วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

ยึดติดแฟนจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

ถาม : รู้สึกว่าไม่เป็นตัวของตัวเองนัก เหมือนจิตใจอ่อนแอ ต้องยึดเหนี่ยวแฟนเป็นที่พึ่งทางใจทุกวัน จนบางทีกลายเป็นภาระของเขา รู้ตัวว่าบางทีเป็นที่รำคาญ พอจะมีวิธีสร้างความเข้มแข็งและความเป็นตัวของตัวเองให้มากขึ้นกว่านี้ไหมคะ?

ดังตฤณ: 
เหตุแห่งความอ่อนแอมีได้มากกว่าที่หลายคนคิด บ้างก็เพราะเรี่ยวแรงน้อย บ้างก็เพราะมุ่งมั่นหาความสำเร็จแต่ล้มเหลวบ่อย บ้างก็เพราะตั้งใจทำอะไรแล้วโลเลเปลี่ยนใจง่าย บ้างก็เพราะขาดความเชื่อมั่นว่าตนสามารถเข้าสังคมได้ บ้างก็เพราะชีวิตราบเรียบสุขสบายจนเฉื่อยชา บ้างก็เพราะขี้เหงาและไม่รู้สึกว่าตัวเองจะอยู่รอดโดยปราศจากที่พึ่งทางกายหรือทางใจได้เลย

โดยธรรมชาติคนเราต้องการเพื่อนคุยที่ถูกอัธยาศัย ต้องการสัมผัสของความรักความอบอุ่น และต้องการการเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปในเพศตนด้วยสิ่งที่มีในเพศตรงข้าม การยังไม่มีสิ่งเหล่านั้นคือจุดเริ่มต้นของความเหงา

เมื่อหายเหงาด้วยใครสักคนที่ถูกใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเพศเดียวกัน หรือเป็นคนรักที่เป็นเพศตรงข้าม เขาอาจเป็นเสมือนยาเสพติด ที่คุณเคยชินกับความสุขจากการเสพ เมื่อไรไม่ได้เสพก็ย่อมเหมือนจะลงแดงเอาง่ายๆ

พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นกับคนถูกใจ จึงเป็นการโทร.คุยหรือนัดพบทุกวัน ถ้าอยู่บ้านเดียวกันเป็นเรื่องเป็นราวแล้วก็เบาแรงทั้งสองฝ่าย แต่หากยังอยู่คนละบ้าน ยังไม่พร้อมจะใช้ชีวิตร่วมกันจริงจัง อย่างนั้นต่างฝ่ายต่างก็ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางเป็นแน่ และจะยิ่งแย่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สะดวกกายหรือไม่สะดวกใจ แต่ถูกคาดคั้นให้ต้องพบกันหรือคุยกันอย่างสม่ำเสมอ

การไม่ได้พบหรือไม่ได้คุยอย่างใจอยาก มักก่อให้เกิดคลื่นความไม่พอใจ ซึ่งอีกฝ่ายจะรู้สึกได้ และอึดอัดเหมือนคนถูกมัดมือมัดเท้าให้ต้องทนอยู่ในกรงซึ่งบางครั้งบางวันอาจไม่สมัครใจ

เมื่อคิดว่าคนรักเป็นยาเสพติด เรารู้ตัวว่าติดยาเกินขนาด เห็นโทษของการเสพติดที่มีผลเป็นทุกข์ทางใจของทั้งเราและเขา ก็อาจกระตุ้นให้คิดได้ว่าควรลดปริมาณการเสพยาลงเสียที หากไม่รู้ตัวว่าติด หากไม่เห็นโทษของการเสพติด คุณก็จะเดินหน้าเสพต่อไปเรื่อยๆโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ และในที่สุดก็จะพบว่าความรักความอาลัยเป็นกรงขังจิตให้ติดอยู่กับทุกข์ ติดอยู่กับความกระวนกระวาย โดยมีความสุขวูบวาบเป็นเศษอาหารให้อิ่มแบบหลอกๆเพียงครู่

การเสพติดจนจิตหมกมุ่นนั้น ทำให้อ่อนแอ และตั้งข้อแม้กับตัวเองว่าจะมีชีวิตอยู่รอดได้ ก็ต้องโดยการช่วยเหลือของคนอื่น ฉะนั้นคุณก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา จะหวังรอให้ใจเลิกยึดไปเองคงยาก

ทางลัดคงไม่มีอะไรเกินทำบุญ เพราะบุญให้ผลเป็นสุขทางใจ และความสุขทางใจย่อมเป็นกำลังเสริมเติมส่วนที่ขาดพร่องได้เสมอ ยิ่งหากรู้วิธีทำบุญในแบบที่จะก่อให้เกิดความเข้มแข็ง และรู้สึกขึ้นมาว่ามีตนเป็นที่พึ่งแห่งตนก็รอดได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใคร คุณก็จะลดความทุรนทุรายลง อย่างน้อยก็มากพอจะอยู่คนเดียวสักวันโดยไม่ต้องรบกวนให้ใครโทร.หาหรือมาพบ

ก่อนอื่นขอบอกให้สบายใจว่าวิธีการที่จะแนะต่อไปนี้ ไม่ได้ทำให้คุณคิดอยากเลิกกับแฟน หรือเกิดความอยากทำบุญด้วยอุปเท่ห์วิธีเช่นนี้ตลอดไป ผลที่ได้จริงๆคือการลดความต้องการพึ่งพายาเสพติดในตัวคนรัก ทำให้เป็นอิสระต่อกันมากขึ้น มีโอกาสพักหายใจหายคอ เป็นสุขอยู่กับตัวเองเสียบ้าง

ทางพุทธศาสนานั้น ถือว่าการทำบุญที่จะก่อให้เกิดพลังระดับสูง และให้ผลเป็นความสุขทางใจได้ง่ายๆด้วยเวลาอันรวดเร็ว เห็นจะไม่มีอันใดง่ายกว่านำสิ่งของหรืออาหารไปถวายพระภิกษุถึงวัด หรืออย่างที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นการ ‘ทำสังฆทาน’ นั่นเอง สังฆทานมีผลใหญ่จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทำด้วยความสบายใจ และทำกับผู้มีสง่าราศีแบบพระให้นึกเลื่อมใสได้บ้าง

การทำสังฆทานครั้งนี้เรามุ่งมาที่ใจเป็นหลัก ไม่หวังผลพลอยได้อื่นใดทั้งสิ้น ขอแจกแจงเป็นข้อๆดังนี้

๑) คิดเอง คือคิดว่าจะนำของสำคัญในการดำรงชีพอันใดไปถวาย ไปถวายวัดไหน เมื่อใด ในขั้นนี้ดูเผินๆเหมือนไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก แต่ความจริงก็คือถ้าคุณไม่เคยตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็จะเกิดข้อสงสัย เกิดความไม่มั่นใจ ตลอดจนมีอาการจดๆจ้องๆว่าจะทำดีหรือไม่ทำดี หากวาระแรกอยากทำแล้วตัดสินใจทำดีคนเดียวโดยไม่ปรึกษาใครให้ไขว้เขว ไม่ต้องฟังเสียงใครว่าเอาดีหรือไม่เอาดี คุณได้ชื่อว่าสร้างความเด็ดเดี่ยว ลำพังคนเดียวขึ้นมาสำเร็จแล้ว ชั่วเวลาแค่ไม่กี่วินาที ถ้าคิดได้จริง ตั้งใจได้จริง ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต หากสองสามวินาทีทองนั้นมาถึงก็อย่าช้า รีบฉวยมันไว้ทันที เพราะสองสามวินาทีทองนั้นอาจไม่กลับมาอีกเลยชั่วกาลนาน

