเมออส / กรีก: Κλαύδιος Πτολεμαῖος / อังกฤษ: Ptolemy)  เขาก็เริ่มจากการสงสัยว่า มีความสัมพันธ์กันจริงๆ ระหว่างดวงดาวกับปีเกิดคน หรือว่าชะตาของคน อะไรต่างๆ ก็เก็บสถิติอยู่เป็นสิบๆ ปี ชั่วชีวิตเขาก็สรุปว่า ท่าทางจะมีความสัมพันธ์กันจริงๆ ลองไปอ่านดูก็แล้วกัน ไปอ่านดูในวิกิพีเดีย (Wikipedia) ทอเลมี ที่เป็นบิดาดาราศาสตร์เลย ที่เขาค้นคว้าอย่างเป็นระบบว่า ดวงดาวเคลื่อนที่ยังไง แล้วรอบปีหนึ่งมาอยู่ตรงไหนอะไรต่างๆ อยู่กลุ่มดาวไหนนี่ คนนี้เป็นบิดาเลย เขาก็ได้ข้อสรุปตรงนี้มา

ซึ่งทางพุทธเราไม่ได้พูดถึงโหราศาสตร์ แล้วอันนี้อย่าเอาไปโยงนะที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า หมอดู ถือเป็นเดรัจฉานวิชา เพราะคำว่า “เดรัจฉานวิชา” นี่แม้แต่อาชีพที่เราประกอบกันอยู่แบบฆราวาส นี่ก็เป็นเดรัจฉานวิชานะ ไม่ใช่เป็นวิชาของสัตว์เดรัจฉานอะไรแบบนี้ แต่ความหมายคือว่าเป็นวิชาที่ ถ้าใครรู้ไปแล้ว สนใจไปแล้วมากๆ แล้ว มันเสียเวลาเจริญสติ ไม่เกื้อกูล ในทางตรงข้าม จะฉุดดึงให้การเจริญสตินี่เสื่อมถอยลงอะไรแบบนี้นะครับ นี่คือความหมายของคำว่า เดรัจฉานวิชา

ทีนี้โหราศาสตร์นี่ ถ้าเรามองว่าจะเอามาพูดในเรื่องความเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างไร ก็บอกได้ว่า โหราศาสตร์ที่ถูกต้องนี่ เหมือนกับแผนที่ เหมือนกับเครื่องชี้ว่า กรรมเก่าของเรานี่ จะให้ผลแบบไหนบ้าง จะมีเส้นทางการให้ผล เส้นทางการเสวยวิบากนี่ ซึ่งถูกวางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ตั้งแต่วันแรกที่เกิดมาจนกระทั่งถึงวันตาย เป็นยังไงบ้าง

พระพุทธเจ้าก็เคยตรัส บอกว่า ด้วยการมี วจีทุจริต มีกายทุจริต แล้วก็มโนทุจริต เกิดชาติใหม่ก็จะต้องเกิดมาอยู่ในตระกูลต่ำ แล้วก็จะต้องมีผิวพรรณทราม จะต้องไปเจออะไรร้ายๆ ตามที่เคยทำกับคนอื่นไว้ ซึ่งพระองค์ไม่ได้ตรัสบอก จำแนกว่า อันนี้เธอสังเกตดวงดาวนะ จะต้องเข้าล็อค (lock) เข้ารหัสแบบนั้นแบบนี้ แล้วจะต้องไปเกิดเป็นคนรูปร่างหน้าตาแบบไหน ตระกูลไหน ท่านไม่ได้ตรัสโยง แต่ท่านตรัสโดยความเป็นกรรม ข้อสังเกตโดยความเป็นกรรม ว่า เมื่อทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะได้รับผลอย่างไร

แต่โหราศาสตร์นี่เป็นอีกวิชาหนึ่งซึ่งพระพุทธองค์ไม่เสียเวลาสอนนะ ถ้าเสียเวลาสอนโหราศาสตร์นี่ก็ไม่ต้องสอนการพ้นทุกข์กัน แต่โหราศาสตร์ คือถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถูกสอนโดยพุทธศาสนา แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจริง แล้วก็สามารถอธิบายออกมาได้

คือ ถ้าเรารู้จริงๆว่า เป็นความจริง มันเอามาโยงได้หมด อย่างเช่นที่โหราศาสตร์จะบอกกับเราว่า ปีนั้น ปีนี้จะต้องเสวยวิบากมืด หรือ วิบากสว่าง คือถ้าเป็นปีที่จะต้องเสวยวิบากมืด ตามจังหวะของชีวิต ก็จะมีอะไรที่แย่ๆ เหมือนเปิดประตูมืด รับสิ่งมืดๆ เข้ามา โจมตีแบบเหมือนกับมีนก มีกา เข้ามาจิก เข้ามารุมทึ้ง
ซึ่งพอผ่านปีนั้นไป ก็ปรากฏว่าเหมือนกับออกที่โล่ง สว่าง ไม่มีอะไรที่ไม่ดีเลย มีแต่ความสุข แล้วแต่ละคนไม่เหมือนกันอย่างบางคน ปี 2018 นี่เป็นปีที่แย่ที่สุดในชีวิต ในขณะที่บางคนเป็นปีที่ดีที่สุด เท่าที่เคยทำอะไรได้มาทั้งหมด ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าปีชงของคนส่วนใหญ่ ปีร้ายๆ ปีแย่ๆ ของคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้จำเป็นจะต้องไปแย่ทั้งหมด

