วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๔๒. เคล็ดวิชาพยากรณ์กรรม)

ตอนที่ ๔๒. เคล็ดวิชาพยากรณ์กรรม


หลังจากสนทนาสารพัดข้อจิปาถะอีกครู่ใหญ่ อุปการะก็ขอให้ลานดาวกลับ เพราะมีนัดกับแขกสำคัญรายหนึ่ง ทีแรกลานดาวค่อนข้างแปลกใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรไม่เคยได้ยินอาจารย์เรียกใครว่า ‘แขกสำคัญ’ สักที แต่แล้วเมื่อกราบลาอาจารย์เดินออกจากตัวบ้าน มาถึงโรงรถก็ได้ทราบว่าวีไอพีของอาจารย์คือใคร

“เฮ้! โจ๊ก!”

เห็นเขาแต่ไกล ไม่พบกันนาน หน้าตาท่าทางนนทกานต์เปลี่ยนไปมาก ชายหนุ่มเดินยิ้มเข้ามาหาและโบกมือทักทายเพื่อนเก่า

“ว่าไง! จ๊ะ”

“โอ้โห! อาจารย์บอกว่ามีนัดกับแขกสำคัญ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ”

ชายหนุ่มเบิกตาเล็กน้อย เมื่อทราบว่าอุปการะยกย่องตนเป็นคนสำคัญก็มีท่าทีภาคภูมิใจ

“อาจารย์ประชดด้วยการกลับดำให้เป็นขาวมั้ง ช่วงหลังนี้โจ๊กมารบกวนท่านบ่อย”

“จ๊ะว่าอาจารย์ไม่พูดเล่นหรอก เพิ่งเอ่ยปากไล่แขกกระจอกอย่างจ๊ะกลับ บอกว่าต้องเตรียมต้อนรับแขกสำคัญ กำลังจะน้อยใจอยู่ทีเดียวนะเนี่ย” แล้วหล่อนก็ทำตาวาว“หลายเดือนก่อนพี่เอินเล่าให้ฟังว่าเจอเธอที่นี่ ยังบอกเลยว่าหน้าตาอิ่มบุญขึ้น จ๊ะไม่นึกว่าจะเข้าขั้นผ่องใสราวกับพระอย่างนี้ เอ๊ะ! หรือว่า…”

ด้วยความเป็นคนมีสังหรณ์แม่น ทำให้ลานดาวค่อนข้างมั่นใจที่จะทัก

“เธอกำลังจะบวช?”

นนทกานต์กะพริบตาสองสามทีแล้วเบนหน้าไปทางอื่น

“จ๊ะสบายดีหรือ?”

“ก็เรื่อยๆ ถ้าวัดกันแล้ว จ๊ะคงสุขได้ซักแค่ครึ่งเดียวของโจ๊กมั้ง”

หญิงสาวหมายความตามนั้น เดี๋ยวนี้หล่อนชั่งน้ำหนักความสุขเก่ง นนทกานต์ผ่อนลมหายใจแช่มช้าสม่ำเสมอเยี่ยงผู้ที่หายใจเป็น และมีความสุขอยู่กับลมหายใจของตนเองตลอดเวลา

“ตอนนี้จ๊ะดังระดับประเทศแล้ว ก็น่าจะมีความสุขระดับประเทศนี่ มาบอกว่าสุขแค่ครึ่งหนึ่งของคนต๊อกต๋อยอย่างโจ๊กได้ยังไง”

ลานดาวหัวเราะ มองเพื่อนหนุ่มด้วยความรักสนิทลึกซึ้ง

“โจ๊กคะ จ๊ะอยากขอบคุณโจ๊กมานานแล้ว”

หล่อนพนมมือไหว้เพื่อนชายวัยเดียวกันด้วยใจระลึกถึงบุญคุณจากก้นบึ้ง ประกอบกับความอ่อนน้อมที่ฝึกเป็นนิสัยในระยะหลังจนสามารถไหว้ใครก็ได้ ส่วนนนทกานต์เมื่อเห็นแล้วงุนงงจนรับไหว้ไม่ถูก

“เรื่องอะไรกัน?”

ริมฝีปากหญิงสาวคลี่ออกเป็นยิ้มเย็น หล่อนผินหน้าชำเลืองแลไปรอบด้านที่ปรากฏเป็นตึกรามบ้านช่องกลางแสงอาทิตย์ พลางเอ่ย

“เดี๋ยวนี้จ๊ะเห็นโลกต่างไป เหมือนเรากำลังยืนอยู่ในเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ที่ทุกคนและทุกสิ่งเป็นองค์ประกอบละครกรรมวิบากของกันและกัน กรรมเป็นใหญ่ เป็นประธานในการสร้างเหตุการณ์สารพัด แม้ปราศจากเมฆฝน ฟ้าก็ผ่าลงมาตรงที่จ๊ะยืนได้เดี๋ยวนี้ถ้ามีกรรมอันสมควรให้โดน”

นนทกานต์หัวเราะมองฟ้า

“เอาล่ะซี พูดซะเราหนาวๆร้อนๆเลยเนี่ย”

“ถ้าไม่มีโจ๊ก จ๊ะก็คงไม่ได้มาพบกับอาจารย์ การมีอาจารย์ที่สามารถชี้ทางถูกทางชอบให้เราได้ ก็คือรุ่งอรุณของความเจริญ ข้างหน้าจะได้ดีมีสุขก็เพราะประกอบกรรมอันเป็นกุศลอย่างถูกต้อง ชีวิตนี้ถือว่าจ๊ะติดหนี้โจ๊กครั้งหนึ่งแล้วนะ”

ชายหนุ่มยิ้มกว้าง ส่ายหน้าเล็กน้อย

“เราพาจ๊ะไปพบอาจารย์คราวนั้นก็ด้วยเจตนาแอบแฝง คือแค่หวังควงจ๊ะเที่ยวก็หาอุบายล่อใจด้วยการพาไปดูหมอ ไม่ใช่เจตนาพาไปพบกับทางสว่างแต่อย่างใดเลย เพราะฉะนั้นขออย่าได้ถือเป็นบุญคุณอะไร โจ๊กมีแต่ต้องขอแสดงความยินดีกับการเลือกเดินอยู่บนทางมงคลของจ๊ะเท่านั้น”

ลานดาวยิ้มหวาน

“เอาเป็นว่าจ๊ะขอขอบคุณโจ๊กสุดหัวใจนะคะ… ว่าแต่ถามจริงๆ โจ๊กกำลังตั้งใจจะบวชหรือ?”

เพื่อนหนุ่มกระแอมเล็กน้อย ก่อนใช้ภาษากายตอบด้วยการพยักหน้ารับเหมือนไม่ใคร่เต็มใจเอ่ยผ่านปากผ่านคำเท่าใดนัก

“อนุโมทนาค่ะ”

หล่อนยกมือไหว้ท่วมศีรษะ กิริยาที่เจือด้วยการแสดงความเคารพของลานดาวทำเอาชายหนุ่มยืนเก้อๆชอบกล ไม่ทราบควรโต้ตอบอย่างไรถูกก็อ้อมแอ้ม

“เอ้อ… ขอบใจ”

“ตั้งใจจะบวชนานแค่ไหน?”

“ก็คง… ไม่รู้ซี คงบวชไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดบุญในผ้าเหลืองมั้ง”

“นึกแล้วเชียว… จ๊ะขอไปร่วมงานบวชด้วยคนนะคะ”

คาดหมายว่าฝ่ายนั้นจะรับคำง่ายๆ ตั้งใจว่าให้เขาบวชไกลแค่ไหน หล่อนติดธุระสำคัญปานใด ก็จะดั้นด้นติดตามไปในวันบวชให้จงได้โดยไม่เห็นความสำคัญของสิ่งใดอื่น

“อย่าเลย”

เขาปฏิเสธด้วยเสียงสงบ ทำให้ลานดาวผงะเล็กๆ

“ทำไมล่ะ?”

นนทกานต์ถอนใจ ก้มหน้าผายมือทั้งสองข้างอย่างจะสารภาพ

“เพิ่งรู้ตัวว่าทุกวันนี้โจ๊กยังทำใจตัดจ๊ะไม่ได้เด็ดขาดเสียที ทั้งที่เหมือนลืมๆมาตั้งนานแล้ว จ๊ะคงไม่เข้าใจหรอก เห็นจ๊ะแล้วยังเหมือนถูกเข็มแทงตามเดิม โจ๊กอยากบวชด้วยความรู้สึกสงบนิ่ง ไม่อยากฟุ้งซ่านซัดส่ายเพราะเจอรูปเสียงของจ๊ะอีก เราควรทำตัวเหมือนตายจากกันไปเลยดีกว่า”

ลานดาวรับฟังด้วยความเสียใจยิ่งในวูบแรก แต่แล้วเมื่อหยั่งซึ้งถึงเจตจำนงแน่วแน่ที่จะเป็นภิกษุสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากเยื่อใย ปราศจากความอาลัยไยดีในโลกแม้น้อยเท่าน้อย หล่อนก็เปลี่ยนจากความน้อยใจเป็นเข้าใจได้แทน

ยืนกัดมุมปากล่างข้างหนึ่ง สำรวจตนเอง เห็นในช่องอกยังถูกบีบคั้นจากแรงแห่งความเศร้าสร้อยอาลัย แม้เขาก้มหน้ากล่าวคล้ายคนหมดท่า แต่ทุกถ้อยคำกลับเปล่งออกมาด้วยน้ำหนักสติของคนที่รู้ว่ากำลังทำอะไร ต้องการสิ่งใด และปฏิเสธคำขอใครๆด้วยเหตุผลส่วนตัวข้อไหน นั่นทำให้เกิดความรู้สึกชื่นชม ขณะเดียวกันก็เสียดายที่ชาตินี้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายเดียว ไม่เคยมีโอกาสช่วยเหลือเกื้อกูลเขาบ้างเลย และคงไม่แม้กระทั่งจะได้ไปใส่บาตรสักครั้ง…

โอกาสเดียวที่อาจมีบ้าง คือเมื่อเขาขอบวชอย่างสงบ ไม่อยากพบเจอหล่อนอีก หล่อนก็จะช่วยเขาด้วยความบริสุทธิ์ใจเสียเดี๋ยวนี้

“ก็ได้ค่ะ เราจะไม่เห็นหน้ากันอีก ขอให้หลวงพี่ปฏิบัติธรรมโดยปราศจากอุปสรรค และจงพบพระนิพพานในกาลปัจจุบันด้วยเถิด”

ยกมือไหว้เขาอย่างสวยที่สุดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนเบี่ยงกายก้าวเดินด้วยจังหวะที่มั่นคงจากไป นนทกานต์กลับหลังหันมองตามเพื่อนสาว เกือบพลั้งปากเรียกรั้งไว้ก่อนเพื่อเอ่ยขอโทษที่อาจทำให้หล่อนขุ่นข้อง แต่เมื่อเห็นลานดาวเปิดประตูรั้วก้าวผ่านเขตบ้านไปโดยสงบก็ยั้งปาก ทำใจตามวาจาที่ลั่นไว้

ทำตัวเหมือนตายจากกัน…

ภาพลานดาวหันหลังเดินห่างไปเรื่อยๆจนลับตาเป็นสิ่งงดงามละมุน และควรเป็นภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นหล่อนในชาตินี้


ภายในห้องรับแขกของบ้านโหราจารย์ผู้ทรงฤทธิ์ ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เมื่อเห็นผู้อาวุโสนั่งรออยู่ก็พนมมือไหว้

“สวัสดีครับอาจารย์”

“อือ… สวัสดี ทำไมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อย่างนั้นล่ะ?”

อุปการะถามทั้งที่รู้ดีอยู่แล้ว นนทกานต์ฝืนยิ้มแห้งแล้งอย่างจะขอกำลังใจ และเอ่ยตอบแบบเปิดอกไม่อำพราง เพราะทราบดีว่าต่อให้โกหกเก่งเท่านักจารกรรมระดับโลกก็หลอกอาจารย์ของตนไม่สำเร็จ

“เมื่อกี้ตอนเข้ามาเดินสวนกับจ๊ะ เพิ่งรู้ตัวว่ายังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่มากครับ”

ผู้เป็นอาจารย์ยิ้มนิดหนึ่ง

“จะบวชอยู่แล้ว เจอเครื่องทดสอบใจหน่อยเดียวยกธงขาวเลยเหรอะ?”

“เปล่าครับ แต่… ตอนนี้ผมไม่ทราบจะทำอย่างไร เหมือนคนถูกเข็มแทง สะดุ้งจนเบลอ ไม่ทราบควรเลือกยาขวดไหน”

อุปการะหัวเราะเอื่อยๆ

“รูปเหมือนเข็มแทงตา เสียงเหมือนเข็มแทงหู อันนั้นก็จริงอยู่ แต่ใจที่คิดถึงผู้หญิงน่ะ ไม่เหมือนเข็มแทงตัวเองหรอก มันแค่ออกอาการแด่วดิ้นทุรนทุรายไปเองโดยไม่จำเป็น ผู้หญิงเขาไปตั้งไกลแล้วยังดิ้นปั้ดๆอยู่นั่น นี่แหละ… ฉันถึงว่าพอความรักโผล่ ความโง่ก็แพลม เห็นจากจิตเลยนะว่าความโง่เป็นเงาตามความรักมาจริงๆ”

นนทกานต์ยังก้มหน้านิ่งด้วยความสลดและเห็นจริง

“ครับ”

“สตรีคือศัตรูของพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าสำหรับผู้ถือบวช ไม่เจอสตรีเลยดีที่สุด อันที่จริงฉันไล่เขากลับก่อนเวลานัดกับเธอตั้งครึ่งชั่วโมง เธอก็ดันมาก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเสียนี่!”

ชายหนุ่มหัวเราะแผ่ว

“คงเป็นดวงผมที่ต้องเจอบทพิสูจน์น่ะครับ อันที่จริงผมลืมๆเลือนๆจ๊ะมาพักใหญ่ ยิ่งพอมาใฝ่ใจคิดเอาดีทางนี้ ก็ยิ่งเหมือนตัดขาดได้หมด ถึงรู้ว่าเขาดัง ถึงทราบว่าเขาออกรายการทีวีวิทยุไหนๆก็ไม่ติดตาม ไม่สนใจอยากดูเลย… แต่พอเจอตัวจริงทีเดียว พิษความอาลัยไหลย้อนกลับเข้าหัวใจหมด”

“อย่างนี้แหละ เป็นธรรมดา คนเราอยากทวนกระแส ตั้งใจทำอะไรดีๆ จะมีบทพิสูจน์มาลองใจว่าผ่านไหวหรือไม่ไหว ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วทุกอย่างสำเร็จง่ายดายทันทีโดยไม่มีข้อสอบ ทุกคนคงผ่านขึ้นสวรรค์และเข้านิพพานกันหมด แต่เพราะเจอข้อสอบแล้วไม่ผ่าน ถึงมีมนุษย์ที่ตายไปสู่สุคติได้น้อยเต็มทน”

ชายหนุ่มยิ้มซึม

“ครับ ผมจำได้ดี อาจารย์เคยสอนว่าคนเราเกิดมาเพื่อสอบไล่ไปเรื่อยๆ”

“ถ้าเธอบวชด้วยความตั้งใจปฏิบัติจริงไม่ย่อท้อ คราวนี้อาจหมายถึงการสอบไล่ครั้งสุดท้าย”

นนทกานต์ได้ยินเช่นนั้นก็ใจชื้นขึ้น และนึกถึงวันบวชด้วยใจปรีดา แต่อีกทางหนึ่งเหมือนรู้สึกถึงรูโหว่อันเป็นภายใน ยอมรับกับตนเองด้วยความทรมานใจว่าการพบลานดาววันนี้อาจมีผลให้ฟุ้งซ่านยืดเยื้อขึ้นมาอีก หล่อนมีรัศมีฉายจับตาจับใจกว่าเดิมหลายเท่า เขาคงเก็บไปฝันอีกนาน ในที่สุดก็ยอมหมดท่า เอ่ยถามผู้เป็นอาจารย์ตรงๆโดยไม่เกรงจะถูกหาว่าจนป่านนี้ยังเหมือนไก่อ่อนสอนขัน

“อาจารย์ครับ ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองยังไม่น่าไว้ใจเลย ถ้าคิดถึงจ๊ะขึ้นมาอีกแล้วสลัดเขาออกจากหัวไม่ได้ ควรทำอย่างไรดีครับ ผมอยากปล่อยวางเขาให้ได้เร็วๆ?”

อุปการะมองลูกศิษย์หนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เธอต้องแม่นหลักปฏิบัติกว่านี้อีกนิดหนึ่ง ตราบใดยังอยาก ตราบนั้นเธอยังไม่เริ่มปฏิบัติหรอก แม้จะเป็นความ ‘อยากปล่อยวาง’ ก็ตาม”

คำตอบของอาจารย์ทำให้นนทกานต์รู้สึกตัวว่ากำลังทุรนทุราย หาได้มีเหตุปัจจัยอันถูกต้องให้เกิดความปล่อยวางไม่ พอเห็นอาการดิ้นรนคันอกคันใจชัดโดยไม่เพิ่มอัตราความอยากเข้าไปอีก จิตก็เหมือนสงบลงราบคาบได้อย่างน่าประหลาด

ได้ข้อสรุปประจักษ์ชัดอีกครั้ง ความอยากคือต้นเค้า ต้นเงื่อน ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง แม้ความอยากนั้นจะเป็นอยากสงบ อยากปล่อยวาง หรืออยากได้ดีได้เป็นใดๆก็ตาม ต่อเมื่อหยุดเอาใจไปผสมโรงกับความอยาก เมื่อนั้นจิตจึงสงบลงเอง เลิกกระวนกระวายเอง ปราศจากทุกข์ไปเอง

ชายหนุ่มถอนใจด้วยความโล่งอกผสมสังเวชตนเอง

“เรื่องตื้นๆแค่นี้ผมยังจับจุดไม่ถูกอยู่เลยนะครับ โง่เหลือเกิน”

“คนเราไม่ฉลาดเรื่องจิตของตัวเองกันง่ายๆหรอก” อุปการะปลอบอย่างมีเมตตา “จำไว้เถอะว่าการพยายามปล่อยวางวัตถุหรือบุคคลนอกตัวนั้น เป็นได้เพียงอาการแกล้งมอง แกล้งคิด ไม่ทำให้วางเฉยจริง ต่อเมื่อดูเข้ามาที่ใจ เห็นอาการทางใจที่ยื่นออกไปหาเรื่องข้างนอก แล้วทราบชัดว่าความหลงรักเป็นแค่อาการของจิต ไม่มีอะไรมากกว่ามายาของจิต ก็จะวางเฉยเสียได้”

นนทกานต์พยักหน้ารับทราบอย่างเต็มตื้น การรู้เข้ามาภายใน เห็นชัดว่าอาการยื่นออกไป อาการทะยานอยากแห่งใจนี้เองเป็นต้นตอที่แท้จริงของทุกข์ เมื่อวางเฉยกับอาการทางใจเสียได้ ก็ไม่ต้องดิ้นรนปล่อยวางสรรพสิ่งนอกตัวอีก เรื่องเหมือนง่ายเท่าเส้นผมบังภูเขา เรื่องยากคือทำอย่างไรจะเตือนตัวเองให้เห็นเข้ามาเช่นนี้ได้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น

“คิดแล้วชีวิตผมนี่ก็พลิกได้อย่างนึกไม่ถึงเลยนะครับ” เว้นวรรคหัวเราะเอื่อยอย่างผ่อนคลาย “เริ่มต้นจากการดูหมอโดยไม่นึกว่าจะเจอคนที่เป็นยิ่งกว่าหมอดู ตามมาด้วยการช่วยให้ผู้หญิงที่ตัวเองหลงรักเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคนโดยไม่ได้ตั้งใจ สุดท้ายคืออยากได้เคล็ดวิชาพยากรณ์กรรมของอาจารย์ อยากเอาดีเป็นหมอดูกรรมพยากรณ์เพื่อช่วยคนอื่นอย่างอาจารย์บ้าง ไปๆมาๆพอรู้ซึ้งว่าเคล็ดวิชาพยากรณ์กรรมก็คือเคล็ดวิชาดับทุกข์ของพระพุทธเจ้า เลยตกลงปลงใจบวชพระซะ นี่ปีก่อนต่อให้เป็นอาจารย์มาทำนายว่าผมจะอยากบวช ผมยังไม่เชื่อเลยนะครับ”

เขายังจำได้ดีถึงวันที่ขอวิชาจากหมอดูอุปการะแบบกล้าๆกลัวๆ ด้วยนึกในใจว่าวิชาของท่านอาจลี้ลับเป็นที่ปกปิดหวงแหนยิ่งยวด ประเภทไปเรียนมาจากเขมรหรือทิเบตซึ่งถ่ายทอดกันแบบหลบๆซ่อนๆตามซอกเขา และเหมือนศาสตร์ลับทั้งหลายที่มักสาบสูญไปพร้อมกับการตายของผู้สืบทอดที่รู้จริงเพียงหยิบมือเดียว เพราะกว่าจะคัดตัวผู้สืบทอดได้แต่ละคน ต้องรักและไว้ใจกันจริง พิสูจน์ความพร้อมเช่นพรสวรรค์ ฝีไม้ลายมือ ตลอดจนความอดทนแบบที่เห็นในนิยายจีนกำลังภายใน ที่สุดพอไร้ผู้สามารถสืบทอด วิชาก็มลายเลือนไปจากโลก

แต่ปรากฏว่านอกจากอุปการะจะไม่ปกปิดหวงแหนวิชาแล้ว ยังมีความกระตือรือร้น สอนเขาเดี๋ยวนั้นโดยไม่ต้องมีพิธีรีตองใดๆอีกด้วย เริ่มต้นตั้งแต่การให้ความรู้ว่า ‘ผลกรรม’ นั้นปรากฏแสดงอยู่ที่คุณภาพกาย ปรากฏแสดงอยู่ที่คุณภาพจิต ตลอดจนปรากฏแสดงอยู่ที่สิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์รอบตัว ดังนั้นถ้าตั้งต้นเอาสติเข้ามาดูกาย เอาสติเข้ามาดูจิต เอาสติเข้ามารู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน ไม่ปล่อยให้ความอยากครอบงำความรู้สึกนึกคิด ก็ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้สั่งสมความรู้ความเห็นเรื่องกรรมและวิบากเพิ่มขึ้นทีละน้อยไปเอง

การดูกายนั้น อุปการะสอนเขาให้รู้จักเหตุผลทางกายในวินาทีนี้ เช่นถ้าเหตุคือลมหายใจยาว ลากเข้าและระบายออกแช่มช้า เนื้อตัวจะสงบไม่กวัดแกว่ง ระงับความกระสับกระส่ายทั้งปวงได้ และมีไออุ่นเป็นที่สบายพอดี พูดง่ายๆคือธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมจะเกิดสมดุล เป็นสุขทางกายอยู่ในปัจจุบันด้วยสติรู้การหายใจอย่างถูกต้องเท่านั้น

ส่วนการดูจิต เขาได้รับการชี้แนะให้เห็นว่าเมื่อกายสงบนิ่งอยู่ในดุลเหมาะ จิตก็จะสงบระงับตาม และเมื่อจิตสงบระงับไม่กระสับกระส่าย กายก็ยิ่งนิ่งสบายไม่ไหวติงยิ่งๆขึ้น นี่ก็นับเป็นปรากฏการณ์ทางกรรมและวิบากที่เห็นได้เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอชาติหน้าหรือปีอื่น

ฝึกอย่างเข้มงวดอยู่ในการควบคุมและประกันความถูกต้องจากอุปการะประมาณ ๔ เดือน ทั้งนั่งสมาธิแบบหลับตา ทั้งกำหนดสติดูเหตุดูผลของกายใจในระหว่างวัน นนทกานต์ก็เริ่มแยกออกว่าคิดอย่างไรเป็นเหตุให้เกิดกุศลจิต คิดอย่างไรเป็นเหตุให้เกิดอกุศลจิต รวมทั้งเริ่มประมาณได้ถูกว่ากุศลก็มีน้ำหนักแตกต่างกันตามเหตุปัจจัยนานา โดยคร่าวคือยิ่งแช่มชื่นเบิกบานสว่างไสวนานเพียงใด ก็ยิ่งส่งผลกระทบหนักหน่วงมากขึ้นเพียงนั้น เริ่มจากคุณภาพของจิตที่คิดอ่านฉับไวและสว่างเป็นสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งสุขภาพกายที่โปร่งเบาคล่องแคล่วไม่ติดขัดคับข้อง

เมื่อเริ่มดูเหตุดูผลของรูปนามขั้นพื้นฐานเป็น อุปการะก็เริ่มสอนให้เขาดูกายดูจิตคนอื่นเหมือนกับที่สัมผัสรู้จากกายและจิตตนเอง นนทกานต์พบด้วยความประหลาดใจว่าใครๆในโลกช่างหมั่นเอาจิตไปแช่อยู่ในหนองน้ำแห่งความเศร้า หรือเอาจิตไปซุกอยู่ในป่ารกแห่งความเครียด โดยมีเหตุผลเพียงไม่รู้ว่าจะเอาจิตออกมาจากหนองน้ำแห่งความเศร้าหรือป่ารกแห่งความเครียดได้อย่างไรเท่านั้นเอง

เกือบทุกคนในโลกเป็นเหมือนกับที่อาจารย์เขาชี้ให้ดู คืออยากจะหายทุกข์หายโศก แต่กลับติดใจชอบสร้างเหตุแห่งความทุกข์โศกไม่เลิกรา แปลกแต่จริง เหลือเชื่อแต่เป็นไปแล้ว และเป็นมานานมากๆเสียด้วย

เมื่อเฝ้าสังเกตเหตุผลของรูปนามในตนและคนอื่นชำนาญขึ้น จิตของเขาก็เริ่มอยู่ในภาวะอุเบกขาได้เป็นปกติ เพราะเห็นว่าทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นไปตามเหตุผลที่สมควรอยู่แล้ว

เมื่อเขาทำสมาธิได้นิ่งนานกว่าเคย อุปการะก็ชี้ให้ดูสิ่งที่เห็นได้ยากขึ้น นั่นคือ ‘ภาพรวมของดวงจิต’ ในแต่ละคนมีน้ำหนักของกุศลหรืออกุศลอ่อนแก่กว่ากันอย่างไร และความสว่างความมืดอันเป็นปกติในจิตนั่นเอง ดลให้บุคคลคิดเรื่องดีบ่อยๆหรือเรื่องร้ายบ่อยๆ บันดาลให้เกิดความอบอุ่นใจหรือมีจิตแห้งผาก ตรงนั้นเองเขาจึงสามารถเห็นคนเป็นสองมิติได้ในเวลาเดียวกัน คือร่างข้างนอกที่แสดงโครงสร้างกรรมเก่า กับจิตใจภายในที่กำลังก่อร่างสร้างกรรมใหม่ๆ บางคนสอดคล้องกับของเดิม แต่ก็มีมากที่ขัดแย้งเป็นคนละเรื่อง เห็นชัดในคนรูปร่างหน้าตาดีๆ แต่มีจิตวิญญาณเหมือนปีศาจ

อุปการะสอนพื้นฐานต่างๆ เช่นให้เขาสัมผัสว่าคนไหนมีแนวโน้มคิดพูดชั่วๆใส่หูคนอื่นเป็นประจำ จะเห็นดวงจิตภายในของผู้นั้นปรากฏเป็นร่างหยาบ มืดมน และเต็มไปด้วยกระแสความวุ่นวาย สอดคล้องกับภพที่มากด้วยเหตุการณ์วุ่นวายทำร้ายจิตใจกันและกัน แล้วเปรียบเทียบกับคนที่มีแนวโน้มคิดพูดดีๆประโลมคนอื่นให้รู้สึกเย็น จะเห็นดวงจิตภายในของผู้นั้นปรากฏเป็นร่างละเอียด สว่างไสว และแผ่ความเย็นซ่าน สอดคล้องกับภพที่เปี่ยมด้วยไมตรีจิต