๒) เตรียมของเอง คือใช้เงินของตนเอง ห้ามหยิบยืมใคร ของที่จะถวายเป็นสังฆทานนั้น ขอให้จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น สบู่ก้อนเดียวก็เป็นสังฆทานได้ ถ้าจิตคิดไว้ว่าจะถวายแด่สงฆ์ โดยไม่ตั้งข้อจำกัดจำเพาะเจาะจงไว้ก่อนว่าจะถวายพระรูปใด เพราะฉะนั้นคุณน่าจะมีทุนทรัพย์พอ และสามารถซื้อหาได้อย่างสบายใจ ในขั้นนี้ตอนออกไปซื้อของเตรียมถวาย คุณอาจเริ่มรู้สึกสงสารตัวเอง นึกอยากได้ใครสักคนมาช่วย โดยเฉพาะถ้าคิดซื้อหลายๆชิ้น และเคยชินกับการซื้อข้าวของร่วมกับคนอื่น ให้กำหนดจิตตัดใจลงไปเลยว่าเราจะซื้อของโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาช่วย กับทั้งจะไม่ปล่อยให้เกิดความคิดสงสารตัวเองอย่างเด็ดขาด ชั่วเวลาเดี๋ยวเดียวคุณน่าจะทำใจได้ไม่ยากอยู่แล้ว หากระวังไม่ให้เกิดความรู้สึกนึกคิดอยากได้คนช่วยเตรียมของได้ตลอดรอดฝั่งกระทั่งซื้อของเสร็จ คุณจะพบว่าใจตัวเองเงียบเชียบ และเริ่มเห็นความเข้มแข็งบางอย่างเกิดขึ้นในตัวเองแล้ว

๓) ไปเองคนเดียว คือถ้าไม่มีรถก็อย่าไหว้วานใครไปส่งทั้งสิ้น ขึ้นรถเมล์หรือนั่งแท็กซี่ไป เพราะนี่ไม่ใช่การทำบุญธรรมดา แต่เป็นการทำบุญเพื่อขอให้เกิดความเป็นตัวของตัวเอง ระหว่างเดินทางให้มีสติ อย่าใจลอย อย่านึกน้อยใจ แล้วก็อย่าให้มีเรื่องรบกวนจิตใจใดๆ ในขั้นนี้คุณจะเริ่มรู้สึกว่าการเดินทางไปทำบุญคนเดียวเป็นอะไรอย่างหนึ่งที่มีความหมาย มีความตั้งใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้น มีกรรมอย่างหนึ่งเกิดขึ้น แล้วก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในบัดนั้น ให้มองว่าการเดินทางไปทำดีตามลำพังเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวหรือน่าหดหู่เศร้าสร้อยแต่อย่างใด ชั่วเวลาไม่กี่สิบนาทีทำไมจะตัดใจเลิกคิดหยุมหยิมไม่ได้ คือไม่ใช่ให้เข้าฌานเลิกคิดอะไรหมดนะครับ แต่ถ้ารู้สึกตัวว่าคิดเรื่องที่ทำให้เกิดความเหงา ความหดหู่ ความน้อยเนื้อต่ำใจ หรือความโมโหโกรธาใดๆ จงรีบหยุดและเปลี่ยนเรื่องคิดไปในทางมงคลทันที

๔) ทำเองคนเดียว คืออย่าตั้งความหวังว่าใครที่วัดจะเข้ามาช่วยยกของ ให้นึกถึงการใช้แรง ใช้กำลังของตนเองในการทำบุญครั้งนั้น ในขั้นนี้คุณจะรู้สึกชัดว่าตัวเองเป็นคนแข็งแรง ตั้งความคิดให้แน่วแน่ว่าจะรักษาจิตไว้ให้พึ่งพาตนเอง ไม่เหงา ไม่เศร้า ไม่อยากรับความช่วยเหลือจากใคร (แต่ถ้ามีเด็กวัดหรือใครเขาอยากเข้ามาช่วยเองก็ให้ช่วยไปนะครับ อย่าไปตะเพิดไล่ปฏิเสธน้ำใจเขาล่ะ) คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงกับแค่ครึ่งชั่วโมงที่อยู่ในวัด ที่คุณจะอยู่กับความตั้งใจทำอะไรดีๆด้วยตนเองตามลำพังสักครั้ง โดยไม่เห็นว่าตัวเองน่าสงสารกับการไม่มีใครเคียงข้าง

๕) อธิษฐานคนเดียว คือหลังจากถวายสังฆทานเสร็จแล้ว ให้หันไปทางพระประธานหรือพระพุทธรูป นั่งพนมมือตัวตรง ถ้าบรรยากาศเอื้อให้พูดดังๆก็เปล่งวาจาชัดถ้อยชัดคำไปเลยว่า ครั้งนี้เรามาทำบุญได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งใคร ก็ขอให้ใจเป็นสุขได้กับตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยใครอื่นเถิด ถึงตรงนี้คุณจะรู้สึกสงบและเป็นตัวของตัวเองได้อย่างประหลาด ตัวคุณใหญ่กว่าความเหงา และเอาชนะความเหงาได้ง่ายๆแค่นี้เอง

การทำครั้งเดียวอาจให้ผลเป็นความรู้สึกมั่นคงแค่ระยะสั้น ถ้าให้ดีควรทำซ้ำอย่างนี้สัก ๓ ครั้งภายในหนึ่งอาทิตย์ เพื่อให้เกิดการสำทับบุญจนแน่นหนาพอ ไม่จำเป็นต้องไปที่วัดเดียวกัน และไม่จำเป็นต้องทำสังฆทานเท่านั้น ลองไปตามสถานสังคมสงเคราะห์ต่างๆที่เขาเปิดรับบริจาคข้าวของให้แก่ผู้ด้อยโอกาส เพื่อให้รู้สึกว่าได้ทำบุญครบวงจร ก็จะเกิดความเบาสบายและเบิกบานยิ่งๆขึ้น

ภายในอาทิตย์เดียวถ้าทำบุญด้วยตัวเอง ๓ครั้ง คุณจะพบว่าอาการคิดมาก อาการอยากพึ่งพาคนอื่นจะลดลงแบบฮวบฮาบ ที่สำคัญคุณอาจพบว่าตัวเองกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้คนอื่นอยากมาพึ่งพาไปเสียแทน

ถ้าการณ์พลิกกลับตาลปัตรอย่างนี้ก็อย่าสงสัยเลย เรื่องของเรื่องนะครับ คนเราชอบอยู่ใกล้ผู้ที่เข้มแข็ง เพื่อดูดซับความอบอุ่น และรับแรงบันดาลใจมาสู่ตน แต่จะไม่ชอบอยู่ใกล้ผู้ที่อ่อนแอ เพราะคุณจะรู้สึกเหมือนเสียพลังงาน และอาจรับกระแสความเกียจคร้านมาเข้าตัวไปด้วย

ผลพลอยได้จากการทำบุญให้มีกำลังใจเด็ดเดี่ยวนี้ จะช่วยให้คุณลดอาการเฉื่อยชาในการทำงานทางโลกได้ด้วย โดยเฉพาะที่เป็นงานหนัก งานยาก เหมือนต้องขอความช่วยเหลือจากคนนั้นคนนี้ ใจคุณจะคิดไปอีกอย่างหนึ่ง คือเห็นว่าแค่นี้เอง ทำคนเดียวก็ได้ และในที่สุดก็ทำได้จริงๆ เรียกความเชื่อมั่นมาให้ตัวเอง

จริงๆอานิสงส์ของการใช้อุปเท่ห์วิธีทำบุญแบบนี้ยังมีอีกมาก เช่นคุณจะเป็นผู้ทำกิจใหญ่สำเร็จได้ด้วยตนเองเป็นหลัก ปรารถนาอะไรจะมีแรงหนุนให้ถึงจุดหมายปลายทางด้วยความภาคภูมิใจในตนเอง แต่เอาเฉพาะกรณีที่กำลังเป็นประเด็นปัญหาของคุณ การทำบุญแบบนี้ จะช่วยให้เห็นว่าความรัก ความติดพันใกล้ชิด เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ไม่มีแล้วจะเอาชีวิตรอดไม่ไหว ไม่ว่าคนรักของคุณจะเป็นอดีตหรือปัจจุบัน เขาจะไม่มีอิทธิพลทางใจกับคุณมากมายเกินจำเป็นดังเคยแน่นอน

หมายเหตุสำคัญทิ้งท้ายไว้ด้วย การทำบุญร่วมกันเป็นสิ่งน่าสนับสนุน และควรให้มีบ่อยๆ เพราะจะช่วยส่งเสริมสัมพันธภาพทุกรูปแบบให้เป็นไปในทางดี ทั้งวันนี้และวันหน้า คำตอบสำหรับคำถามนี้เป็นแบบเฉพาะเจาะจง แก้ปัญหาความอ่อนแอไม่เป็นตัวของตัวเองและมีภาวะพึ่งพาสูงเท่านั้นนะครับ