อย่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 นี่ ผู้คนล้มตายกันมหาศาล แต่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ฉวยโอกาสได้จากความตาย และความทุกข์ของคนอื่นนะ ร่ำรวยมหาศาลขึ้นมา พวกค้าอาวุธอะไรพวกนี้ นี่ก็คือตัวอย่างว่า โลกเราใบนี้ มีแต่การแสดงความจริง ยืนยันตามที่พุทธศาสนาบอกไว้นั่นแหละ ก็คือว่า ใครทำอะไรไว้ ในที่สุดก็จะต้องได้รับผลตามนั้น ถึงแม้ว่าจะมองไม่ได้ทันตาเห็น อาจไม่ได้เห็นผลในชาตินี้ แต่ในชาติถัดไป มันอยู่ใน DNA เลย

นักวิทยาศาสตร์ตอนนี้รู้จริงๆแล้วว่า มนุษย์ถูกออกแบบชีวิตมาตั้งแต่ก่อนเกิด คือทำนายได้ตอนนี้ ชัดเจน ที่จีนบอกได้แทบจะวาดรูปหน้าได้อยู่แล้วว่าเกิดมาเด็กจะหน้าตาเป็นยังไง สวยหล่อแค่ไหน คือพยากรณ์ได้ล่วงหน้า ก่อนที่จะสวย ก่อนที่จะหล่อให้ดูเลย หรือที่ผมอ่านๆ มา ตอนนี้เขาเก็บสถิติกันเยอะมาก ประเภทบอกว่า DNA รหัสแบบนี้มีสิทธิ์เจออุบัติเหตุช่วงไหน เจออุบัติเหตุบ่อยมั้ย หรือว่าอย่างในกรุงเทพฯตอนนี้ก็มี ที่ตรวจหา ที่บอกว่าจะเป็นมะเร็งช่วงอายุเท่าไหร่ อะไรต่างๆ คือสามารถที่จะเอามายืนยันได้ว่า พระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสเกี่ยวกับเรื่องของวิบากกรรมที่ข้ามภพ ข้ามชาตินี่ ของจริง

DNA นี่เป็นตัวบอกว่า มีอะไรแบบนี้อยู่จริงๆ ที่เป็นแผนที่ เป็นแผนผังที่เราจะต้องเจอกัน แต่ด้วยความไม่รู้นี่ แม้กระทั่งลายมือ ปรากฏอยู่ทนโท่นี่นะ เราอ่านไม่ออก ไม่รู้หลักว่าจะอ่านยังไง แต่คนที่เขารู้หลักการอ่านลายมือ บอกได้ทันที บอกได้ในการมองปราดเดียวว่าชีวิตเราเป็นยังไง ประมาณไหน จะมีลูก ไม่มีลูกอะไรต่างๆ บอกได้หมดเลย
ฉะนั้น ถามว่า เกี่ยวกับคำว่า ปีชง ผมเชื่อว่ายังไง ก็เชื่อว่า เป็นปีที่วิบากมืดให้ผลสำหรับคนบางกลุ่ม คนกลุ่มหนึ่ง เข้าช่องนะ ก็จะมีอะไรแย่ๆ มีอะไรที่เป็นอุปสรรค มีอะไรที่เป็นปัญหาน่าปวดหัวเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อน แต่ถ้าจะบอกว่าปีหนึ่งๆ เป็นปีร้ายสำหรับคนทั้งโลกหรือเปล่า ไม่ใช่นะครับ!


ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เครียดอยากฆ่าตัวตายทำสมาธิได้ไหม?
วันที่ 22 ธันวาคม 2561


วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2561

จะวางตัววางใจอย่างไร เมื่อต้องทำงานกับเพื่อนร่วมงานที่ต่างก็ไม่มีใจรักในงานที่ทำ


ถาม : วางตัว/วางใจอย่างไร เมื่อต้องทำงานกับลูกน้องและเพื่อนร่วมงานที่ต่างก็ไม่มีใจรักในงานที่ทำ และไม่สามารถหวังพึ่งอะไรได้เลย

ดังตฤณ : วางตัวแบบที่เราจะเป็นทุกข์น้อยที่สุดนะ คือปัญหาแบบนี้อย่าไปคาดหวัง คำถามของคุณ ผมเข้าใจนะ คำถามนี่ก็คือว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นทุกข์ แต่ในโลกความเป็นจริง ถ้าขืนไปหวังแบบนั้น ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ยิ่งทุกข์หนักเข้าไปอีก เพราะอะไร เพราะว่ายิ่งหาอุบายมากขึ้นเท่าไหร่ ใจคุณยิ่งดิ้นรนมากขึ้นเท่านั้น เพราะเห็นนี่ว่าเป็นไปไม่ได้ จะให้ทำใจยังไงก็ตาม ยังไงในที่สุดก็ต้องเป็นทุกข์