จากนั้นอุปการะช่วยป้อนกำลังหนุนให้จิตของเขาตั้งมั่นแน่วนิ่งถึงระดับหนึ่งชั่วคราว เพียงพอจะรู้เห็นทะลุเข้าไปว่าจิตแบบหนึ่งๆนั้น เหมือนมีสิ่งแวดล้อมอันเป็นภพเป็นภูมิสมตัวแสดงให้เห็นอยู่แล้ว ทำนายได้ทันทีว่าถ้าตายเดี๋ยวนั้นจะไปอยู่ไหน หรืออย่างน้อยประมาณถูกว่าช่องชั้นที่สมตัวควรต่ำหรือสูง ใกล้ชิดหรือห่างไกลมนุษยภูมิเพียงใด

นาทีที่เห็นดังนั้น นนทกานต์จึงตระหนักว่าภพมนุษย์ไม่ใช่ที่ตั้งของวิญญาณเพียงหนึ่งเดียว แม้ภาวะความเป็นสัตว์ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็เป็นภพที่ตั้งของวิญญาณนับอนันต์ อัตภาพของแต่ละภพภูมิเป็นเกณฑ์จำแนกกรรมระดับใหญ่สุด มนุษย์มีความละอายบาปอกุศลเป็นพื้นยืน มีความกระตือรือร้นในงานกุศลเติมเต็มความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์พร้อม ส่วนสัตว์ร้ายจะปราศจากความสะดุ้งกลัวหรือสะทกสะท้านกับกรรมชั่วทั้งปวง ชนิดฆ่าได้โดยไม่กะพริบ มีความเกียจคร้าน ปล่อยใจเหม่อลอย ไม่ยินดีกับความก้าวหน้าในกุศลทั้งปวงเป็นสิ่งหน่วงเหนี่ยวพวกมันไว้ในอบายภูมิ

แม้ในภูมิมนุษย์และภูมิสัตว์เองก็มีการจำแนกกรรมแยกย่อยละเอียดยิบ วิญญาณมนุษย์บางคนเข้าใกล้สัตว์หรือเลวกว่าสัตว์ ในขณะที่วิญญาณสัตว์บางตัวเข้าใกล้มนุษย์หรือดีกว่ามนุษย์ น้ำหนักของกรรมทางความคิด การเปล่งเสียงสื่อความ รวมทั้งการกระทำต่างๆนานานั่นเอง ก่อให้เกิดผลรวมเป็นความโน้มเอียงเข้าใกล้ภาวะความเป็นเช่นใด

จากการเห็นระดับพื้นฐาน นนทกานต์เริ่มได้แนวทางส่องสำรวจผลกรรมหลักๆเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นประสาคนธรรมดาคนหนึ่ง ว่าทำกรรมขาวอย่างนั้นหรือกรรมดำอย่างนี้ได้ผลอย่างไร ทำกรรมขาวระคนกรรมดำจะออกหัวออกก้อยท่าไหน กระทั่งถึงจุดหนึ่งย้อนกลับมาเห็นชัดว่าตนก็เป็นผู้หนึ่งที่กำลังเล่นเกมแห่งความไม่รู้ เกมแห่งความเสี่ยงผิดเสี่ยงถูก ยากจะพยากรณ์ว่าชาติไหนภพใดจะเคราะห์หามยามร้าย ก่อกรรมดำอันเป็นเหตุให้ต้องร่วงหล่นลงสู่อบายภูมิเข้าให้บ้าง เพราะกรรมดำส่วนใหญ่ไม่มีเครื่องหมายหรือป้ายบอกว่านี่ต้องห้าม กระทำแล้วจะเกิดความเสื่อม ความตกต่ำ หรือกระทั่งโศกนาฏกรรมทางวิญญาณ เกิดในภพไหนๆก็มีกิเลสคอยยั่วยุผลักดันให้ทำบาปทำกรรม นี่สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าถ้ามาดหมายจะเดินทางเกิดตายไปเรื่อยๆ ก็ไม่ใช่วิสัยเลยที่จะพ้นนรกได้ตลอดรอดฝั่ง

เมื่อตระหนักว่านรกมีจริง และไม่ใช่เพียงอุปมาอุปไมยเช่นสวรรค์ในอกนรกในใจ ความหวาดกลัวก็ดลให้นนทกานต์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับกรรมแซงหน้าผู้อื่น นั่นคือคำถามว่าด้วยกรรมอย่างไรจึงดับกรรมทั้งปวงเสียได้ และคำตอบที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นานนับพันปีมาแล้วก็คือ ‘กรรมไม่ดำไม่ขาว’ หรือปฏิบัติธรรมภาวนาจนจิตใสเหนือความขาวของกุศลและความดำของอกุศล

และวิถีทางของผู้ตั้งใจทำกรรมไม่ดำไม่ขาวก็คือวิถีทางของนักบวชในพุทธศาสนา…

เมื่อตกลงปลงใจแน่นอน รวมทั้งขออนุญาตพ่อแม่แล้วว่าจะบวช นนทกานต์ก็ได้รับคำแนะนำจากอุปการะให้ถอนการรู้เห็นกรรมของคนและสัตว์อื่นเสีย แล้วกลับเข้ามารู้เห็นความไม่เที่ยง ไม่น่าติดใจยินดีของกายใจเขาเอง ซึ่งเขาก็อุทิศเลือดเนื้อและวิญญาณทั้งหมดให้กับการฝึกรู้ฝึกดูตามแนวที่เรียกว่า ‘สติปัฏฐาน ๔’ นั้นเต็มกำลัง

เขาดำรงชีวิตในอีกแบบหนึ่ง เห็นโลกและตนเองในอีกมุมมองหนึ่ง สุขสงบและปราศจากเยื่อใยกระสันอยากประการต่างๆมาระยะหนึ่ง จนเริ่มชะล่าว่าเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลสแล้ว กระทั่งถึงวันนี้เอง จึงเพิ่งรู้ว่ากามไม่เคยทอดสายตาปรานีใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ประกาศตนอย่างอาจหาญว่าจะพยายามหนีให้พ้นเงื้อมมือเกาะกุมของมัน นักโทษที่เริ่มวิ่งหนีได้ไกลจะปรากฏเด่นเป็นพิเศษ และลากเอาผู้คุมขังมาไล่จับกลับด้วยเงื่อนไขพิสดารเกินคาด

ยกตัวอย่างเช่นวันนี้มาหาอาจารย์ด้วยความตั้งใจดี นึกว่ามาสู่เขตปลอดภัยจากการติดตามของกาม กลับกลายเป็นเจอของแข็งสุดยอดเข้าให้ในเขตบ้านอาจารย์นี่เอง!

เดี๋ยวนี้จิตของลานดาวปรากฏเป็นดวงวิญญาณโสภิตอาภาสมร่าง จึงบาดจิตยิ่งกว่าเดิมหลายขุม ยิ่งบวกเข้ากับความปฏิพัทธ์เดิมของเขาที่เคยรุนแรงอยู่แต่ก่อน ตบะบารมีธรรมจึงร่อแร่ว่าจะพังทลาย กระทั่งมานั่งแสดงอาการหมดท่าให้อาจารย์เห็นในนาทีแรก

แต่ก็ดีเหมือนกัน ตระหนักเสียแต่เนิ่นๆว่ายังไปไม่ถึงไหนไกล จะได้ไม่ทะนงตนผิดความเป็นจริง หลงนึกว่าแน่แล้ว แก่กล้าแล้ว เขาพบว่าการภาวนาเพื่อพ้นทุกข์นั้น นอกจากรู้หลัก นอกจากมีกุญแจสำคัญ นอกจากสั่งสมประสบการณ์มาช้านาน ยังต้องแม่นในวิธีกำหนดรู้เมื่อเผชิญปัญหาต่างๆอีกด้วย

นนทกานต์สำรวจใจตนเองว่ายังอ้อยอิ่งอาวรณ์ลานดาวอยู่แค่ไหน เขาพบว่าพอมีบ้าง แต่เหลือน้อยอย่างน่าประหลาดใจ เพียงเพราะเขาไม่ได้ทุ่มจิตใจผสมโรงเข้ากับความอาลัยหล่อน ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอยากขจัดความคิดถึงหล่อนทิ้ง แค่ยอมรับว่าคิดถึง แล้ววางเฉยเสียได้ว่านั่นแค่อาการหนึ่งของจิต ก็ไม่มีความกระสับกระส่ายติดตามมามากกว่านั้น คิดเมื่อใดก็รู้และวางเฉยเมื่อนั้น ไม่ว่ายืดเยื้อกี่ร้อยกี่พันหนก็ตาม

การระลึกถึงลานดาวขณะอยู่ต่อหน้าอุปการะทำให้นนทกานต์อดสงสัยไม่ได้

“อาจารย์ครับ วิถีชีวิตของจ๊ะเปลี่ยนไปอย่างมากก็ด้วยคำทำนายของอาจารย์ อย่างนี้เอ้อ… ไม่ถือว่าคำทำนายรบกวนระบบกรรมของจ๊ะหรือครับ?”

“ฉันแค่บอกเขาว่าทำกรรมแล้วต้องรับผลกรรม อย่างเช่นเขาลวงให้คนอื่นมามีความหวังกับความรักที่เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องประสบกับความรักที่เป็นไปไม่ได้คืนเข้าให้บ้าง หากฉันไม่บอก เขาก็จะไม่อาจโยงเองได้ถูกว่านั่นเป็นการสนองกรรมทันตาในชาติปัจจุบัน เมื่อผลกรรมแสดงตัวย่อมสูญเปล่า แต่นี่เพราะฉันพูดดักไว้ก่อน เมื่อผลกรรมแสดงตัวเขาถึงเริ่มเชื่อ และไม่ใช่เชื่อคำพูดของฉัน แต่เชื่อว่าวิบากกรรมมีจริง”

นนทกานต์พยักหน้าอย่างเข้าใจ อาจารย์ของเขาทำอาชีพพยากรณ์กรรมโดยไม่ล่วงละเมิดหรือก้าวก่ายกฎแห่งกรรม ไม่เคยบอกลานดาวตรงๆว่าจงระวังจะไปตกหลุมรักผู้หญิงด้วยกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอาชีพเป็นหมอ แต่บอกเป็นนัยเพียงว่ากำลังจะเสวยกรรมที่ไปหลอกคนอื่น และใบ้เพียงลักษณะว่าผมยาว สูงไล่เลี่ยกัน ซึ่งก็ทำให้ลานดาวไพล่นึกไปว่าเป็นหนุ่มใกล้บ้านเท่านั้น ชะตาชีวิตของหล่อนไม่ได้พลิกผันไปเพราะมีใครมาสับทางให้แต่อย่างใด หล่อนเดินมาตามทาง และพยายามเปลี่ยนทางด้วยกำลังใจอันเป็นกุศลของหล่อนเอง

“ขอเพียงรู้กฎแห่งกรรม ดวงดาวก็ทำอะไรเราไม่ได้เลยใช่ไหมครับ?”

“ก็ทำได้ในแง่ส่งอิทธิพลคุมรูปชะตา แต่ละคนมาตกอยู่ในร่องชะตาอย่างนั้นอย่างนี้ก็ด้วยกรรมเก่า ถ้าเราเรียนรู้ว่าเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นแต่ละอย่าง เป็นผลจากกรรมดำประเภทไหน ก็เพียงเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความเคยชินที่จะก่อกรรมดำนั้นเป็นกรรมขาวขั้วตรงข้าม ในที่สุดก็เกิดภาวะกรรมชนะกรรมให้เห็นเอง”

นนทกานต์แย้มยิ้มแจ่มแจ้ง

“เข้าใจแล้วครับ”

อุปการะยิ้มตอบ

“ดวงดาวน่ะ เก็บไว้เป็นของสวยของงามไว้ดูเล่นตอนกลางคืนก็พอแล้ว กรรมเรานี่แหละ ที่ควรเอาไว้สำรวจดูจริงจังตลอดวันตลอดคืน ว่ากำลังเป็นดำหรือเป็นขาว เรารู้จักกรรมอันเป็นประโยชน์สูงสุด คือกรรมไม่ดำไม่ขาว เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่ออยู่เหนือกรรม เพื่อชนะกรรมทั้งปวง เพื่อพ้นจากทุกข์ในโลกนี้และโลกอื่นกันแล้วหรือยัง”



กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๔๑. ชนะกรรม)

ตอนที่ ๔๑. ชนะกรรม


“เป็นไงไม่มาเสียเกือบสามเดือน”

อุปการะทักมาจากเบื้องหลัง ขณะที่ลานดาวกำลังช่วยกันกับเด็กคนใช้จัดข้าวของเข้าตู้เย็นและชั้นวางต่างๆ เดี๋ยวนี้หล่อนมาครั้งใดจะหอบหิ้วข้าวปลาอาหาร น้ำผลไม้ วิตามิน และอื่นๆเต็มคันรถมาฝากห้องครัวบ้านอาจารย์ของหล่อนเสมอ

หญิงสาวชะงักมือ หันมายอบกายพนมมือไหว้

“สวัสดีค่ะอาจารย์ พักนี้ยุ่งเรื่องรายการใหม่กับหนังสือใหม่จนไม่เป็นทำอะไรเลยค่ะ อาทิตย์หน้าหวุดหวิดจะติดคิวต่างจังหวัด เกือบไม่ได้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวของพี่เอินด้วยซ้ำ… อาจารย์สบายดีนะคะ?”

“ก็พอใช้”

“แล้วอาทิตย์หน้าจะได้เจออาจารย์ที่งานพี่เอินหรือเปล่าเอ่ย?”

อุปการะพยักหน้า

“ได้… ไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถอะ ปล่อยให้ส้มเขาจัดการไป”

ลานดาวยิ้มแป้น เดินตามอาจารย์ต้อยๆไปที่ห้องรับแขกตามคำสั่ง เมื่อมาถึงก็นำอุปกรณ์บันทึกเสียงชนิดแฟลชไดรฟ์วางไว้บนโต๊ะกลางแล้วกดปุ่ม ด้วยความตั้งใจแต่แรกว่าจะมาขอข้อมูล

“จ๊ะกำลังจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ค่ะ ต้องขอรบกวนอาจารย์อีกครั้ง”

“เหรอ… คราวนี้เกี่ยวกับอะไร ตั้งชื่อหนังสือว่ายังไงล่ะ?”

“คิดว่าคงเป็นชื่อ ‘ลานกรรมระบำดาว’ ค่ะ เอาชื่อจ๊ะไปมีเอี่ยวด้วยหน่อย เล่มนี้จะอยู่บนแนวคิดที่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลกับเส้นทางและเหตุการณ์ในชีวิตคนจริงๆ แต่เนื้อหาทั้งหมดจะโยงให้เกิดความเข้าใจว่าทำอย่างไรจึงมาเกิดใต้อิทธิพลของดาวดวงไหน”

อุปการะยิ้มอย่างเข้าใจแนวคิดของลูกศิษย์สาว

“ฟังดูดีเหมือนกัน คนส่วนใหญ่ฟังเรื่องกรรมแล้วรู้สึกว่าเข้าใจยาก แม้หลายคนเชื่อเรื่องกรรมก็ไม่จุใจ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พืชที่ตนหว่านไปจะให้ผล คนเลยอยากฟังเรื่องอิทธิพลของดวงดาวมากกว่า เพราะถ้าตำราไหนแม่นๆก็บอกเลยว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่จะเจออย่างนั้นอย่างนี้ เขาไม่อยากทราบสาเหตุหรอกว่าทำไมตัวเองถึงตกมาอยู่ใต้อิทธิพลของดาวไหน อยากรู้แค่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเองแน่ๆเท่านั้น หนูเอาเรื่องกรรมกับโหราศาสตร์มาเชื่อมกันก็ดี ว่าแต่จะให้ผมช่วยยังไงล่ะ?”

“ขอเล่าแนวทางคร่าวๆก่อนนะคะ จ๊ะได้ไอเดียจากที่อาจารย์เคยพยากรณ์จ๊ะผ่านผังกรรม เช่นเส้นทางหลักจะต้องได้เป็นดารานักร้องระดับโลกเพราะบุญเก่าหลายๆอย่างประกอบกัน แต่บนเส้นทางดาราก็จะต้องเจอะเจอความผิดหวังเสียใจ เพื่อชดใช้ความผิดที่ทำไว้กับหนุ่มๆ รวมกับธรรมชาติของเส้นทางดาราที่ต้องวุ่นวายกับราคะ ชักนำให้ใครต่อใครเกิดราคะ ผลเลยต้องเสวยวิบากไม่ดีเกี่ยวกับราคะเข้าด้วยตนเองบ้าง”

อุปการะผงกศีรษะ

“อือม์”

“จ๊ะสนใจเส้นทางหลักของชีวิต เพราะเห็นว่าเราดิ้นหนีจากความเป็นตัวเองไม่ได้ เหมือนมีบางสิ่งรุนหลังบังคับให้ต้องดุ่มเดินไปตามทาง พูดให้ง่ายคือกรรมเก่าสร้างทางไว้ให้เดิน อย่างไรก็ต้องเดิน แต่ระหว่างเดินก็มีสิทธิ์ทำอะไรให้ดีขึ้นได้เหมือนกัน… นี่คือแนวคิดหลักๆค่ะ ขอถามก่อน อาจารย์เห็นว่าจ๊ะมองอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

ผู้เป็นอาจารย์กอดอกด้วยท่าทีของผู้มีความสุขุมเป็นนิตย์

“กรรมเก่าจากอดีตชาติขุดทางให้เราเดินในชาติปัจจุบัน แต่ถ้ากรรมปัจจุบันมีพลังเหนือกว่าที่ทำไว้ในอดีตชาติอย่างชัดเจน ก็อาจยกระดับให้เดินสูงขึ้นได้ หรือกระทั่งฉีกทางแยกเป็นตั้งฉากเลยก็ยังไหว หนึ่งชีวิตของมนุษย์เรามีศักยภาพได้ขนาดนั้น”

ลานดาวไหล่ตก ท่าทีเซื่องลงคล้ายนางม้าป่าที่ถูกกระหนาบจนหมดพยศอย่างสิ้นเชิง

“ตอนฮึดสู้อย่างคนที่แสวงหาความรักแทบพลิกแผ่นดิน จ๊ะก็ไฟแรงจะเอาให้ได้อย่างนั้นแหละค่ะ แต่พอชีวิตปรากฏอยู่ตรงหน้าจริงๆ ลองได้เพียรสู้ ลองพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีทางตัวเอง ลองพยายามแม้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ถึงเห็นว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่เกินฤทธิ์กรรมเก่าๆของตัวเอง”

อุปการะหัวเราะแผ่ว มองลานดาวด้วยสายตาแบบหนึ่ง ไม่เจือด้วยความหมั่นไส้เหมือนแต่ก่อน เพราะอย่างน้อยหล่อนก็เพียรสร้างสมความดีจนสมควรแก่การยกย่อง ไม่เอาแต่ยื่นหน้าอวดดี เห่อเหิมในบุญญาธิการท่าเดียวดังเคย

“หนูอยากได้คนรักไม่ใช่เหรอตอนนี้ก็ได้แล้วนี่ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยขาดด้วย”

หญิงสาวยิ้มซึมกว่าเดิมคล้ายถูกจี้ตรงจุด

“ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของอาจารย์ต่างหากล่ะคะ พี่แตรเกือบใช่ แต่ในที่สุดก็ไม่ใช่ และก็จริงอย่างอาจารย์บอก คือถ้าจ๊ะจะเอาเขาไว้จริงๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับจ๊ะจะทำให้เขาใช่หรือไม่ใช่ แต่จ๊ะล้าเองเสียก่อน ในเมื่อมองเห็นองค์ประกอบทุกอย่างถูกวางไว้แล้ว อาจารย์บอกว่าพี่แตรกับคู่แท้ของเขาเคยออกถิ่นทุรกันดารช่วยเหลือคนร่วมกันมา จ๊ะรออยู่ว่าจะเป็นใคร อุตส่าห์เทียวไล้เทียวขื่อไปหาพี่แตรถึงโรงพยาบาลหลายหนด้วยความระแวงว่าจะเจอเขาจู๋จี๋กับหมอสาวคนไหน ในที่สุดก็อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง พี่เอินสุดที่รักของจ๊ะนี่แหละ! ชาตินี้เขาเป็นหมอด้วยกัน แล้วจ๊ะก็เห็นกับตาว่าพอเป็นแฟนกัน วันๆก็ไม่คิดทำอะไรอื่นนอกจากร่วมตะลอนไปช่วยคนแปลกหน้า… สรุปแล้วจ๊ะไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับพี่แตรบนเส้นทางกรรมแบบเขา ถ้าเขาอยู่กับจ๊ะ อย่างมากก็ดูหนังฟังเพลงด้วยกันตามเรื่องตามราว”

“แต่พอหนูสละเขาให้พี่สาว หนูก็ได้แฟนใหม่มาทันทีนี่ ถูกใจกว่าเดิมเสียด้วย”

“ได้มาแบบรู้ทั้งรู้ว่าในที่สุดก็ไม่ใช่อยู่ดี อาจารย์บอกไว้แล้วว่าต้องอีกยี่สิบปีถึงจะเจอตัวจริง” ก้มหน้าตาปรอยเสียงอ่อย “แต่ถึงจุดนี้จ๊ะก็เรียนรู้ที่จะยอมรับแล้วล่ะค่ะ พี่ณะเพิ่งขอแต่งงาน และจ๊ะก็ตกลงรับคำไปแล้ว วันหนึ่งพี่ณะอาจเบื่อ อาจขอเลิก หรือเขาอาจประสบชะตากรรมใดๆ ไม่ได้ร่วมทางกับจ๊ะไปจนตาย แต่จ๊ะก็ดีใจแล้วที่มีโอกาสรู้จักเขา ทุกอย่างใช่ไปหมดแม้กระทั่งความรู้สึกถึงรักแท้ในจินตนาการ แม้จะยังไม่ใช่ตัวจริงของจ๊ะ จ๊ะก็เต็มใจและยินดีที่ได้อยู่กับเขาสักช่วงหนึ่ง”

อุปการะส่ายหน้าช้าๆ ริมฝีปากยังคงระบายยิ้มปรานี

“ป่านนี้ยังอ่านกรรมตัวเองไม่ขาดอีก ถือว่าไม่แน่จริงนี่”

ลานดาวย่นคิ้ว หางเสียงอาจารย์ทำให้เอะใจช้อนตาเหลือบขึ้นสบ พอเห็นอีกฝ่ายกำลังมองมายังตนนิ่งด้วยแววชนิดหนึ่ง ดุจบิดาร่วมปลื้มใจกับความสำเร็จของลูกสาว หล่อนก็ลุกพรวดอย่างลืมตัว

“พี่ณะเป็นคนนั้นของจ๊ะหรือคะ???”

แทบจำสุ้มเสียงของตนเองไม่ได้ เพราะทั้งตกตะลึงพรึงเพริด ทั้งอยากได้คำตอบ ทั้งลังเลด้วยสารพัดคำถามที่โถมประดังเข้ามาพร้อมๆกัน

โหราจารย์ใหญ่นิ่งเฉย มองตอบด้วยสายตาที่มีอำนาจปรามเยี่ยงผู้มีศักดิ์เป็นครู ลานดาวจึงรู้สึกตัวว่าสติหลุด อาจารย์ของหล่อนไม่ชอบให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่จนจิตเสียอย่างนี้

“ขอโทษค่ะ”

หญิงสาวพนมมือไหว้แล้วยอบกายลงนั่งซ้อนมือวางกับตักอย่างเรียบร้อย เยี่ยงกุลสตรีพึงสำรวมกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แต่พยายามวางมือให้นิ่งอย่างไรก็สะกดความสั่นระริกไม่ลง เพราะอยากได้คำตอบอันเปรียบประดุจคำพิพากษาจนใจแทบขาดอยู่แล้ว

“ถ้าใช่ก็ควรมีเหตุผลที่สมควรให้ใช่จริงไหม?”

“ค่ะ”

ลานดาวบีบมือตอบไม่เต็มเสียง อุปการะเอ่ยเนิบนาบเยี่ยงผู้ที่ยากจะมีสิ่งใดมาทำให้ใจกระเพื่อม

“จำไว้เถอะ สิ่งที่เราสร้าง สิ่งที่เราทำ อาจเบี่ยงเบนแม้คำพยากรณ์ของหมอดูที่แม่นที่สุดในโลกได้! ไหนลองวินิจฉัยตัวเองซิ ที่ผ่านมาเราทำอะไรเข้าท่าพอจะคัดท้ายเรือชีวิตให้หันเหไปจากเดิมบ้าง ตอบให้เหมือนกับคนอื่นถามแล้วเราต้องทำหน้าที่ตอบเขาน่ะ”

ลานดาวบีบมือเข้าหากันแน่น สีหน้าสดชื่นราวกับดอกไม้ได้รับน้ำและแสงแดดจนบานสะพรั่ง ทั้งดีใจ ทั้งฉงนฉงาย และทั้งตื่นเต้นกับความจริงในชีวิตที่พลิกไปพลิกมาราวกับฝันสนุก

“จากคำทำนายของอาจารย์ ถ้าเป็นไปตามผังกรรมและธรรมชาติวิสัยเดิมๆ ป่านนี้จ๊ะน่าจะเป็นนักร้องดังระดับประเทศ และรอคิวต่อยอดเป็นคนดังระดับโลกในสองสามปีข้างหน้าด้วยบุญเก่าหลายๆอย่าง และจะเป็นดาวค้างฟ้าไปถึงยี่สิบปี ซึ่งก็พอดีเวลากับที่จะพบคู่แท้เมื่ออายุใกล้สี่สิบ อ้อ!… อาจารย์ยังทำนายด้วยว่าเพราะวิถีทางที่ทำประโยชน์ให้กับวงกว้าง จะเป็นตัวจูงให้ได้พบกับคนที่ใช่”

พักกะพริบตาถี่ๆ นึกทบทวนคำพยากรณ์ของผู้อาวุโสแล้วปะติดปะต่อได้ภาพรวมอย่างรวดเร็ว แล้วขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ก่อนกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

“แต่เพราะจ๊ะสละทางที่เดินง่าย หันมาเลือกทางที่ยากขึ้น กับทั้งทำประโยชน์กับวงกว้างตั้งแต่แรก เลยยืนเป็นเป้าให้บุคคลประเภทเดียวกันสนใจ ซึ่งก็คือพี่ณะใช่ไหมคะ??”

ท้ายประโยคยิงคำถามด้วยใจระทึกเป็นล้นพ้น แล้วก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวงเมื่ออุปการะผงกศีรษะช้าๆเป็นการรับรอง ลานดาวพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สะอื้นออกมาฮักหนึ่งเหมือนหัวเราะและร้องไห้พร้อมกัน หล่อนยกสองมือปิดหน้า เหลือเพียงแนวตาฉายแววสำนึกคุณจับจ้องบุรุษผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาทำให้หล่อนไม่ต้องเสียเวลาไปครึ่งชีวิตก่อนได้รางวัลอันเป็นยอดปรารถนาไว้ในมือ

เป็นครู่กว่าความสะเทือนแรงในหัวอกจะลดระดับลง ลานดาวพนมมือน้อมศีรษะเคารพอุปการะด้วยความรู้สึกลึกซึ้งยิ่ง

“ขอบพระคุณนะคะอาจารย์”

“ซื่อสัตย์กับเขาเถอะ หนูจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์อะไรดีๆทิ้งไว้ในโลกได้อีกมาก เหมือนอย่างที่เคยช่วยกันสร้างช่วยกันทำมาแล้วหลายชาติหลายสมัย”

“ค่ะ”

ลานดาวบอกตนเองว่าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บารมี’ ก็คราวนี้เอง ถ้าเป็นคู่แท้ที่เคยร่วมบุญร่วมบารมีกันมาก่อน ก็มิใช่ว่าจะต้องด่วนเจอทันใจเสมอไป แต่อาจรอจังหวะเหมาะสมที่เมื่อพบกันแล้วต่างอยู่ในภาวะพร้อมจะร่วมทางกุศลดังเดิมอีกด้วย

“พี่ณะกับจ๊ะจะได้พบกันทุกชาติหรือเปล่าคะ?”

“แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศลจะดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ คล้ายดาวแม่กับดาวบริวารนั่นแหละ ตราบใดเรายังมีใจเห็นดีเห็นงามกับกุศลผลบุญของเขา แล้วก็ร่วมกันทำประโยชน์ให้สาธารณชนไม่เลิกรา เกิดใหม่ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกเสมอไป เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดไปอยู่ภพต่ำ ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดขึ้นไปอยู่สูงตามลำพัง ก็อาจคลาดกันระยะหนึ่ง”

หญิงสาวนึกไปข้างหน้าแล้ววังเวงขึ้นมาฉับพลัน ขนาดชาตินี้เพิ่งเข้าต้นวัย แถมมีบุญอุดหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ยังเหงาแทบตายกับการรอคอยเขาอย่างไม่มีกำหนด จะน่าห่อเหี่ยวขนาดไหนหากชาตินี้เขาไปอยู่เสียที่อื่น ปล่อยให้หล่อนคว้าคนผิดแล้วๆเล่าๆไปจนแก่ชรา กระทั่งได้ข้อสรุปว่าคู่แท้ไม่มี มีแต่คู่เทียมชั่วคราว

การร่อนเร่เกิดตายท่ามกลางความไม่รู้ไม่เห็นนั้น สิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่สุดเห็นจะได้แก่ความไม่แน่นอน ไม่อาจบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนานี่เอง

“การเกิดตาย การเติบโตขึ้นมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี่มีเรื่องน่าร้องไห้มากจังนะคะ”

“ก็ต้องวิ่งวนกันไป จนกว่าใครจะเจอทางออกก่อนกัน” เขาเอ่ยเรียบเนือย “ยิ่งเวลาผ่านไป หนูจะยิ่งมีโอกาสไปงานศพบ่อยขึ้น แต่ละงานอาจทำให้มีสักแวบหนึ่งที่หนูย้อนคิดแล้วเห็นชีวิตเหมือนความฝัน เป็นฝันที่ดำเนินเร็ว สะบัดหน้าขวับหนึ่งเห็นรั้วโรงเรียน อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วมหาวิทยาลัย อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วที่ทำงาน อีกขวับหนึ่งกลายเป็นรั้วเมรุที่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อเสียแล้ว ระหว่างมีชีวิตใครเตรียมเสบียงไว้เดินทางไกลแค่ไหนเท่านั้นแหละ”

ลานดาวนึกถึงอดีตของตัวเองแล้วบังเกิดความกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง

“จ๊ะกลัวเกิดใหม่ด้วยความลืม ลืมแล้วกลับแผลงฤทธิ์เป็นนางมารร้ายอีก ต้องเสวยกรรมชั่วที่ทำไปด้วยความไม่รู้อีก กลัวไม่เจอกัลยาณมิตรที่ดีอย่างพี่เอินกับพี่แตร กลัวไม่เจอคนให้แสงสว่างได้อย่างอาจารย์”

“ก็อธิษฐานเอาสิ วิธีเล่นเกมเดินทางไกลในวังวนเกิดตายนี้ คืออยากเป็นอย่างไร ให้ทำอย่างนั้นตลอดชีวิต แล้วอธิษฐานไปเรื่อยว่าขอเป็นคนอย่างนี้ ขอมีครูอย่างนี้”

“เป็นอย่างที่กำลังเป็น… พอรู้จักกลไกการทำงานของจิตมากเข้า บางทีจ๊ะก็สับสนอยู่เหมือนกันนะคะ จ๊ะเห็นตัวเองคิดเป็นกุศลและอกุศลสลับกันอยู่ตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกว่าชีวิตสว่างแล้ว บางทีก็ยังคิดชั่วๆได้อยู่ อย่างนี้จะมีอะไรเป็นตัวชี้ขาดว่าชาติหนึ่งๆเราเป็นคนดีหรือคนเลว?”

“ความละอายต่อบาปไงล่ะ ใครทำผิดแล้วยังสำนึกก็ไม่จัดเป็นคนเลว แต่ใครทำผิดแล้วไม่สำนึกเลย อันนั้นประกันความเลวได้ จิตจับเอาภพมืดไว้เป็นที่หมายแน่นอนแล้ว ส่วนคนดีคือพวกที่ติดใจการคิด การพูด การทำแต่ในเรื่องน่าชื่นใจ ถ้าต้องเฉียดเข้าไปใกล้เรื่องฉ้อฉลคิดคด หรือต้องเบียดเบียนทำร้ายใคร ก็จะสะดุ้งกลัว พยายามหนีห่างออกมา”

ลานดาวย้อนนึกไป เมื่อไม่ช้าไม่นานนี้เอง หล่อนยังทำร้ายจิตใจคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตา ทำแล้วไม่สำนึกละอายแม้แต่น้อย ซึ่งก็ควรแก่การเสียวไส้อยู่หรอก ถ้าตอนอยากฆ่าตัวตายแล้วได้ตายสมอยากจริงๆป่านนี้คงโต๋เต๋อยู่แถวๆเหวนรกกระมัง

“แล้วถ้าแค่อยากทำผิดอยู่ในใจเรื่อยๆโดยปราศจากความละอาย แต่ไม่ได้พูด ไม่ได้ลงมือทำจริงๆล่ะคะ ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่คนเลวหรือเปล่า?”

“คิดเฉยๆไม่ใช่ตัวตัดสิน เขาตัดสินกันตอนพูด ตอนลงมือทำ แต่ก็ประมาทความคิดไม่ได้ เพราะความคิดนี่แหละต้นแหล่งดีชั่วที่แท้จริง ตราบใดยังคิด ตราบนั้นยังมีสิทธิ์พูดออกมาจริงๆ ทำออกมาจริงๆ”

“แล้วจะจัดการกับความคิดชั่วๆในหัวยังไงดีล่ะคะ ทุกวันนี้จ๊ะสารภาพกับอาจารย์เลย ว่ายังมีความคิดเหลวแหลกอยู่มาก บางทีก็ทรมานจัง แต่ก่อนตอนเลวๆยังคิดน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ”

อุปการะหัวเราะหึหึ

“ความอยากหยุดคิด กับความทรมานจากการคิดเหลวแหลกนั่นแหละ ตัวกระตุ้นสำคัญให้ยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ หนูไม่ต้องไปทำอะไร มันจะเกิดก็ให้มันเกิด พิจารณาดูให้รู้ว่านั่นแค่คลื่นสมองซึ่งผุดกระเพื่อมขึ้นเอง ไม่ใช่เจตนาที่ส่งออกมาจากหัวใจของเราอย่างแท้จริง”

“ถ้าคิดเลวๆแล้วไม่รู้สึกผิด มิเข้าข่ายที่อาจารย์ว่าคิดเลวได้โดยปราศจากความละอายหรอกหรือคะ?”

“ความคิดมีอยู่สองแบบ แบบแรกเหมือนสายลมที่พัดมาเองตอนเราเดินอยู่กลางแจ้ง เราบังคับควบคุมไม่ได้ ทำได้แค่เพียงรับรู้ว่ามันผ่านมาปะทะเราแล้วปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ ความคิดอีกแบบเหมือนลมที่เกิดจากความจงใจพัดโบกของเรา เราสมัครใจ หรือติดใจที่จะคิดอย่างนั้น การคิดด้วยความติดใจและจงใจนี่แหละถึงจะเป็นมโนกรรมเต็มขั้น”

ลานดาวยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจแจ่มแจ้งแทงตลอด

“สรุปคือแค่ปฏิบัติต่อความคิดเลวๆเหมือนรู้ว่ามีสายลมพัดฝุ่นทรายมาโดนตัว แล้วก็แล้วกันไปไม่ต้องคว้ามาใส่ปากเคี้ยวต่อ อย่างนั้นใช่ไหมคะ?”

อุปการะยิ้มอย่างพึงใจในการอุปมาอุปไมยของหญิงสาว

“อือม์”

“ความสามารถในการสำนึกผิด” ลานดาวเอียงคอช้อนตาทะแยงขึ้นบนในท่าคิด “จ๊ะจะให้ความสำคัญกับความสำนึกผิดไว้หนึ่งบทเลย ทำเลวแล้วยังสำนึกแปลว่าไม่เลวจริง แต่ทำเลวแล้วติดใจโดยปราศจากความสำนึกใดๆ แปลว่าจิตเคลื่อนไปอยู่ในภพที่เป็นอบายแน่แล้ว ถูกไหมคะ?”

“ก็จัดเป็นเครื่องวัดที่ค่อนข้างแน่นอน”

“จ๊ะอยากวิเคราะห์ว่าความดีเริ่มต้นมาจากไหน”

“ครูที่ดี เพื่อนที่ดี หรือเรียกรวมๆว่า ‘กัลยาณมิตร’ นั่นแหละ รุ่งอรุณของความดีงามทั้งปวง”

“จิตชั้นสูงระดับมนุษย์จะรู้จักความดีเอาเองโดยไม่ต้องให้ใครบอกไม่ได้หรือคะ?”

“อย่าไปเรียกจิตชั้นสูงเลย คนเราเนี่ย โดยเดิมดิบๆนั้น ครึ่งๆกลางๆระหว่างเดรัจฉานกับเทวดามากกว่า จิตมนุษย์ช่างสงสัยเคลือบแคลง และบ่อยครั้งทึกทักเข้าข้างตัวเองมากกว่าจะรู้เห็นอะไรตามจริง แค่คำว่า ‘ความดี’ คำเดียวก็เถียงกันได้ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว แล้วหนูจะให้คนๆหนึ่งดีขึ้นมาด้วยตนเองได้อย่างไร”

“ค่ะ… คือจ๊ะกำลังวิเคราะห์ตัวเองว่ากลับใจ เปลี่ยนจากเด็กไม่รู้คิดเป็นผู้เป็นคนขึ้นได้บ้างอย่างนี้ เริ่มต้นขึ้นที่ไหน คำพูดของใครทลายกำแพงทิฐิของเราได้ หากเราจับจังหวะสำคัญถูก ก็น่าจะบอกต่อเป็นสูตรสำเร็จให้คนอื่นรู้ตามได้ไม่ยาก”

“ทำนองเดียวกับที่เราไม่อาจระบุว่าวันเวลานาทีไหนเป็นตัวทำให้ร่างกายเราโตขึ้น เราไม่อาจรู้หรอกว่าคำพูดไหนของใครทำให้เราเริ่มเป็นคนดีขึ้นมา แค่รู้ได้แต่ว่าการอยู่ใกล้ใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเลื่อมใสในความดี เราก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาที่คลุกคลีกับเขา”

“อย่างนี้ถ้าไม่มีโอกาสพบกัลยาณมิตรก็แย่สิคะ?”

“เมื่อยังไม่ถึงกลียุค มนุษย์ทุกคนมีช่วงเวลาในชีวิตที่เป็นโอกาสทองทางความดีเสมอ เพราะในหมู่คนจำนวนร้อยซึ่งเรารู้จัก หรือได้พบ หรือได้ยินได้ฟัง ต้องมีสักคนที่เป็นแบบอย่าง เป็นแรงบันดาลใจทางความดีให้เราได้”

ลานดาวค่อยๆนึกทบทวน บางทีเรื่องใกล้ตัวที่สุดก็มักถูกมองข้ามไปอย่างง่ายที่สุด ความจริงพ่อแม่ของหล่อนก็เป็นแบบอย่างที่ดีในหลายๆด้าน ครูที่สถานศึกษาตั้งแต่อนุบาลยันอุดมศึกษาก็มีหลายท่านที่งดงามน่าเคารพ อย่างน้อยหล่อนก็โตขึ้นมาท่ามกลางบุคคลแวดล้อมจำนวนหนึ่ง ซึ่งช่วยชี้ให้เห็นว่าความดีไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ใช่เรื่องของคนยอมโง่เสียเปรียบใครๆ

แต่กัลยาณมิตรก็มีอิทธิพลกับชีวิตต่างระดับกันไป เมื่อนึกถึงผู้ที่ฉุดชีวิตหล่อนขึ้นจากหล่มของความหลงผิด นนทกานต์ปรากฏชื่อเป็นอันดับแรก ในฐานะผู้นำทางมาพบกับครูผู้ชี้ทางถูก รวมทั้งอยู่ข้างหล่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ฉวยโอกาสในยามที่กำลังสับสนเหมือนหลงทางซับซ้อน เขาพูดให้ได้คิดขณะที่หล่อนแทบคิดไม่ได้ และในยุคที่มีแต่คนยุยงส่งเสริมให้ผิดศีลเอามันกันโจ๋งครึ่ม เขาเป็นทูตแห่งความดีเตือนหล่อนให้คบกับมาวันทาอย่างถูกทำนองคลองธรรมไม่ล้ำเส้นศีลข้อกาเมฯ หากหล่อนลืมนับเขาเป็นกัลยาณมิตร ก็คงเป็นเรื่องน่าละอายพอดู

อันดับสองคงหนีไม่พ้นมาวันทา มาวันทาเพียงคนเดียวทำให้หล่อนเห็นชีวิตหลายแง่มุมเหลือเกิน คือเป็นทั้งหมอรักษา ทั้งพี่สาวใจดี ทั้งครูสอนดนตรีการ ทั้งหวานใจคนแรก ทั้งผู้ทำให้หล่อนอยากลาโลกด้วยรักขม ตลอดจนกระทั่งเป็นผู้หญิงที่มาชิงชายคนรักของหล่อนไปโดยไม่เจตนา ยิ่งคิดยิ่งมีความรู้สึกประหลาดล้ำกับสัมพันธภาพหลายชั้นหลายเชิงระหว่างหล่อนกับมาวันทา แต่เหนือสิ่งอื่นใด มาวันทาทำให้หล่อนเชื่อว่าโลกนี้ยังมีคนคิดรักษาศีล ถึงแม้อยู่ในภาวะเข้าด้ายเข้าเข็ม อยากละเมิดศีลเต็มอัตราเพียงใดก็ตาม

อันดับสามคืออมฤต ผู้ชายคนแรกที่หล่อนนับเป็นแฟนตัวจริง เขาทำให้หล่อนรู้จักตัวเองว่าจะรักใครได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยล้นฟ้า ขอเพียงมีความคิดและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่พอ ยิ่งกว่านั้นอมฤตยังเป็นแรงบันดาลใจให้หล่อนคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาเขาไว้ และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือมีน้ำใจเสียสละยิ่งใหญ่ คือยอมแม้กระทั่งเสียสละเขาให้กับคนที่เหมาะสมกว่าหล่อน!

อันดับสี่คืออุปการะ หล่อนเริ่มนับถือเขาจากความแม่นยำในการทำนาย รวมทั้งที่เขาสอนให้รู้ว่าคำทำนายไม่จำเป็นต้องแม่นยำเสมอไป เพราะคำทำนายเพียงบอกว่าผลกรรมที่ทำไว้ในอดีตกำลังจะออกดอกออกผลอย่างไร แต่หากมีกรรมในปัจจุบันที่ทรงน้ำหนักเพียงพอจะคานกันหรือแทรกแซงของเก่าได้แล้ว ชะตาก็อาจถูกดัดแปลง เปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนจากช้าให้กลายเป็นเร็ว นั่นหมายความว่าอุปการะมิใช่เพียงสอนหล่อนให้เชื่อเรื่องกรรม แต่ยังเข้าใจเหตุ เข้าใจผล ทำให้หล่อนรู้ว่าหน้าที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การเสียดายอดีต ไม่ได้อยู่ที่การอยากย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรๆที่ผ่านมาแล้ว แต่อยู่ที่การเห็นค่าของปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในมือ อยู่ในการตัดสินใจว่าจะเลือกก่อกรรมอันใด

“การที่จ๊ะมีโอกาสรู้จักและคบหาสนิทกับกัลยาณมิตร เป็นเพราะกรรมเก่าแบบไหนคะ?”

“เพราะเคยมีครูที่ดี เคยอยู่ในโอวาทของพวกท่านมาก่อน หนูเคยมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ ได้ทำบุญกับพวกท่านและเหล่าสาวกของพวกท่าน รวมทั้งเลื่อมใสศรัทธา ปรารถนาจะดำรงตนอยู่ในเส้นทางธรรมอันถูกต้องและสว่างแจ้งไปเรื่อยๆตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน ผังกรรมในชาตินี้เลยจัดสรรคนดีๆมาเป็นป้ายบอกทางมากมายโดยไม่ต้องเสาะแสวงหา”

ลานดาวรับฟังด้วยความปลื้มปีติ

“งั้นทุกครั้งที่ฟังธรรมแล้วเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเห็นแจ้งแทงกุศลธรรม จ๊ะจะอธิษฐานซ้ำไปเรื่อยๆ ว่าขอให้ได้เลื่อมใสและมีโอกาสใกล้ชิดผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปทุกภพทุกชาติ”

อุปการะพยักหน้า

“นั่นก็จัดเป็นการเตรียมเสบียงเดินทางไกลที่ฉลาด การอธิษฐานซ้ำๆจะตอกย้ำให้เราอยู่ในร่องในรอยเดิม มีพลังหน่วงเหนี่ยวอย่างใหญ่ แม้จะไถลพลาดคลาดเคลื่อนออกนอกเส้นทางบ้างก็จะกลับมาได้อย่างรวดเร็ว”

“เอ… อาจารย์คะ จ๊ะพบครูดีเพราะเคยนับถือและอยู่ในโอวาทของครูดีมาก่อน แล้วแบบนี้ถ้าอดีตชาติใครไม่เคยมีครูดี หรือเชื่อครูผิด ชาตินี้จะทำยังไงล่ะคะ ไม่แปลว่าเขาหมดสิทธิ์พบทางสว่างตรงทางหรอกหรือ?”

“ก็อาจเจอได้ แต่ไม่ใช่แบบจัดวางใส่พานมาประเคนเหมือนอย่างหนู กลไกในโลกมนุษย์ที่จะพาเราไปพบครูนั้น ได้แก่เสียงร่ำลือ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่าสัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกล หมายความว่าชื่อเสียงของท่าน คำสอนดีๆของท่าน ย่อมกระจายออกไปกว้างไกล จากปากต่อปาก จากสื่อต่อสื่อ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรักดี อยากเงี่ยหูฟังครูคนไหน”

“แต่ครูเต็มไปหมด แล้วก็มีชื่อเสียงร่ำลือระบือไกลกันทั้งนั้นนี่คะ มองกวาดไปเห็นคละกันมั่ว ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาดไปเจอคนนำทางนรกเข้า”

“แต่ละคนทำกรรมมาอย่างไร กรรมก็จะจูงไปพบครูที่สอดคล้องกับเส้นทางนั้น คนไทยจำนวนมากเคยทำบุญในร่มโพธิ์พุทธศาสนามาก่อน ตราบใดพุทธศาสนายังไม่สาบสูญไปจากประเทศ ตราบนั้นเด็กไทยที่เพิ่งลืมตาดูโลกก็ได้ชื่อว่ามีโอกาสเห็นประตูสวรรค์นิพพานกันอยู่ ส่วนจะเข้าทางจริงหรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใครจะขวนขวายแค่ไหน ทุกวันนี้น้อยคนจะตระหนักว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ใครๆยังเข้าเฝ้าท่านได้ เพราะยังมีสาวกที่ซื่อสัตย์กับพระองค์ จดจำและสืบทอดคำสอนตรงๆของพระองค์อยู่อีกมาก อีกทั้งพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ยงคงกระพัน ไม่ถูกทำลายให้สูญหายไปไหน”

“แล้วจะมีอะไรเป็นหลัก เป็นเครื่องประกันคะ ว่าศึกษาธรรมะ ศึกษาเรื่องกรรมไปแล้วจะไม่หลงทาง?”

“ตอนยังมีม่านอกุศลบังตา คนเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าครูคนไหนนำทางไปสว่าง ครูคนไหนนำทางไปมืด เพราะความมืดด้วยกันย่อมยกย่องกันและกันว่าเป็นแสงสว่าง เป็นทางที่ใช่”

ลานดาวตรองแล้วครางรับเบาๆ เพราะจำได้ว่าเมื่อหล่อนหน้ามืดตามัวด้วยความใฝ่ต่ำอยู่นั้น แม้มาวันทาและคนรอบตัวเพียรพูดให้สำนึกอย่างไร บอกทางสว่างกันคอแทบแตกขนาดไหน ก็ไม่อาจเจาะกำแพงแปดทิศของคุกที่ขังหล่อนไว้กับความมืดมนอนธการได้เลย

“แปลว่าถ้าเจอครูดีขณะที่ใจเรายังมืดบอด ยังทำผิดศีลผิดธรรมอยู่เป็นนิตย์ ก็เท่ากับพลาดโอกาสทองไปใช่ไหมคะ?”

“ใช่”

“สรุปคือเราจะรู้ได้ว่าคำสอนไหนถูก ไม่โดนใครหลอกพาไปลงนรก ก่อนอื่นต้อง ‘มีดี’ อยู่ก่อน จิตใจพร้อมจะทำตัวเป็นพานทองรองรับของสูงบ้างแล้ว?”

“ใช่”

“ว้า! อย่างนั้นก็เหมือนงูกินหางเลยสิคะอาจารย์ จะดีได้ต้องมีครูสอนถูก แต่จะนับถือครูสอนถูกได้ก็ต้องมีดีเสียก่อน”

“เกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีดีอยู่บ้างแล้ว การที่วิญญาณจะปฏิสนธิในท้องมนุษย์ได้นั้น จิตต้องเรืองสว่างเป็นกุศล ประเภทจิตมืดๆไม่รู้ผิดรู้ชอบนั้นเข้าท้องมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นถือว่าโดยพื้นฐานทุกคนมีดี มีเหตุผล มีความสว่างเป็นทุนเดิมอุดหนุนอยู่ก่อน ขอแค่ไม่ไปสร้างเรื่องร้ายๆขึ้นเป็นม่านอกุศลบังตาบังใจในระหว่างมีชีวิตเสียอย่างเดียว เมื่อพบกัลยาณมิตรเช่นพระพุทธเจ้า เห็นท่านเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในความไม่เบียดเบียน สอนเรื่องการไม่เบียดเบียน และจาระไนผลของการไม่เบียดเบียนได้อย่างละเอียดลออ ก็ย่อมเกิดความเลื่อมใสนับถือและบอกต่อกับลูกหลานได้แล้ว”

ลานดาวเปิดสมุดพกจดคำว่า ‘ไม่เบียดเบียน’ ไว้เป็นไอเดียพื้นฐานของหนังสือใหม่ รวมทั้งเขียนหวัดบันทึกกิ่งก้านสาขาความคิดที่งอกเงยขึ้นฉับพลัน คือตั้งข้อสังเกตว่าโดยพื้นฐานนั้น มนุษย์เจอใครที่สอนการไม่เบียดเบียน ไม่เข่นฆ่าบูชายัญ ไม่สังเวยตนเซ่นสงครามกิเลส ก็ย่อมรู้สึกแต่แรกว่าเป็นคำสอนที่ยืนพื้นอยู่บนความถูกต้อง แต่ถ้ากรรมเก่าส่งไปอยู่ในเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดจากความเกลียดชัง ความครุ่นคิดอาฆาต ความมุ่งมาดทำร้าย พวกเขาย่อมประสบแต่สิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์ที่บันดาลโทสะไปวันๆ ต่อให้พวกเขามีศาสดาผู้สอนให้รักสงบ ก็อาจอยากลักลอบดัดแปลงคำสอนเดิมให้เป็นตรงข้ามเสีย

พอร่างไอเดียในการเขียนเสร็จหญิงสาวก็ถอนใจ

“มองย้อนกลับไป ตั้งแต่เด็กจ๊ะมีแต่เบียดเบียนชาวบ้านด้วยกาย วาจา ใจมาตลอด เพราะความทะนง ความหลงตัว และความอยากเหนือคนอื่น นิสัยเสียๆทำนองนี้จะติดตัวไปก่อเรื่องทุกครั้งที่เกิดใหม่เลยหรือเปล่าคะอาจารย์?”

“กรรมเก่าจะพยายามรักษาเราไว้ในเส้นทางเดิมด้วยการส่งเรามาเกิดในสิ่งแวดล้อมที่บีบให้ต้องมีพฤติกรรมเหมือนๆเดิม แต่กิเลสตัณหาจะบีบให้เราต้องตกต่ำลงกว่าที่เคยเสมอ หนูเคยทำทานมามาก กรรมจึงส่งให้มาเกิดในบ้านผู้มีอันจะกิน เท่ากับเปิดโอกาสให้ทำทานได้อีกมากๆโดยไม่ต้องกังวลว่าเราเองจะหมดไหม แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโลภะ จู่ๆเมื่อลืมตาดูโลกแล้วเห็นตนมีทรัพย์มาก โลภะก็ดลใจให้อยากเพิ่มพูนให้ล้นๆยิ่งขึ้นไป เพราะทุกคนจะพบตรงกันว่าทรัพย์คืออำนาจใหญ่ในโลก เงินยิ่งมากยิ่งทำตามอำเภอใจได้มาก มีหัวมาก้มให้เหยียบมาก”

ลานดาวฟังแล้วเหม่อไป ปีก่อนหล่อนเคยอยากลิ้มรสอำนาจวาสนาและความหรูหราของความเป็นเศรษฐีนีพันล้าน อยากพ้นสภาพลูกสาวขี้ขอของเศรษฐีหลายร้อยล้าน แต่ความปรารถนาจะทำมหาทานเป็นแสนเป็นล้านยังไม่เคยแวบผ่านมาในหัวสักหน ทานบารมีเก่าในชาติก่อนส่งหล่อนมารวยจริง แต่ทรัพย์สมบัติที่วางกองตรงหน้าก็ทำให้หล่อนงกจริงเช่นกัน

แต่จะว่าไป หล่อนก็เริ่มมีน้ำใจคิดให้โดยไม่หวังผลตอบแทนบ้างแล้ว เริ่มจากแอบโอนเงินค่าหนังสือทั้งหมดให้กับอมฤตและมาวันทา รวมทั้งตั้งใจว่าเร็วๆนี้ที่กำลังจะเป็นคุณนายของบริษัทนีโอเทรนด์ หล่อนจะออกรถป้ายแดงงามๆให้ครูผู้อยู่ตรงหน้าสักคันพร้อมจ้างคนขับประจำครบเสร็จ แต่ทว่านั่นเพราะความสำนึกคุณคนมากกว่าความอยากเจือจานไปในวงกว้างโดยปราศจากเงื่อนไข

พูดง่ายๆสั้นๆคือชาตินี้หล่อนยังไม่ได้เริ่มต่อบุญเก่าในเรื่องทานจริงจังนัก เห็นทีจะต้องเริ่มวางแผนเอานิสัยเดิมในอดีตชาติกลับมาทำบารมีต่อกันใหม่

“อีกอย่าง…” อุปการะกล่าวสืบต่อ “หนูเคยรักษาศีลมาสะอาดหมดจด กรรมจึงส่งให้มาครองอัตภาพหมดจดงดงาม เท่ากับเปิดโอกาสให้เห็นความสวยสะอาดทางกาย แล้วบันดาลให้คิดอ่านแต่ในทางดี มีวาจาไพเราะ ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเป็นเครื่องประดับโลก แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโมหะ จู่ๆพอโตขึ้นเป็นสาวแล้วเห็นหนุ่มๆมาปรนเปรอ เอาอกเอาใจพะเน้าพะนอ ใครต่อใครยอมทุกอย่างเพียงเพื่อได้ชมโฉมเราอย่างใกล้ชิดนานๆ ความหยิ่งทะนงก็งอกเงยขึ้น สั่งสมความหลงตัวมากขึ้น กระทั่งอัตตาโตขึ้นจนอยากสยบโลกทั้งใบด้วยความสวยของเรา ถึงเวลานั้นภูมิต้านทานกิเลสตัณหาของเราจะต่ำ อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ก็ต้องอาละวาดให้พินาศกันไปข้าง ศีลธรรมจรรยาไม่ต้องไปสนแล้ว อยากได้ก็ต้องเอาให้ได้”