ที่มา : หนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
โดย ดังตฤณ


วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

นั่งสมาธิแล้วตัวโคลง เพราะกายใจไม่สมดุล

ผู้ถาม : คืออยากจะทราบว่า ในขณะที่เราปฏิบัติเนี่ยนะ เราจะรู้สึกว่าตัวเราโยกคลอนตลอดเวลา แล้วก็แต่ในขณะเดียวกันเนี่ย จิตเราก็จะรู้ว่า โอเคนะ บางทีมันจะนิ่ง บางทีมันก็จะส่าย ที่แน่เลยก็คือว่า กายเราเนี่ยจะสั่น จะโยก เสร็จแล้วก็นิ่ง หยุด เสร็จแล้วก็กลับมาโยกใหม่อย่างนี้ คือไม่ทราบว่าส่วนนี้เนี่ย จะแก้หรือว่าเกิดจากอะไรคะ ขอบคุณค่ะ

รับฟังทางยูทูบ :  https://youtu.be/I6G1fivq89o
ดังตฤณบรรยายธรรมแก่ผู้สนใจ
นั่งสมาธิแล้วตัวโคลง
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่วัดอมรินทรารามวรวิหาร
 

ดังตฤณ: 
ผมตอบเป็นสองส่วนนะ เดี๋ยวเชิญนั่ง ดีแล้วมีคำถามเนี่ยให้ได้ยินกันทั่ว ๆ นะ เพราะว่าอันนี้ก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในแวดวงการทำสมาธิทั่วๆไปน่ะแหละ บางทีมันโยก บางทีมันมีน้ำตาไหล มันมีอาการสั่นสะเทือนอะไรก็แล้วแต่

อาการเหล่านี้ไม่ใช่ความผิดปกติ
แต่เป็นอาการที่กายใจมันไม่บาลานซ์ (balance) กัน
มันไม่สมดุล
บางทีใจของเรามีกำลังมาก แต่กายมันไม่ตั้ง
มันเหมือนกับพร้อมที่จะโอนเอน
เพราะว่าอย่างที่บอก บางทีเราตั้งใจมากเกินไป

ตั้งใจจนกระทั่งว่า
.. แล้วกำลังของใจมันมีอยู่มาก ลองสังเกตนะ กำลังของใจมันมีเยอะ แต่ร่างกายบางทีมันไม่อยากทน เคยสังเกตไหม ทีนี้ถ้าหากว่าเราสามารถรู้ว่าบางครั้งร่างกายมันก็โอนเอน บางครั้งมันก็หยุดนิ่ง อันนั้นในอีกแง่หนึ่งนะ มันก็ดีเหมือนกัน คือเราสามารถเห็นความไม่เที่ยงของร่างกายได้

บางครั้งเราไม่สามารถที่จะบังคับให้มันอยู่นิ่งๆ
มันก็โอนเอน
เราก็รู้ไป รู้ตามจริงไป
ว่าขณะนั้นร่างกายกำลังแสดงความไม่เที่ยง
แสดงอาการบังคับไม่ได้ให้เราดูอยู่

แต่เมื่อไหร่ที่ร่างกายเข้าสู่ภาวะนิ่งของมันเองเป็นธรรมชาติ เราก็ดูอย่างไม่ต้องดีใจว่า นี่ไม่ใช่ผลงานของเรานะ ไม่ใช่ฝีมือของเรานะ แต่เป็นธรรมชาติทางกายที่เค้าเข้าล็อกที่จะอยู่นิ่งได้ เราเห็นโดยความเป็นเหตุปัจจัยอยู่อย่างนี้ ในที่สุดร่างกายมันจะเกิดสมดุลขึ้นมากับจิตใจ คือใจเนี่ยจะไม่ไปสงสัย ใจมันจะไม่ไปเร่ง ใจมันไม่พยายามที่จะหาทางแก้ไข ใจมันจะมีแต่อาการที่พึงพอใจจะรู้ พึงพอใจที่จะดูอย่างเดียว

อาการพึงพอใจที่จะรู้ 
พึงพอใจที่จะดูอย่างเดียวนั่นแหละ
คืออาการปรับสมดุลของร่างกาย
ให้เข้าเป็นธรรมชาติอันเดียวกันกับสภาวะทางใจ

จิตที่มีความบริสุทธิ์อยู่ จิตที่มีสติบริสุทธิ์อยู่ ขอให้รู้นะ มันจะมีแต่ความพอใจที่จะรู้ ไม่มีอาการสงสัย ไม่มีอาการเร่ง ไม่มีอาการกระสับกระส่ายใดๆทั้งสิ้น ซื่งถ้าหากว่ามันไปสมดุลกับภาวะทางกายที่ไม่ถูกบีบบังคับ
เดี๋ยวก็เอน เดี๋ยวก็นิ่ง โดยที่ไม่มีความต้องการของตัวเอง หรือถูกบีบบังคับมาจากใจ ในที่สุดมันก็เคลื่อนเข้าสู่ภาวะของสมดุล สมดุลที่จะแสดงความไม่เที่ยง ถ้ามันอยากโอนเอน มันได้โอนเอน ถ้ามันอยากนิ่ง มันได้นิ่ง ตรงนั้นแหละ คือสมดุลกับสติ อย่างที่ผมบอกตอนแรก

ทวนใหม่ช้าๆนะ
สติ คือ อาการยอมรับตามจริง
ไม่เร่ง ไม่กระวนกระวาย ไม่อยาก 

แล้วร่างกายที่ไม่ถูกบังคับ
ก็คือร่างกายที่เป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติ
ถ้าหากว่าขาดลม ก็ได้ลม
ถ้าหากว่าอึดอัด ก็ได้ระบายลมออก
ถ้าหากยังไม่อยากได้ลม ก็ได้หยุดนิ่ง 

หรือแม้กระทั่ง เมื่ออยู่ในสมาธิ
ถ้าหากจะต้องโอนเอนไปบ้าง แกว่งไกวไปบ้าง
ด้วยความไม่สมดุลของพลังเนี่ย มันก็ได้โอนเอน 
เมื่อใดที่สมดุลลงตัว ได้นิ่ง มันก็ได้นิ่ง
ไม่มีอะไรที่ฝืนกับธรรมชาติอยู่เลย
ทั้งส่วนของใจ ทั้งส่วนของกาย
อย่างนี้ในที่สุด 
มันจะเข้าสู่ล็อกของสมดุลหนึ่งที่เกิดขึ้น
เรียกว่า 
 ลงล็อก !


บางคนจะเกิดความรู้สึกว่านิ่ง รู้สว่างโพลง สว่างจ้าได้ถึงฌาน ถ้ากำลังมากพอ มันไปได้ถึงฌาน มันมีความสว่างคงที่ รู้อย่างเดียวอยู่ไม่เปลี่ยน อาจจะครึ่งชั่วโมง อาจจะสองชั่วโมง บางคนอาจจะเป็นวัน ๆ ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิที่สั่งสมมา ขึ้นอยู่กับกำลังของสติที่จะมาค้ำจุน แต่ถ้าหากว่าเรามัวแต่สงสัยอยู่ว่าจะแก้ยังไง อาการของใจมันก็ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ มันมีอาการฝืน มันมีอาการรู้สึกว่า รู้สึกอยู่ว่าผิดปกติ มันมีอาการรู้สึกว่ากายเนี่ยมันจะต้องถูกบังคับอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่าใดท่าหนึ่ง อย่างนี้ไม่มีทางเลยที่ภาวะทางใจและภาวะทางกายเนี่ย มันจะเข้าสู่สมดุล เข้าล็อกเดียวกันได้ โอเค อันนี้ก็ขอตอบเป็นแนวทาง

ผู้ถาม : ก็คือง่ายๆว่าให้เราแค่รู้อย่างเดียวว่า ณ ตอนนี้เนี่ย สภาวะกายเราเป็นแบบนี้ สภาวะจิตเราเป็นอย่างนี้ ก็คือไม่ต้องไปฝืน

ดังตฤณ: 
รู้แล้วสังเกตด้วยนะว่ายอมรับตามจริงหรือเปล่า อันนี้คุยกัน คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากยอมรับตามจริง พอมีเหตุผิดปกติอะไรขึ้นมาแล้วเนี่ย มันมีความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า เราต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง แล้วก็อาการที่รู้สึกว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งน่ะแหละ มันเป็นจุดเริ่มต้นของอาการฝืน

ผู้ถาม : เพราะฉะนั้นเนี่ย เมน (main) ใหญ่เลย คือที่คนทั่วไปมีปัญหาก็คือว่าเราไม่ยอมรับความจริง เราไปฝืนกับสภาวะที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ คือบางครั้งเนี่ย จิตเราตั้งนิ่ง แต่ว่าเราไป มันเหมือนกับ..