ไหนๆ จะต้องเป็นทุกข์แล้ว ทุกข์ให้เป็นประโยชน์ดีกว่า ทุกข์ด้วยการยอมรับว่านี่ (เรา) จมอยู่กับสภาพความน่าอึดอัด น่าระอา อยู่ในโลกที่ดูเหมือนไม่มีใครมีชีวิตชีวา มีแต่คนที่พร้อมจะเป็นซอมบี้ ตื่นขึ้นมาเพื่อที่จะทำงานเอาเงินเดือนไปวันๆ ไม่ได้จะมาที่ทำงาน เพื่อจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ เพื่อจะทำจิตให้ขยันขันแข็ง มีความกระตือรือล้น หรือว่ามีความสูงส่งขึ้น

โลกนี้กำลังเต็มไปด้วยซอมบี้ที่ใจไปอยู่ไหนแล้วไม่รู้ ไปอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต ในโลกโซเชียล แต่ไม่อยู่ในโลกความเป็นจริง

ทีนี้ถ้าเราอยู่ในเมืองซอมบี้แล้วเราบอกว่า ฉันจะสั่งตัวเองให้ไม่ทุกข์ นี่ก็คือสั่งในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราอาจไม่ใช่ซอมบี้ แต่ก็จะกลายเป็นผีอีกประเภทหนึ่ง ผีที่มีความทุกข์ร้อนจากความไม่ได้อย่างใจ ไม่สามารถเป็นสุขได้อย่างที่หวัง

มาเป็น มนุษย์ธรรมดา ดีกว่า มนุษย์ที่สามารถยอมรับความจริงได้ว่า เราจะต้องอยู่กับความทุกข์

เวลาที่เกิดความทุกข์ขึ้นมานี่ เราเอาความทุกข์มาใช้ประโยชน์ อย่างที่ผมบอกมาตลอดทั้งรายการว่า เมื่อใดเกิดความทุกข์ เมื่อนั้นให้ หายใจ เพื่อที่จะมาร์ก (mark) จุดไว้เลยว่า ตอนนี้เริ่มทุกข์แล้ว เริ่มมีความทุกข์ เริ่มมีความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เริ่มมีความรู้สึกกดดัน เริ่มมีความรู้สึกอึดอัด เริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับ โอ๊ย จะทนไม่ได้ อยากจะหนีไปไกลๆ ไม่อยากอยู่โลกนี้ ให้มาร์กไว้เลยว่า นั่นคือลมหายใจแรกที่พาความทุกข์เข้ามา

คือไปโทษลมหายใจ ปัดความผิดให้ลมหายใจไปก่อน บอกว่า ลมหายใจนี้พาความทุกข์เข้ามาในเรา ลมหายใจนี้พาความคิดไม่ดีเข้ามาในเรา แล้วพอสังเกตต่อไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่าลมหายใจข้างหน้า ลมหายใจต่อๆไป พาความคิดไม่ดี หรือความรู้สึกไม่ดี ที่ต่างระดับกันเข้ามา เอาความทุกข์ในที่ทำงานมาใช้ประโยชน์ ... นี่ถ้าเราคุยกันเรื่องการเจริญสติ การปฏิบัติธรรมแนวพุทธนะ

แต่ถ้าจะหาอุบายแนวอื่นเพื่อมาปลอบใจตัวเองเป็นครั้งๆ อันนั้นก็ไม่ว่ากัน คือผมเข้าใจ ว่ามาดูลมหายใจนี่ มันไม่เคยชินนะ ไม่ใช่ความเคยชินของมนุษย์ปกติทั่วไป แต่ถ้าเราพัก สร้างความเคยชินขึ้นมาใหม่ได้ เป็นความเคยชินแบบพุทธ คุณจะพบว่าไม่ว่าจะอยู่ที่บ้าน ไม่ว่าจะอยู่ที่ทำงาน เราสามารถแปลงให้เป็นทางเดินจงกรม แปลงให้เป็นที่นั่งสมาธิ แปลงให้เป็นพื้นที่เจริญสติ ได้ทั้งหมดนะ ขอแค่มีมุมมอง ขอแค่มีความเข้าใจที่ตรงตามแนวพุทธก็แล้วกัน!
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..



ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน นั่งสมาธิแล้วกลัวตายให้ทำอย่างไร?
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561

ทำไมคนที่ปฏิบัติธรรมถึงยังมีรักซ้อนได้


ดังตฤณ : เพิ่งอ่านทางนฤพานไปแล้วมีความสงสัยว่า ทำไมคนที่ปฏิบัติธรรมอย่างเกาทัณฑ์ยังสามารถที่จะรักคน ๒ คนได้พร้อมๆกัน เข้าใจว่าเป็นบุพกรรมที่ผูกกันมากับทั้งสองคน แต่มันจะไม่มีความยับยั้งชั่งใจ (ไม่ให้เกิดรักซ้อนหรือ) ?

คือ ผมเขียนถึงจุดนี้นี่นะ จริงๆแล้ว จะบอกเลยว่า ... ตั้งใจบอกเลยด้วยซ้ำว่า “คนที่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่พระอรหันต์” นะครับ
คนที่ปฏิบัติธรรมเนี่ย เห็นมั้ย อย่างเกาฑัณฑ์ หรือตัวละครที่ผมยกขึ้นมาแต่ละตัวนี่ มีกิเลส เป็นคนธรรมดาๆ แบบนี้แหละ คือการที่ปฏิบัติธรรม ไม่ได้มีหลักประกันอะไรเลยนะ ว่าคนเราจะทำหรือไม่ทำอะไรบ้าง เว้นแต่ว่าจะได้ตั้งใจที่จะรักษาศีล

อย่างในเรื่องทางนฤพานนี่ ผมอาจจะใช้เทคนิคทางภาษานิดหนึ่ง เจาะลึกลงไปในรายละเอียดความคิดในหัวของคน เลยดูเป็นจริงเป็นจัง แต่จริงๆ แล้วนี่ ก็คือมนุษย์ธรรมดานี่แหละนะ ถ้าเรามองเห็นนะครับว่าเราคิดอะไรได้บ้าง เราสามารถที่จะทำผิด ทำพลาดอะไรได้บ้างนี่ เราจะเข้าใจว่าคนปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้น ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรที่ถูกต้องได้เสมอไป

อย่างพูดถึงตัวละครในนิยายนี่ ยังไม่ได้ทำผิดอะไรที่เป็นบาป ผิดลูกผิดเมียใครนะ หรือว่าแม้กระทั่งมีอะไรลึกซึ้งกับนางเอกทั้งสองนี่ ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นนะ

อยากให้มองว่า พออ่านนิยายแล้ว จริงๆ อยากให้มองย้อนกลับมาว่า เรามีความตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร แล้วเรามีความสามารถที่จะยับยั้งชั่งใจ ห้ามใจอะไรได้แค่ไหน นะ

ในความเป็นจริงแล้ว คนที่เริ่มปฏิบัติธรรม คือคนที่เริ่มต่อสู้กับกิเลสของตัวเอง ไม่ใช่คนที่สามารถเอาชนะกิเลสของตัวเองได้ทันที ซึ่งถ้าเรามองอย่างนี้ เราจะได้ไม่ตั้งมุมมองหรือว่าตั้งความหวัง ไว้กับคนปฏิบัติธรรมแบบผิดๆ นะ ว่าถ้าปฏิบัติธรรมนี่ ต้องทำนู่น ต้องทำนี่ได้ทันที คือเราจะไม่แปะป้ายว่าผู้ปฏิบัติธรรม คือผู้ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่ผู้ปฏิบัติธรรม คือผู้ที่แต่ละคน สู้กับกิเลสของตัวเองได้มากหรือน้อยแค่ไหน

ถ้าหากว่า เรามองอย่างนี้ เข้าใจถูกตั้งแต่ต้นแล้วมองเห็นว่า ตัวเราเองก็เช่นกัน ตั้งต้นที่จะปฏิบัติธรรม เริ่มต้นขึ้นมาเลยนี่ ไม่ใช่ไปคาดคั้นกับตัวเองว่า จะต้องไม่คิดอย่างนั้น ไม่คิดอย่างนี้ ก่อนอื่น ให้มีความสามารถที่จะยับยั้งชั่งใจ เรื่องของศีลห้า ให้ได้ก่อน ถ้าศีลห้าข้อไหนบางทีนี่ขาดทะลุไป ก็ไม่ต้องไปถึงขนาดตีอกชกหัว หรือว่าร่ำร้องจะเป็นจะตายว่า เอ๊ย เนี่ย ผิดไปแล้ว เป็นบาปมหันต์ไปแล้ว แล้วก็ไม่สามารถที่จะไปสู้หน้าใครได้อีกว่า ฉันเป็นคนปฏิบัติธรรม คนเราพลาดกันได้ เพราะเราปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะต่อสู้กิเลสตัวเอง ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมเพื่อที่จะรับประกันว่า ฉันจะไม่พลาดอีกเลย

อันนี้ก็จะได้ให้อภัยตัวเอง แล้วก้าวต่อ คือไม่ใช่อภัยตัวเองเพื่อที่จะเป็นข้ออ้างในการทำผิดครั้งต่อๆ ไป แต่เป็นการให้อภัยตัวเองเพื่อที่จะไปต่อให้ได้ คือพลาดไปแล้ว ตั้งใจว่าจะไม่ทำผิดอีก แล้วก็มีความเข้าแข็งที่จะผ่านแบบฝึกหัดครั้งต่อไปให้ได้ อันนี้แหละที่จะเป็นพอยต์ (point) จริงๆ นะ!