หญิงสาวกะพริบตาสองสามหน คล้ายถูกปลุกให้นึกออกว่าชีวิตนี้เพิ่งทำอะไรลงไปบ้าง

“ธรรมชาติเล่นแบบนี้เองนะคะ อนุญาตให้ขึ้นสูงเป็นเส้นตรงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องส่งแรงรบกวนมาดึงดูดให้กลับหล่นลง แม้ไม่ถึงขนาดกลับทิศจากเหนือลงใต้ อย่างน้อยก็เบี่ยงเบนให้ต้องไปทางตะวันตก ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ไม่ปล่อยให้ลงต่ำท่าเดียว จะมีแรงช่วยมาหนุนให้กลับขึ้นสูงบ้าง อย่างถ้าคนเราหน้าตาอัปลักษณ์เพราะกรรมชั่วเก่าๆแต่ปางก่อน จิตก็อาจถูกบีบให้เจียมตัว อันเป็นเชื้อของความอ่อนน้อม แล้วพัฒนาไปสู่ความมีใจเป็นกุศล”

“หน้าตาไม่ดีแล้วยังคิดไม่ดีต่อก็มีถมไป แล้วแต่การสั่งสมนิสัยมากกว่า อีกอย่าง สำนึกของคนเราพร้อมจะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อไหร่สำนึกผิดหรือห้ามใจได้ ชาติเดียวกันนั้นก็กลับดีได้ใหม่ อย่างหนูก็ไม่ต้องไปเกิดเป็นนางยักษ์อัปลักษณ์ที่ไหนเสียก่อนกลับใจนี่”

“ถ้าไม่เจอมิตรดีและครูดี ป่านนี้ก็ยังไม่หายโง่มั้งคะ”

“ชีวิตมนุษย์ในแต่ละชาติก็อย่างนี้แหละ จะให้ดีพร้อมมาแต่เกิดไม่ได้ ทุกคนมีคุณสมบัติอันเป็นตัวตั้ง จะยากดีมีจน จะขี้เหร่เก๋ไก๋ แต่ละคนต้องเรียนรู้เอาว่าควรใช้คุณสมบัติที่ตนมีอยู่อย่างไรในการขุดทองทางวิญญาณ”

ลานดาวก้มหน้าก้มตาจด พักหนึ่งก็ชะลอมือช้าลงสู่การหยุดอย่างได้คิดก่อนเขียนจบ

“ถ้ามองคนๆหนึ่งเป็นเพียงจิตวิญญาณดวงหนึ่ง ก็เห็นเลยนะคะว่าคนเราเกิดเป็นอย่างหนึ่ง เพื่อตายไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้หลายครั้งเหลือเกิน สมัยเด็กจ๊ะเคยทั้งเกเรเรียนไม่เก่งและทั้งรักดีขยันขันแข็งจนเป็นที่หนึ่งของรุ่น เคยฝันหาเจ้าชายแล้วกลายไปเป็นหญิงรักหญิงก่อนจะกลับมารักผู้ชายได้อีก เคยเห็นแก่ตัวจนหน้าเขียวเดี๋ยวนี้เห็นใครต่อใครแล้วรู้สึกสงสารอยากช่วยไปหมด ภพภูมิมนุษย์นี่แปรปรวนไปมาได้ซับซ้อนจังค่ะ อยากรู้ว่าภพภูมิอื่นยอกย้อนได้อย่างนี้บ้างไหม”

“ไม่หรอก เพราะภพอื่นส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างไร ก็จะคงความเป็นอย่างนั้นไว้ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดชีพ แต่เพราะภพมนุษย์มีธรรมชาติของวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรามาเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากไม่ให้รู้อะไรเลย เขยิบขึ้นสู่การลองผิดลองถูก กระทั่งพัฒนาไปสู่สภาพตกผลึกของการเชื่อและการรู้สึกนึกคิด หนึ่งชาติของมนุษย์จึงเหมือนภพใหญ่ที่ซอยแบ่งออกเป็นภพย่อยๆได้มากมายเหลือจะนับ”

ประโยคสุดท้ายของอาจารย์สะกิดให้เกิดความสนใจ ลานดาวจึงจดไว้เป็นไอเดีย คือภพใหญ่นั้นอาจครอบรวมเอาภพย่อยๆไว้ได้มากมาย ขอเพียงภพใหญ่นั้นมีปัจจัยเอื้อให้เพียงพอ

จดไอเดียเสร็จก็เงยหน้าขึ้นกล่าว

“ชักรู้สึกว่าภพมนุษย์เป็นภพที่น่าสนใจแล้วซีคะ”

“ภพที่เรียนรู้ได้ แม้แต่ภพของสัตว์ฉลาด เป็นภพที่มีความหลากหลาย แล้วก็พัฒนาจากความเป็นอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้ตลอดเวลา อย่างพวกลิงชิมแปนซี ฝึกดีๆฉลาดกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก น่าเสียดายแต่ว่าฉลาดอย่างไรก็ติดเพดานของภพภูมิเดรัจฉาน ฉลาดแค่ไหนก็ไม่รู้ทางสว่างเพื่อเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ง่ายๆ”

“ตอนนี้เหมือนเห็นอดีตชาติของตัวเองเลยค่ะ สมัยยังวุ่นวายกับการค้นหาตัวเอง ช่างเป็นวิญญาณที่เร่าร้อนกับการหาภพภูมิอาศัย พอพี่เอินชี้ทางสว่าง หางานให้ทำ หาตัวตนให้เป็น ก็ค่อยกลายเป็นวิญญาณมีภพมีภูมิกับเขาหน่อย แต่ตอนตายจริง เผาจริง ก็ต้องเคลื่อนจากความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นอย่างอื่นอีกด้วยแรงเขวี้ยงของกรรม”

อุปการะหัวเราะด้วยความรู้สึกหลากหลาย ลานดาวพูดสะกิดให้เขาเห็นภพชาติเบื้องหน้าของหล่อนเป็นฉากๆโดยไม่ต้องเจตนาดู แต่เขาเก็บงำไว้ไม่พูดถึง ยังคงสนทนากับหล่อนต่อเป็นปกติ

“หนูเอาไปเขียนเถอะ เราจะเข้าใจชาติหน้ามากขึ้น ถ้าทำความเข้าใจชาตินี้ดีๆ และมองแต่ละช่วงของชีวิตโดยความเป็นภพย่อยๆที่วิญญาณของเราเข้าไปยึด เห็นแต่ละภพว่าคือสภาวะที่ไม่แน่ไม่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราก่อ และขึ้นอยู่กับความสมัครใจที่เรายอมติดอยู่กับภพหนึ่งๆ”

“เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองค่ะ นี่จ๊ะเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปเรื่อยอย่างปราศจากจุดหมายปลายทางใช่ไหมคะกรรมแต่ละระลอกซัดไปสู่ฝั่งใหม่ ก่อกรรมอีกแล้วถูกซัดไปสู่ฝั่งใหม่อีก”

“ใช่… วิญญาณทั้งหลายถูกสะกดโดยผลกรรม ให้หลงฝันว่าตนเป็นอย่างนี้ ตนอยากเป็นอย่างนั้น แล้วก็เคลื่อนไปเรื่อย โดยมีหลักกรรมคือทุกคนได้อย่างที่ทำ ไม่ได้อย่างที่อยาก หากไม่มีใครบอกให้รู้ชัดๆว่าฝั่งสุดท้ายอันเป็นที่หยุดนิ่งมีอยู่และพิสูจน์ได้ขณะยังเป็นมนุษย์ สรรพวิญญาณก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยโดยปราศจากความแน่นอนว่าเมื่อไหร่จะตกตาดี เมื่อไหร่จะตกตาร้าย”

“ชักอยากเข้าให้ถึงแก่นสารอันเป็นที่สุดของพุทธศาสนาแล้วสิคะ อาจารย์ไม่เห็นสอนจ๊ะมั่งเลย”

หญิงสาวทำเสียงอ้อน

“ถ้าผมให้หนูพูดรวบรัดชีวิตของหนูทั้งชีวิตเป็นคำๆเดียว หนูจะเลือกคำว่าอะไร?”

หญิงสาวเอียงหน้าเหลือบตาคิดนิดหนึ่ง ก่อนเบนกลับมาทอดสายตามองอาจารย์ยิ้มๆอย่างรู้ล่วงหน้าว่าตนโดนดักทางไว้อย่างไร

“พูดถึงชีวิตจ๊ะทั้งชีวิตด้วยคำๆเดียว ก็คงเป็น ‘สนุก’ มั้งคะ”

“ทั้งๆที่เพิ่งทุกข์จนแทบอยากฆ่าตัวตายมาเมื่อปีก่อนเนี่ยนะ?”

ลานดาวหัวเราะสดใส เพราะอุปการะเอ่ยอย่างที่หล่อนเดาไว้เป๊ะ

“อาจารย์ถามคำเดียวจ๊ะเข้าใจไปถึงไหนต่อไหนแล้วค่ะ จ๊ะแค่ตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงจากใจในขณะนี้ เห็นตัวเองแจ่มแจ๋วเลยว่ากำลังเพลินโลก สนุกกับงาน สนุกกับคนรัก สนุกกับชีวิต ใจก็ต้องเห็นภาพรวมของตัวเองทั้งหมดเป็นความสนุก และตราบใดที่ยังเห็นชีวิตเข้าข่ายเป็นสุข ก็ต้องหวงแหนไว้ และอยากตะกายหาสุขใหม่ๆมาเพิ่ม ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องเคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกภพหนึ่งแล้วๆเล่าๆ โดยไม่มีวันคิดหาทางสละความยึดติดต่างๆอย่างแท้จริงเลย”

“อือ… รู้ดีหมดแล้วนี่”

“ใครบอกรู้หมด รู้แค่เล็กน้อยแต่เข้าเป้าเพราะอาจารย์ชี้ต่างหากค่ะ” หญิงสาวยิ้มระรื่นคล้ายคนไม่เคยรู้จักทุกข์มาก่อน “ถ้าไม่ถูกจี้ให้คิดย้อนมาถามตัวเองว่าเป็นใคร หรือกำลังทำอะไร ก็เหมือนโดนเส้นผมบังภูเขาเหมือนกันนะคะ เห็นความสำคัญของการตั้งโจทย์เดี๋ยวนี้แหละ เป็นมนุษย์ที่ช่างคิดนี่อาจตั้งโจทย์กันได้ไม่จำกัด แต่จะมีโจทย์อยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นที่บันดาลให้เราฉุกใจหาคำตอบเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มสุด”

อุปการะพยักหน้ารับ

“นั่นซี คนมีแต่ความคิดรอเจอแฟนตอนเย็นน่ะ ผมว่าหมดสิทธิ์ตั้งโจทย์ชีวิตแบบพุทธแท้แน่ๆ”

ลานดาวหัวเราะโยกตัวไปมาเขินๆ เพราะทราบว่าอาจารย์ดักใจตน ซึ่งอดคิดถึงสรณะเป็นระยะๆไม่ได้ เนื่องจากเพิ่งทราบชัดด้วยความอิ่มเอมเปรมใจว่าเขาคือเนื้อคู่ที่แท้ แต่พอโดนกระตุก หล่อนก็สำรวมระวังจิตให้จดจ่อกับการสนทนาเต็มที่ยิ่งขึ้น

“เมื่อยังมีโจทย์แบบพุทธแท้ไม่ขึ้นใจ ก็ต้องหาโจทย์อื่นมาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีแก่ใจตั้งโจทย์ข้อสุดท้ายใช่ไหมคะอาจารย์?”

“ก็ต้องอย่างนั้น”

“แล้วพุทธศาสนามีวิธีใช้ชีวิตไปตามลำดับจนกว่าจะซึ้งเรื่องของทุกข์ แล้วใคร่ครวญจริงจังถึงการดับทุกข์ไหมคะ?”

“ก็มีสอนเรื่องการอธิษฐานและการพิจารณาโดยแยบคาย กำหนดทิศให้จิตค่อยๆเลื่อนขั้นอยู่เหมือนกัน เช่นเมื่อทำทานครั้งใด ท่านให้หมั่นอธิษฐานว่าขอจิตเราจงสละความยึดมั่นถือมั่นผิดๆได้โดยไม่เสียดาย เช่นเดียวกับที่ไม่เสียดายข้าวของซึ่งทำทานไปนั้น และเมื่อมีเหตุการณ์ยั่วยุให้ผิดศีลข้อใดแล้วใจเราแน่วแน่พอจะหักห้าม ท่านก็ให้ระลึกว่าผู้มีศีลย่อมไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ผู้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจย่อมมีจิตตั้งมั่นได้ง่าย ผู้มีจิตตั้งมั่นได้ง่ายย่อมรู้เห็นตามจริง ไม่มีความบิดเบี้ยวทางจิตเหมือนคนอื่น นี่แหละ ทำทานรักษาศีลด้วยอาการอย่างนี้เรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจะเริ่มมีความคิดเข้าเป้าใหญ่ของพุทธศาสนาไปเอง”

ลานดาวรีบจดยิกก่อนเงยหน้าขึ้นถามใหม่

“อย่างจ๊ะมีสิทธิ์อธิษฐานแล้วทำได้ภายในชาติเดียว หรือจำเป็นต้องสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติคะ?”

“จิตคนน่ะ เมื่อทำบุญแล้วสั่งสมแรงอธิษฐานด้วยใจจริงซ้ำๆเป็นประจำ ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าให้ไกลเกินรอหรอก คิดง่ายๆอย่างนี้ ช่วงที่หนูดื้อๆอยู่น่ะ ถ้าใครมาขอร้องอ้อนวอนให้อ่อนข้อรามือในเรื่องที่หนูไม่เต็มใจ หนูจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเขา?”

หญิงสาวทำหน้าสลด ตอบเสียงอ่อยแทบไม่ต้องคิด

“ก็ไม่ยอมสิคะ ต่อให้รู้ว่าเราเลว ต่อให้รู้ว่าเขาเต็มไปด้วยเหตุผลขนาดไหน ในเมื่อใจไม่ยอมเสียอย่าง พูดเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์”

“นั่นแหละ จิตมีแต่ตัว ‘ไม่ยอม’ เป็นเกราะเป็นกำแพงล้อมอยู่หนาทึบขนาดนั้น ถ้าหนูแค่ท่องซ้ำๆถี่ๆว่า ‘ยอมๆๆๆๆ’ เพียงไม่นานเกราะและกำแพงที่ตั้งกั้นเหตุผลทั้งหลายไว้ก็จะอ่อนยวบลงทันตาเห็น นี่สะท้อนว่าใจเราพร้อมจะเป็นไปตามความคิดที่สั่งสมซ้ำๆ”

ลานดาวยิ้มกว้าง เห็นเป็นอุบายที่น่าจดไว้แนะนำคนดื้อ ก้มลงบันทึกข้อความอึดใจเดียวก็เงยหน้าขึ้นถามต่อ

“แล้วความยโสโอหัง ทะนงด้วยความสำคัญตนว่ายิ่งใหญ่ล่ะคะ จะให้ใช้อุบายอะไรดี ที่สะกดจิตให้เปลี่ยนแปลงไปในทางอ่อนน้อมลง?”

อุปการะหยั่งทราบว่าลานดาวถามด้วยความอยากได้อุบายไปกล่อมเกลาตนเอง เนื่องจากหล่อนเริ่มมีคนนับถือมากขึ้น และประสพความสำเร็จรวดเร็วจนกิเลสบุกเข้ามาทุกทิศทุกทางจนตั้งสติรับแทบไม่ทัน ยิ่งวันอัตตายิ่งโต เขาจึงแย้มริมฝีปากยิ้มแนะนำด้วยความปรานี

“พอได้สติว่ากำลังถือดีมีมานะ ให้หนูยกมือพนมไหว้เดี๋ยวนั้นเป็นการใช้กิริยาทางกายสยบความผยองของจิต นอกจากพนมมือไหว้แล้วก็ควรระลึกถึงผู้น่ากราบไหว้อย่างพระพุทธเจ้าด้วย เสร็จแล้วเปรียบเทียบเอา ว่ามืดทึบเพราะอัตตาเป็นอย่างไร สว่างไสวเพราะความอ่อนน้อมเป็นอย่างไร และระหว่างมืดกับสว่างอย่างไหนดีกว่ากัน ไม่นานจิตจะฉลาดเลือกความอ่อนน้อมไปเองโดยไม่ต้องแกล้งฝืน”

ลานดาวเบิกหน่วยตากว้าง

“จ๊ะเพิ่งนึกออกว่าฝรั่งที่อยู่เมืองไทยนานๆแตกต่างจากเดิมตรงไหน นอกจากปรับระบบการคิดพูดเป็นภาษาไทย กับมีร่างกายอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศแบบไทยๆแล้ว ก็มีเรื่องของจิตอ่อนน้อมเพราะไหว้เป็นนี่เอง ที่เปลี่ยนความกระด้างภายในให้นุ่มนวลลง”

อุปการะพยักหน้า

“การพนมมือไหว้เป็นกิริยาของวิญญาณชั้นสูง กรรมสำคัญที่ทำให้จิตได้ช่องไปอยู่ในวรรณะประณีตคือความนอบน้อมถ่อมตน ยิ่งถ้าเรายอมอ่อนให้กับบุคคลอันควรเคารพสูงสุดเช่นพระพุทธเจ้า เกิดชาติไหนสมัยใดจะไม่พลัดตกไปเป็นพวกชั้นต่ำ และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างใต้อำนาจของใครง่ายๆ”

“แต่ก่อนจ๊ะไม่เข้าใจนัก นึกว่ายกมือไหว้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ระยะหลังพอรู้เหมือนกันค่ะว่าใจต้องน้อมเคารพด้วย การไหว้แต่ละครั้งถึงจะคล้ายหยอดกระปุก สั่งสมความอ่อนโยนได้เรื่อยๆจนกว่าจะเต็มวิญญาณ”

“เป็นอย่างนั้น การไหว้แบบกระโดกกระเดก หรือไหว้ไปก็แอบคิดด่าไป นอกจากไม่ได้บุญแล้วยังเป็นกรรมที่ก่อนิสัยไม่จริงใจ กลายเป็นคนสองหน้าตาส่อนได้อีกด้วย”

“ใครไม่มีผู้ควรเคารพอยู่ใกล้ก็ถือว่าขาดโอกาสแย่สิคะ”

“ธรรมเนียมไทยถึงให้มีห้องพระไว้ในบ้าน ก็เพื่อมีโอกาสกราบองค์ปฏิมาแทนพระพุทธเจ้า แล้วก็มีธรรมเนียมไปลามาไหว้ ทำความเคารพพ่อแม่อันเปรียบเหมือนพระในบ้าน ธรรมเนียมอันเป็นกรรมดีอย่างนี้ เด็กรุ่นใหม่กลับเห็นเป็นภาระรุงรังน่าขบขันกันไปหมด”

ลานดาวส่ายหน้าดิก

“ส่องสำรวจไปตรงไหน อะไรๆก็เป็นกรรมไปทั้งนั้น แบ่งให้เกิดชั้นวรรณะทางวิญญาณได้ทั้งนั้น”

“คนเราถึงหน้าตาแตกต่าง บุคลิกแตกต่าง ฐานะแตกต่าง อำนาจบารมีแตกต่าง ประสบโชคเคราะห์แตกต่าง มีจังหวะชีวิตที่สำเร็จและล้มเหลวแตกต่าง ทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะรวบรวมความแตกต่างยิบย่อยในการคิด การพูด การทำมาประสานกันนี่แหละ การผสมผสานของวิบากกรรมนั้นเป็นไปได้นับอนันต์ ผู้ที่รู้ทันความจริงนี้จะเห็นกุศลทั้งปวงเหมือนเครื่องประดับ แล้วเร่งสั่งสมความดีในแบบของตน รวมทั้งกวาดเก็บกรรมดีอื่นที่ยังไม่มีในตนมาเพิ่มให้มากขึ้นไป แล้วเขาจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากคนรอบข้างไปทุกชาติทุกภพ”

หญิงสาวนึกอยากไหว้บุรุษตรงหน้า ก็พนมมือไหว้ขึ้นมาเฉยๆ

“ขอทำบุญกับผู้ควรทำหนึ่งทีค่ะ” แล้วหล่อนก็ยิ้มแช่มชื่นแบบอิ่มบุญ “แต่ก่อนจ๊ะมองว่าต้นไม้แตกต่างกันได้โดยไม่ต้องทำกรรม คนเราต่างกันบ้างก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เฮ้อ! ธรรมชาตินี่จัดสรรปัจจัยมาให้เราคิดนอกลู่นอกทางสัจจะความจริงไปได้เรื่อยเลยนะคะ”

“กรรมจะไม่ง้อให้เราเชื่อกฎของเขาหรอก ตรงข้าม สำหรับคนส่วนใหญ่จะถูกแกล้งบังตาไม่ให้เห็นกฎ หรือทำให้ดูถูกกฎแห่งกรรมไปเลยด้วยซ้ำ”

“การเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรมนี่ผิดหรือเปล่าคะ?”

“ผิดซี่ กฎของกรรมก็อยู่ส่วนกฎของกรรม กฎของพืชก็อยู่ส่วนกฎของพืช นอกจากนั้นกฎของจิต กฎของฤดูกาล กฎของฐานะ กฎของโลกและจักรวาล ต่างก็แยกส่วนเป็นต่างหากจากกันหมด กฎของกรรมเพียงพาให้เราต้องไปพัวพัน หรือต้องไปเกี่ยวข้องแบบอ้อมๆกับกฎอื่น อย่างเช่นส่งให้ไปเกิดใต้ฤกษ์หรืออิทธิพลของดวงดาวดีร้าย ส่งให้ไปอยู่ในเขตที่มีฤดูกาลมากน้อย ส่งให้ไปอยู่ในประเทศที่ชุ่มชื่นหรือแห้งแล้ง พูดง่ายๆว่ากรรมมีหน้าที่แค่นำไปเกิด หรือเกิดแล้วให้มีสิทธิ์เลือกว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้แค่ไหน ทุกอย่างที่เราเห็น ได้ยิน และสัมผัส ล้วนแล้วแต่เป็นภาชนะรองรับผลกรรมก็จริง แต่พวกมันก็มีกฎธรรมดาของตัวเองอยู่ ไม่ต้องอาศัยอำนาจดลบันดาลของกรรมใครหรอก”

“แล้วกฎแห่งกรรมที่นำมาเกิดเป็นชายและหญิงล่ะคะจ๊ะว่าจะถามอาจารย์ด้วยความอยากรู้มานานแล้ว ทำอย่างไรจึงเป็นชาย ทำอย่างไรจึงเป็นหญิง?”

“ตามความเข้าใจของหนู ผู้ชายคืออะไร ผู้หญิงคืออะไร?”

ลานดาวชะงักไปนิดหนึ่งเพราะนึกไม่ถึงว่าอุปการะจะถามกลับเช่นนั้น แต่แน่นอนว่าอุปการะคงไม่ถามเล่นเอาสนุก อาจารย์ของหล่อนไม่เคยถามลองภูมิ ทุกคำล้วนมีความหมายกระตุ้นให้คิดในทางใดทางหนึ่งเสมอ หญิงสาวจึงใคร่ครวญก่อนตอบอย่างระมัดระวัง

“ถ้าพูดถึงร่างกายภายนอก ก็คงวัดกันด้วยอวัยวะต่างๆทั่วองคาพยพซึ่งแสดงลักษณะทางเพศที่เป็นตรงข้ามกัน ฝ่ายชายเอื้อให้นำหรือรุก ฝ่ายหญิงเหมาะจะตามหรือรับ แต่ถ้าพูดถึงจิตใจภายใน ยิ่งรู้จักคนมากขึ้นเท่าไหร่ จ๊ะก็ยิ่งเห็นเส้นแบ่งความเป็นเพศพร่าเลือนลงทุกทีค่ะ”

“ที่หนูตอบมาก็นับว่าเข้าเป้าแล้ว เอาล่ะ! เพื่อเข้าใจเรื่องกรรมที่ทำให้เป็นชายหรือเป็นหญิงอย่างถ่องแท้ ก่อนอื่นเราควรย้อนกลับมาหาพื้นฐานความจริงเกี่ยวกับกายมนุษย์กัน ความจริงอันเป็นที่สุดเกี่ยวกับกายคือแรกสุดมันไม่ใช่ชายหรือหญิง แต่เป็นแค่การประชุมกันของกระดูกฉาบเนื้อ บรรจุน้ำเลือดน้ำหนอง มีไออุ่นกระจายตลอดร่าง และเป็นที่พัดเข้าพัดออกแล่นขึ้นแล่นลงของลม”

“คือถ้าชำแหละออกมาเป็นกองๆจะไม่เห็นมีชายหรือหญิง เหลือแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลมเท่านั้นใช่ไหมคะ?”

หญิงสาวช่วยสรุปให้อย่างผู้ที่เริ่มมีความรู้ทางศาสนาในเชิงลึกพอสมควรแล้ว

“นั่นแหละ” อุปการะผงกศีรษะรับ “หากศพใครเหลือแต่กระดูกที่ป่นแล้ว หรือปรากฏแต่น้ำเลือดน้ำหนองกองไว้ จะไม่มีใครบอกได้เลยว่านั่นเคยเป็นชายหรือเป็นหญิง เพศเป็นแค่ภาวะอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นโดยกรรมบันดาลให้ดินน้ำไฟลมแสดงรูปชายหญิงชั่วคราว”

“เข้าใจค่ะ”

ลานดาวรับฟังได้ไม่ยากนัก เนื่องจากพอมีฐานความรู้เชิงชีววิทยาอยู่บ้าง ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่าทารกในครรภ์มารดาเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้น จะเริ่มต้นด้วยการมีอวัยวะเพศหญิงก่อน แต่ถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นชาย อวัยวะเพศแบบชายจึงปรากฏยื่นออกมาภายหลัง ส่วนถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นหญิง อวัยวะเพศจะฝ่อตัวหายไปก่อนคลอด

กล่าวให้ชัดคืออวัยวะเพศนั้น เดิมทีเคยเป็นอันเดียวกันนั่นเอง!

“วิญญาณที่มาปฏิสนธินั้น ถ้าพกเอาคุณสมบัติของบุรุษมาด้วยก็จะได้เป็นชาย คิดง่ายๆว่ามีพลังกุศลหนักแน่นพอจะผลักอวัยวะเพศให้ยื่นออกไป และแสดงรูปภาวะอื่นๆให้ปรากฏโดยความเป็นชาย”

ลานดาวจดเฉพาะคำสำคัญคือ ‘เป็นชายได้ต้องมีพลังกุศลหนักแน่นพอ’ สิ่งที่หล่อนครุ่นคิดอยู่ในหัวขณะนี้คือการเปรียบเทียบกันระหว่างความรู้ที่ได้รับจากโลกวิทยาศาสตร์กับความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะ ถ้าถามนักวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดจึงเป็นชาย ก็จะได้คำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำว่าเด็ก ‘บังเอิญ’ ได้รับโครโมโซม Y จากพ่อไปประกบคู่กับโครโมโซม X ของแม่ ยิ่งไปกว่านั้น นับวันวิทยาการยังมีสูตรสำเร็จที่หวังผลได้สูง ถ้าอยากได้ลูกชายต้องใช้ไม้ตายท่าไหน เทคนิควิธีและเครื่องช่วยอันใดบ้าง แพทย์แผนปัจจุบันจาระไนได้หมดว่าจะลด ‘ความบังเอิญ’ ลงให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร

แต่ในมุมมองที่ต้องมีวิญญาณเป็นปัจจัยประกอบในการปฏิสนธิ การวางแผนให้กำเนิดบุตรชายเป็นเพียงการตระเตรียมหัวโขนไว้อันหนึ่ง รอวิญญาณที่พร้อมพอจะมาอาศัยสวมเท่านั้น สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในแนวพุทธจนแก่กล้าพอจะหยั่งรู้รายละเอียดของรูปนาม ก็ย่อมรู้ประจักษ์ใจว่าจักรวาลนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ

“แล้วกรรมอะไรคะที่ทำให้เกิดพลังกุศลหนักแน่นพอจะได้เกิดเป็นชาย?”

“ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งโดยเฉพาะหรอก ถ้าให้มองออกง่ายที่สุดก็คือ ‘วิธีคิด’ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในขณะทำทานรักษาศีลนั่นเอง”

ลานดาวฟังแล้วเข้าใจคำพูดของอาจารย์อยู่รางๆ แต่ไม่ถึงขนาดกระจ่างเหมือนเห็นรูปด้วยตา จึงซักถามเพื่อเก็บรายละเอียด

“ทำไมต้องเอาวิธีคิดขณะทำบุญเป็นตัวตั้งด้วยคะ?”

“เพราะการทำบุญเป็นของใหญ่ เป็นสิ่งครอบงำนิสัย และมักเป็นตัวกำหนดเส้นทางหลักในการเวียนว่ายตายเกิด วิธีคิดในขณะทำบุญเป็นอย่างไร ก็มีความโน้มเอียงจะคิดแบบเดียวกันนั้นในขณะใช้ชีวิตประจำวันปกติไปด้วย”

ลูกศิษย์สาวจดวลี ‘วิธีคิดขณะทำบุญ’ แล้ววงเป็นดวงเด่นไว้ก่อนเงยหน้าถาม

“อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างวิธีคิดขณะทำทานที่ส่งให้ไปเกิดเป็นชายได้ไหมคะ”

“ก็ควรเป็นผู้ริเริ่ม นึกอยากทำทานเอง และชวนญาติสนิทมิตรสหายหรือคนรักไปทำด้วย จิตก่อนทำทานต้องมีความเลื่อมใสมั่นคง อย่างถ้าจะถวายสังฆทานนั้น ต้องรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ในการถวาย ไม่ใช่เห็นว่าการเตรียมของถวายเป็นภาระ หรือเห็นการถวายเป็นเรื่องทิ้งขว้างเปล่าประโยชน์ ต้องไม่มีความเสียดมเสียดายเงินทองและเวล่ำเวลาที่หมดไปกับสังฆทาน และขณะเมื่อกำลังถวายสังฆทาน จิตมีความเคารพ มีความชื่นชมยินดีในบรรยากาศการถวาย สุดท้ายหลังถวายสังฆทานเสร็จก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย รักษาความรู้สึกชื่นมื่นซึ่งบุญได้ปรุงแต่งจิตแล้วนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ นี่แหละ ที่มาของความหนักแน่นในทาน”

ลานดาวคัดเฉพาะคำสำคัญบันทึกไว้ ขณะเดียวกันหยั่งดูผลรวมของอาการทางใจในการทำทานทั้งหมดที่อาจารย์กล่าวมา ก็สำเหนียกทราบถึงความมั่นคงทางจิตเต็มอัตรา ใครนิ่งไม่กระสับกระส่ายในบุญได้อย่างนั้นจะให้ความรู้สึกเป็นแมนดีจริงๆ

“จ๊ะเคยได้ยินว่าผู้ชวนคนอื่นทำบุญ คนที่ไปร่วมทำบุญจะตามไปเกิดเป็นบริวารหรือคะ?”

“ผู้นำบุญจะเป็นผู้มีบริวาร อันนั้นถูกแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกที่ตามไปทำบุญด้วยกันหรอก”

“งั้นคนที่เอาแต่ตามทำบุญ มีใจนิยมในบุญ แต่ไม่ริเริ่มเอง และไม่เลื่อมใสในบุญเต็มกำลัง แม้จะได้รับอานิสงส์จากทานมากมายเพียงใด ก็ได้เกิดแค่เป็นหญิงหรือคะ?”

“ทำนองนั้น พวกคิดเล็กคิดน้อย สองจิตสองใจ ตอนแรกคิดเลือกของดีแล้วเปลี่ยนเป็นของคุณภาพด้อยกว่าในภายหลัง กิริยาอาการคิดเทือกนี้แหละที่เป็นฝักฝ่ายของอิสตรี เมื่อจะถือกำเนิดเกิดใหม่ พลังกุศลย่อมไม่หนักแน่นพอจะปฏิสนธิในเพศบุรุษ และถ้าเอาผลเฉพาะปัจจุบันที่เห็นทันตา คือจะเป็นผู้คิดมากไปทุกเรื่อง จุกจิกหยุมหยิมได้หมดกระทั่งเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ”

“เข้าใจชัดเลยค่ะ”

ลานดาวพูดกลั้วหัวเราะ เพราะหล่อนเองมักเป็นเช่นนั้น เช่นเวลานึกอยากใส่ซองทำบุญพันหนึ่ง ก็ชอบเปลี่ยนใจอยากชักออกสักครึ่ง ต่างจากสรณะที่ตั้งใจทำพันแต่ถึงเวลาเอาเข้าจริงมักกลายเป็นหมื่น แม้หล่อนทำบุญกับเขามาแค่สองสามหนก็เห็นนิสัยชนิดนี้ในเขาเด่นชัด

“จ๊ะคิดหยุมหยิมในการทำทานของตัวเองบ่อยๆ คงต้องปรับปรุงค่ะ แต่เวลาทำบุญกับพี่ณะ นิสัยช่างคิดของจ๊ะก็ทำให้เขาได้ไอเดียดีๆแบบไม่เคยนึกมาก่อนเหมือนกันนะคะ”

“ดีแล้ว ถ้าปรึกษาการบุญร่วมกันด้วยความปรองดอง ระหว่างทางไปและทางกลับไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็เชื่อขนมกินได้ว่าชีวิตคู่จะเป็นสุข เพราะทั้งสองคนจะปรึกษาปัญหาขัดแย้งอื่นๆได้ลงตัวเหมือนคุยกันในงานบุญนั่นเอง”

“วาว! ดีจังที่ได้รู้เสียอย่างนี้ จะจำไปบอกพี่ณะค่ะ”

“ความจริงถ้าเพิ่งคบกันแล้วอยากรู้ว่าพอไปด้วยกันได้ไหม ก็แค่ดูง่ายๆด้วยการทดลองทำบุญร่วมกันนี่แหละ ดูว่ามีใจเสมอกันในการคิดเห็นเรื่องค่าใช้จ่ายไหม ดูว่าระหว่างเดินทางทำบุญมีเหตุให้ต้องขุ่นเคืองใจหรือเป็นปากเป็นเสียงกันไหม หากทุกอย่างราบรื่นหลายๆหน ก็จะส่อเค้าชัดขึ้น รู้กับใจทั้งสองฝ่ายทีเดียวว่าน่าจะครองกันอย่างมีความสุข”

“โอ้โห! นึกไม่ถึงมาก่อนเลยค่ะ แต่ก็เป็นอย่างที่อาจารย์บอกจริงๆด้วย ครั้งแรกที่พี่ณะชวนไปทำบุญด้วยกัน มีแต่เรื่องดีๆน่าชื่นใจเข้ามาเพิ่มปีติ แล้วหลังจากพี่ณะตกลงจัดของสังฆทานตามคำแนะนำของจ๊ะ ก็เหมือนเห็นอะไรตรงกัน อยากว่าอะไรว่าตามกันไปหมด”

“การทำทานด้วยความปรองดองจะมีผลสืบเนื่องไม่รู้จบทั้งชาตินี้และชาติถัดๆไป”

“ใจคนส่วนมากไม่ใหญ่พอจะคิดถวายสังฆทานอย่างชาย อย่างนี้ควรจะฝึกเป็นขั้นเป็นตอนยังไงดีคะถ้าอยากเกิดเป็นชาย?”

“ก็ให้เริ่มไต่ระดับเป็นขั้นๆจากหยาบไปหาละเอียด โลกนี้เต็มไปด้วยผู้พร้อมจะรับ ซึ่งก็หมายถึงมีพื้นที่ฝึกหัดให้ลงหลายสนามจากง่ายไปหายาก แรกสุดควรเลือกทำทานกับสัตว์ เพื่อสร้างใจที่ไม่หวังผลตอบแทนก่อน จากนั้นขยับขึ้นมาทำทานกับขอทานข้างถนน แบบที่พิการชัดๆก็ดี เป็นการสร้างใจที่เอื้อเฟื้อต่อคนตกทุกข์ได้ยาก ทำด้วยเศษสตางค์ทีละน้อยๆ แต่ขอให้บ่อย ให้เป็นกิจวัตรประจำวันได้ยิ่งดี จิตจะเริ่มติดสุขในการให้เปล่า แล้วใจจะค่อยๆใหญ่ขึ้น อยากให้ด้วยความเต็มใจยิ่งๆขึ้น เพิ่มพูนน้ำจิตคิดเมตตากรุณาจริงแท้ยิ่งๆขึ้น ถึงตรงนั้นแหละ แม้ไม่มีใครชักชวน อยู่ดีๆก็อาจนึกอยากทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยตนเอง”

ลานดาวยิ้มกริ่ม ต่อไปถ้าใครถามเรื่องวิธีเลือกเกิดใหม่เป็นชาย หล่อนจะเริ่มตอบจากวิธีให้ทานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้

“การทำบุญเอาหน้ามีส่วนลดทอนความหนักแน่นของกุศลหรือเปล่าคะ?”

“ก็แล้วแต่จังหวะการคิด การทำบุญเอาหน้านั้น ในมโนทวารของเราจะมีหน้าตาใหญ่ๆของตัวเองแปะอยู่ในกองบุญ อาการนึกขณะนั้นไม่แน่วบริสุทธิ์ไปในบุญ ถ้าคิดอยู่ตลอดเวลาก็อาจเหมือนพระจันทร์ข้างแรม แสงบุญหรี่เหลือน้อยเพราะถูกบดบังเห็นเป็นเงามืดไปเกือบหมด อย่างนี้ไม่จัดเป็นการทำบุญของบุรุษ แต่ถ้าคิดเพียงเล็กน้อยก็เหมือนพระจันทร์ที่เพิ่งอยู่ในช่วงข้างขึ้น แม้มีเงามืดบดบังแสงอยู่บ้างก็นับว่านิดหน่อย อย่างนี้ยังเข้าข่ายการทำบุญของบุรุษอยู่”

“การทำบุญหวังผลด่วน การทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่ แบบพวกเห็นการทำทานเป็นการลงทุนทางธุรกิจ ก็มีผลลดทอนกำลังกุศลด้วยใช่ไหมคะ?”

“ใช่ แต่ถ้าอธิษฐานแบบสมเหตุสมผลบ้างก็ไม่เป็นไร คนส่วนใหญ่เงินขาดมือ ชักหน้าไม่ค่อยถึงหลัง หากทำทานเป็นประจำแล้วขอให้มีรายได้จากการขยันทำงานไม่ขาด อย่างนี้ผลทานจะไปเพิ่มความสว่างทางการเงินในชาติปัจจุบันได้จริง แล้วก็ไม่ถึงกับลดทอนกำลังกุศลแบบชายลงมากนัก แต่อย่างหนูไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ก็ควรตั้งจิตให้บริสุทธิ์ในบุญโดยไม่หวังผลไปเลยจะประเสริฐสุด”

“แล้วการกีดกันไม่ให้คนอื่นมีส่วนในกองบุญของเราหรือกลุ่มญาติของเราล่ะคะ จัดเข้าฝักฝ่ายทานแบบสตรีได้หรือเปล่าจ๊ะเห็นเต็มเลย คนไทยชอบแยกกองบุญว่านี่ส่วนของฉัน ฉันจะภูมิใจของฉันเป็นเอกเทศ อย่าได้เอาของเธอมาปะปนกัน”

“ทานแบบนั้นก็น้องๆวิธีการทำบุญเอาหน้านั่นแหละ แต่เรียกให้ตรงตัวคือเป็นการทำบุญด้วยจิตใจคับแคบมากกว่า ไม่ได้เป็นฝักฝ่ายบุรุษหรือสตรีโดยตรง เพราะบางคนกันกองบุญของตัวเองเป็นต่างหากจากคนอื่นก็ด้วยแน่วไปในความหวังว่าตนจะได้เสวยบุญส่วนตัวเต็มบริบูรณ์ ความคิดในการทำบุญทำนองนี้จะส่งผลให้ใช้ชีวิตปกติแบบไม่ค่อยเอื้อเฟื้อ คิดเห็นแปลกแยกจากคนอื่น หรือคิดอยากได้ดีเด่นเหนือใคร ยอมน้อยหน้าไม่ได้ ผลทางอ้อมคือมีเพื่อนน้อย หน้าตาถึงแม้สวยหล่ออย่างไรก็เหมือนขาดเสน่ห์น่าคบหาไป และชาติหน้าคนเห็นโหงวเฮ้งแล้วจะรู้สึกว่าเป็นพวกใจแคบด้วย”

“กรรมนี่ทำกันได้ละเอียดพิสดารจริงๆเลย”

ลานดาวรำพึง อุปการะสาธยายอย่างเห็นประโยชน์ในการให้ความเข้าใจ

“เรื่องการทำทานน่ะนะ ความจริงถ้าเข้าใจหลักสำคัญก็ไม่มีอะไรมากหรอก ขอแค่แม่นตรงจุดยอดจุดเดียว คือบุญจะเกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับจิตที่เปิดกว้าง ที่เบิกบาน ที่เป็นปีติสุข ถ้าเห็นตรงนี้ให้ได้ คนเราจะฉลาดทำบุญเหมือนๆกันหมด สามารถนำไปเป็นหลักตรวจสอบใจตัวเองได้หมดว่าคิดเข้าร่องเข้ารอยหรือยัง”

หญิงสาวก้มหน้าก้มตาจดสรุปพร้อมขยายความว่าทานจิตที่สมบูรณ์วัดกันด้วยความเปิดกว้างไม่คับแคบ ความเบิกบานไม่หดหู่ กับความมีปีติสุขไม่เศร้าหมอง หากมีคุณสมบัติของกุศลจิตครบ ก็สะท้อนให้เห็นถึงรากว่าวิธีคิดในการทำทานถูกต้องบริบูรณ์

“คราวนี้เอาศีลเป็นเกณฑ์บ้างล่ะคะ อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของชาย อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของหญิง?”

“วัดกันที่ความแน่วแน่ในการตั้งใจรักษาศีล ความตั้งใจไม่กระทำกาเมสุมิจฉาจารอย่างเด็ดขาด ฝักฝ่ายของชายคือมีใจเดียวเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ไม่เอาแน่ๆ ไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับการห้ามใจหรือลังเลว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี ยืนกรานปฏิเสธแบบกระต่ายขาเดียวเลยเมื่อโอกาสมาถึงหรือมีใครมายั่วยวนชวนขึ้นเตียง”

“สรุปคือถ้าไม่ใช่สามีหรือภรรยาของตน ก็จะไม่ใจแกว่งเป็นอันขาด?”

“ใช่!”

“ถ้าสนิทกัน คิดว่าหยวนๆหน่อยเดียวแค่หอมปากหอมคออะไรงี้นับหรือเปล่าคะ?”

“นับสิ! ส่วนใหญ่เกิดเป็นหญิงก็เพราะใจอ่อน หยวนๆนิดหยวนๆหน่อยนี่แหละ ใจคนน่ะ ไม่ต้องถึงขั้นหอมปากหอมคอหรอก แค่ครุ่นคิดไม่เลิก ไม่ยอมหักห้าม ก็เริ่มผิดกันที่ตรงนั้นแล้ว”

“ผิดศีลตั้งแต่คิดแล้ว?”

“ถ้าใจคิดอย่างเดียว ยอมจุกอกปิดกั้นไม่ให้ลามมาถึงมือไม้ก็แค่ถือว่าศีล ‘พร้อมจะด่างพร้อย’ เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น ‘ด่างพร้อยไปแล้ว’ เรียบร้อย ศีลจะเริ่มมีมลทินด่างพร้อยก็เมื่อแตะเนื้อต้องตัวกันด้วยความกำหนัดยินดี”

“แกล้งจับมือด้วยความยินดีในสัมผัสระหว่างเพศก็ถือว่าต้องมลทินแล้ว?”

“อย่างนั้น”

“แปลว่าตราบใดศีลยังไม่ด่างพร้อย ยังไม่แกล้งเฉี่ยวมือเฉี่ยวไม้ ยังมีความหักห้ามยั้งคิด ก็นับเป็นฝักฝ่ายของชายอยู่ใช่ไหมคะ?”

“ใช่! แต่พวกตัดเด็ดขาดไปเลยแม้กระทั่งความคิด อย่างนั้นถึงจะเรียกว่ามีใจเป็นลูกผู้ชายเต็มร้อย”

“ฟังดูขัดแย้งชอบกลนะคะ เรื่องพรรค์นี้โดยวิสัยของผู้หญิงจะระวังตัวมากกว่าผู้ชายไม่ใช่หรือถึงแม้ยุคนี้เหมือนฟรีกันมากขึ้น จ๊ะสังเกตดูผู้หญิงยังมีความละอาย ทำแล้วสำนึกผิดอยู่ดี ต่างจากพวกผู้ชายที่จะมองการคบชู้เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ทำไปไม่สำนึกผิดเลยสักนิดเดียว นี่มิแปลว่าผู้หญิงมีแนวโน้มจะเกิดใหม่เป็นชายได้มากกว่าผู้ชายในชาติปัจจุบันหรอกหรือคะ?”

“ก็เป็นวิธีสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเพศไง พออยู่ในอัตภาพหญิงก็เจียมในสภาพของตน เห็นว่าเป็นฝ่ายเสีย เป็นฝ่ายรู้สึกงามหน้า เลยระมัดระวังรักนวลสงวนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแต่งงานแล้วก็มีแนวโน้มจะซื่อสัตย์กับสามี แต่พออยู่ในอัตภาพชายก็ทะนงในพลกำลังของตน แถมเกิดความมักง่ายด้วยเห็นว่าตนไม่เสียหายอะไร เป็นฝ่ายได้ เป็นฝ่ายสนุกอย่างเดียว นักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย ชาติต่อไปจะเป็นกะเทย เป็นบทลงโทษให้เกิดความอับอายแรงๆชดเชยกับที่ไม่เคยอายเอาเสียเลย ส่วนพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร แต่ยังเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง”

ลานดาวหัวเราะอย่างถึงบางอ้อ

“พูดง่ายๆคือเป็นทอมใช่ไหมคะ?”

“ทำนองนั้น”

“ถามหน่อยเถอะค่ะ จ๊ะกับพี่เอินเป็นหญิงแท้ทั้งคู่ ทำไมเคยรักเคยหลงในแบบชู้สาวกันได้เป็นการบีบคั้นของกรรมอย่างเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาความต่างศักย์แบบขั้วหนึ่งเป็นทอม ขั้วหนึ่งเป็นดี้เลยหรือ?”

“คู่ที่รักและผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติมานาน ก็มักก่อกรรมร่วมกันมาหลายแบบ จึงมีฐานะได้หลากหลายอย่างนี้แหละ พอพบเจอจะตั้งต้นด้วยความรู้สึกว่าเป็นอะไรกันก็ได้ ขอให้มีความผูกพัน มีโอกาสใกล้ชิดกัน ทำอะไรร่วมกัน ตัวหนูเองในชาตินี้นั้น วิบากด้านดีทำให้มีเสน่ห์เป็นที่น่าหลงรักสำหรับทุกเพศอยู่แล้ว พอหนูโดนวิบากด้านร้ายบังคับให้ตกหลุมรักหมอเอิน กระแสความอยากในเชิงชู้สาวของหนูก็บีบให้เขาพลอยหลงผิดตามกัน เพราะมีความผูกพันลึกซึ้งนำหน้า แถมหมอเอินเองก็มีความเหงาหนุนหลังอยู่”

“เป็นเหตุเป็นผลที่เหมือนปรากฏอยู่ตรงหน้าชัดๆ แต่อธิบายไม่ถูกอย่างอาจารย์เลยค่ะ แล้วจ๊ะหลุดจากบ่วงกรรมได้เพราะหมดแรงส่งของกรรม หรือว่าตามขั้นตอนของผังกรรมนั้นจ๊ะจะต้องเจอพี่แตร หรือว่าเป็นเพราะจ๊ะทำใจสละบาปแล้วอธิษฐานขอพบคนใหม่กันแน่คะ?”

“ทุกอย่างประกอบกัน แต่จุดใหญ่ที่สุดคือจาคะ ความมีใจคิดสละบาปนั่นแหละเป็นตัวประกอบสำคัญสูงสุดในกรณีของหนู เพราะเดิมหนูมีความคิดเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัวจัด ถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงตัวตนเดิมๆ ก็จะต้องหลงวนอยู่ในวงโคจรเดิมๆ ไม่อาจเจอคนใหม่ที่ดีกว่า คล้ายสร้างเขาวงกตให้ตัวเองหาทางออกไม่เจอ หรือเหมือนขุดหล่มให้ตัวเองติดอยู่อย่างไม่อาจถอนเท้าขึ้นมาสำเร็จ”

“ถ้ามองตามจริงว่าชีวิตต้องผ่านการเลือกคู่หลายครั้ง คิดสละคนที่ไม่ใช่ไปเรื่อยๆ ก็คงทำใจให้ปักแน่วมั่นคงในศีลได้ยากสิคะ เหมือนๆจะต้องเตรียมใจรับสภาพว่าเขาอาจไม่ใช่ของเราในวันหนึ่ง เราเองก็มีสิทธิ์สอดส่ายสายตาหาคนเหมาะกว่านี้ พูดตรงๆเลยก็ได้ แม้แต่จ๊ะในวันนี้ ถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าพี่ณะใช่ จ๊ะก็คงไม่ทุ่มใจให้กับเขาหมดหรอก กลัวว่าในที่สุดก็ไม่ใช่เหมือนพี่แตรอีก”

“อือม์… หนูก็พูดถูก เกมกรรมน่ะเล่นยาก เตรียมใจยาก ทุ่มมากไปก็กลายเป็นยึดมั่นถือมั่นผิดตัวได้ เผื่อมากไปก็กลายเป็นหลายใจได้ เอาเป็นว่าเมื่อตัดสินใจอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับใคร ต่างคนต่างก็ไม่ทำเรื่องบาดใจกันด้วยการรักษาศีล ไม่ล่วงละเมิดศีลข้อกาเมฯแน่ๆจนกว่าจะแยกเตียงเป็นเรื่องเป็นราวก็แล้วกัน โลกนี้นะ ถ้าเอาตามอุดมคติ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ฝ่ายชายเลี้ยงดูและปกป้องภรรยา ภรรยาปรนนิบัติรับใช้สามีด้วยความซื่อสัตย์ มีค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว ก็ได้ชื่อว่าทั้งคู่ทำจิตไม่ให้ซัดส่ายสับสน ไม่ต้องชดใช้บาปกรรมทางเพศทั้งชาตินี้และชาติหน้ากันแล้ว ต่อให้ชาตินี้ยังไม่รักกันดูดดื่มปานจะกลืน ศีลสัตย์ก็จะกลายเป็นพลังดลใจให้รู้สึกรักลึกซึ้งเมื่อเจอกันในปรโลกไปเอง”

“เพื่อนจ๊ะหลายคนบ่นกันมากเลย ว่าอยากเกิดเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงมีแต่เสียเปรียบ หากผู้หญิงเกิดอยากเป็นผู้ชายในชาติหน้า ถ้ารักษาศีลข้อกาเมฯให้บริสุทธิ์แล้วอธิษฐานเอา อย่างนี้จะเกิดผลสำเร็จตามปรารถนาไหมคะ?”

“สำเร็จซี่ เพราะใจที่เลื่อมใสในศีล รักษามั่นในศีลอย่างหนักแน่น เป็นฝักฝ่ายของบุรุษอยู่แล้ว หากอธิษฐานกำกับไว้ด้วยก็ต้องได้เป็นชายแน่นอน”

“อย่างนี้ถ้าอยู่ตัวคนเดียวไม่แต่งงานก็หมดสิทธิ์สร้างกรรมว่าด้วยความซื่อต่อสามีสิคะ?”

“อยู่ตัวคนเดียวก็คิดได้ ว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาแล้ว ถ้าให้ดีครองตัวบริสุทธิ์ไปเลย เพราะการถือครองพรหมจรรย์ การถือศีลแปดประพฤติธรรมจนเกิดปีติสุขปลอดโปร่ง จะบันดาลผลให้ได้เป็นชายตามปรารถนาแน่นอนที่สุด”

“เพราะอะไรคะ?”

“เพราะพรหมจรรย์ทำให้จิตมีกำลังเป็นกุศลหนักแน่นไงล่ะ ต้องใช้กำลังใจไม่ใช่น้อยๆนะถึงจะอยู่รอดตลอด กามน่ะเหมือนห้วงน้ำ ทำให้จิตเอิบชุ่มด้วยยางเหนียว เป็นตัวลดทอนอำนาจกุศลให้อ่อนกำลังลงอย่างมาก คนที่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงกามรสหนักๆจิตมักจดจ่ออยู่กับเครื่องเพศของหญิง ยิ่งจดจ่อมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งยึดในอัตภาพหญิงมากขึ้นเท่านั้น เหมือนภพของหญิงเป็นแม่เหล็กดึงดูดจิตให้ไปติดจนแกะยาก พอติดจมมากเข้าในที่สุดเลยกลายเป็นหญิงไปเสียเองเมื่อเกิดใหม่ครั้งต่อไป”

ลานดาวเขียนคำว่า ‘ความมักมากในกาม’ แล้วขีดเส้นใต้

“แค่ไหนถึงเรียกว่า ‘มักมากในกาม’ ในความหมายของอาจารย์คะ?”

“คือมีความคิดส่วนใหญ่ตรึกไปในกาม อย่างเห็นใครก็เน้นมองเป็นวัตถุกามไปหมด ไม่ค่อยอยากรู้แง่มุมอื่นของใครเท่าไหร่ ที่สำคัญคือมีใจอุทิศร่างกายให้กับกามท่าเดียว วันๆแทบไม่อยากหยิบจับอย่างอื่น”

หญิงสาวหน้าแดงหน่อยๆ เม้มปากหัวเราะออกจมูก เหลือบตาลงต่ำเพื่อจดบันทึกก่อนเปรย

“ผู้ชายหลายคนมองว่าการประกาศศักดาของชาติชาตรีคือการมีผู้หญิงเยอะๆ บางทีจ๊ะยังเคยคิดเลยค่ะว่าเป็นผู้ชายไทยนี่ดีเนอะ เมียยิ่งมากสังคมก็ยิ่งยกนิ้วโป้งให้ว่าเก่ง บางประเทศเขากีดกันไม่ยอมให้พวกขุนแผนเล่นการเมืองระดับประเทศด้วยซ้ำ”

อุปการะพยักพเยิด

“ค่านิยมของคนทั่วไปมักยืนพื้นอยู่บนความเชื่อในทางเสื่อม พูดง่ายๆว่าชอบแข่งกันเก่งในทางลง ไม่ใช่ทางขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะความไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วได้ผลตอบแทนท่าไหนนั่นเอง อย่างเช่นคนมักเข้าใจว่าแมนเต็มร้อยคือต้องแข็งกระด้างหรือแสดงออกในทางก้าวร้าวฉุนเฉียว ปล่อยอารมณ์เต็มที่โดยไม่ต้องใช้เหตุผลยั้งคิดให้มาก หรือเข้าใจผิดอย่างหนักคือควรพิสูจน์ความเป็นชายด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเยอะๆ ทั้งที่กรรมเหล่านั้นเป็นฝักฝ่ายให้ได้เกิดเป็นหญิงแท้ๆ”

“แล้วพวกจิตวิปริต ชอบกดขี่ทารุณผู้หญิงล่ะคะ ต้องไปเกิดเป็นหญิงเพื่อโดนเอาคืนในรูปแบบเดียวกันหรือเปล่า?”