ดังตฤณ: 
เอางี้ ผมให้สังเกตตอนนี้ก็แล้วกัน ใจคุณตอนนี้มันเหมือนสงบลงนะ แต่คุณจะรู้สึกได้ว่า ข้างในมันยังมีแรงอัดอะไรบางอย่างอยู่ คล้ายๆกับมีตัวเร่ง คือว่าไม่ใช่ตัวเร่งร้อนนะ แต่ตัวเหมือนกับมีแรงดัน เป็นคนที่เหมือนกับมีความตั้งใจแรง แล้วก็มีกำลังทางใจเนี่ยค่อนข้างมาก มันก็เลยเหมือนกับว่ามีพลังอะไรที่อัดอกอยู่ เกือบตลอด ทีนึ้ให้สังเกต เนี่ยอย่างตอนเนี้ยมันเพลาลง เพราะเมื่อกี้เราไปเห็นมัน ไปเห็นว่าเหมือนกับมีแรงอัด มันก็เบาลงได้ ทุกครั้งที่เราเห็นแรงอัด แล้วเรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรแค่ส่วนเกินที่มันอัดอยู่ในอก ภายในเรา ไม่ได้อยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่รู้สึกได้ว่ามันอยู่ภายในเรา แค่รู้สึกได้แค่นี้แหละ มันก็จะคลายลง อาการคลายลงเนี่ย ตอนนี้มันเหมือนกลับขึ้นมา มันเร่งๆขึ้นมาใหม่ มันหวนไปหวนมา

ผู้ถาม : บางครั้งจะรู้เลยว่า มันพลุ่งขึ้นมา เสร็จแล้วมันเหมือนก็ชน ชนเพดานแล้วพอเราเริ่มรู้สึกปั๊บเนี่ย ก็ค่อยลง มันเหมือนกับสภาวะที่มันขึ้นแล้วมันลง มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อะไรประมาณนี้

ดังตฤณ: 
แค่ยอมรับตามจริง คำว่ายอมรับตามจริงเนี่ยแหละ คือคีย์เวิร์ด (keyword) ที่สำคัญที่สุด เพราะว่าการยอมรับตามจริงมันจะทำให้เกิดสติรู้ตามจริง แล้วไม่มีอะไรแปลกปลอม แล้วไม่มีอะไรแทรกแซง ไม่มีอะไรเป็นของแถม 

ส่วนใหญ่เนี่ย เวลาคุณรู้ จะรู้โดยลักษณะที่มีของแถมนิดนึง แถมแบบคล้ายๆกังวลอยู่ในใจเล็กๆ ว่าเอ๊ มันจะต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่ง มันถึงจะพัฒนา มันถึงจะก้าวหน้าขึ้นกว่านี้นะ

ผู้ถาม : ใช่ ๆ ค่ะ

ดังตฤณ: 
ถ้าหากว่าเราแค่ยอมรับตามจริง ฝึกยอมรับตามจริงไปเรื่อยๆ การยอมรับตามจริงต้องฝึกนะ ไม่ใช่ของที่มีอยู่ติดตัวเป็นคุณสมบัติประจำตัวสำหรับทุกคน การยอมรับตามจริงเป็นคุณสมบัติพิเศษที่คุณจะต้องฝึก ยิ่งฝึกมาก มันจะยิ่งยอมรับตามจริงมาก แล้วคุณจะยิ่งรู้ว่าจิตที่มันเป็นธรรมชาติ ที่มันเป็นธรรมดาเนี่ย หน้าตาเป็นอย่างไร

ถ้าไม่ฝึกยอมรับตามจริง
มันจะมีอาการที่เป็นปฏิกิริยาทางใจตกค้างอยู่เสมอ

แล้วการฝึกยอมรับตามจริงที่ง่ายที่สุด ก็คือ
ดูว่าในขณะนี้ร่างกายของเรา
ต้องการลมเข้าหรือต้องการลมออก
ถ้าคุณไม่ฝึกสังเกตนะ
คุณจะพบว่าจริงๆแล้ว ลึกๆเนี่ย
พอมีอาการดูลมหายใจเนี่ย
เราจะไปเร่งลมหายใจขึ้นมาทันที

มันยังไม่ถึงจังหวะที่ร่างกายอยากได้ลมเข้า เราก็จะไปเร่งเข้ามา มันยังไม่ถึงเวลาที่ความฟุ้งซ่านมันจะสงบลง เราก็ไปกดให้มันสงบลง 
อาการที่ไม่เป็นธรรมชาติของใจเนี่ยแหละ ที่ทำให้เราไม่สามารถที่จะยอมรับตามจริงได้ แม้กระทั่งความจริงพื้นๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทุกวินาทียังยอมรับไม่ได้ ประสาอะไรกับเรื่องภายนอก
เรื่องที่มันเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ว่าเราจะไปยอมรับมัน นส่วนใหญ่ยอมรับไม่ได้ เพราะว่านึกว่ามันจะต้องเป็นอย่างนั้น เร่งให้มันเป็นอย่างนี้

แต่เมื่อเราฝึกที่จะยอมรับตามจริง
เกี่ยวกับเรื่องของลมหายใจ
ที่มันเข้า ที่มันออก ที่มันหยุดอยู่ตลอดเวลาได้
คุณจะสังเกตว่าใจของคุณ
มีความสงบ มีความเย็น
มีความพร้อมที่จะยอมรับตามจริงมากขึ้น
และนั่นแหละ
จิตที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันได้

ผู้ถาม : ค่ะ ขอบคุณค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559

คนกตัญญูแต่ไม่ขยันทำงาน ก็อดตายได้

ถาม : คำพูดที่ว่า ‘คนกตัญญูคิดตอบแทนพ่อแม่ ไม่มีวันอดตาย’ เป็นจริงหรือไม่ครับ?

ดังตฤณ: 
ถ้าพูดให้สมบูรณ์ต้องกล่าวว่า ‘คนขยันทำงานที่ไม่ลืมตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ไม่มีเหตุผลให้เสื่อมจากลาภ’ ครับ

หลายคนฝังใจจริงๆ ว่าถ้าทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ใส่บาตรทุกวัน หรือเลี้ยงดูพ่อแม่ให้สุขสบาย แล้วทุกอย่างจะดีเอง ไม่ต้องขยันทำงาน ไม่ต้องควบคุมการใช้จ่าย ในที่สุดพอเงินไม่พอใช้ ก็โทษว่าผลบุญไม่มีจริง อุตส่าห์ทำดีไม่เห็นได้ดีเลย

การเป็นคนกตัญญูกตเวทีนั้น ให้ผลเป็นความสุขความเจริญ ความไม่เสื่อมจากลาภยศ โดยมีข้อแม้ว่าต้องไม่งอมืองอเท้าด้วย

ในโลกนี้
ผมเห็นกรรมชนิดเดียวที่ทำให้อดตายได้จริงๆ
ก็คือ กรรมที่เป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้
คิดแต่จะงอมืองอเท้านี่แหละ
หากใครทำกรรมชนิดนี้
ต่อให้แบกพ่อแม่ไว้บนบ่า
ด้วยความมีใจกตัญญูรู้คุณอย่างสูง
ก็เชื่อเถอะครับว่าอดตายแน่