----------------------------------------------------------



รายการ ปฏิบัติธรรมที่บ้าน คำถาม-คำตอบ
วันที่ 10 มีนาคม 2561



วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2561

รักษาศีลข้อสามให้เข้มแข็ง จะเจอคู่บุญที่เหมาะสมไหม


ถาม : อดีต กรรมจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอรักษาศีลข้อสามให้เข้มแข็ง อย่างนี้จะเจอคู่บุญที่เหมาะสมกับเราไหม

ดังตฤณ : ไม่แน่ ไม่ได้รับประกันนะ เพราะว่า ลองยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่า เมื่อชาติที่แล้ว หรือหลายๆ ชาติที่ผ่านมา เราไปหักอกคนเขาไว้เยอะ แล้วก็อยู่กับใครก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว คือจะเอาท่าเดียว ไม่มีการหยิบยื่นอะไรให้เขาบ้างเลย ไม่มีน้ำใจบ้างเลย แล้วก็ไม่เคยปลุกศรัทธา ร่วมทำบุญ ทำกุศลอะไรที่จะเป็นเรื่องของจิต ของวิญญาณร่วมกับใครมาเลย อยู่ๆ เกิดใหม่ชาตินี้ เรามาอธิษฐานแค่นี้ บอกว่าฉันจะไม่ผิดศีลข้อสาม คือวิบากไม่ได้ออกแบบไว้ ว่าจะให้ใครเจอกับเรา เราเจอกับใครนะ

การรักษาศีลข้อสาม ดีตรงที่เราจะไม่ได้ต้องไปเจอคู่เวร เมื่อเรารักษาศีลแล้ว และผลของการรักษาศีลนี่ เผล็ดผล ถึงเวลาเผล็ดผลในการข้างหน้า เราไม่ต้องไปเจอคู่เวร เราไม่ต้องไปมีภัยเวรกับใคร นี่คือผลของการรักษาศีลข้อสามที่แท้จริง แต่ไม่ได้ประกันว่าจะเปลี่ยนเช่นทางที่วิบากได้ออกแบบไว้แล้ว ว่าให้เราจะต้องเจอ หรือไม่เจอใครนะครับ
เรื่องการเจอหรือไม่เจอใครที่เหมาะสม นี้เป็นเรื่องที่มองยาก แล้วคาดเดาไม่ได้ ไม่สามารถไประบุว่า ฉันจะต้องได้คนแบบนั้นแบบนี้ สเปคอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเรื่องที่ว่าเราเคยอยู่กับคนแบบนั้น แบบนี้มาหรือเปล่า หรือเคยอยู่กับคนแบบไหนมานะ!


รายการ ปฏิบัติธรรมที่บ้าน คำถาม-คำตอบ
วันที่ 10 มีนาคม 2561


บุญใหญ่ชาตินี้จะช่วยทำให้กรรมใหญ่ในอดีตเบาบางลงได้ไหม


ถาม: บุญใหญ่ชาตินี้จะช่วยทำให้กรรมใหญ่ในอดีตเบาบางลงได้ไหมคะ?

ดังตฤณ : เอาอย่างนี้นะ ผมตอบแบบเป็นวิทยาศาสตร์นิดหนึ่ง คนเราพอมีความสุขมาก ร่างกายนี่จะหลั่งสารแห่งความสุขออกมามาก สารแห่งความสุขก็มีอยู่หลายชนิด

ถ้าสารแห่งความสุขหลั่งออกมามากแล้วร่างกายผ่อนคลาย สบาย กล้ามเนื้อไม่เกร็ง ไม่เครียด หน้าตา รู้สึกว่าผ่องใส เปิดโล่ง สบาย ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องรุมเร้าแต่ใจนี่ไม่ถูกบีบคั้น ให้แคบ ให้ทึบ ให้มืด นี่ก็เรียกว่า เป็นผู้ที่ชนะกรรมหนักๆ กรรมเก่าๆ กรรมที่มืดๆ กรรมที่ดำๆ ได้บ้างแล้วแบบเห็นชัดเจน เห็นทันตา

คือคนที่ทำบุญใหญ่จริงๆนะ ไม่ใช่คนที่ทำบุญ ... นานๆ ทำบุญที ทำบุญแบบเป็นล้าน
คนที่ทำบุญใหญ่คือคนที่สะสมบุญเล็กๆ วันละนิดวันละหน่อย จนกระทั่งเกิดความเคยชินที่จะคิดอะไรในทางที่เป็นกุศล ที่จะพูดอะไรที่มาในทางที่ทำให้คนอื่น เขารื่นหู สบายใจ

พอคิด พอพูด พอทำอะไรในทางที่ดี ทีละเล็กทีละน้อย วันละนิดวันละหน่อย มันเหมือนหยอดกระปุก วันหนึ่งกระปุกหนักขึ้นมา นั่นแหละ ตอนนั้นแหละ  บุญใหญ่แล้ว