“กรรมจำพวกนั้นไม่ต้องทำบ่อยเป็นอาจิณก็มีน้ำหนักถีบลงนรกได้ เพราะการข่มขืนหรือการกดขี่ทารุณทางเพศบาดจิตบาดกาย เบียดเบียนผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดความสกปรกแก่จิตของผู้กระทำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าโชคดีหน่อยลงไม่ถึงนรก อย่างน้อยก็ไปเป็นสัตว์ที่ถูกทำทารุณแบบหมดสิทธิ์ป้องกันตัว และในชาติถัดๆมาหากบุญถึง มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เศษกรรมย่อมเสกรูปหญิงมาเพื่อชดใช้หนี้เก่าซ้ำ ตามหลักที่ผู้เอาเปรียบย่อมกลายเป็นผู้เสียเปรียบ ผู้กระทำย่อมถูกกระทำคืน เขาจะงุนงงว่าเหตุใดตั้งแต่ต้นชีวิตตนจึงพบเจอแต่การทารุณทางเพศ ทั้งที่หญิงอื่นหลายต่อหลายคนไม่เคยถูกกล้ำกรายแม้เท่าแมวข่วน”

ลานดาวกะพริบตาถี่ๆ ข่าวอาชญากรรมทางเพศเป็นเรื่องน่าหวาดผวาสำหรับลูกผู้หญิงทุกคน แต่หลังจากตระหนักว่าโลกทั้งโลกถูกดูแลโดยกรรม หล่อนก็เดาว่าอดีตชาติตนคงไม่เคยทำเรื่องโหดร้ายมาก่อน ชาตินี้จึงไม่มีเรื่องโหดร้ายแผ้วพานมาใกล้ตัวแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่เพื่อนบางคนมาปรับทุกข์ให้ฟังแล้วต้องฉงนว่าสมัยนี้คนส่วนใหญ่อยู่กันเข้าไปได้อย่างไร บางรายเจอเป็นปกติแทบปีละหนทีเดียว

“น่ากลัวจังนะคะ เหมือนหมุนวนเป็นวัฏจักรอย่างนี้เอง ธรรมชาติให้เครื่องล่อใจมา พอบุ่มบ่ามคว้าเหยื่อล่อด้วยวิถีทางที่ผิดบาป กระทำชำเราคนอ่อนแอ อนาคตก็ต้องกลับเป็นคนอ่อนแอให้ถูกชำเราคืน โดยจำไม่ได้ว่าตัวก็เคยทำเขามา มีแต่จะเคียดแค้นอยากจองเวรกันไม่เลิกราต่อไป”

“ถ้ามองจากมุมของผู้อยู่เหนือกรรมอย่างพระพุทธเจ้า ทุกคนน่าสงสารหมด ทุกความเลวทรามเป็นกรรมอันน่าสลดสังเวชหมด เพราะเป็นเหตุให้ต้องรับผลย่ำแย่ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเสมอ ตราบใดยังไม่มีการสำนึกผิด ตราบใดยังไม่มีการอโหสิ ตราบนั้นเวรจะยังไม่ระงับ แล้วก็ต้องอยู่บนเส้นทางเดิมที่น่าเหน็ดหน่ายไม่สิ้นสุดกันต่อไป”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจ ภาวนาอย่าได้ต้องมีเวรมีภัยกับใครอีกเลย

“จ๊ะสรุปอย่างนี้ถูกไหมคะ…” กระแอมนิดหนึ่งก่อนดูโน้ตรวมๆ “จิตวิญญาณไม่มีเพศ คือทางนามธรรมไม่มีใครเป็นชาย ไม่มีใครเป็นหญิง มีแต่กรรมทางการคิด การพูด การทำของแต่ละคนที่ ‘สมชาย’ หรือ ‘สมหญิง’ ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมมีความสมชายก็ทำให้เกิดรูปชาย ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมไม่พอก็ได้รูปหญิงกันไป เพราะเป็นเพศหญิงกันง่าย ตอนเป็นตัวอ่อนทุกคนก็เป็นหญิงอยู่แล้ว”

“ถูก!” อุปการะรับรอง “ว่าแต่รู้ช่องทางอย่างนี้แล้ว ยังพอใจจะเป็นหญิงต่อไปไหมล่ะ?”

คำถามนั้นแฝงน้ำเสียงสัพยอก ลานดาวยกมือลูบเส้นผมยาวของตนเองลงมาถึงปลาย กิริยานั้นทำให้รู้สึกถึงความเป็นหญิงจนต้องระบายยิ้มที่มุมปากนิดๆ ความเป็นหญิงทำให้หล่อนรู้สึกว่าเป็นสมบัติของผู้ชายคนหนึ่ง ขณะเดียวกันนั่นก็เป็นนาทีแรกที่รู้สึกแปลกไป เดิมทีหล่อนไม่ได้เป็นหญิง ไม่ได้เป็นสมบัติของใคร ไม่แม้แต่จะเป็นเจ้าของครอบครองร่างกายตนเองได้ชั่วกาลนานด้วยซ้ำ แต่กรรมเก่าส่งให้มาใช้ชีวิตในภาวะอิตถีชั่วคราว เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นหล่อน หล่อนเป็นเจ้าของร่างหญิงนี้

แต่ความติดใจในการครองรูปหญิงก็ยังเหนียวแน่น เพราะ…

“ถ้าเป็นหญิงแล้วได้ตามพี่ณะไปเรื่อยก็ดีเหมือนกันนะคะ”

อุปการะหัวเราะแล้วเบนหน้าไปอีกทาง

“อือ… ก็ดีตามอัธยาศัยเก่าของเรา”

“จ๊ะรู้สึกว่าพี่ณะมีความเป็นชายออกมาจากข้างใน บอกไม่ถูก เหมือนเขาเป็นชายตลอดมาทุกภพทุกชาติ และจะไม่กลับเปลี่ยนเป็นหญิงเลย จ๊ะเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”

อุปการะดึงสายตากลับมามองลูกศิษย์สาว

“คุณสรณะก็เหมือนแฟนคนก่อนของหนู พวกนี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีมามากแล้ว จิตใจหนักแน่นเกินมนุษย์ เสียสละขนาดตายแทนคนไม่รู้จักได้ ก็ธรรมดาที่หนูจะรู้สึกว่าเขาเป็นชายเต็มพิกัด”

“พระโพธิสัตว์นี่คือพวกที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตใช่ไหมคะ?”

“ใช่… ในอดีตกาลพวกนี้เคยพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆแล้วเกิดแรงบันดาลใจ แทนที่จะบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จอรหัตตผลเอาตัวรอดเฉพาะตน ก็ขอเดินทางอ้อม อยากอยู่บำเพ็ญบารมีต่อจนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพื่อช่วยรื้อถอนสัตว์จากสังสารวัฏด้วยกำลังแห่งตน มโนกรรมอันเป็นมหากุศลนั้นส่งผลให้ชาติต่อๆมาเป็นผู้มีความริเริ่ม มีความหนักแน่นในการทำกุศลยิ่งใหญ่มาก กำลังใจที่จะคิดเองทำเองนั้นสูงเหนือธรรมดา เดินเดี่ยวได้โดยไม่ต้องมีใครนำ ชอบแต่จะชักจูงหรือนำพาใครต่อใครไม่เลือกหน้าให้ได้ดีตามตน นับว่าเป็นกรรมในฝักฝ่ายของบุรุษสุดขั้ว จึงมีความเป็นชายติดตัวไปตลอดตราบเท่าเข้านิพพาน”

“จ๊ะจะได้เป็นตัวจริงของพี่ณะตลอดไปด้วยใช่ไหมคะ?”

“หนูเคยอนุโมทนายินดีกับความปรารถนาพุทธภูมิของคุณสรณะมาหลายครั้ง มีน้ำใจหนักแน่นขนาดออกปากเปล่งวาจาอธิษฐานขอยินดีในกุศลร่วมกับเขาทุกภพทุกชาติได้ วจีกรรมที่เกิดซ้ำๆด้วยใจจริงหลายภพหลายสมัยนั้น จะดลให้ได้เป็นคู่แท้ของเขา เพราะชนะบุญที่หญิงอื่นทำร่วมกับเขามาทั้งหมด พูดให้เข้าใจง่ายคือเมื่อไหร่เขาเป็นราชาหรือมหาจักรพรรดิผู้มีบาทบริจาริกาตามประเพณีหลายนาง เราจะเป็นมเหสีเอกเสมอ ไม่มีทางเป็นนางสนมอย่างเด็ดขาด”

ลานดาวสยายยิ้มกว้างด้วยแรงฉีดของปีติ

“เมื่อกี้แค่อาจารย์พูดถึงการปรารถนาพุทธภูมิของพี่ณะ จ๊ะก็นึกยินดีจะติดตามเขาตลอดไป ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน อันนี้คือสัญญาณทางใจที่ติดมาจากการอธิษฐานเดิมใช่ไหมคะ?”

“อย่างนี้แหละ ธรรมดาของการอธิษฐานจะให้ผลแบบข้ามชาติในรูปความเต็มใจคิดแบบเดิมๆเมื่อถูกกระตุ้นเตือนให้ระลึกได้ เหมือนไฟลึกลับที่ผุดโพลงขึ้นมาจากส่วนลึกอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ เราจะบอกตัวเองว่าใช่โดยปราศจากคำถามหาเหตุผลที่มาที่ไป”

“คิดทบทวนแล้วก็ประหลาดดีจังค่ะ ตอนยังไม่ทันอายุเข้าวัยรุ่นดี จ๊ะเห็นพี่ณะออกทีวีก็หลงใหลคลั่งไคล้เอามากๆ และเชื่ออยู่ลึกๆว่าจ๊ะเป็นของเขา แต่ความเชื่อนั้นก็สลับกับความคิดว่านั่นน่าจะเป็นแค่อาการละเมอเพ้อพกของเด็กผู้หญิงช่างฝันคนหนึ่ง แล้วจ๊ะก็เริ่มเมียงมองหาเจ้าชายในโลกความจริง ค่อยๆโตขึ้นพร้อมกับความตระหนักชัดว่าพี่ณะคงอยู่ไกลเกินเราจะตามทัน แต่เขาก็เป็นเครื่องวัดระดับผู้ชายอื่นๆของจ๊ะ และเหมือนคอยเป็นเครื่องบอกอยู่ตลอดเวลาว่าให้ดีแค่ไหนก็ยังไม่ใช่ไปหมด ไม่น่าพอใจไปทั้งนั้น เพราะยังเทียบเขาไม่ได้สักคน เว้นพี่แตรที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว”

“อือ… ก็เพราะแฟนเก่าของหนูอยู่บนทางพุทธภูมิเหมือนกัน บำเพ็ญบารมีมาใกล้เคียงกัน”

หญิงสาวหัวเราะนิ่มๆ

“สิ่งที่สำคัญว่าเป็นอุปาทานกลับกลายเป็นของจริงไปได้ อย่างนี้จะมีวิธีรู้ไหมคะว่าตกลงอันไหนอุปาทาน อันไหนคือสัญญาณเก่าจากอดีตชาติจริงๆ?”

“ปุถุชนธรรมดาที่ปราศจากญาณหยั่งรู้กรรมสัมพันธ์ระดับข้ามภพข้ามชาติ ไม่มีทางแยกได้ออกหรอก เป็นเรื่องอจินไตย คือพระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิด ถือเป็นอุปาทานไปก่อนจะปลอดภัยที่สุด ไว้มีเหตุปัจจัยคลี่คลายพิสูจน์ตัวเองค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย”

“เอ่อ… ในเมื่อการติดตามพี่ณะเป็นเรื่องจริง และเขาจะเป็นผู้ชายตลอดกาล อย่างนี้ก็หมายความว่าจ๊ะไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนเพศตลอดไป?”

อุปการะพยักหน้า

“การติดใจ การปักใจอธิษฐานขอติดตามพระโพธิสัตว์ เป็นเหตุผลหนึ่งของการเกิดเป็นหญิง”

“เมื่อกี้ตอนอาจารย์ยกตัวอย่างเล่นๆว่าถ้าชาติไหนพี่ณะเกิดเป็นมหาจักรพรรดิ ชาตินั้นจ๊ะจะได้เป็นมเหสี จ๊ะขนลุกไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะยินดีกับตำแหน่งนะคะ แต่เหมือนเห็นนิมิตพี่ณะกับตัวเองอยู่ในเครื่องทรงกษัตริย์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!”

“ก็คงเป็นความจำในส่วนลึก เพราะบำเพ็ญบารมีแบบโพธิสัตว์มานานขนาดนี้ บุญญาบารมีมักส่งให้ไปเกิดเป็นใหญ่เป็นโตบ่อย”

“กรรมอะไรที่ทำให้คนเราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิคะ?”

“ฐานะของคนเราโดยมากก็ผูกอยู่กับผลของทานที่ทำนั่นแหละ ไม่ให้ทานเลยก็เป็นอยู่อย่างคนไม่มีอะไรเลย ให้ทานอย่างคนธรรมดาก็เป็นอยู่อย่างคนธรรมดา ให้ทานอย่างราชาก็เป็นอยู่อย่างราชา ให้ทานอย่างจักรพรรดิก็เป็นอยู่อย่างจักรพรรดิ”

“ทานของคนธรรมดาเป็นยังไงคะ?”

“ดูจากตัวหนูเองก็แล้วกัน ตอนเลือกซื้อของมาใส่ครัวผม หนูเข้าซูเปอร์มาเก็ตด้วยความตั้งใจอย่างไร?”

หญิงสาวทบทวนไปถึงวาระจิตก่อนเข้าซูเปอร์มาเก็ตแล้วตอบตามซื่อ

“จ๊ะรู้สึกว่าถ้าไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาฝาก ก็เหมือนขาดสิ่งที่สมควรน่ะค่ะ”

“ตอนเลือกของจากชั้นหนูคิดอย่างไร?”

“ก็เลือกสิ่งที่จ๊ะคิดว่าคุณภาพดีที่สุด บางชิ้นจ๊ะรู้ว่าอาจารย์ชอบ แต่บางชิ้นจ๊ะก็ชอบของจ๊ะเองและอยากให้อาจารย์ลองบ้าง”

“หนูกะงบประมาณในการซื้อแค่ไหน?”

“เวลาให้ของอาจารย์หรือถวายของพระ จ๊ะชอบเห็นของเต็มๆรถเข็นสองสามคัน ไม่ได้กะเป็นงบประมาณ และไม่เคยดูด้วยซ้ำว่าจ่ายไปเท่าไหร่ แค่ยื่นบัตรเครดิตให้แคชเชียร์อย่างเดียว”

“หนูไม่รู้สึกเดือดร้อนกับค่าใช้จ่ายเลยใช่ไหม?”

“ไม่เลยค่ะ สำหรับอาจารย์ แค่นี้นับว่าน้อยมาก”

“ลองกะได้ไหมว่าของทั้งหมดนั่นกี่บาท?”

หญิงสาวเหลือบตาลงต่ำ พยายามทบทวนโดยนึกถึงตัวเลขดิจิตอลบนเครื่องคิดเงินของซูเปอร์มาเก็ตซึ่งผ่านตาเพียงแวบเดียว แล้วก็ฟังเสียงพนักงานแค่ผ่านๆหูโดยไม่นึกว่าจะต้องจำไว้ให้ตัวเลขกับใคร ถึงแม้โดยทั่วไปหล่อนยังตระหนี่ถี่เหนียวอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นการซื้อของให้อาจารย์แล้วไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องหมดเงินไปสักเท่าไหร่

“ดูเหมือนจะเป็นห้าพันเจ็ดกว่าๆนะคะ จำไม่ถนัด”

ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก

“ช่างเถอะ ผมไม่ได้จะเอาความแม่นยำเรื่องตัวเลขหรอก แค่อยากถามว่าหลังจากซื้อของด้วยจำนวนเงินประมาณนั้น กับทั้งขนของจากรถมาเข้าห้องครัวบ้านผมแล้ว หนูรู้สึกยังไง?”

ลานดาวลำดับภาพอีกครั้ง ประมวลรวมลงเป็นความรู้สึกโปร่งเบาแช่มชื่นขึ้นทันที

“มีความสุขค่ะ ชื่นใจที่ได้ทำอะไรตอบแทนอาจารย์บ้าง แม้เล็กๆน้อยๆเหมือนไม่ค่อยมีความหมายก็ยังดี”

“จำประมาณของความสุขไว้นะ… เอาล่ะ! ทีนี้ลองย้อนนึกถึงวันที่หนูทำงานหนัก ต้องเหนื่อยและทนหิว จำความหิวจนไส้แทบขาดได้ไหม?”

ลานดาวต้องเค้นนึกอยู่พักหนึ่ง เพราะตั้งแต่เกิดมา คำๆหนึ่งในพจนานุกรมที่หล่อนไม่ค่อยเข้าใจความหมายก็คือ ‘หิว’ นี่เอง แต่พอระลึกถึงวันคืนที่ตนดื้อดึงและประท้วงอดข้าวเพื่อขอแลกใบหย่ากับมาวันทา สภาพหิวไส้กิ่วหน้ามืดตาลายก็ย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ มันเหมือนร่างกายเหี่ยวแห้ง อยากงอตัวตลอดเวลา มีความทุรนทุรายเรียกร้องหาอาหารดับความทรมาน โดยเฉพาะในช่วงวันแรกที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ทว่าครั้งนั้นหนองน้ำแห่งความเศร้าก็ปิดปากหล่อนไว้สนิท ไม่ให้ยอมรับสิ่งใดเข้าท้องได้เลย

พอนึกถึงความหิวได้ครั้งหนึ่ง ก็โยงความทรงจำไปถึงความหิวอีกครั้งหนึ่งได้อีก ครั้งนั้นหล่อนอยู่ในช่วงประถม เป็นเนตรนารี มีกิจกรรมที่ต้องทำหนักหน่วง หล่อนเหน็ดเหนื่อย เหงื่อท่วมและหิวโซ แต่ก็ปลีกตัวออกมากินข้าวตามลำพังไม่ได้ เพราะงานปลูกค่ายยังไม่สำเร็จลุล่วง และเพื่อนๆในกลุ่มก็ยังไม่ได้กินกันสักคน ครั้งนั้นหล่อนเหลือบไปเห็นกลุ่มอื่นที่ทำงานเสร็จและนั่งกินข้าวปลาอย่างเอร็ดอร่อย บังเกิดความอิจฉาตาร้อนขนาดคิดว่าจะยอมแลกชีวิตกับพวกนั้น ขอเพียงสลับที่ได้เป็นฝ่ายกินข้าวแทนก็พอ

เมื่อนึกถึงสภาพตามที่อาจารย์กำหนดได้ก็พยักหน้า

“ค่ะ จำได้”

“จดจ่ออยู่กับความรู้สึกหิวนั้นไว้ แล้วลองลบความรู้สึกว่าหนูเป็นลูกคนรวยออกไป ตอนที่ทั้งเหนื่อยและทั้งหิวน่ะ คนเราจำไม่ได้หรอกว่าเคยมีทรัพย์สินเงินทองแค่ไหน คราวนี้สมมุติว่าหนูเป็นนางทาสคนหนึ่งที่ถูกเขาใช้แรงงานเกินกำลังทั้งวันทั้งคืน อดตาหลับขับตานอนจนถึงรุ่งเช้าก็แล้วกัน”

ด้วยจิตที่กำลังคลุกเค้ากับความทรงจำครั้งเมื่อเป็นเนตรนารี แถมมาเจอกับการพูดเหนี่ยวนำด้วยจิตตานุภาพของอุปการะ ลานดาวก็รู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่าตนคือนางทาสผู้แสนทุกข์ทรมานขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง และก่อนที่มโนภาพอันแจ่มชัดในชั่วขณะนั้นจะผ่านไป อุปการะก็เอ่ยเสริมขึ้นอีก

“ถ้าหนูทำงานเสร็จ ท้องกำลังว่าง ปากกำลังแห้ง แล้วได้รับปันส่วนอาหารเป็นข้าวสุกเพียงกำมือเดียว หนูจะทำอย่างไรเป็นอันดับแรก”

“เอาข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างรีบด่วนเลยค่ะ”

หญิงสาวตอบยิ้มๆโดยไม่ลังเล

“ถ้าใครมาเอ่ยปากขอ บอกว่าเขาหิวมากกว่าหนู หนูจะให้ข้าวในมือไหม?”

ลานดาวเบ้ปาก ส่ายหน้าน้อยๆตอบตามความสัตย์จริงโดยไม่เกรงถูกหาว่าใจร้าย จิตไม่มีกำลังบุญพอจะเมตตาให้ทาน

“คงม่ายล่ะค่ะ ยอมรับว่าใจไม่ถึง ถ้าคิดจะแย่งข้าวจ๊ะตอนกำลังหิวคงต้องข้ามศพกันไปก่อน”

“แล้วถ้าเผอิญขณะนั้นหนูเหลือบขึ้นมาเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาบิณฑบาตพอดีล่ะ ท่านไม่ได้เอ่ยปากขอ และหนูก็รู้อยู่ว่าท่านไม่ได้หิว หนูจะยังคิดเอาข้าวใส่ปากตัวเองเหมือนเดิมหรือเปล่า?”

จุดรวมสายตาของลานดาวแปรไปเล็กน้อย มโนภาพพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมาในระหว่างทางปรากฏแจ่มชัดยิ่งในห้วงนึก วาระนั้นหล่อนลืมความสำคัญของทุกสิ่ง เกิดน้ำจิตกระซิบบอกตนเองอย่างเฉียบขาด ว่าต่อให้ถวายแล้วตายดับลงไปจริงๆเดี๋ยวนี้หล่อนก็จะถวาย!

“โอกาสดีที่สุดผ่านมา จ๊ะคงไม่ปล่อยให้ผ่านไป ชีวิตหนึ่งเป็นได้มากที่สุดก็แค่ทาสรับใช้กิเลส จ๊ะจะไม่เสียดายถ้าต้องตายเพราะถวายข้าวคำสุดท้ายใส่บาตรพระพุทธองค์!”

ขาดคำน้ำตาก็เอ่อท้นล้นขอบด้วยแรงแห่งมหาปีติ ลำคอจุกแน่นด้วยความตื้นตันเกินระงับกับความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวของตน บังเกิดความเย็นซ่านตลอดทั้งสรรพางค์ โล่งหัวอกถึงที่สุดเยี่ยงผู้เคยถูกภูเขาแห่งความเห็นแก่ตัวกดทับแล้วยกลอยออกเสียได้ทั้งลูก

อุปการะปล่อยให้ลูกศิษย์สาวเสพรสแห่งความปราโมทย์เงียบๆอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถาม

“เห็นความต่างระหว่างทานสามัญกับทานอันวิเศษไหม?”

ลานดาวกะพริบตาถี่ๆเพื่อเรียกความรู้สึกตัวเป็นปกติกลับมาตอบ

“ชัดที่สุดเลยค่ะ อาจารย์สะกดจิตจ๊ะเหรอคะ?”

“หนูเป็นตัวของตัวเองเต็มร้อยเมื่อตัดสินใจเลือกทำกุศลกรรม… ดูไว้นะ ขอให้สังเกตเปรียบเทียบว่าข้าวของกองพะเนินที่หนูซื้อหามาด้วยเงินครึ่งหมื่นนั้น ไม่ต้องใช้กำลังใจในการสละเงินสักเท่าไหร่ อย่างมากคือใช้กำลังใจในการคัดเลือกสิ่งดีที่สุดมาให้ผม แต่ข้าวคำเดียวที่อาจหมายถึงการประทังชีวิตให้รอดนั้น ต้องใช้กำลังใจในการสละยิ่งกว่ากันเกินประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับทานเป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนได้ภาคขยายผลที่ก่อให้เกิดกำลังใหญ่สูงสุด ความสุกสว่างของทานย่อมแตกต่างกันลิบลับ”

หญิงสาวก้มหน้าจดบันทึกอย่างรวดเร็วก่อนเงยขึ้นถาม

“เมื่อครู่จ๊ะทำมหากุศลกรรมไปจริงๆหรือเปล่าคะ?”

อุปการะผงกศีรษะ

“จริง! จริงเต็มร้อยทางมโนกรรม แต่ไม่เต็มร้อยทางกายกรรม เพราะขาดองค์ประกอบเช่นข้าวในมือ และขาดพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แต่วิบากกรรมที่ได้รับเดี๋ยวนี้คือปีติสุขยิ่งใหญ่ซึ่งหนูรู้ประจักษ์อยู่กับตนเอง และนี่อาจเป็นชนวนเปลี่ยนนิสัยทางความคิดในชาติปัจจุบัน จากการให้ทานแบบมีเงื่อนไขเป็นไม่มีเงื่อนไข จากคิดหยุมหยิมเป็นไม่มีอะไรในใจในระหว่างให้ทาน ส่วนวิบากในอนาคตชาติคือจะได้เป็นผู้มีโอกาสถวายข้าวกับพระพุทธเจ้าองค์จริงในพุทธกาลถัดไป นี่แหละ! ผลของมโนกรรมที่ทำอย่างสมบูรณ์เพียงแค่นี้แหละ”

ลานดาวรับฟังด้วยความตื้นตันจนนึกอยากพนมมือไหว้ ไหว้พระพุทธเจ้าในมโนนึก ไหว้อาจารย์ตรงหน้า

“หนูลองเปรียบเทียบดู” อุปการะสั่งสืบมา “เอาน้ำหนักปีติสุขเป็นเกณฑ์ก่อน นึกออกไหมว่าทานธรรมดาที่ทำกับผม และทานอันวิเศษที่ทำกับพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไร?”

หญิงสาวนึกออกแจ่มชัด ทั้งขณะทำ ระหว่างทำ และหลังทำ เหมือนน้ำอ่างเล็กกับน้ำบ่อใหญ่ แต่ด้วยเพราะความเคารพในอาจารย์จึงไม่กล้าปริปากตอบ เดี๋ยวจะเป็นการหลู่คุณท่านอยู่กลายๆ

“คราวนี้ลองเอาขอบเขตแสงสว่างแห่งกรรมเป็นเกณฑ์ หนูนึกในใจดูว่าความต่างระหว่างทานทั้งสองชนิดเป็นขนาดประมาณไหน”

ลานดาวเหลือบตาลงพื้น ย้อนกลับไประลึกถึงใจในเหตุการณ์อันเป็นทานธรรมดาที่ทำกับอาจารย์ ประมาณความรู้สึกสว่างได้ระดับหนึ่งซึ่งกว้างขวางกว่าทานทั่วไปอักโข เนื่องจากอาจารย์ท่านเป็นผู้ทรงศีล แล้วหล่อนก็ทำไปด้วยจิตคารวะ มีความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้งอีกด้วย

จากนั้นจึงระลึกถึงขณะแห่งเจตนาทำทานวิเศษ ที่สำคัญตนเองเป็นนางทาสกำลังจะถวายข้าวอันเป็นสิทธิ์เพียงคำเดียวแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ถึงกับเบิกตาโพลงขนลุกเกรียว อุทานอย่างลืมตัว

“โอ้โห!”

กุศลกรรมได้ชื่อว่า ‘กรรมขาว’ ก็เพราะเห็นด้วยจิตเป็นความสว่างขาวจริงๆ และถ้าเปรียบความสว่างของทานที่ทำกับอาจารย์เป็นไฟร้อยแรงเทียน ความสว่างของทานที่เพียงคิดทำกับพระพุทธเจ้าแบบไม่คิดชีวิตนั้น แม้ขาดพระองค์จริงรับทาน ก็ยังเทียบเท่ากับไฟล้านแรงเทียนเข้าไปแล้ว!