ตรงข้าม แม้เป็นคนอกตัญญู
แต่ขยันทำงาน ก็อาจมีข้าวกินอยู่ดีได้
โดยเฉพาะในช่วงที่
กรรมแห่งการเป็นคนอกตัญญู
ยังไม่ส่งผลให้เกิดความติดขัด
หรือส่งผลให้เสื่อมจากลาภ

อยากให้เข้าใจว่าคำคม คำขวัญ หรือวาทะกินใจทั้งหลายนั้น บางทีกระตุ้นให้คิด หรือก่อให้เกิดกำลังใจด้านดี แต่อาจไม่ลงกันสนิทกับกฎแห่งกรรมวิบาก เพราะกฎแห่งกรรมวิบากนั้นมีง่ายๆแค่ว่าทำดีได้ดีแบบนั้นๆ ทำชั่วได้ชั่วแบบนั้นๆ เมื่อใดถึงกาลให้ผลก็ให้ผล เมื่อใดยังไม่ถึงกาลให้ผลก็รอไว้ก่อน คาดคะเนหรือกะเกณฑ์ให้เป็นไปตามปรารถนา หรือเป็นไปตามโวหารใดๆไม่ได้เลย

ที่มา หนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว โดย ดังตฤณ


คุณดังตฤณเล่านิทานอธิบายเรื่องกรรมวิบาก

ระหว่างคำคมกับคำจริง

หากปราชญ์เมธีทั้งหลายตระหนักว่าเบื้องหลังการเกิดตาย มีกรรมวิบากเป็นเหตุเป็นผล วาทะ คำคม โวหาร และภาษิตของพวกเขาคงเปลี่ยนแปลงบ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยผมก็เชื่อว่าพวกเขาต้องทิ้งคำสวยๆไปหลายคำทีเดียว ทั้งนี้เพราะคำสวยๆบางคำไม่เป็นสัจจะ ในขณะที่คำอันเป็นสัจจะจำนวนมากฟังไม่เพราะ ไม่เท่ ไม่กินใจเท่าใดนัก

ปราชญ์เมธีผู้ยิ่งใหญ่นั้น โดยมากจะมีวาทะเกี่ยวกับมนุษย์ด้วยกัน และขอบเขตของการมองก็จะมองเพียงชีวิตเดียว ชีวิตเป็นอย่างนั้น ชีวิตเป็นอย่างนี้

ขอเพียงเขารู้ความจริงเพิ่มขึ้นอีกสักนิด เช่นหลังความตาย กรรมดำหลายประการจะนำมนุษย์ไปสู่ความเป็นสัตว์สี่เท้า สัตว์หน้าขน สัตว์ที่พวกตนอาจจะเคยดูถูกเหยียดหยาม สัตว์ที่ตนอาจจะเคยกินศพของพวกมันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน วาทะของพวกเขาจะเปิดกว้างขึ้น ไม่จำกัดขอบเขตด้วยการเริ่มต้นด้วยคำพูดตายตัวเช่น ‘ชีวิตคือ...’ แต่จะตั้งต้นอย่างเป็นเหตุเป็นผล เช่น ‘เพราะกรรมอย่างนั้น ชีวิตอย่างนี้จึงปรากฏ’

เนื่องจากไม่รู้ จึงทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่แบ่งชั้นวรรณะกับสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายอย่างชัดเจน เห็นพวกมันไร้ค่า ไร้ความหมาย ไม่มีใครเอาอิฐปาหัวหมาแล้วโดนจับฐานทำร้ายร่างกาย ไม่มีใครถูกฟ้องหมิ่นประมาทเพียงเพราะด่าแมวให้คอตกเสียใจ อย่างมากก็ห้ามฆ่าสัตว์อนุรักษ์หรือสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครอง (ขอตั้งข้อชวนสังเกตด้วยว่าทำไมกฎหมายไม่ให้ความเป็นธรรม ไม่เป็นฝนที่ตกทั่วฟ้า สัตว์หลายหมู่เหล่าถูกฆ่าได้โดยถูกกฎหมาย แถมมีการสนับสนุนอย่างโจ่งแจ้งเสียด้วย)

เหล่ามนุษย์คงตกใจ หากรู้ว่ามนุษย์กับสัตว์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าที่คิด สัตว์เดรัจฉานไม่ใช่แค่สัตว์เลี้ยง และไม่ใช่แค่อาหารยังชีพของมนุษย์ แต่อาจเป็นเป้าล่อให้เราทำกรรมอันจะนำไปสู่ความเป็นพวกมันก็ได้ เช่นการเอาอะไรปาหัวหมาเล่น มีผลในที่เกิดครั้งต่อไป คือจะถูกรังแกโดยไม่มีทางสู้ และนั่นก็แปลว่าถ้าเราเห็นสัตว์สักตัวกำลังถูกรังแกอย่างไร้เหตุผล เราอาจจะกำลังมองผ่านความจริงในปัจจุบัน เข้าไปเห็นอดีตกรรมของมันเมื่อครั้งเป็นมนุษย์อยู่ก็ได้

และต่อให้ไม่ต้องไปทำอะไรสัตว์ ขอเพียงมีพฤติกรรมอันสมควรต่อการไปเป็นสัตว์ ก็ต้องไปเป็นสัตว์กันแล้ว และเหตุอันสมควรแก่การเป็นสัตว์ก็ไม่ต้องชั่วร้ายมากอย่างที่หลายคนคิด อบายภูมิใกล้ชิดเราเกินกว่าจะคาดถูก

แม้เชื่อเรื่องภพภูมิและการเวียนว่ายตายเกิด แต่หากขาดความรู้เรื่องเหตุผลที่มาที่ไปของการจำแนกสัตว์ออกเป็นต่างๆ คนทั่วไปจะไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าวันหนึ่งตนเองอาจพลัดหล่นไปสู่ความเป็นเดรัจฉานอันเป็นหนึ่งในอบายภูมิ

ยิ่งหากกำลังเสวยยศศักดิ์สูงส่ง เป็นคนมีหน้ามีตามีฐานะร่ำรวย เดินเหินด้วยมาดสำรวยหรู ก็จะยิ่งไม่มีทางเชื่อเลยว่าตนเองจะไถลลงต่ำไปครองอัตภาพของสัตว์หน้าขนในวันหนึ่ง

ผมจะเล่านิทานให้ฟังสักเรื่อง ขอให้ฟังประกอบหลักกรรมวิบากก็แล้วกัน อย่าไปค้นหาว่ามีที่มาจากไหน หรือเอาหลักฐานยืนยันจากใคร เพราะมันคือนิทาน

ครั้งหนึ่งนานแสนนานมาแล้ว หญิงคนหนึ่งมีโอกาสทำบุญกับพระพุทธเจ้าและเหล่าอริยสาวกด้วยความเลื่อมใส ยิ่งวันนางยิ่งเห็นผลดีที่เกิดขึ้นกับจิตใจ เมื่อเป็นกุศลสว่างไสว ทั้งโลกก็เหมือนอบอุ่นปลอดภัย และตนเองดูสูงส่ง มีสง่าราศีมากขึ้นทุกที

ด้วยความเชื่อมั่นในบุญญาธิการของตน นางปักใจทีเดียวว่าตายไปจะต้องเกิดในที่สูง และความสูงส่งนั้นจะคงอยู่เรื่อยๆไม่สิ้นสุด ซึ่งหลังจากตายเพราะกายแตก นางก็ได้ไปเสวยสุขบนสรวงสวรรค์ตามที่เชื่อจริงๆ เนื่องจากชาตินั้นไม่ได้ก่อกรรมอันเป็นเหตุขัดขวางทางขึ้นสูงเอาไว้

หมดบุญบนสวรรค์ นางกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติถัดมา ความติดใจในจริตของหญิงส่งให้ได้ครองอัตภาพหญิงอีก บุญเก่าคือทานที่ทำด้วยความเลื่อมใสกับศีลที่รักษาไว้ดี ตกแต่งให้นางเป็นหญิงรูปงามหมดจด บุญเก่าคือการถ่ายทอดธรรมะให้ญาติฟังด้วยความปรารถนาดีบริสุทธิ์ใจตกแต่งให้นางฉลาดจัด และบุญเก่าคือความอ่อนน้อมต่ออริยเจ้านำนางไปสู่ตระกูลใหญ่ระดับราชนิกูล พูดง่ายๆว่าบุญเก่าส่งให้นางกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่มีความเพียบพร้อมยิ่ง เลอเลิศยิ่ง ไปที่ไหนไม่ต้องเป็นรองใครเลย