คือไม่ใช่ว่า ทำบุญสร้างวัด ถือว่าเป็นบุญใหญ่ แล้วก็นึกว่าชาตินี้ฉันทำบุญใหญ่แล้ว ไปสร้างวัดแล้วนี่ ทุกอย่างจบ จะพูดทำร้ายจิตใจคนอื่นยังไงก็ได้ จะคิดไม่ดีกับใครแค่ไหนก็ได้ สาปแช่งเขายังไงก็ได้ อย่างนี้ชีวิตยังเป็นทุกข์อยู่นะ สร้างความทุกข์ สร้างความอึดอัด สร้างจิตใจที่ดำมืดให้ตัวเองอยู่ไม่เลิก อย่างนี้เรียกว่าไม่ทำบุญใหญ่ที่แท้จริง
คือทำบุญใหญ่แบบที่ไม่รู้จะให้ผลเมื่อไหร่ ชาติไหน แต่ชาตินี้ ปัจจุบันนี้ยังเก็บเล็กผสมน้อยบาปกรรม อกุศลดำมืดอยู่ทีละนิดทีละหน่อย ด่าคนวันละนิดจิตแจ่มใส พวกนี้นี่นะ ไม่ได้เรียกว่าทำบุญใหญ่นะ ... (เรียกว่า) ทำบาปใหญ่นะประเภทสะสมไปวันละนิดวันละหน่อย มันกลายเป็นบาป กลายเป็นอกุศลใหญ่ขึ้นมา

ฉะนั้น คือขอให้มองอย่างนี้ บุญใหญ่คือ บุญเล็กๆ ที่เราสะสมไปเรื่อยๆ ทีละวัน ทีละนิดทีละหน่อย อย่างนี้มันชนะ มันทุเลาเบาบางกรรมดำเก่าๆ ได้แน่นอน อย่างที่ผมยกตัวอย่างไป ถ้าร่างกายสบาย หลั่งสารแห่งความสุขออกมามากๆ คิดดี พูดดีอยู่ตลอดเวลานี่ กล้ามเนื้อไม่เกร็ง เจอปัญหาแล้วไม่ฟุ้งซ่านจัด มีสติที่แก้ปัญหาไปเป็นเปลาะๆ ไปเรื่อยๆ อย่างนี้เรียกว่าเป็นการทำบุญใหญ่ ชนะบาปเก่าที่โตๆ ได้นะครับ!

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วงคำถาม-คำตอบ วันที่ 7 เมษายน 2561



** IG **

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2561

ถ้าในขณะที่กำลังจะตาย เกิดความห่วง ต้องไปเกิดเป็นอะไร


ถาม: ถ้าในขณะที่กำลังจะตาย เกิดความห่วงพ่อแม่ ห่วงลูก จะต้องไปเกิดเป็นอะไร?

https://www.youtube.com/watch?v=Wu5w0GHxGFE&t=160s
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน "ธรรมะแค่ไหนไม่กลัวตาย?"
26 พฤษภาคม 2561

ดังตฤณ: ถ้าในขณะที่กำลังจะตาย เกิดความห่วงพ่อ ห่วงแม่ ห่วงลูก จะต้องไปเกิดเป็นอะไร
อย่างที่บอกไปนะในช่วงต้นรายการนะครับ ใจผูกอยู่กับใคร ส่วนใหญ่ ความห่วงในช่วงท้ายๆ นี่ก็จะเป็นโซ่ตรวนผูกยึดเราไว้ให้ต้องอยู่กับพวกเขาต่อ จิตวิญญาณที่มีความห่วง มีความอาลัย คือจิตวิญญาณที่สร้างกรรมไว้ในแบบที่จะต้องมาอยู่ใกล้ๆ แต่ใกล้ในฐานะที่เขาไม่ได้เห็นหน้าเราแล้ว เรามีสิทธิ์เห็นหน้าได้อย่างเดียว มันทรมานนะ

คือความห่วง ความอาลัย ถ้ามาก เหนียวแน่นขนาดที่ปรุงแต่งให้เกิดอกุศล คือทำให้เศร้าหมองได้ ส่วนใหญ่นะ ก็ไปไม่ไกล จะอยู่แถวๆนี้แหละ อยู่บ้านเดิมนี่แหละ ขอให้นึกถึงตอนที่เราหลับฝัน เวลาที่เราฝันถึงเรื่องหนึ่งที่เรารู้สึกยึดติดมาก รู้สึกรักมาก หรือว่ากลัวมาก ใจจะดิ้นไปไม่ได้ จะอยู่กับภาพอะไรแบบหนึ่ง ภาพเดิมๆ ภาพซ้ำๆ นั่นแหละ คล้ายๆ แบบนั้น คือเราจะเห็น เห็นหมด เห็นทุกอย่าง เท่าที่ตามนุษย์เห็น เท่าที่หูมนุษย์ได้ยิน หรืออาจมากกว่านั้น น้อยกว่านั้น บวกลบนิดหน่อย แต่ว่าจะเลือกไม่ได้นะ ว่าเราจะเห็นอะไร เมื่อไหร่ หรือไม่เห็นอะไร หนีจากสิ่งนั้นได้มั้ย

