วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2565

EP 242 ประสบการณ์ตรง อายตนะบรรพ โดยพี่ฮิม

EP 242 | ศุกร์ 14 ตุลาคม 2565

พี่ฮิม : เช้านี้จะมาถ่ายทอดในเรื่องของประสบการณ์

ที่จะเรียกว่ารวบรวมธรรมะที่เราเรียนผ่านมา และเรากำลังจะไปถึง

รวมถึงอุบายธรรมที่เราใช้กันในห้องนี้ทั้งหมดเลย

บังเอิญรวมอยู่ในเช้านี้ ของขันธ์นี้ทั้งหมดนะครับ

.

จึงเป็นเหตุให้พี่ตุลย์เห็นว่า น่าจะเป็นจังหวะดี

ที่ผมจะมาถ่ายทอดในจังหวะที่ประสบการณ์ทางธรรม ยังสดๆ ร้อนๆ

.

จะเล่าแบบถ่ายทอดประสบการณ์ตรงนะครับ ไม่ได้อิงการเรียงร้อย

อาจเป็นการเล่าตาม timeline

 

เริ่มต้นคือผมตื่นตีสี่ ผมก็เดินจงกรม

แน่นอน ตอนแรกชั่วโมงแรก ผมก็จะเดินแบบที่ทำๆ กัน ก็คือเคลียร์กาย

แต่เช้านี้ เนื่องจากว่า ผลจากการที่เรียนไลฟ์กับพี่ตุลย์ ขึ้นสู่ อายตนะบรรพ

ทำให้สมาธิมีความลุ่มลึกขึ้น

เนื่องจาก ในชีวิตประจำวัน หลังจากที่เริ่มเข้าใจอายตนะบรรพละเอียดขึ้น

ก็ทำให้ผมสามารถทำสมาธิในชีวิตประจำวันได้

โดยที่เหมือนใจวุ่นวาย แต่กลายเป็นว่า

ใจวุ่นวาย เป็นกรรมฐานทำให้เกิดความสงบได้

นี่คือเป็นผลจากการทำอายตนะบรรพเลยนะครับ

.

ผลอันหนึ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ เลยก็คือ ในระหว่างที่ใจวุ่นวาย

เกิดสมาธิกลางใจที่ขึ้นๆ ลงๆ นะครับ

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ช่วงเวลาในการทำสมาธิของผมเยอะขึ้น

กลายเป็นผมสั่งสมสมถะเกือบทั้งวัน

พอเข้าทางจงกรมเลยรวมเร็วมาก และลงอย่างลึกมาก

.

พอถึงจุดหนึ่ง ผมก็เริ่มเข้าสู่อุบายธรรมพี่ตุลย์ต่อ นั่นคือ

เดินเป็นสามเหลี่ยม รู้คางรู้เท้ากระทบแป๊บเดียว แล้วก็เดินเร็ว

พอเดินเร็ว จิตแยกกายแยกใจ เริ่มต้นก็เห็นหัวเสื่อท้ายเสื่อ

เห็นที่เกิดความเปลี่ยนแปลง

.

ถึงแม้จะเคลียร์กายแค่ไหน แต่ช่วงที่ผ่านมา กายก็เดี้ยงนิดหนึ่ง

ยังเกิดอาการตาร้อนๆ ซึ่งเป็นผลจากความง่วงของการตื่นตีสี่

ตาร้อน กลายเป็นว่าเป็นแกนกลางการปฏิบัติหลังจากนี้ไป

เป็นเวทนาที่ชัดนะครับ

.

ก่อนหน้านี้ เวลาดูความคิด เวลาดูผัสสะทางตา หู กลิ่น รส อะไรพวกนี้

ตัวขันธ์ จะเป็นกลางได้ค่อนข้างดี แต่มีอยู่ตัวหนึ่ง

จะเป็นกลางไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือความง่วง

.

เรื่องความง่วงมีรายละเอียดเยอะมาก

อาจเป็นความง่วงที่แบบมึนๆ สมองตาปรือๆ

แต่ความง่วงในแบบหนึ่งที่อดหลับอดนอนมานาน

ก็จะมีความง่วงอันหนึ่ง สะสมในตา แล้วก็จะร้อน

ความร้อนที่ซ่อนอยู่ในเบ้าตานี่แหละครับ จะถอนไม่ค่อยออก

จะเกิดความรู้สึกยึดอยู่ตรงนั้น

.