แต่ด้วยเพราะไม่อาจจำบุญเก่าได้ และชาติใหม่หาบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความนอบน้อมไม่เจอ นางจึงเย่อหยิ่งถือตัว และเอาแต่ใจ ถ้าโมโหก็อาละวาดกราดเกรี้ยว โดยเฉพาะกับผู้น้อยที่อยู่ในฐานะต่ำกว่าตน ยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น ก็ยิ่งไร้เหตุผล เอาแต่ใจ และปากร้าย ด่าทอไม่เลือกจนสุดที่ใครจะห้ามปราม เข้าสูตรดีก็ดีใจหาย เวลาร้ายก็ร้ายเหลือแสน

เมื่อถึงอายุขัยแห่งความเป็นมนุษย์ บาปทางปากส่งให้ไปเกิดในชาติพันธุ์ของสุนัขมีเสียงเห่าเป็นเครื่องสะท้อนอาการที่จิตติดยึดคำด่าทอหยาบคาย แต่บุญเก่าซึ่งมีหน้าที่ตกแต่งให้สูงส่งและสะสวยยังไม่หมด จึงไปเกิดเป็นสุนัขน่ารัก และสุนัขน่ารักที่ฉลาดเหมาะกับความเป็นนาง ก็คือพันธุ์ที่โลกปัจจุบันเรียกกันว่า ‘พุดเดิ้ล’

นางในอัตภาพสุนัขยังคงความรู้สึกเดิมๆ เพราะอัตภาพที่ได้มายังดูสูงส่ง แม้จะเป็นความสูงส่งในอบายภูมิ ประกอบกับที่นางมีเจ้าของเป็นคนร่ำรวย ประคบประหงมอย่างดีและเล่นกับนางอย่างเพื่อน (เพราะเคยเป็นเพื่อนเล่นกันมาจริงๆในอดีตชาติ) จึงหล่อเลี้ยงความเย่อหยิ่ง ดื้อรั้นเอาแต่ใจไว้ไม่หายไปไหน ยิ่งนายตามใจก็ยิ่งเหลิง ซึ่งก็ทำความแปลกใจให้แก่เจ้านายของนางบ้าง เพราะนิสัยค่อนข้างผิดแผกแตกต่างจากพันธุ์พุดเดิ้ลด้วยกัน (โดยทั่วไปนิสัยเย่อหยิ่งถือดีจะเป็นพวกพันธุ์เทอเรียเสียมากกว่า)

เมื่อได้อัตภาพที่ผูกความเย่อหยิ่งและความเอาแต่ใจไว้ ภพหรือภาวะแห่งความเป็นสุนัขก็ไม่ขาดหาย เมื่อตายไปก็เข้าท้องสุนัขอีก และบาปแห่งการถือดีเอาแต่ใจเริ่มให้ผลเบียดบังบุญเก่า ต้องไปอยู่กับนายที่ไม่เอาใจ ไม่ประคบประหงม กับทั้งชอบดุและตีเมื่อทำผิดเล็กๆน้อยๆ ทำให้นางจ๋อยไป เพราะไม่รู้ว่าจะอวดกำแหงกับใครภายใต้กรอบจำกัดของอัตภาพสุนัขแสนสวย นี่ก็เป็นเยี่ยงอย่างให้เห็นว่าติดนิสัยไม่ดีเพียงอย่างเดียว ก็อาจโดนนิสัยนั้นฉุดลากลงต่ำไปเรื่อยๆเหมือนลงที่ลาดได้ จากต่ำอยู่แล้วก็ยิ่งต่ำลงไปมากกว่าเดิมอีก

โดยมากพวกมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่นั้น ต้องจ๋อยถึงจะดี เช่นในนิทานเรื่องนี้ ความจ๋อยของนางสุนัขได้ขุดเอาความรู้สึกดีๆกลับมาใหม่ เมื่อจิตหลุดจากพันธะคือความปากร้ายเห่าส่งเดชและความเอาแต่ใจตัวอย่างร้ายกาจ ความรู้สึกดีๆที่เป็นบุญก็กลับมา ความสว่างของบุญเก่าก็ได้ช่อง หลังตายจากชาตินั้นก็มีโอกาสเกิดในที่สูงระดับมนุษย์อีก บุญเก่าของนางคอยจ้องจะอุปถัมภ์อยู่แล้ว ขอเพียงไม่มีนิสัยเสียๆมาขวางเท่านั้น

ด้วยความเสงี่ยมหงิมที่ติดตัวมา พอได้เป็นมนุษย์ก็ทำให้กลายเป็นสาวแสนดีได้ใหม่ กับทั้งนิสัยเก่าที่เคยทำบุญกับนักบวชผู้น่าเลื่อมใส ก็กลายเป็นชนวนให้ขวนขวายทำบุญเช่นนั้นอีก และเป็นเหตุให้ได้เสวยสวรรค์อีก วนเวียนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ระดับราชนิกูลอีก

ภาพคร่าวๆของนางแสดงให้เห็นวงเวียนวัฏฏะ ขึ้นสูงแล้วมีเงื่อนไขดึงให้ลงต่ำ ลงต่ำแล้วมีเงื่อนไขฉุดให้ขึ้นสูง ขอเพียงรู้แจ้ง มองย้อนกลับไปว่าเหตุการณ์หรือสถานการณ์ร้ายหนึ่งๆเกิดขึ้นจากกรรมแต่หนหลังท่าไหน เราจะไม่เสียเวลาร้องไห้คร่ำครวญให้กับเรื่องร้ายนั้นๆ หรือถึงแม้กลั้นน้ำตาและอาการสะอึกสะอื้นไม่ได้ เราก็จะไม่นึกเสียใจน้อยใจ หรือกระทั่งปล่อยใจให้หดหู่อยู่กับจังหวะไม่ดีของชีวิตกันเลย แต่จะเร่งเพียรทำดีเพื่อให้พ้นอบาย และสุดท้ายเพียรเพื่อพบทางออกจากความไม่แน่นอนของสังสารวัฏอันจัดเป็นวงจรอุบาทว์นี้เสีย

เราจะใส่ใจกับคำคมน้อยลง หันมาประทับใจกับคำจริงมากขึ้น เช่น

สิ่งมีชีวิตไหลลงต่ำง่าย เราจึงเห็นสัตว์เดรัจฉานมากมายเกินมนุษย์หลายล้านเท่า

หรือ...

ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ ความดีอย่างเดียวไม่ได้เป็นประกันความปลอดภัยเพียงพอ ความเห็นโทษในการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ กับความเข้าใจในเส้นทางเพื่อการหลุดพ้นอย่างถูกต้องต่างหาก คือใบรับประกันอันจริงแท้

ที่มา เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่ม ๕ บทส่งท้าย ระหว่างคำคมกับคำจริง
โดย ดังตฤณ


บาปมากไหมถ้าเลี่ยงการทะเลาะกับพ่อไม่ได้ (ดังตฤณ)

ถาม : ดิฉันมักจะทะเลาะกับคุณพ่อเสมอ ในหลายๆเรื่อง สาเหตุคือมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ซึ่งดิฉันก็เชื่อในความคิดของดิฉัน และทำให้ดิฉันถูกคุณพ่อว่าดิฉันว่าเป็นเด็กก้าวร้าว ไม่เคารพท่าน ทำให้ท่านต้องโมโหอยู่เสมอ ทั้งที่บางครั้งดิฉันเพียงแค่ต้องการอธิบายเหตุผลของดิฉัน แต่ท่านก็ไม่ฟัง ดิฉันจะบาปมากไหมคะ

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๗

ดังตฤณ: 
ถามว่าบาป ‘มาก’ ไหม? ตอบว่าไม่มากครับ เพราะตั้งต้นขึ้นมาคุณไม่ได้จงใจทำให้ท่านโมโห แค่ต้องการอธิบาย