อย่างเป็นมนุษย์อยู่นี่ ถ้าไม่พอใจ เดินหนีไป วิ่งหนีไปยังได้ วิ่งหนีนี่ก็คือการแสดงนิมิตของจิตว่า อยากออกห่างไปอย่างรวดเร็ว แต่จิตที่มีความผูกมัดอยู่กับบุคคลอันเป็นที่รัก หรืออยู่ในโลกเก่าๆ มันวิ่งไม่ได้นะ หนีไม่ได้ ไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น บางทีนี่บุคคลอันเป็นที่รัก เขามีกรรมในแบบของเขาที่จะต้องเสวย ที่จะต้องรับผล บางทีเป็นกรรมไม่ดี เราไม่อยากเห็นก็ต้องเห็น เขาเป็นทุกข์ เขาร้องห่มร้องไห้ เราอยากปลอบ ปลอบไม่ได้ ไม่อยากเห็นแล้วก็ต้องเห็นอีก ยังต้องเห็นอีกอยู่ดี

ถึงบอกว่าถ้าก่อนตาย ไปผูกพันกับใครแล้วทิ้งไปไม่ได้นี่ เป็นความผูกมัดที่สูญเปล่าเลยนะ ผมเคยให้คำแนะนำไว้ว่า ตอนมีชีวิตอยู่อยากทำอะไรดีๆ ทำให้เต็มที่ ทำให้มากที่สุด รับผิดชอบให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ตอนจะตาย ให้เลิกรักหรือชอบเสีย ให้คิดว่าไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว พ้นจากความสามารถที่เราจะไปรับผิดชอบอะไรแล้ว ให้คิดอย่างเดียวเลยว่าไม่เอาแล้ว

ขณะยังมีชีวิตทำให้ดีที่สุด ขณะจะตาย ปล่อยให้ได้มากที่สุด ให้มันกลายเป็นความเห็นไป เห็นสิ่งที่ควรจะเห็นก่อนตาย ก็คือว่า ที่ผ่านมาทั้งหมด คือฝันไปทั้งสิ้น

ลองนึกดูถึงชั่วคืนที่ผ่านมา ถ้าหากว่าใครจำความฝันของตัวเองได้ชัด จะชัดแค่ไหนก็ตาม ก็กลายเป็นแค่ “ภาพที่เลื่อนลอย” เป็นนิมิตที่หายไป แล้วหยิบจับอะไรนี่มาใช้อีกไม่ได้แล้ว เหมือนกับแบบนั้น เหมือนกัน ก่อนชีวิตจะสิ้น มันระลึกถึงชีวิตทั้งชีวิตที่ผ่านมา ไม่ต่างอะไรจากความฝัน เอาไปไม่ได้อีกแล้ว หยิบจับอะไร จับต้องอะไรไม่ได้แล้ว ถึงมีมืออยู่บางทีมือหมดแรงแล้วที่จะไปจับ ที่จะไปยึด เหลือแต่ใจที่ยังคงจับยึดอยู่อย่างสูญเปล่า

สรุปคือ ถ้ายังยึดมั่น ถือมั่นอยู่กับพ่อแม่ลูกอันเป็นที่รัก นั่นคือความเสี่ยงที่จะเราจะกลายมาเป็นจิตวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่แถวนี้ ที่เดิม ทั้งๆที่ควรจะไปดีได้
แต่บางคนก็มีนะ คือจิตยังหวง ยังห่วง ยังอาลัย แต่ท้ายๆนี่ คือบุญที่ทำมาทั้งชีวิต มีเกิน ชนะความยึดติดความอาลัยตรงนั้น ตัดฉัวะ ให้จิตขาดไปพร้อมนิมิตดีๆ แล้วก็ คือลืมความทรงจำเก่าๆ ถูกล้าง จะมีช่วงล้าง ช่วงภวังค์ เป็นภวังค์แบบพิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นขณะมีชีวิตเป็นภวังค์ที่ล้างความทรงจำเดิมๆ ว่าตัวเองเคยเป็นใครมานะ ภวังค์ตรงนั้นถ้าหากว่าเนรมิตขึ้นมาจากบุญ กองบุญที่ใหญ่เกินความอาลัย ก็สามารถที่จะตัดความผูกมัด หรือว่าสายโซ่ระหว่างจิตกับโลกเดิมได้ ก็มีสิทธิ์ไปดีได้เหมือนกัน แต่แบบนั้นนี่ คือต้องทำบุญทุกวันจริงๆ แล้วก็ทำบุญในขณะที่ใจมีความผูกพัน มีความชื่นชม พูดง่ายๆ ว่าสวรรค์ติดตั้งไว้ในจิตเรียบร้อยแล้ว พร้อมแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ใช่แบบนั้น 