เช้านี้ตอนเดินจงกรมที่เดินเร็วหัวเสื่อท้ายเสื่อ

จึงดูความเปลี่ยนแปลงของความร้อน และอาการยึดที่อยู่ในความรู้สึกทางตา

แล้วมันก็จะสลับกันเอง ระหว่าง ตากับสมาธิ ตากับความสว่าง

.

ด้วยความที่สมาธิช่วงนี้จะค่อนข้างโอเค

ตอนที่เดินจงกรมเร็ว จิตเริ่มตัดการรับรู้ทั้งๆ ที่เดินเร็วนะครับ

พอมันตัดการรับรู้ แล้วเห็นแต่ภาวะ การเปลี่ยนแปลง

จึงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นของมันจริงๆ

จิตจึงรวม รวมแล้วก็เห็นขันธ์ เห็นกระดูกเป็นแกนกลาง

.

ของผมจะเห็นกระดูกเป็นแกนกลางมาตลอด

ถ้าเมื่อไหร่ที่เห็นกระดูกเป็นซี่ๆ เห็นซี่โครง เห็นกะโหลกเมื่อไหร่

ภาวะนั้นของผมจะคล้ายๆ กับ ทุกอย่างที่กำลังติดอยู่

ไม่ว่าเป็นความร้อน ความคิด จะเหมือนถูกแซะขนมครก

.

ขนมครกตอนแรกจะติดกระทะ แต่พอผมเห็น

จะเหมือนกระดูกเป็นตะหลิว ไปแซะขนมครก

ทุกอย่างที่ติด จะร่อนออกมาหมด ตรงนั้นเลยดูง่าย

จะเห็นการเปลี่ยนแปลงแบบที่พี่ตุลย์สอนเลยครับ

ก็จะสลับไปสลับมา ควบคุมไม่ได้ เพราะตรงนั้นเป็นภาวะตัดเจตนาแล้ว

.

ก็เห็นกายอันเป็นโครงกระดูกนี้

เป็นตัวห่อหุ้ม ของนามทั้งหมด รวมถึงเวทนาด้วย

และเห็นเวทนาทางกายนี่เป็นกายส่วนหนึ่ง แล้วก็สลับกัน

เดี๋ยวนามเป็นเหตุของกาย เดี๋ยวกายเป็นเหตุของนาม

สลับไปสลับมา โดยเป็นของมันเอง

.

แล้วพอจิตอยู่ตรงนั้นสักพัก

ก็เริ่มลอยเหนือภาวะขันธ์ที่เป็นกายรูปกับนามตรงนี้

แล้วจุดหนึ่งผมก็ลืมตา เพื่อเจริญอายตนะบรรพ ต่อนะครับ

.

พอลืมตาเสร็จปุ๊บ สิ่งที่ยังเห็นก็คือผัสสะทางตาไม่ได้มีผลกระทบอะไร

ก็เหมือนกับเป็นลมหายใจที่เข้ามา แต่ตอนที่ลืมตานี่มันหยาบลง

พอมันหยาบลงเสร็จปุ๊บ

ดวงตาอันเป็นเหตุของความรู้สึกในตอนนั้นจะเริ่มกลับมาใหม่

เพราะลืมตา ภาวะสมาธิเป็นของหลอก

พอมันกลับมาใหม่ เกิดแรงยึดใหม่

จังหวะนี้เกิดภาวะใหม่คือ แทนที่จะเห็นเวทนาตรงนี้ (ชี้ดวงตา) เป็นกาย

คือผมจะจัดว่าเวทนาทางกายเป็นกายไปเลยนะครับ

พอมันเข้าสู่โหมดรับผัสสะ ตาที่ยังร้อนไม่หายสักที

นี่ตอนนี้ก็ยังร้อนอยู่นิดๆ นะครับ... จะกลายเป็นหมวดผัสสะทางกาย

คือจะพลิกอย่างนี้ จะพลิกตามหมวด

.