ถามว่า ‘บาป’ ไหม? ต้องดูว่าขณะที่คุณพยายามอธิบายนั้น จิตเจืออยู่ด้วยโทสะหรือเปล่า หากรู้สึกขัดเคือง ขุ่นข้อง หรือหมองใจ ก็เป็นบาปทางใจ หากพูดจาด้วยถ้อยคำทิ่มตำ หรือใช้น้ำเสียงกระแทกหู ก็เป็นบาปทางปาก หากลุแก่โทสะถึงขนาดผลัก กระชาก หรือแม้บีบข้อมือพ่อแม่ในอาการเค้นคั้น ก็เป็นบาปทางกาย

ในทางกลับกัน ถ้าถามว่าทะเลาะกับพ่อแม่มีสิทธิ์ ‘ได้บุญ’ ไหม? ตอบว่ามีครับ ถ้าเจตนาตั้งต้นคือหวังดี หวังให้ท่านเกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม แต่บุญนั้นจะเจืออยู่ด้วยบาปมากน้อยเพียงใดก็ต้องดูที่แนวคิดวิธีนำเสนอว่าฉลาดหรือทื่อ ดูที่วิธีเลือกใช้คำว่าสุภาพเป็นเหตุเป็นผลเพียงใด ดูที่กิริยาว่าอ่อนน้อมเคารพหรือแข็งกระด้าง

ลูกสาวที่ทะเลาะกับพ่อนะครับ ผมเห็นรายไหนรายนั้น จะมองว่าพ่อเป็นคนแก่หัวดื้อ ไร้เหตุผล ทิฐิมานะแรง ไม่น่าเคารพเลื่อมใส ทำไมเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจ อยากจะบ้าตายเหลือเกิน

ส่วนพ่อที่ทะเลาะกับลูกสาว ก็จะเห็นลูกเป็นเด็ก อวดฉลาด ถือดีน่าหมั่นไส้ ข้าทำให้เอ็งมีตัวมีตนขึ้นมาจากสภาพวุ้น ข้าเลี้ยงเอ็งมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย หนอยแน่ริอ่านจะอบรมสั่งสอนข้า อะไรทำนองนั้น

พอเป็นพ่อเป็นลูกกันแล้วมองกันแบบนี้นะครับ มันก็มีเหตุให้ทะเลาะกันเรื่อยแหละ แล้วก็ลงเอยเป็นความรู้สึกเดิมๆ เหมือนพายเรือในอ่าง เดินทางในวังวนไม่สิ้นสุด

ผมว่าอย่าเพิ่งห่วงเรื่องบาปหรือไม่บาปเลย ห่วงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่ผูกกันแบบ ‘ทั้งรักทั้งแค้น’ จะดีกว่า นี่จะเป็นกรรมที่ทำให้ภาพรวมระหว่างคุณกับพ่อกะดำกะด่าง ทั้งรัก ทั้งห่วง แต่ก็รู้สึกไม่ดีต่อกัน ไม่ใช่ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกที่ขาวสะอาดในความรู้สึกส่วนลึก ถ้าชาติหน้าพบกันอีกก็ย่อมบันดาลให้เกิดเรื่องครึ่งรักครึ่งแค้นอีก


อย่างไรก็ตาม แม้ทำให้ท่าน ‘ถูกใจ’ ก็อาจมีมลทินได้อีกเช่นกัน เช่นเห็นท่านเชื่ออะไรผิดๆ หรือไปนับถือสำนักสิบแปดมงกุฎที่ชอบต้มตุ๋นชาวบ้าน ถ้าคุณดูดาย ปล่อยให้ท่านเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ เป็นพวกเดียวกับมิจฉาทิฏฐิไปเรื่อยๆ อันนี้ก็เฉียดกันนิดเดียวกับการเป็นลูกอกตัญญู ทำนองเดียวกับรู้ทั้งรู้ว่าพ่อแม่ตาไม่ดี เดินลงน้ำมีสิทธิ์จม แทนที่จะร้องห้ามหรือยื้อยุดฉุดดึงเต็มกำลัง กลับหันหน้าไปทางอื่นและบอกตัวเองว่าธุระไม่ใช่ ท่านอยากเดินทางนั้นก็เป็นกรรมของท่าน

แม้ช่วยไม่ได้ แต่อย่างน้อยพยายามช่วยเต็มที่ ก็ถือว่ามีความกตัญญูต่อท่านแล้ว

เวลาเจอญาติผู้ใหญ่ไม่มีเหตุผล แม้ฟังคำอธิบายดีๆก็หงุดหงิดเกรี้ยวกราด คุณได้ข้อสอบข้อใหญ่ที่ท้าทายปฏิภาณและความฉลาดในกรรมเป็นอย่างยิ่งเชียวครับ ขอให้จำไว้ว่าไฟจะดับไม่ได้ด้วยไฟ ต้องดับด้วยน้ำ

ในที่ที่เหตุผลไร้ค่า หาประโยชน์มิได้ จงนึกให้ออก ว่าจิตที่สงบ มีสติ และเปี่ยมด้วยเมตตาเป็นอย่างไร เพราะความเงียบอันเกิดจากจิตที่สว่าง เกิดจากความมีสติ และเกิดจากความมีเมตตาเท่านั้น จะเป็นทางออกสุดท้ายเสมอ หากฝึกตั้งจิตไว้ถูก คุณจะสามารถหยุดท่านได้ด้วยความเงียบครับ กุศลจิตของคุณจะสะเทือนในทางดีไปถึงจิตของท่าน ละลายความคิดด้านร้ายของท่านลง

การพยายามเอาชนะด้วยเหตุผล หรือแม้การทำให้พ่อแม่รู้สึกพ่ายแพ้ต้องยอมจำนนลูกนั้น ไม่เคยเป็นทางออกที่สวยงามสำหรับใคร หากคุณมีศิลปะในการหยุด มีศิลปะในการถอย และมีศิลปะในการรุก คุณจะทำให้ทุกฝ่ายชนะได้โดยปราศจากการสูญเสีย


สรุปคือขอให้จำไว้อย่างแม่นยำข้อเดียว ในสถานการณ์ลำบากนั้น ถ้าจิตประกอบด้วยเมตตา ไม่เจือด้วยโทสะ เมื่อคิดจะเป็นบุญเสมอ เมื่อพูดจะเป็นบุญเสมอ เมื่อทำจะเป็นบุญเสมอ บุญจะเป็นที่มาของความฉลาดจัดการกับสถานการณ์ยากลำบากทั้งหลาย ส่วนบาปแม้เพียงด้วยความคิดจะลวงให้คุณเห็นแต่ทางตันครับ



วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

แฟนนับถือต่างศาสนา ทำอย่างไรให้เขาเปิดใจยอมรับเรา

ถาม : ดิฉันแต่งงานกับคนต่างชาติที่มิได้ศรัทธาในศาสนาพุทธ แม้ไม่ขัดขวางแต่ก็ไม่สนับสนุน เพราะกลัวเราจากไป เราจึงต้องแอบทำเงียบๆ จะถือเป็นวิบากที่เราอาจเคยไม่สนับสนุนคนอื่นมาก่อนหรือไม่? ดิฉันไม่คิดเปลี่ยนศาสนาของสามี แต่อยากให้เขาเปิดใจให้เรามากกว่านี้ ขอบคุณค่ะ

ดังตฤณ:
วิธีที่จะทำให้เขาเปิดใจ ก็คือต้องหาให้เจอว่าใจเขาอยู่ที่ไหนก่อน เขาน่าจะสนใจเรื่องไหน ก็เอาเรื่องนั้นมาโยงกับหลักธรรมในศาสนาพุทธ ถ้าคุณเข้าใจหลักธรรมอย่างถ่องแท้ คุณจะสามารถพูดธรรมะได้โดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำว่าธรรมะ แต่จะสามารถให้เหตุผลได้เหมือนคนพูดกันธรรมดาๆ แต่ที่ไม่ธรรมดาคือเมื่อทำให้คนฟังเข้าใจแล้ว เขาจะเข้ามาอยู่ในขอบเขตอันปลอดภัยของธรรมะอันเป็นกุศลโดยไม่รู้ตัว