คนส่วนใหญ่ถ้ามีความยึดติด มีความอาลัย มีความผูกติดกับบุคคลแล้วนี่ ก็จะอารมณ์ขึ้น อารมณ์ลง กับบุคคลเหล่านั้นแหละ พูดง่ายๆ ถ้าจิตของเราถูกปรุงแต่งด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่ใกล้ชิดได้มากๆ มีความเซนซิทิฟ (sensitive) มีความอ่อนไหว เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย นี่ตัวนี้ ที่จะเป็นตัวเสี่ยง เวลาจะตายถ้าไปผูกพันกับบุคคล มักจะถ่วงให้ต้องติดอยู่ข้างล่าง ติดอยู่กับพื้นดิน ไม่ขึ้นสูง ลอยขึ้นพ้นบรรยากาศโลกไม่ได้นะ ฉะนั้นคือตัดความเสี่ยงออกให้หมด อย่าให้มีความยึดติดที่สูญเปล่า มีความผูกมัดที่ไร้ผล ที่ไร้ประโยชน์นะ ซ้อมไว้ ลองย้อนกลับไปดูตั้งแต่ต้นรายการ ผมพูดถึงประเด็นนี้ว่าเวลาจะซ้อม ถ้าจะให้เป็นมรณสติจริงๆ เรานึกไม่ออกว่าทำกันยังไง ให้ดู สังเกตดูว่าใจเรานี่ทิ้งใครได้บ้าง หรือทิ้งใครไม่ได้บ้างนะ

คนที่ปรามาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะได้รับวิบากกรรมอย่างไร



ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ถือศีลให้สะอาดถึงนิพพานได้ไหม?
8 ธันวาคม 2561


ดังตฤณ : พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้นะ คือ อย่างเวลาพระองค์จะตรัสถึงโทษของการมีมโนทุจริต วจีทุจริต แล้วก็กายทุจริต ท่านตรัสไว้รวมๆ นะว่ามีดีกรี (degree) ความผิดที่ร้ายแรง
ถ้าร้ายแรงน้อย ก็อาจกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีผิวพรรณทราม หรือว่าตกยาก ลำบาก หรือว่าถูกคนใส่ใคล้บ้าง อะไรบ้างแล้วแต่
แต่ถ้าร้ายแรงในระดับที่หมกมุ่นอยู่กับความคิด อย่างเช่นด่าพระด่าเจ้าอะไรแบบนี้นี่ จะไปต่ำได้กว่าการเป็นมนุษย์นะครับ
พระองค์ถึงได้ตรัสว่า อย่ามีมโนทุจริต อย่ามีวจีทุจริต อย่ามีกายทุจริต และอย่าติเตียน อริยเจ้า เพราะว่าถ้าไปเผลอหมกมุ่นติเตียน อริยเจ้าแล้วนี่ โทษสถานเบาอันเห็นได้ในปัจจุบันคือ เป็นคนฟุ้งซ่านจัด จะหยุดไม่ได้

คือไม่ต้องอริยเจ้าหรอกนะ เอาแค่คนถือศีลสะอาดบริสุทธิ์ ผู้ทรงศีล แล้วก็ทำคุณงามความดีไว้กับโลก ให้ทานไว้มากๆ แล้วก็ถือศีลให้สะอาดบริสุทธิ์นี่ แค่ไปด่า แค่ไปยุให้คนอื่นเกลียดชัง ลองสังเกตได้เลย จิตใจนี่จะคิดดีไม่เป็นนะ คิดดีไม่ออก จะมีแต่ความคิดร้ายๆ จะมีแต่การเพ่งโทษ จะมีแต่ความอยากจะฟุ้งซ่านไม่หยุดมากขึ้นๆ ตัวนี้นี่ที่เป็นภัยของการคิดไม่ดีนะ

ฉะนั้นคือถ้าปรามาส หรือว่าติเตียนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์บ่อยๆ พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์นะ และพระธรรมของพระองค์นี่เป็นความสว่างสูงสุดในอนันตจักรวาลนี้ ส่วนพระสงฆ์นนี่ ก็เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เจริญรอยตามพระองค์อยู่บนเส้นทางที่จะมีความบริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ถ้าไปปรามาสในแบบหมกมุ่น ในแบบที่เห็นได้ชัดว่า สนุก สะใจ จากการได้ด่า ยิ่งด่ายิ่งมัน แบบนี้ก็น่ากลัวเหมือนกันนะ

เห็นจากปัจจุบันง่ายๆ เลยก็แล้วกันว่าจะมีความฟุ้งซ่านมากขึ้นๆ ... ฟุ้งซ่าน ไม่สามารถที่จะสงบเป็นสมาธิได้นะครับ หลุดจากความเป็นมนุษย์ไปนี่ โอกาสที่จะไปไม่ดีก็สูงนะ