มันพลิกมาเห็นเป็นผัสสะทางกาย

ซึ่งมีความรุนแรง และยึดจิตได้แรงกว่าผัสสะทางตา

ผัสสะทางตา ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรนะครับ

.

ดังนั้น ตอนที่เห็นเสร็จปุ๊บ มันเห็นปัจจยาการตัวต่อมา

ก่อนหน้านี้เป็นปัจจยาการเนื่องจากขันธบรรพนะครับ

กายเป็นของหลอก เป็นเหตุห่อหุ้มนามที่เป็นของหลอก

 

จิตที่เป็นของหลอก เป็นเหตุให้เกิดกายที่เป็นของหลอก

อันนี้ เราเริ่มคุ้นๆ กันอยู่แล้ว

.

แต่ว่าอันนี้ จะเป็นปัจจยาการอันเนื่องมาจาก อายตนะ กับ ผัสสะ

อันนี้จะง่าย

 

จริงๆ มองมุมหนึ่งผมรู้สึกว่ามันง่ายกว่าตอนพิจารณาขันธ์ด้วย

เนื่องจากว่าการรับผัสสะผ่านทางอายตนะ แล้วไหลลงไปเกิดเวทนาทางใจ

ตรงนี้ เป็นส่วนหนึ่งของปัจจยาการโดยอัตโนมัติเลยสามก้อนทันทีครับ

.

ตาประจวบรูป กายกระทบผัสสะ ซึ่งเป็นความร้อนทางตานี้

พอประจวบกันสองอย่าง เกิดความรู้สึกทางใจ

แล้วถ้าตอนนั้น จิตของท่านละเอียด

ท่านจะเห็นความรู้สึกทางใจ จะแบ่งเป็นสามเส้า

คือ มีความรู้สึกจากเวทนานั้น

มีตัณหาจากเวทนานั้น ซึ่งเนื่องมาจากความรู้สึก

และมีอาการยึดจิต ไปล็อคกับเวทนานั้น

มันเห็นพรืด แบบนี้เลย

.

แล้วพอเห็นแบบนี้เสร็จปุ๊บ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ

พอเข้าไปปัจจยาการ จิตผมก็รวมใหม่อีกครั้งหนึ่ง

พอรวมเสร็จปุ๊บ มันเริ่มไม่มีเจตนา

แต่วันนี้ ก็คือมันจะไล่ปื๊ดลงล่าง แล้วก็ไล่ขึ้นบน

คือ ทำไม มันถึงมีเวทนาตัวนี้ (ชี้ที่ตา)

.

ก็เพราะว่ามันมีนามรูป มีทั้งความรู้สึก ไปรับความเจ็บ ความร้อน

มีทั้งกาย อันห่อหุ้มดวงตาและเส้นประสาท ที่ทำให้ร้อนนี้

แล้วก็มีวิญญาณ ที่ฉายแสงให้เป็นเหตุของรูปนี้

แล้วมันก็วิ่งขึ้นลงแบบนี้ จากตัณหา วิ่งขึ้นไปการรับรู้

การรับรู้ วิ่งกลับมาเป็นอุปาทาน

วิ่งไปวิ่งมาประมาณ 3 – 4 รอบแบบอัตโนมัติ

.

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ การเห็นตรงนี้มากเข้าๆ จิตเกิดสมาธิอีกแบบหนึ่ง

เป็นสมาธิที่ยกระดับขึ้นมาแล้วเกิดปีติ เ

ป็นปีติในการเห็นอันนี้ อย่างแนบแน่น ต่อเนื่องเป็นสมาธิ

.

บางคน ที่เวลาเห็นความทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ตัวไหนก็ตาม

มักจะพยายามดีดทิ้ง

แต่จากประสบการณ์นี้ที่ผมถ่ายทอด อันนี้ที่อยากจะฝากไว้ด้วยก็คือ

ตอนนี้ หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้

ตอนนี้ผมเห็นอาการร้อนทางตา หรือความง่วง

ใจผมเป็นสุขทันที เหมือนเห็นลมหายใจเลยนะครับ

เป็นอาการที่ประหลาดๆ ดีเหมือนกัน

.