ผมเคยผิดพลาดมาครั้งหนึ่ง คือคุยกับฝรั่งเกี่ยวกับเรื่องที่เขากำลังสนใจ คือวิธีควบคุมความโกรธ เพราะเขาเป็นประเภทโกรธแล้วลุยท่าเดียว เขาเห็นโทษ เห็นความเสียหายอันเกิดจากความโกรธมามิใช่น้อย เพราะฉะนั้นเมื่อหัวข้อการสนทนาคือการควบคุมความโกรธ หรืออย่างน้อยบริหารความโกรธให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมได้บ้าง ก็เป็นสิ่งที่จับความสนใจเขาได้ในขณะนั้น

แต่พอคุยไปคุยมา เขาเอะใจว่าผมนับถือศาสนาไหน พอรู้ว่านับถือพุทธ เขายิงคำถามเลยว่ายูเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ไหม? เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดไหม? ผมก็ตอบแบบไม่ทันดูลาดเลาว่าเชื่อ และไม่ใช่การเชื่อส่งเดชนะ แต่มันเป็นทำนองเดียวกับยูเชื่อว่าภาพยนตร์สักเรื่องมีอยู่จริงๆก็เมื่อยูไปดูมาแล้ว เห็นเหตุเห็นผล เห็นว่าต้นเรื่องปลายเรื่องเป็นอย่างไรมาแล้ว ไม่ใช่ฟังเขาว่าจะมีๆ หรือกระทั่งเห็นแค่หนังตัวอย่างสั้นๆ โดยไม่ทราบเค้าโครงเรื่องหรือเหตุผลต้นปลายอะไรเลย ไอเลือกที่จะเป็นชาวพุทธที่รู้เหตุรู้ผลแบบประจักษ์จริง ไม่อย่างนั้นไอก็ไม่เชื่ออะไรสักอย่าง

ผมอุตส่าห์พูดเป็นคุ้งเป็นแคว แต่เขาเพิกเฉย เพราะเพียงคำว่า เชื่อคำเดียว ก็เบรกเขาไว้แล้ว ทำให้เขาหยุดฟังอะไรๆทั้งหมดแล้ว เนื่องจากพื้นเพศรัทธาของเขาจะออกแนวโลกนี้มีแต่วัตถุ เมื่อวัตถุแตกสลาย ทุกสิ่งก็ดับหายตามไป ฉะนั้นใครเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ชาตินี้ชาติหน้า เขาถือว่าโง่บรมหมด น้ำหนักคำพูดหรือเหตุผลใดๆทั้งหลายที่ตามหลังความเชื่อชนิดนี้มา จะมีค่าเป็นศูนย์ทันที ไม่ฟังอะไรต่ออีกเลย

คนบางคนเริ่มจากการบรรยายความสุขในการปฏิบัติธรรมของเราให้เขาฟัง เขาก็คล้อยตามและอยากสุขบ้าง แต่คนบางคนเขาถูกล้อมกรอบให้มีอคติกับชาวพุทธเป็นทุน ก็จำเป็นต้องเริ่มจากปัญหาของเขา ถ้าเราเสนอแนวทางแก้ปัญหาของเขาได้ด้วยวิธีแบบพุทธ เช่นอุบายกำจัดความโกรธ หรือแนวคิดเพื่อพบประโยชน์อันเป็นที่สุดของตนเอง อะไรก็ได้ที่เขาน่าจะสนใจ ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อม


พูดง่ายๆว่าคุณในฐานะภรรยาผู้ใกล้ชิด ต้องทราบว่าแง่มุมไหนของพุทธศาสนาที่เขารับได้หรือไม่ได้ หากค่อยๆพูด ค่อยๆคุยกันให้เกิดความเข้าใจ คุณก็จะทราบว่าศาสนาของเราเปิดใจคนได้ทุกประเภท อยากรู้เรื่องอดีตอนาคตที่มองไม่เห็น อยากรู้เรื่องปัจจุบันที่จับต้องได้ ก็ป้อนให้เขาอย่างตรงจุด เมื่อเขาเปิดใจ เมื่อเขาศรัทธา เขาจะสนับสนุนคุณทุกประการครับ

ถ้าแฟนเป็นคนต่างศาสนาจะอยู่กันให้รอดได้ไหม (ดังตฤณ)

ถาม : แฟนเป็นคนต่างศาสนา ค่อยๆตะล่อมดิฉันให้ไปโบสถ์ด้วยกัน แล้วตามมาด้วยการอ่านพระคัมภีร์ จากนั้นก็เริ่มแสดงท่าไม่พอใจหากดิฉันไม่ค่อยกระตือรือร้น สิ่งที่อยากถามคือตามหลักของกรรมวิบากแล้ว เป็นไปได้ไหมคะที่ทำบุญร่วมกันมา มาพบกัน รักกันอีก แต่เป็นคนต่างศาสนา

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑๑

ดังตฤณ: 
พระพุทธเจ้าตรัสว่าองค์ประกอบของรักแท้ที่ตั้งมั่น ได้แก่ศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา หากมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบถ้วนบริบูรณ์ พึงหวังว่าจะครองรักกันตลอดชาตินี้ และได้ไปพบกันอีกในชาติต่อๆไป แต่หากองค์ประกอบข้อใดข้อหนึ่งพร่องไป ก็ไม่อาจเป็นประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นทั้งปัจจุบันและอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าขึ้นต้นมามีศรัทธาต่างกัน ก็นับว่าขาดองค์ประกอบระดับหัวหน้าของรักแท้ไปแล้ว

ศรัทธาในหลักการดำเนินชีวิต หรืออารมณ์ทางศาสนาของคนเรานั้น มีอยู่สองประเภทใหญ่ๆ หนึ่งคือเข้ามาเต็มตัวถอยยาก สองคือครึ่งๆกลางๆพร้อมจะถอย หากต่างฝ่ายต่างมีศรัทธาที่ตั้งมั่นแล้วไปคนละทิศทาง โอกาสจะครองรักด้วยกันได้ตลอดรอดฝั่งคงยาก ไม่ต้องพูดถึงว่าชาติหน้าจะกลับมาพบกันอีกหรือไม่

ในความเป็นจริง ไม่ว่าคนของศาสนาไหน มักมาได้แค่ต้นทางหรือครึ่งทาง หมายความว่าศรัทธายังอาจกลับเปลี่ยน หากมีเหตุผลทางความคิดหรือเหตุผลทางอารมณ์แรงพอ ก็พร้อมจะถอย เช่นถ้าอำนาจความรักแรงเกินความศรัทธาในหลักศาสนาเดิม ก็พร้อมจะโอนอ่อนผ่อนตาม ติดตามไปทำบุญตามความเชื่อของคนรักได้เสมอ

เมื่อตามใจคนรัก บางทีก็อาจเห็นข้อดี บางทีก็อาจไปคลิกเข้ากับวาทะเด็ดประจำศาสนา แล้วเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาจริงๆ อยากประพฤติปฏิบัติตนตามที่เห็นดีเห็นงามจริงๆ อันนั้นก็เป็นอันจบปัญหา ศรัทธาลงกัน ก็เหมือนเริ่มต้นดี เมื่อเริ่มต้นดี ความรักก็ได้ใบรับประกันความเจริญงอกงามไปกว่าครึ่ง

คนเราลงถ้าศรัทธาต่างกันเสียแล้ว แม้รักกันก็มองอะไรๆต่างกัน และเมื่อมองอะไรต่างกัน อยู่ด้วยกันนานๆก็ไม่มีตัวเชื่อมใจให้เข้าถึงกัน ความดึงดูดระหว่างเพศหรือความวาบหวามอันเกิดจากฤทธิ์ของบุญเก่าใดๆที่ทำร่วมกันมา ก็ย่อมจืดจางลงตามกาล ความรักมักมีอายุไม่ยืนก็เพราะความต่างกันนี่แหละ

อย่าไปคิดถึงคำพูดสวยๆ ทำนองว่าความรักไม่ต้องการสายตาที่ตรงกัน แต่ต้องการหัวใจเป็นอันเดียวกัน ปรัชญาแสนหวานทำนองนี้จะติดตรึงใจแค่ไม่นาน ชีวิตคู่อันเต็มไปด้วยแรงกระทบกระแทกทางความเชื่อต่างหากที่อยู่กับคุณจริง และจะทำให้คุณระอากับความขัดแย้งทางความคิดมากขึ้นทุกวันครับ