นั่นทำให้นึกถึงสิ่งเทียบเคียงบางอย่างในธรรมชาติฝ่ายรูปธรรม ขอเพียงเราเข้าใจเหตุและผลแบบวิทยาศาสตร์ดีพอ ก็ไม่มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ อย่างเช่นถ้าบีบแสงแดดด้วยเลนส์นูนธรรมดา ก็สามารถเพิ่มความร้อนระดับปกติที่เนื้อคนทนอยู่ได้ให้ทวีขึ้นเป็นความร้อนระดับย่างเนื้อให้ไหม้เกรียมลงไปถึงกระดูกภายในเวลาไม่นานเกินรอ

หรืออย่างเช่นที่เราป้อนพลังอัดเข้าไปนิดเดียว ระบบไฮดรอลิกสามารถคายพลังขับดันออกมาเป็นสิบเป็นร้อยเท่าได้ราวกับมายากล ก็เพราะนักวิทยาศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับการส่งถ่ายแรงดันผ่านของเหลวที่อัดตัวไม่ได้ จากลูกสูบหน้าตัดเล็กไปสู่ลูกสูบหน้าตัดใหญ่

แต่เรื่องของการขยายกุศลผลบุญอันเป็นนามธรรมนั้น มีความซับซ้อนวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าธรรมชาติทางรูปธรรมมาก เพราะทั้งกำลังใจในการทำ ทั้งบุคคลอันเป็นภาคขยายผล ล้วนเป็นสิ่งที่ปราศจากขนาดและน้ำหนักให้ชั่งตวงวัดได้ชัดเจน แม้ผู้มีจิตสัมผัสความสว่างหรือน้ำหนักของกรรมได้ก็ต้องฝึกฝนเข้าไปรู้ เข้าไปจำแนก และมีความสงบนิ่งเป็นกลางปราศจากอคติอย่างยิ่งยวดด้วย จึงจะทราบได้ตามจริง

อุปการะสรุป

“ทานที่หนูทำกับผมนั้น เป็นทานบนฐานของความกตัญญู จะส่งผลให้หนูมีความเจริญรุ่งเรืองไม่ตกอับง่ายๆ ส่วนทานที่หนูคิดทำกับพระพุทธเจ้านั้น เป็นทานบนฐานของศรัทธาในบุคคลอันควรบูชาสูงสุด จะส่งผลให้หนูมีโอกาสทำบุญและเสวยบุญอย่างใหญ่ หนูเคยทำมาก่อน เมื่อเจอสถานการณ์ที่ปลุกความจำในบุญเก่าก็กระตุ้นให้นึกอยากทำซ้ำอีก บุญประมาณนี้แหละสามารถติดตามพระโพธิสัตว์ไปทุกภพทุกชาติได้ไหว แม้เมื่อท่านเสวยชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็คู่ควรกับการเป็น ‘นางแก้ว’ ของท่าน”

ลานดาวแย้มยิ้มอย่างสุขสมและภาคภูมิใจในตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็อดกังขาไม่ได้ ขนาดประมาณบุญแห่งตนยังแค่ระดับบาทบริจาริกา แล้วกรรมอันควรแก่ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องยิ่งกว่านี้ขนาดไหน ทั้งในแง่กำลังใจ ทั้งในแง่คุณภาพกับปริมาณของทาน และทั้งในแง่ผู้รับอันเป็นภาคขยายผลของทาน

“แล้วทานแบบไหนที่ทำให้เป็นใหญ่ระดับจักรพรรดิคะ?”

“ทานที่ทำกับคนทุกระดับ ครบทุกประเภท และสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติเหมือนเก็บแต้มจนถึงจุดที่จะบันดาลทุกสิ่งให้พรั่งพร้อมบริบูรณ์พอกับการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก”

หญิงสาวรีบจดพลางถาม

“ทานที่ทำกับคนทุกระดับคืออย่างไรคะ?”

“คือให้กับทุกคนที่อยู่แวดล้อมรอบตัวเรา นับตั้งแต่ในบ้านเช่นพ่อแม่พี่น้องลูกเมีย ไปถึงนอกบ้านเช่นลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้า ตลอดจนผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง เช่นสัตว์ ขอทาน เด็กกำพร้า คนไข้อนาถา คนชรา หรือแม้กระทั่งคนปกติที่รวยกว่าเรา แข็งแรงกว่าเรา มีเรื่องแค้นเคืองกับเรา สรุปรวมเรียกสั้นๆว่าเป็นทานที่ ‘ให้แบบไม่เลือกหน้า’ นั่นเอง จะใกล้ชิดหรือห่างเหิน จะต่ำกว่าหรือสูงกว่า เป็นเหมาหมดไม่เกี่ยงงอนทั้งสิ้น”

“แล้วการให้ทานครบทุกประเภทล่ะคะหมายถึงอย่างไร?”

“ทานมีหลายแบบ ‘ทรัพยทาน’ คือให้ข้าวของเงินทองปัจจัย ๔ ‘อภัยทาน’ คือยกโทษไม่ถือโกรธยุติได้แม้กระทั่งการผูกใจเจ็บ ‘อวัยวทาน’ คือช่วยเหลือด้วยกำลังกายหรือบริจาคอวัยวะเช่นเลือดขณะมีชีวิตและร่างกายหลังตายให้นักเรียนแพทย์ใช้ศึกษา ‘วิทยทาน’ คือช่วยเหลือด้วยกำลังความรู้ความคิดคำปรึกษาแนะนำต่างๆ ‘ธรรมทาน’ คือให้ปัญญารู้เรื่องกรรมวิบากและทางดับทุกข์”

ลานดาวเงียบคิดไปครู่หนึ่ง พยายามเทียบเคียงกับชีวิตจริง สำหรับคนทั่วไปนั้น แค่อะไรง่ายๆเช่นเอื้อเฟื้อกันบนถนนให้รถของอีกฝ่ายไปก่อนก็ยากแล้ว อย่าว่าแต่จะให้ควักกระเป๋าจ่ายสตางค์ หรือจะให้สละความผูกใจเจ็บ หรือจะให้ถ่อสังขารไปบริจาคเลือด หรือจะให้เสียเวลาปากเปียกปากแฉะสอนใครทางโลกและทางธรรม แต่ละอย่างนับว่ายากเต็มกลืน นี่กรรมของการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังมีเงื่อนไขว่าต้องทำให้ครบทุกประเภทกับคนทุกระดับเข้าไปอีก ก็ไม่ควรแปลกใจหรอกที่ตำแหน่งจักรพรรดิจะเป็นของหายาก

“หากทำทานได้ครบถ้วนอย่างนี้จริงก็น่าเชื่อแหละค่ะว่าจะเกิดใหม่มีศักดิ์ใหญ่เหนือมนุษย์แน่ๆ เพราะธรรมดาคนเราเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกว่าต้องทำเพื่อตัวเอง เอาเข้าตัวเองเท่านั้น อะไรไม่ต้องแจกก็ไม่อยากแจกเลย”

“ถึงต้องอาศัยบารมีระดับโพธิสัตว์ คือเคยปรารถนามาก่อนว่าจะเสียสละตนเองในทุกๆทางเพื่อคนอื่นไงล่ะ และเส้นทางของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่พรวดพราดขึ้นมาก็ทำทานได้ครบถ้วนอย่างที่ผมว่าภายในชีวิตเดียวหรอก ต้องค่อยๆสะสมแต้มกันข้ามภพข้ามชาติเพื่อมาต่อแต้มเอา กระทั่งบุญหนักศักดิ์ใหญ่พอจะเป็นราชาในเวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ได้ถวายมหาทานยิ่งใหญ่เกินใคร กับทั้งมีโอกาสเป็นศาสนูปถัมภก อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาใหญ่ในประเทศของตน ขั้นนั้นบุญจึงไพบูลย์ถึงขีดสุด เกิดใหม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิของโลกทันทีที่เจริญวัยพร้อมพอ”

ลานดาวนึกอะไรขึ้นได้ก็ชักกังขา

“อาจารย์คะ การที่จิตวิญญาณไปปฏิสนธิในฤกษ์จักรพรรดิได้ก็เพราะบุญอย่างอุกฤษฏ์ แต่ทำไมการเป็นจักรพรรดิที่เห็นๆในอดีตถึงต้องลำบากตรากตรำอยู่แต่ในสนามรบแทบทั้งชีวิต มหาจักรพรรดิบางพระองค์กว่าจะสวรรคตก็ต้องบั่นคอศัตรูด้วยพระหัตถ์เป็นพัน อย่างนี้มิขัดแย้งแย่หรือชาติหนึ่งทำบุญด้วยหัวใจบริสุทธิ์ เพื่อมาก่อกรรมทำเข็ญด้วยความกระหายอำนาจในอีกชาติหนึ่ง”

“จักรพรรดิประเภทนั้นเป็นจักรพรรดิธรรมดา”

คนฟังทำตาโต

“แม้แต่จักรพรรดิก็มีแยกประเภทด้วย?”

“ที่หนูกับคนในโลกรับรู้ตามบันทึกในประวัติศาสตร์น่ะ เป็นจักรพรรดิซึ่งบุญเก่าส่งฐานอำนาจมาให้ครึ่งหนึ่ง แล้วต้องบวกกับความเก่งในการรบอีกครึ่งหนึ่ง จึงสามารถสร้างชัยชนะเหนือราชาทั้งปวงได้ แบบนั้นอาจเป็นผู้ครองโลกด้วยเวลาไม่กี่สิบปีเพื่อไปรับโทษในอบายภูมิเป็นร้อยเป็นพันปีกัน”

“แต่อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากปราบโลกได้แล้ว ท่านก็หันมาทำนุบำรุง และเป็นประมุขในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วทุกสารทิศไม่ใช่หรือคะ?”

“ท่านก็ได้รับผลสมควรกับกรรมสืบต่อไป พระหัตถ์ที่เปื้อนเลือดในช่วงชีวิตแรก กับพระหัตถ์ที่ชูพระคัมภีร์ขึ้นเหนือเศียรในช่วงชีวิตหลัง ทำให้ท่านเป็นกษัตริย์นักรบที่มีพลังชนะเหนือกษัตริย์อื่นๆในชาติต่อๆมา และไปเกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนาประสบกับวิกฤตการณ์ ต้องการบารมีของท่านมารักษาให้อยู่รอดและยั่งยืนต่อไป แต่แม้เป็นศาสนูปถัมภกขนาดนั้นแล้ว ท่านก็เป็นจอมจักรพรรดิตามคติของโลก ยังไม่เข้าข่ายพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้”

ลานดาวเอนหลังพิงพนัก อดหัวเราะด้วยความอ่อนใจไม่ได้

“กรรมจำแนกสัตว์ซับซ้อนพิสดารขนาดนี้นี่เล่า มิน่าล่ะ พี่เอินเคยบอกว่าเฉพาะสัตว์ในโลกนี้ก็ร่วม ๑๐ ล้านสายพันธุ์เข้าไปแล้ว”

“โดยย่นย่อให้เหลือเพียงแก่น สัตว์ทั้งหลายต่างกันด้วยวิธีคิดในการก่อกรรมเท่านั้นแหละ ผลกรรมหลากหลายได้เป็นอนันต์แค่ไหน ก็สะท้อนความวิจิตรพิสดารของความต่างระหว่างวิธีคิดก่อกรรมได้แค่นั้น”

“แล้วพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงไว้เป็นอย่างไรหรือคะอาจารย์?”

“คือคนที่บุญถึงอย่างแท้จริง ขนาดที่โลกต้องยอมสยบให้เพียงเพราะเห็นบุญฤทธิ์ที่แสดงออกมาในรูปแบบความศักดิ์สิทธิ์ประการต่างๆ ผู้เป็นโพธิสัตว์นั้น ก่อนเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ชาติสุดท้ายมักเกิดใต้ร่มโพธิ์พุทธศาสนา ศรัทธาพระพุทธเจ้า พยายามใช้สติปัญญาและบารมีทุกๆทางกระทำให้อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์อยู่ในกรอบศีลธรรม ไม่ใช้อาชญาขั้นประหารในการลงโทษผู้ประพฤติผิด แต่มีวิธีทำให้สำนึกผิดกลับตัวเป็นคนดีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…

“ด้วยฤทธิ์ของทานและฤทธิ์ของศีลที่พระโพธิสัตว์ทำแล้ว และชักนำให้คนอื่นร่วมทำตาม ส่งให้ชาติต่อมาของท่านเป็นใหญ่ได้โดยสวัสดิภาพ ไม่ต้องรบพุ่ง ไม่ต้องอาศัยอาญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ก็สามารถครองทวีปทั้งหลายโดยธรรม เพราะเมื่อมีสมบัติมากพอก็แจกจ่ายให้ทุกคนอิ่มท้อง เมื่อทุกคนท้องอิ่มก็ปราศจากขโมยขโจร ปราศจากการเบียดเบียนฆ่าฟัน ปราศจากการโกหกมดเท็จ… ฟังยากหน่อยนะ เพราะเรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นกับตา เผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้ก็ยังไม่เคยมีตัวอย่างบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”

ความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะทำให้ลานดาวนึกถึงดำริของสรณะ เขาบอกหล่อนเสมอว่าปรารถนาที่จะเห็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์พอจะพัฒนาเป็นธรรมาธิปไตย เขาอยากขจัดอาชญากรรม อยากให้ทุกคนรู้ทางบุญ ซึ่งแม้หล่อนจะสนับสนุนให้ฝันอะไรดีๆอย่างนั้น ใจก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะยอดแห่งฝันของเขาห่างไกลความจริงเหลือเกิน

ต่อเมื่อใกล้ชิดเขามากขึ้น ทำงานด้วยกันมากขึ้น เห็นวิสัยทัศน์กับปัญญาอันเอกอุของเขาแจ่มกระจ่างขึ้น ถึงวันนี้หล่อนกลับเกิดมุมมองใหม่ นั่นคือมนุษย์เราเคยชินกับคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ เพียงเพราะโลกนี้ขาดคนทุ่มเทสติปัญญาคิดสร้างเหตุปัจจัยให้มันเป็นไปได้ขึ้นมา ช่องทางที่คนอื่นไม่เคยมอง โอกาสที่คนอื่นไม่เคยเห็น สรณะพยายามเข้าไปมองจนเห็นมาแล้วหลายครั้ง

“พี่ณะพูดถึงอุดมคติทางการเมืองการปกครองให้จ๊ะฟังมามาก แรกๆจ๊ะฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก แต่ยิ่งวันก็ยิ่งตลกน้อยลงทุกทีเมื่อจ๊ะเห็นความสำเร็จในแผนต่างๆของเขา หลายครั้งดูเหลือเชื่อ แต่ในที่สุดก็ต้องเชื่อเมื่อผลออกมาตามเป้าหมาย”

“หนูอย่าไปดูถูกเขา ความเป็นไปได้จริงเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยสองประการ อันดับแรกคือมีความตั้งใจมุ่งมั่น อันดับที่สองคือมีบุญเก่าหนุนอยู่อย่างเพียงพอ ขอเพียงมีเหตุและปัจจัยที่เหมาะสม ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกที่มนุษย์ทำไม่ได้”

“พระเจ้าจักรพรรดิของแท้มีจริง แล้วก็เกิดขึ้นได้ยากจริงๆ เหมือนการอุบัติของพระพุทธเจ้าเลยใช่ไหมคะ?”

“การอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นไปได้ยากกว่าการอุบัติของพระเจ้าจักรพรรดิหลายร้อยหลายพันเท่า! อันที่จริงเส้นทางโพธิสัตว์ต้องผ่านการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์มาด้วยกันทั้งสิ้น และการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์จนใกล้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น ส่งผลให้ได้ครองโลกแบบพระเจ้าจักรพรรดิก่อน เพื่อกวาดบริษัทบริวารทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ไปถึงชาติสุดท้ายที่ทรงเป็นธรรมราชา”

“แปลว่ายกชั้นขึ้นเสวยภพจักรพรรดิแล้วจะไม่ตกกลับเป็นราชาหรือสามัญชนคนธรรมดาได้อีก รอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าต่อเลยหรือคะ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฐานะจักรพรรดิยังตกอยู่ในการครอบงำของอนิจจัง ยังกลับมาเป็นกษัตริย์ธรรมดาหรือสามัญชนได้เสมอ ชาติต่างๆมีปัจจัยบีบคั้นให้ก่อเหตุลงต่ำและขึ้นสูงได้เรื่อยๆ”

“จ๊ะนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ถ้าหากจำไม่ผิด มีโหราจารย์ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะไว้ว่าจะเลือกเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือพระบรมศาสดาก็ได้”

อุปการะพยักหน้ารับรอง

“ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่เลือกออกผนวช ถึงตอนนี้หน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกการมีอยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิตัวจริง เหนือยิ่งกว่าพระเจ้าอโศกมหาราช อเลกซานเดอร์มหาราช ตลอดจนเจงกิสข่านรวมกัน! เหตุเพราะท่านมีบารมีพอจะครองโลกในแบบธรรมาธิปไตยได้สำเร็จเป็นพระองค์แรกในเผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้!”

หญิงสาวทำหน้าสงสัย

“แล้วอย่างนั้นทำไมท่านไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิก่อน แล้วค่อยออกผนวชเป็นศาสดาล่ะคะโลกจะได้มีศาสนาเป็นหนึ่งเดียว”

อุปการะส่ายหน้าเล็กน้อย

“ไม่ใช่วิสัยหรอก เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติอันทรงบารมีแก่กล้าถึงขีดสุด ก็ต้องเลือกว่าจะให้บารมีทางโลกหรือบารมีทางธรรมเบ่งบานขึ้นมา จะเหมารวมทั้งทางโลกทางธรรมไม่ได้ ถ้าเทียบเคียงกับโหราศาสตร์คือจะมีจุดตัดของการบันดาลผลสำเร็จสูงสุดครั้งเดียว เมื่อเลือกด้านหนึ่งก็จะต้องเสียอีกด้านหนึ่งไป ลองมองตามความจริงของช่วงอายุขัยมนุษย์ปัจจุบันซึ่งไม่เกินร้อยปี ถ้าท่านครองราชย์ก็ต้องรอจนชราหรือใกล้ชราจึงเหมาะควรกับการออกบวชตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณ แล้วท่านจะเอาพระกำลังจากไหนมาลองผิดลองถูก ตรากตรำทรมานตนตั้ง ๖-๗ ปีก่อนสำเร็จธรรมอย่างที่เรารู้ๆกัน”

เครื่องหมายคำถามที่หัวคิ้วของลานดาวคลายลง

“การตัดสินใจเลือกของผู้มีบุญญาธิการระดับโลกนี่ส่งผลกระทบในวงกว้างใหญ่และยืดยาวมากนะคะ ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่เลือกการบรรพชา ก็คงไม่มีมรดกธรรมมาถึงอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็จะส่งทอดมาถึงจ๊ะไม่ได้ จ๊ะก็โง่ต่อไป ระหว่างการเที่ยวเกิดตาย คงมีน้อยครั้งที่จ๊ะจะเข้าใจกรรมวิบากได้กระจ่างเหมือนชาติที่เกิดใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาอย่างนี้”

“การตัดสินใจของทุกคนมีผลกระทบที่สำคัญต่อโลกเสมอ ตอนหนูร้าย หนูไม่ได้เดือดร้อนคนเดียว และตอนหนูดี หนูก็ไม่ได้เย็นสบายเพียงลำพัง คนรอบตัวหนูจะช่วยกันกระจายคลื่นความเดือดร้อนหรือคลื่นความเย็นสบายออกไปกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆโดยที่หนูไม่อาจตามไปดูผลได้หมด”

ลานดาวประสานมือบิดตัวนิดๆ คุยเรื่องพระโพธิสัตว์มากๆแล้วคิดถึงสรณะขึ้นมาอย่างแรง จึงแย้มยิ้มในลักษณาการของผู้มีความยินดีปรีดาในเส้นทางกรรมแห่งตน
 ตอนที่ ๔๑. ชนะกรรม


“เป็นไงไม่มาเสียเกือบสามเดือน”

อุปการะทักมาจากเบื้องหลัง ขณะที่ลานดาวกำลังช่วยกันกับเด็กคนใช้จัดข้าวของเข้าตู้เย็นและชั้นวางต่างๆ เดี๋ยวนี้หล่อนมาครั้งใดจะหอบหิ้วข้าวปลาอาหาร น้ำผลไม้ วิตามิน และอื่นๆเต็มคันรถมาฝากห้องครัวบ้านอาจารย์ของหล่อนเสมอ

หญิงสาวชะงักมือ หันมายอบกายพนมมือไหว้

“สวัสดีค่ะอาจารย์ พักนี้ยุ่งเรื่องรายการใหม่กับหนังสือใหม่จนไม่เป็นทำอะไรเลยค่ะ อาทิตย์หน้าหวุดหวิดจะติดคิวต่างจังหวัด เกือบไม่ได้ไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวของพี่เอินด้วยซ้ำ… อาจารย์สบายดีนะคะ?”

“ก็พอใช้”

“แล้วอาทิตย์หน้าจะได้เจออาจารย์ที่งานพี่เอินหรือเปล่าเอ่ย?”

อุปการะพยักหน้า

“ได้… ไปคุยกันที่ห้องรับแขกเถอะ ปล่อยให้ส้มเขาจัดการไป”

ลานดาวยิ้มแป้น เดินตามอาจารย์ต้อยๆไปที่ห้องรับแขกตามคำสั่ง เมื่อมาถึงก็นำอุปกรณ์บันทึกเสียงชนิดแฟลชไดรฟ์วางไว้บนโต๊ะกลางแล้วกดปุ่ม ด้วยความตั้งใจแต่แรกว่าจะมาขอข้อมูล

“จ๊ะกำลังจะเขียนหนังสือเล่มใหม่ค่ะ ต้องขอรบกวนอาจารย์อีกครั้ง”

“เหรอ… คราวนี้เกี่ยวกับอะไร ตั้งชื่อหนังสือว่ายังไงล่ะ?”

“คิดว่าคงเป็นชื่อ ‘ลานกรรมระบำดาว’ ค่ะ เอาชื่อจ๊ะไปมีเอี่ยวด้วยหน่อย เล่มนี้จะอยู่บนแนวคิดที่ว่าดวงดาวมีอิทธิพลกับเส้นทางและเหตุการณ์ในชีวิตคนจริงๆ แต่เนื้อหาทั้งหมดจะโยงให้เกิดความเข้าใจว่าทำอย่างไรจึงมาเกิดใต้อิทธิพลของดาวดวงไหน”

อุปการะยิ้มอย่างเข้าใจแนวคิดของลูกศิษย์สาว

“ฟังดูดีเหมือนกัน คนส่วนใหญ่ฟังเรื่องกรรมแล้วรู้สึกว่าเข้าใจยาก แม้หลายคนเชื่อเรื่องกรรมก็ไม่จุใจ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พืชที่ตนหว่านไปจะให้ผล คนเลยอยากฟังเรื่องอิทธิพลของดวงดาวมากกว่า เพราะถ้าตำราไหนแม่นๆก็บอกเลยว่าเมื่อนั่นเมื่อนี่จะเจออย่างนั้นอย่างนี้ เขาไม่อยากทราบสาเหตุหรอกว่าทำไมตัวเองถึงตกมาอยู่ใต้อิทธิพลของดาวไหน อยากรู้แค่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเองแน่ๆเท่านั้น หนูเอาเรื่องกรรมกับโหราศาสตร์มาเชื่อมกันก็ดี ว่าแต่จะให้ผมช่วยยังไงล่ะ?”

“ขอเล่าแนวทางคร่าวๆก่อนนะคะ จ๊ะได้ไอเดียจากที่อาจารย์เคยพยากรณ์จ๊ะผ่านผังกรรม เช่นเส้นทางหลักจะต้องได้เป็นดารานักร้องระดับโลกเพราะบุญเก่าหลายๆอย่างประกอบกัน แต่บนเส้นทางดาราก็จะต้องเจอะเจอความผิดหวังเสียใจ เพื่อชดใช้ความผิดที่ทำไว้กับหนุ่มๆ รวมกับธรรมชาติของเส้นทางดาราที่ต้องวุ่นวายกับราคะ ชักนำให้ใครต่อใครเกิดราคะ ผลเลยต้องเสวยวิบากไม่ดีเกี่ยวกับราคะเข้าด้วยตนเองบ้าง”

อุปการะผงกศีรษะ

“อือม์”

“จ๊ะสนใจเส้นทางหลักของชีวิต เพราะเห็นว่าเราดิ้นหนีจากความเป็นตัวเองไม่ได้ เหมือนมีบางสิ่งรุนหลังบังคับให้ต้องดุ่มเดินไปตามทาง พูดให้ง่ายคือกรรมเก่าสร้างทางไว้ให้เดิน อย่างไรก็ต้องเดิน แต่ระหว่างเดินก็มีสิทธิ์ทำอะไรให้ดีขึ้นได้เหมือนกัน… นี่คือแนวคิดหลักๆค่ะ ขอถามก่อน อาจารย์เห็นว่าจ๊ะมองอะไรผิดไปหรือเปล่า?”

ผู้เป็นอาจารย์กอดอกด้วยท่าทีของผู้มีความสุขุมเป็นนิตย์

“กรรมเก่าจากอดีตชาติขุดทางให้เราเดินในชาติปัจจุบัน แต่ถ้ากรรมปัจจุบันมีพลังเหนือกว่าที่ทำไว้ในอดีตชาติอย่างชัดเจน ก็อาจยกระดับให้เดินสูงขึ้นได้ หรือกระทั่งฉีกทางแยกเป็นตั้งฉากเลยก็ยังไหว หนึ่งชีวิตของมนุษย์เรามีศักยภาพได้ขนาดนั้น”

ลานดาวไหล่ตก ท่าทีเซื่องลงคล้ายนางม้าป่าที่ถูกกระหนาบจนหมดพยศอย่างสิ้นเชิง

“ตอนฮึดสู้อย่างคนที่แสวงหาความรักแทบพลิกแผ่นดิน จ๊ะก็ไฟแรงจะเอาให้ได้อย่างนั้นแหละค่ะ แต่พอชีวิตปรากฏอยู่ตรงหน้าจริงๆ ลองได้เพียรสู้ ลองพยายามเปลี่ยนแปลงวิถีทางตัวเอง ลองพยายามแม้เป็นสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ถึงเห็นว่าเก่งแค่ไหนก็ไม่เกินฤทธิ์กรรมเก่าๆของตัวเอง”

อุปการะหัวเราะแผ่ว มองลานดาวด้วยสายตาแบบหนึ่ง ไม่เจือด้วยความหมั่นไส้เหมือนแต่ก่อน เพราะอย่างน้อยหล่อนก็เพียรสร้างสมความดีจนสมควรแก่การยกย่อง ไม่เอาแต่ยื่นหน้าอวดดี เห่อเหิมในบุญญาธิการท่าเดียวดังเคย

“หนูอยากได้คนรักไม่ใช่เหรอตอนนี้ก็ได้แล้วนี่ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยขาดด้วย”

หญิงสาวยิ้มซึมกว่าเดิมคล้ายถูกจี้ตรงจุด

“ทุกอย่างเป็นไปตามคำทำนายของอาจารย์ต่างหากล่ะคะ พี่แตรเกือบใช่ แต่ในที่สุดก็ไม่ใช่ และก็จริงอย่างอาจารย์บอก คือถ้าจ๊ะจะเอาเขาไว้จริงๆก็ได้ ขึ้นอยู่กับจ๊ะจะทำให้เขาใช่หรือไม่ใช่ แต่จ๊ะล้าเองเสียก่อน ในเมื่อมองเห็นองค์ประกอบทุกอย่างถูกวางไว้แล้ว อาจารย์บอกว่าพี่แตรกับคู่แท้ของเขาเคยออกถิ่นทุรกันดารช่วยเหลือคนร่วมกันมา จ๊ะรออยู่ว่าจะเป็นใคร อุตส่าห์เทียวไล้เทียวขื่อไปหาพี่แตรถึงโรงพยาบาลหลายหนด้วยความระแวงว่าจะเจอเขาจู๋จี๋กับหมอสาวคนไหน ในที่สุดก็อยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง พี่เอินสุดที่รักของจ๊ะนี่แหละ! ชาตินี้เขาเป็นหมอด้วยกัน แล้วจ๊ะก็เห็นกับตาว่าพอเป็นแฟนกัน วันๆก็ไม่คิดทำอะไรอื่นนอกจากร่วมตะลอนไปช่วยคนแปลกหน้า… สรุปแล้วจ๊ะไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกับพี่แตรบนเส้นทางกรรมแบบเขา ถ้าเขาอยู่กับจ๊ะ อย่างมากก็ดูหนังฟังเพลงด้วยกันตามเรื่องตามราว”

“แต่พอหนูสละเขาให้พี่สาว หนูก็ได้แฟนใหม่มาทันทีนี่ ถูกใจกว่าเดิมเสียด้วย”

“ได้มาแบบรู้ทั้งรู้ว่าในที่สุดก็ไม่ใช่อยู่ดี อาจารย์บอกไว้แล้วว่าต้องอีกยี่สิบปีถึงจะเจอตัวจริง” ก้มหน้าตาปรอยเสียงอ่อย “แต่ถึงจุดนี้จ๊ะก็เรียนรู้ที่จะยอมรับแล้วล่ะค่ะ พี่ณะเพิ่งขอแต่งงาน และจ๊ะก็ตกลงรับคำไปแล้ว วันหนึ่งพี่ณะอาจเบื่อ อาจขอเลิก หรือเขาอาจประสบชะตากรรมใดๆ ไม่ได้ร่วมทางกับจ๊ะไปจนตาย แต่จ๊ะก็ดีใจแล้วที่มีโอกาสรู้จักเขา ทุกอย่างใช่ไปหมดแม้กระทั่งความรู้สึกถึงรักแท้ในจินตนาการ แม้จะยังไม่ใช่ตัวจริงของจ๊ะ จ๊ะก็เต็มใจและยินดีที่ได้อยู่กับเขาสักช่วงหนึ่ง”

อุปการะส่ายหน้าช้าๆ ริมฝีปากยังคงระบายยิ้มปรานี

“ป่านนี้ยังอ่านกรรมตัวเองไม่ขาดอีก ถือว่าไม่แน่จริงนี่”

ลานดาวย่นคิ้ว หางเสียงอาจารย์ทำให้เอะใจช้อนตาเหลือบขึ้นสบ พอเห็นอีกฝ่ายกำลังมองมายังตนนิ่งด้วยแววชนิดหนึ่ง ดุจบิดาร่วมปลื้มใจกับความสำเร็จของลูกสาว หล่อนก็ลุกพรวดอย่างลืมตัว

“พี่ณะเป็นคนนั้นของจ๊ะหรือคะ???”