พอเห็นแบบนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจิตยกระดับ

ก็จะเริ่มเห็นเข้าไปสู่อีกสายหนึ่ง

ปัจจยาการ หรือปฏิจจสมุปบาท เราจะคุ้นเคยว่ามันจบแค่ทุกข์

ไล่มาตั้งแต่ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป

อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ทุกข์

ส่วนใหญ่จะไล่อย่างนี้ ใช่ไหมครับ

.

แต่จริงๆ แล้ว พระสูตรหนึ่งที่ผมเคยเอาของพี่ตุลย์ไปแชร์

อุปนิสสูตร นี่ คือจริงๆ แล้ว ปัจจยาการ จะเป็นปัจจยาการอันสมบูรณ์นั้นจะต้องเกิดทั้งสายเกิดทุกข์ และสายดับทุกข์

.

สายดับทุกข์คือสายที่เรากำลังทำกันอยู่นี่แหละครับ

เพื่อจะเข้าไปสู่สิ่งที่เรียกว่า โพชฌงค์

โพชฌงค์ ผมก็เพิ่งรู้วันนี้ว่า ที่มันเป็นหลังจากที่เกิดปีติ

แล้วเกิดปัสสัทธิ แล้วมีสมาธินี่ จังหวะที่มันยกระดับจากการเห็นตรงนี้

จนเกิดการปักแน่ว มีอธิโมกข์ มีศรัทธา จากสายเกิดทุกข์ที่จากตาร้อนนี่

ตัวนี้ก็จะถูกยกระดับขึ้น แล้วก็ไล่ไป จะวิ่งคู่กัน

.

ตัวนี้ ยังวิ่งของมันอยู่ ... สายเกิดทุกข์นี่ (มือซ้ายเคลื่อนไปมาอยู่ด้านล่าง)

ความทุกข์จากตาร้อนนี่ แต่มันไม่ยึด ไม่ค่อยยึดแล้ว

เพราะมันอยู่ตรงนี้ (มือขวายกอยู่เหนือมือซ้าย)

อยู่กับความสุข ปีติ ปัสสัทธิ

และสุดท้าย พออยู่กับตรงนี้นานเข้า

จิตรวมอีกอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่ได้รวมแบบสมถะนะ

รวมแบบยังรับรู้ทุกข์ตัวนั้นอยู่ แล้วมองทั้งก้อน ที่มันขึ้นๆ ลงๆ

ตั้งแต่การรับรู้ไปจนถึงอุปาทาน รวมเป็นสิ่งเดียวที่เรียกว่า ทุกขสัจ

.

สรุปรวมเป็นทุกขสัจ พอสรุปรวมแบบนั้นเสร็จปุ๊บ

จิตจะพลิก แล้วสลัดคืนกาย

เป็นลักษณะที่ภาษาบาลีเรียก นิพพิทา แล้วก็อยู่ตรงนั้น

.

โดยสรุป การเรียงร้อยธรรมะที่ผมพบในเช้านี้

เริ่มตั้งแต่ เห็นขันธ์ เป็นขันธบรรพ

แล้วพอลืมตายกขึ้นมาเป็น อายตนะบรรพ

สองอันนี้อยู่ในหมวดของทุกข์ อยู่ในหมวดของทุกขสัจ ในอริยสัจ

เห็นการเชื่อมโยงนะ ผมก็เพิ่งเห็นการเชื่อมโยงชัดในวันนี้

 

แล้วพอเห็นเสร็จปุ๊บ เกิดอธิโมกข์ เกิดศรัทธา

จิตปักแน่วว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าพูด

เกี่ยวกับภาวะการเกิดทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท เป็นของจริง

.

ภาวะที่เกิดรู้สึกว่า ใช่ เป็นของจริงจากการเห็นด้วยการปักแน่วเช่นนี้

จะทำให้จิตยกขึ้นมา เกิดปีติ เกิดสุข เกิดสมาธิ

แล้วถ้าเห็นชัด เป็น ยถาภูตญาณทัสสนะ จริงๆ

จากตอนที่เป็นสมาธิและวิปัสสนาที่แน่นหนา มั่นคง เห็นตามจริงนี่นะครับ

ก็จะพลิกขึ้น นิพพิทา วิราคะ แล้วก็ วิมุตติ ได้โดยไม่ยาก

เพราะเหตุเดินมาเต็มแล้ว

.

จึงสรุปด้วยประการฉะนี้ ก็คือที่เรากำลังไล่กันอยู่

ที่พี่ตุลย์ไกด์ล่วงหน้าไปก่อนหน้านี้เมื่อวาน

ไล่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ที่เราอนุมานว่าจบแล้วคือ ขันธบรรพ

มาตอนนี้คืออายตนะบรรพ แล้วเดี๋ยวจบตรงนี้

จบหลักสูตรนี้ก็จะไปขึ้น สัมโพชฌงค์ แล้วขึ้นสู่ มรรค 8

 

ทั้งหมดเรียงร้อยด้วยธรรมะที่ชื่อว่า ปัจจยาการ

เอามาเรียงต่อกันได้เลย งดงามมากนะครับ

 

พี่ตุลย์ : เคยมีครั้งหนึ่งที่พิจารณาปัจจยาการแล้วพลิกไปพบความว่าง ปราศจากการเกิด ปราศจากการดับ ลองเล่าให้ฟังตรงนี้หน่อย

 

พี่ฮิม : ตอนนั้นจะยังอยู่ในบทเรียนเรื่องขันธบรรพ

เป็นตอนที่พี่ตุลย์ สอนเรื่องของการพิจารณากายเป็นของหลอก วันแรกเลย

รูปเป็นของหลอก เริ่มจากการพิจารณากระดูก

เห็นกระดูกถูกเรียงร้อยด้วยเส้นเอ็นและเนื้อหนัง และธาตุทั้งสี่

แต่ตอนนั้น พอพิจารณาอย่างนั้นแล้ว จิตพลิก

ไปเห็นกายเป็นของหลอกในแบบที่เป็นโฮโลแกรม เป็นกราฟิก

.

แล้วพอเห็นเป็นกราฟิกจะเห็นง่าย

จะเห็นกายเหมือนเป็นอณูแสงที่ไม่มีจริง

คล้ายๆ กับโปรเจคเตอร์ที่ฉายขึ้นไปบนอากาศแล้วไม่มีจอรับ

ก็เลยกลายเป็นแสงที่ไม่มีรูป เห็นรูปเป็นเช่นนั้น

จึงเห็นความหลอกของรูปค่อนข้างชัดเจน

.

พอพี่ตุลย์ไล่ทีละอัน ก็คือตั้งแต่รูป แล้วมาเวทนา

เวทนา อันเกิดไส้ใน ถูกกายอันเป็นแสงที่ถูกหลอกอยู่นี้ห่อหุ้มอยู่

มันจึงกลายเป็นภาพเดียวกัน

เหมือนๆ ว่าภาพที่มีห้าองค์ประกอบ

เวทนาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบนั้น

ภาพที่อยู่ในภาพหลอกนั้น ตัวภาพนั้นก็หลอกด้วย

มันจึงเห็นเวทนาเป็นตัวอณูหลอก แบบเดียวกับกาย

.

แต่สัญญาจะไม่ได้ชัด จะข้ามไป ส่วนใหญ่จะเห็นสัญญาเป็นความคิด

และเห็นความคิดก็เป็นแบบ อณูหลอก แต่ไม่ใช่แบบความคิดเป็นคำ

ตอนคิด ในตอนที่เริ่มเห็น ตอนนั้นจะเหมือนเป็นพยับแดด

คือจะมีการเต้น แล้วมีการเต้นในหัวใจกับสมอง แปล๊บๆๆ

รู้ว่ามันกำลังจะผลิตเป็นความคิด แต่ยังไม่เป็นความคิด

 

สัญญาจะออกมาในรูปนั้น

.

แล้วสังขารกับจิตจะมาเป็นแพ็คเกจเดียวกัน

คือสังขารกับจิตของผม บางทีจะแยกไม่บ่อย ผมจะดูรวมเลย

สังขารกับจิต มาแบบนี้เป็นแพ็คเกจก็คือ ความสว่าง ความว่าง ความเบา สองตัวนี้ห่อหุ้มอาการรู้ จะเป็นแบบนี้ จะมาด้วยกัน

ดังนั้นเวลาเห็นผมจะเห็นคู่เป็นของหลอก

.

แล้วพี่ตุลย์จะจบแค่ขาไป

แต่เนื่องจากว่า ผมก่อนหน้านี้ทำปัจจยาการในแบบที่พี่ตุลย์ให้ดูว่า

กายเป็นเหตุของจิต และจิตเป็นเหตุของกาย

ดังนั้น พอพี่ตุลย์มาสอนให้ไล่ขันธ์แบบทีละตัว ทีละท่อนแบบนี้แล้ว

ไปถึงตัววิญญาณ พอเห็นตัววิญญาณเสร็จปุ๊บ

เห็นวิญญาณเป็นของหลอก มันวิ่งกลับอัตโนมัติ

เป็น วิญญาณเป็นของหลอก

ในวิญญาณเป็นของหลอกนี้ เพราะมันรับรู้ทั้งหมด มันถึงเกิดขึ้น

ธาตุทั้งสี่อย่างก่อนหน้า หากไม่มีวิญญาณ จะไม่มี

.

พอรู้สึกว่า วิญญาณไม่มี แล้ววิญญาณมารับรู้

มันเลยไล่กลับว่า อ๋อ งั้นของหลอกตรงนี้

เห็นสังขารที่วนรอบอยู่รอบตัวจิต ก็ของหลอก

ถ้าไม่มีตัวนี้อยู่ ตัวนี้ก็ไม่ปรากฏ เพราะไม่มีการรับรู้

ไล่กลับมาที่ตัวสัญญา เวทนาก็เช่นเดียวกัน รูปก็เช่นเดียวกัน

แล้วก็ วนกลับ วนกลับ วนกลับ

ประมาณ สามถึงสี่รอบ แต่ไม่ได้เห็นละเอียดแบบวันนี้นะครับ

.

พอเกิดสามสี่รอบเสร็จปุ๊บ

จิตเกิดความจางคลาย แล้วดีดออกจากขันธ์

ตอนนั้น ผมทดลองด้วย พอมันดีดขึ้นมา

แล้วสักพักหนึ่งเหมือนมันลอยๆ อยู่ เป็นภาวะจิตอีกแบบหนึ่ง

ผมลองจับมันกด จับมันกดลงหาขันธ์

แล้วมันดีดออกเหมือนเดิม มันก็เลยค้างอยู่ในสภาวะนั้น

.

แล้วพออยู่ตรงนั้นสักพักหนึ่ง จะเหมือนกับโลกนี้ เหมือนสุนัขหนังกลับ

สุนัขหนังกลับคือ หนังของหมา หรือสุนัข ที่เป็นโรคเรื้อน

หนังมันกลับออกมา เอาด้านในออก แล้วจะเป็นโรคเรื้อนสกปรก

เวลามันพลิกเข้าไปแบบนั้น ไปเจอความว่าง ไม่มีเกิด ไม่มีดับ

จะเหมือนกลับหนังอีกด้านหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นสุนัขตัวเดิมนั่นแหละ

หนังตัวนั้นกลับขึ้นมาเป็นอีกด้านหนึ่ง เป็นหนัง หรือผิวหนังในอีกด้าน

ที่ .. จะเรียกว่าพลิกก็ได้ แต่อีกส่วนคือ

มันเข้าไปสัมผัสภาวะเดิม ที่มีกายนี้ ใจนี้ โลกใบนี้ ธรรมดานี่แหละ

แต่ เป็นโลกที่ไม่มีการอุบัติ การดับ เป็นโลกที่มีความว่าง และอยู่อย่างนั้น

.

ตรงนั้นเป็นภาวะที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ

เป็นภาวะที่ไม่มีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง มีแค่ภาวะที่จิตไปรับรู้

และจิตก็ไม่ได้เป็นของหรือสิ่งที่อยู่ในนั้นด้วย แค่ไปรับรู้

____________

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=XNYqKy6tSlw