แทบจำสุ้มเสียงของตนเองไม่ได้ เพราะทั้งตกตะลึงพรึงเพริด ทั้งอยากได้คำตอบ ทั้งลังเลด้วยสารพัดคำถามที่โถมประดังเข้ามาพร้อมๆกัน

โหราจารย์ใหญ่นิ่งเฉย มองตอบด้วยสายตาที่มีอำนาจปรามเยี่ยงผู้มีศักดิ์เป็นครู ลานดาวจึงรู้สึกตัวว่าสติหลุด อาจารย์ของหล่อนไม่ชอบให้ระงับอารมณ์ไม่อยู่จนจิตเสียอย่างนี้

“ขอโทษค่ะ”

หญิงสาวพนมมือไหว้แล้วยอบกายลงนั่งซ้อนมือวางกับตักอย่างเรียบร้อย เยี่ยงกุลสตรีพึงสำรวมกิริยาเมื่ออยู่ต่อหน้าครูบาอาจารย์ แต่พยายามวางมือให้นิ่งอย่างไรก็สะกดความสั่นระริกไม่ลง เพราะอยากได้คำตอบอันเปรียบประดุจคำพิพากษาจนใจแทบขาดอยู่แล้ว

“ถ้าใช่ก็ควรมีเหตุผลที่สมควรให้ใช่จริงไหม?”

“ค่ะ”

ลานดาวบีบมือตอบไม่เต็มเสียง อุปการะเอ่ยเนิบนาบเยี่ยงผู้ที่ยากจะมีสิ่งใดมาทำให้ใจกระเพื่อม

“จำไว้เถอะ สิ่งที่เราสร้าง สิ่งที่เราทำ อาจเบี่ยงเบนแม้คำพยากรณ์ของหมอดูที่แม่นที่สุดในโลกได้! ไหนลองวินิจฉัยตัวเองซิ ที่ผ่านมาเราทำอะไรเข้าท่าพอจะคัดท้ายเรือชีวิตให้หันเหไปจากเดิมบ้าง ตอบให้เหมือนกับคนอื่นถามแล้วเราต้องทำหน้าที่ตอบเขาน่ะ”

ลานดาวบีบมือเข้าหากันแน่น สีหน้าสดชื่นราวกับดอกไม้ได้รับน้ำและแสงแดดจนบานสะพรั่ง ทั้งดีใจ ทั้งฉงนฉงาย และทั้งตื่นเต้นกับความจริงในชีวิตที่พลิกไปพลิกมาราวกับฝันสนุก

“จากคำทำนายของอาจารย์ ถ้าเป็นไปตามผังกรรมและธรรมชาติวิสัยเดิมๆ ป่านนี้จ๊ะน่าจะเป็นนักร้องดังระดับประเทศ และรอคิวต่อยอดเป็นคนดังระดับโลกในสองสามปีข้างหน้าด้วยบุญเก่าหลายๆอย่าง และจะเป็นดาวค้างฟ้าไปถึงยี่สิบปี ซึ่งก็พอดีเวลากับที่จะพบคู่แท้เมื่ออายุใกล้สี่สิบ อ้อ!… อาจารย์ยังทำนายด้วยว่าเพราะวิถีทางที่ทำประโยชน์ให้กับวงกว้าง จะเป็นตัวจูงให้ได้พบกับคนที่ใช่”

พักกะพริบตาถี่ๆ นึกทบทวนคำพยากรณ์ของผู้อาวุโสแล้วปะติดปะต่อได้ภาพรวมอย่างรวดเร็ว แล้วขนลุกเกรียวไปทั้งร่าง ก่อนกล่าวสืบต่อด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

“แต่เพราะจ๊ะสละทางที่เดินง่าย หันมาเลือกทางที่ยากขึ้น กับทั้งทำประโยชน์กับวงกว้างตั้งแต่แรก เลยยืนเป็นเป้าให้บุคคลประเภทเดียวกันสนใจ ซึ่งก็คือพี่ณะใช่ไหมคะ??”

ท้ายประโยคยิงคำถามด้วยใจระทึกเป็นล้นพ้น แล้วก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวงเมื่ออุปการะผงกศีรษะช้าๆเป็นการรับรอง ลานดาวพยายามควบคุมตนเอง แต่ก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ สะอื้นออกมาฮักหนึ่งเหมือนหัวเราะและร้องไห้พร้อมกัน หล่อนยกสองมือปิดหน้า เหลือเพียงแนวตาฉายแววสำนึกคุณจับจ้องบุรุษผู้นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาทำให้หล่อนไม่ต้องเสียเวลาไปครึ่งชีวิตก่อนได้รางวัลอันเป็นยอดปรารถนาไว้ในมือ

เป็นครู่กว่าความสะเทือนแรงในหัวอกจะลดระดับลง ลานดาวพนมมือน้อมศีรษะเคารพอุปการะด้วยความรู้สึกลึกซึ้งยิ่ง

“ขอบพระคุณนะคะอาจารย์”

“ซื่อสัตย์กับเขาเถอะ หนูจะเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสร้างสรรค์อะไรดีๆทิ้งไว้ในโลกได้อีกมาก เหมือนอย่างที่เคยช่วยกันสร้างช่วยกันทำมาแล้วหลายชาติหลายสมัย”

“ค่ะ”

ลานดาวบอกตนเองว่าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บารมี’ ก็คราวนี้เอง ถ้าเป็นคู่แท้ที่เคยร่วมบุญร่วมบารมีกันมาก่อน ก็มิใช่ว่าจะต้องด่วนเจอทันใจเสมอไป แต่อาจรอจังหวะเหมาะสมที่เมื่อพบกันแล้วต่างอยู่ในภาวะพร้อมจะร่วมทางกุศลดังเดิมอีกด้วย

“พี่ณะกับจ๊ะจะได้พบกันทุกชาติหรือเปล่าคะ?”

“แรงเหวี่ยงของกรรมใหญ่ฝ่ายกุศลจะดึงดูดให้วิญญาณตามติดกันไปเรื่อยๆ คล้ายดาวแม่กับดาวบริวารนั่นแหละ ตราบใดเรายังมีใจเห็นดีเห็นงามกับกุศลผลบุญของเขา แล้วก็ร่วมกันทำประโยชน์ให้สาธารณชนไม่เลิกรา เกิดใหม่ก็ได้อยู่ด้วยกันอีกเสมอไป เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพลาดไปอยู่ภพต่ำ ปล่อยให้อีกฝ่ายโดดขึ้นไปอยู่สูงตามลำพัง ก็อาจคลาดกันระยะหนึ่ง”

หญิงสาวนึกไปข้างหน้าแล้ววังเวงขึ้นมาฉับพลัน ขนาดชาตินี้เพิ่งเข้าต้นวัย แถมมีบุญอุดหนุนอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ยังเหงาแทบตายกับการรอคอยเขาอย่างไม่มีกำหนด จะน่าห่อเหี่ยวขนาดไหนหากชาตินี้เขาไปอยู่เสียที่อื่น ปล่อยให้หล่อนคว้าคนผิดแล้วๆเล่าๆไปจนแก่ชรา กระทั่งได้ข้อสรุปว่าคู่แท้ไม่มี มีแต่คู่เทียมชั่วคราว

การร่อนเร่เกิดตายท่ามกลางความไม่รู้ไม่เห็นนั้น สิ่งน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงที่สุดเห็นจะได้แก่ความไม่แน่นอน ไม่อาจบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนานี่เอง

“การเกิดตาย การเติบโตขึ้นมาอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่นี่มีเรื่องน่าร้องไห้มากจังนะคะ”

“ก็ต้องวิ่งวนกันไป จนกว่าใครจะเจอทางออกก่อนกัน” เขาเอ่ยเรียบเนือย “ยิ่งเวลาผ่านไป หนูจะยิ่งมีโอกาสไปงานศพบ่อยขึ้น แต่ละงานอาจทำให้มีสักแวบหนึ่งที่หนูย้อนคิดแล้วเห็นชีวิตเหมือนความฝัน เป็นฝันที่ดำเนินเร็ว สะบัดหน้าขวับหนึ่งเห็นรั้วโรงเรียน อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วมหาวิทยาลัย อีกขวับหนึ่งเห็นรั้วที่ทำงาน อีกขวับหนึ่งกลายเป็นรั้วเมรุที่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเนื้อเสียแล้ว ระหว่างมีชีวิตใครเตรียมเสบียงไว้เดินทางไกลแค่ไหนเท่านั้นแหละ”

ลานดาวนึกถึงอดีตของตัวเองแล้วบังเกิดความกลัวขึ้นมาวูบหนึ่ง

“จ๊ะกลัวเกิดใหม่ด้วยความลืม ลืมแล้วกลับแผลงฤทธิ์เป็นนางมารร้ายอีก ต้องเสวยกรรมชั่วที่ทำไปด้วยความไม่รู้อีก กลัวไม่เจอกัลยาณมิตรที่ดีอย่างพี่เอินกับพี่แตร กลัวไม่เจอคนให้แสงสว่างได้อย่างอาจารย์”

“ก็อธิษฐานเอาสิ วิธีเล่นเกมเดินทางไกลในวังวนเกิดตายนี้ คืออยากเป็นอย่างไร ให้ทำอย่างนั้นตลอดชีวิต แล้วอธิษฐานไปเรื่อยว่าขอเป็นคนอย่างนี้ ขอมีครูอย่างนี้”

“เป็นอย่างที่กำลังเป็น… พอรู้จักกลไกการทำงานของจิตมากเข้า บางทีจ๊ะก็สับสนอยู่เหมือนกันนะคะ จ๊ะเห็นตัวเองคิดเป็นกุศลและอกุศลสลับกันอยู่ตลอดเวลา ต่อให้รู้สึกว่าชีวิตสว่างแล้ว บางทีก็ยังคิดชั่วๆได้อยู่ อย่างนี้จะมีอะไรเป็นตัวชี้ขาดว่าชาติหนึ่งๆเราเป็นคนดีหรือคนเลว?”

“ความละอายต่อบาปไงล่ะ ใครทำผิดแล้วยังสำนึกก็ไม่จัดเป็นคนเลว แต่ใครทำผิดแล้วไม่สำนึกเลย อันนั้นประกันความเลวได้ จิตจับเอาภพมืดไว้เป็นที่หมายแน่นอนแล้ว ส่วนคนดีคือพวกที่ติดใจการคิด การพูด การทำแต่ในเรื่องน่าชื่นใจ ถ้าต้องเฉียดเข้าไปใกล้เรื่องฉ้อฉลคิดคด หรือต้องเบียดเบียนทำร้ายใคร ก็จะสะดุ้งกลัว พยายามหนีห่างออกมา”

ลานดาวย้อนนึกไป เมื่อไม่ช้าไม่นานนี้เอง หล่อนยังทำร้ายจิตใจคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตา ทำแล้วไม่สำนึกละอายแม้แต่น้อย ซึ่งก็ควรแก่การเสียวไส้อยู่หรอก ถ้าตอนอยากฆ่าตัวตายแล้วได้ตายสมอยากจริงๆป่านนี้คงโต๋เต๋อยู่แถวๆเหวนรกกระมัง

“แล้วถ้าแค่อยากทำผิดอยู่ในใจเรื่อยๆโดยปราศจากความละอาย แต่ไม่ได้พูด ไม่ได้ลงมือทำจริงๆล่ะคะ ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของหมู่คนเลวหรือเปล่า?”

“คิดเฉยๆไม่ใช่ตัวตัดสิน เขาตัดสินกันตอนพูด ตอนลงมือทำ แต่ก็ประมาทความคิดไม่ได้ เพราะความคิดนี่แหละต้นแหล่งดีชั่วที่แท้จริง ตราบใดยังคิด ตราบนั้นยังมีสิทธิ์พูดออกมาจริงๆ ทำออกมาจริงๆ”

“แล้วจะจัดการกับความคิดชั่วๆในหัวยังไงดีล่ะคะ ทุกวันนี้จ๊ะสารภาพกับอาจารย์เลย ว่ายังมีความคิดเหลวแหลกอยู่มาก บางทีก็ทรมานจัง แต่ก่อนตอนเลวๆยังคิดน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ”

อุปการะหัวเราะหึหึ

“ความอยากหยุดคิด กับความทรมานจากการคิดเหลวแหลกนั่นแหละ ตัวกระตุ้นสำคัญให้ยิ่งคิดมากเข้าไปใหญ่ หนูไม่ต้องไปทำอะไร มันจะเกิดก็ให้มันเกิด พิจารณาดูให้รู้ว่านั่นแค่คลื่นสมองซึ่งผุดกระเพื่อมขึ้นเอง ไม่ใช่เจตนาที่ส่งออกมาจากหัวใจของเราอย่างแท้จริง”

“ถ้าคิดเลวๆแล้วไม่รู้สึกผิด มิเข้าข่ายที่อาจารย์ว่าคิดเลวได้โดยปราศจากความละอายหรอกหรือคะ?”

“ความคิดมีอยู่สองแบบ แบบแรกเหมือนสายลมที่พัดมาเองตอนเราเดินอยู่กลางแจ้ง เราบังคับควบคุมไม่ได้ ทำได้แค่เพียงรับรู้ว่ามันผ่านมาปะทะเราแล้วปล่อยให้มันผ่านไปเฉยๆ ความคิดอีกแบบเหมือนลมที่เกิดจากความจงใจพัดโบกของเรา เราสมัครใจ หรือติดใจที่จะคิดอย่างนั้น การคิดด้วยความติดใจและจงใจนี่แหละถึงจะเป็นมโนกรรมเต็มขั้น”

ลานดาวยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจแจ่มแจ้งแทงตลอด

“สรุปคือแค่ปฏิบัติต่อความคิดเลวๆเหมือนรู้ว่ามีสายลมพัดฝุ่นทรายมาโดนตัว แล้วก็แล้วกันไปไม่ต้องคว้ามาใส่ปากเคี้ยวต่อ อย่างนั้นใช่ไหมคะ?”

อุปการะยิ้มอย่างพึงใจในการอุปมาอุปไมยของหญิงสาว

“อือม์”

“ความสามารถในการสำนึกผิด” ลานดาวเอียงคอช้อนตาทะแยงขึ้นบนในท่าคิด “จ๊ะจะให้ความสำคัญกับความสำนึกผิดไว้หนึ่งบทเลย ทำเลวแล้วยังสำนึกแปลว่าไม่เลวจริง แต่ทำเลวแล้วติดใจโดยปราศจากความสำนึกใดๆ แปลว่าจิตเคลื่อนไปอยู่ในภพที่เป็นอบายแน่แล้ว ถูกไหมคะ?”

“ก็จัดเป็นเครื่องวัดที่ค่อนข้างแน่นอน”

“จ๊ะอยากวิเคราะห์ว่าความดีเริ่มต้นมาจากไหน”

“ครูที่ดี เพื่อนที่ดี หรือเรียกรวมๆว่า ‘กัลยาณมิตร’ นั่นแหละ รุ่งอรุณของความดีงามทั้งปวง”

“จิตชั้นสูงระดับมนุษย์จะรู้จักความดีเอาเองโดยไม่ต้องให้ใครบอกไม่ได้หรือคะ?”

“อย่าไปเรียกจิตชั้นสูงเลย คนเราเนี่ย โดยเดิมดิบๆนั้น ครึ่งๆกลางๆระหว่างเดรัจฉานกับเทวดามากกว่า จิตมนุษย์ช่างสงสัยเคลือบแคลง และบ่อยครั้งทึกทักเข้าข้างตัวเองมากกว่าจะรู้เห็นอะไรตามจริง แค่คำว่า ‘ความดี’ คำเดียวก็เถียงกันได้ไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว แล้วหนูจะให้คนๆหนึ่งดีขึ้นมาด้วยตนเองได้อย่างไร”

“ค่ะ… คือจ๊ะกำลังวิเคราะห์ตัวเองว่ากลับใจ เปลี่ยนจากเด็กไม่รู้คิดเป็นผู้เป็นคนขึ้นได้บ้างอย่างนี้ เริ่มต้นขึ้นที่ไหน คำพูดของใครทลายกำแพงทิฐิของเราได้ หากเราจับจังหวะสำคัญถูก ก็น่าจะบอกต่อเป็นสูตรสำเร็จให้คนอื่นรู้ตามได้ไม่ยาก”

“ทำนองเดียวกับที่เราไม่อาจระบุว่าวันเวลานาทีไหนเป็นตัวทำให้ร่างกายเราโตขึ้น เราไม่อาจรู้หรอกว่าคำพูดไหนของใครทำให้เราเริ่มเป็นคนดีขึ้นมา แค่รู้ได้แต่ว่าการอยู่ใกล้ใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราเลื่อมใสในความดี เราก็จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามวันเวลาที่คลุกคลีกับเขา”

“อย่างนี้ถ้าไม่มีโอกาสพบกัลยาณมิตรก็แย่สิคะ?”

“เมื่อยังไม่ถึงกลียุค มนุษย์ทุกคนมีช่วงเวลาในชีวิตที่เป็นโอกาสทองทางความดีเสมอ เพราะในหมู่คนจำนวนร้อยซึ่งเรารู้จัก หรือได้พบ หรือได้ยินได้ฟัง ต้องมีสักคนที่เป็นแบบอย่าง เป็นแรงบันดาลใจทางความดีให้เราได้”

ลานดาวค่อยๆนึกทบทวน บางทีเรื่องใกล้ตัวที่สุดก็มักถูกมองข้ามไปอย่างง่ายที่สุด ความจริงพ่อแม่ของหล่อนก็เป็นแบบอย่างที่ดีในหลายๆด้าน ครูที่สถานศึกษาตั้งแต่อนุบาลยันอุดมศึกษาก็มีหลายท่านที่งดงามน่าเคารพ อย่างน้อยหล่อนก็โตขึ้นมาท่ามกลางบุคคลแวดล้อมจำนวนหนึ่ง ซึ่งช่วยชี้ให้เห็นว่าความดีไม่ใช่เรื่องตลก ไม่ใช่เรื่องของคนยอมโง่เสียเปรียบใครๆ

แต่กัลยาณมิตรก็มีอิทธิพลกับชีวิตต่างระดับกันไป เมื่อนึกถึงผู้ที่ฉุดชีวิตหล่อนขึ้นจากหล่มของความหลงผิด นนทกานต์ปรากฏชื่อเป็นอันดับแรก ในฐานะผู้นำทางมาพบกับครูผู้ชี้ทางถูก รวมทั้งอยู่ข้างหล่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ฉวยโอกาสในยามที่กำลังสับสนเหมือนหลงทางซับซ้อน เขาพูดให้ได้คิดขณะที่หล่อนแทบคิดไม่ได้ และในยุคที่มีแต่คนยุยงส่งเสริมให้ผิดศีลเอามันกันโจ๋งครึ่ม เขาเป็นทูตแห่งความดีเตือนหล่อนให้คบกับมาวันทาอย่างถูกทำนองคลองธรรมไม่ล้ำเส้นศีลข้อกาเมฯ หากหล่อนลืมนับเขาเป็นกัลยาณมิตร ก็คงเป็นเรื่องน่าละอายพอดู

อันดับสองคงหนีไม่พ้นมาวันทา มาวันทาเพียงคนเดียวทำให้หล่อนเห็นชีวิตหลายแง่มุมเหลือเกิน คือเป็นทั้งหมอรักษา ทั้งพี่สาวใจดี ทั้งครูสอนดนตรีการ ทั้งหวานใจคนแรก ทั้งผู้ทำให้หล่อนอยากลาโลกด้วยรักขม ตลอดจนกระทั่งเป็นผู้หญิงที่มาชิงชายคนรักของหล่อนไปโดยไม่เจตนา ยิ่งคิดยิ่งมีความรู้สึกประหลาดล้ำกับสัมพันธภาพหลายชั้นหลายเชิงระหว่างหล่อนกับมาวันทา แต่เหนือสิ่งอื่นใด มาวันทาทำให้หล่อนเชื่อว่าโลกนี้ยังมีคนคิดรักษาศีล ถึงแม้อยู่ในภาวะเข้าด้ายเข้าเข็ม อยากละเมิดศีลเต็มอัตราเพียงใดก็ตาม

อันดับสามคืออมฤต ผู้ชายคนแรกที่หล่อนนับเป็นแฟนตัวจริง เขาทำให้หล่อนรู้จักตัวเองว่าจะรักใครได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือร่ำรวยล้นฟ้า ขอเพียงมีความคิดและน้ำใจที่ยิ่งใหญ่พอ ยิ่งกว่านั้นอมฤตยังเป็นแรงบันดาลใจให้หล่อนคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรักษาเขาไว้ และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือมีน้ำใจเสียสละยิ่งใหญ่ คือยอมแม้กระทั่งเสียสละเขาให้กับคนที่เหมาะสมกว่าหล่อน!

อันดับสี่คืออุปการะ หล่อนเริ่มนับถือเขาจากความแม่นยำในการทำนาย รวมทั้งที่เขาสอนให้รู้ว่าคำทำนายไม่จำเป็นต้องแม่นยำเสมอไป เพราะคำทำนายเพียงบอกว่าผลกรรมที่ทำไว้ในอดีตกำลังจะออกดอกออกผลอย่างไร แต่หากมีกรรมในปัจจุบันที่ทรงน้ำหนักเพียงพอจะคานกันหรือแทรกแซงของเก่าได้แล้ว ชะตาก็อาจถูกดัดแปลง เปลี่ยนจากร้ายให้กลายเป็นดี หรือเปลี่ยนจากช้าให้กลายเป็นเร็ว นั่นหมายความว่าอุปการะมิใช่เพียงสอนหล่อนให้เชื่อเรื่องกรรม แต่ยังเข้าใจเหตุ เข้าใจผล ทำให้หล่อนรู้ว่าหน้าที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การเสียดายอดีต ไม่ได้อยู่ที่การอยากย้อนกลับไปเปลี่ยนแปลงอะไรๆที่ผ่านมาแล้ว แต่อยู่ที่การเห็นค่าของปัจจุบันซึ่งยังอยู่ในมือ อยู่ในการตัดสินใจว่าจะเลือกก่อกรรมอันใด

“การที่จ๊ะมีโอกาสรู้จักและคบหาสนิทกับกัลยาณมิตร เป็นเพราะกรรมเก่าแบบไหนคะ?”

“เพราะเคยมีครูที่ดี เคยอยู่ในโอวาทของพวกท่านมาก่อน หนูเคยมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ ได้ทำบุญกับพวกท่านและเหล่าสาวกของพวกท่าน รวมทั้งเลื่อมใสศรัทธา ปรารถนาจะดำรงตนอยู่ในเส้นทางธรรมอันถูกต้องและสว่างแจ้งไปเรื่อยๆตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน ผังกรรมในชาตินี้เลยจัดสรรคนดีๆมาเป็นป้ายบอกทางมากมายโดยไม่ต้องเสาะแสวงหา”

ลานดาวรับฟังด้วยความปลื้มปีติ

“งั้นทุกครั้งที่ฟังธรรมแล้วเกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเห็นแจ้งแทงกุศลธรรม จ๊ะจะอธิษฐานซ้ำไปเรื่อยๆ ว่าขอให้ได้เลื่อมใสและมีโอกาสใกล้ชิดผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปทุกภพทุกชาติ”

อุปการะพยักหน้า

“นั่นก็จัดเป็นการเตรียมเสบียงเดินทางไกลที่ฉลาด การอธิษฐานซ้ำๆจะตอกย้ำให้เราอยู่ในร่องในรอยเดิม มีพลังหน่วงเหนี่ยวอย่างใหญ่ แม้จะไถลพลาดคลาดเคลื่อนออกนอกเส้นทางบ้างก็จะกลับมาได้อย่างรวดเร็ว”

“เอ… อาจารย์คะ จ๊ะพบครูดีเพราะเคยนับถือและอยู่ในโอวาทของครูดีมาก่อน แล้วแบบนี้ถ้าอดีตชาติใครไม่เคยมีครูดี หรือเชื่อครูผิด ชาตินี้จะทำยังไงล่ะคะ ไม่แปลว่าเขาหมดสิทธิ์พบทางสว่างตรงทางหรอกหรือ?”

“ก็อาจเจอได้ แต่ไม่ใช่แบบจัดวางใส่พานมาประเคนเหมือนอย่างหนู กลไกในโลกมนุษย์ที่จะพาเราไปพบครูนั้น ได้แก่เสียงร่ำลือ อย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่าสัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกล หมายความว่าชื่อเสียงของท่าน คำสอนดีๆของท่าน ย่อมกระจายออกไปกว้างไกล จากปากต่อปาก จากสื่อต่อสื่อ จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะรักดี อยากเงี่ยหูฟังครูคนไหน”

“แต่ครูเต็มไปหมด แล้วก็มีชื่อเสียงร่ำลือระบือไกลกันทั้งนั้นนี่คะ มองกวาดไปเห็นคละกันมั่ว ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพลาดไปเจอคนนำทางนรกเข้า”

“แต่ละคนทำกรรมมาอย่างไร กรรมก็จะจูงไปพบครูที่สอดคล้องกับเส้นทางนั้น คนไทยจำนวนมากเคยทำบุญในร่มโพธิ์พุทธศาสนามาก่อน ตราบใดพุทธศาสนายังไม่สาบสูญไปจากประเทศ ตราบนั้นเด็กไทยที่เพิ่งลืมตาดูโลกก็ได้ชื่อว่ามีโอกาสเห็นประตูสวรรค์นิพพานกันอยู่ ส่วนจะเข้าทางจริงหรือไม่ ก็สุดแท้แต่ใครจะขวนขวายแค่ไหน ทุกวันนี้น้อยคนจะตระหนักว่าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ ใครๆยังเข้าเฝ้าท่านได้ เพราะยังมีสาวกที่ซื่อสัตย์กับพระองค์ จดจำและสืบทอดคำสอนตรงๆของพระองค์อยู่อีกมาก อีกทั้งพระไตรปิฎกก็ยังอยู่ยงคงกระพัน ไม่ถูกทำลายให้สูญหายไปไหน”

“แล้วจะมีอะไรเป็นหลัก เป็นเครื่องประกันคะ ว่าศึกษาธรรมะ ศึกษาเรื่องกรรมไปแล้วจะไม่หลงทาง?”

“ตอนยังมีม่านอกุศลบังตา คนเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าครูคนไหนนำทางไปสว่าง ครูคนไหนนำทางไปมืด เพราะความมืดด้วยกันย่อมยกย่องกันและกันว่าเป็นแสงสว่าง เป็นทางที่ใช่”

ลานดาวตรองแล้วครางรับเบาๆ เพราะจำได้ว่าเมื่อหล่อนหน้ามืดตามัวด้วยความใฝ่ต่ำอยู่นั้น แม้มาวันทาและคนรอบตัวเพียรพูดให้สำนึกอย่างไร บอกทางสว่างกันคอแทบแตกขนาดไหน ก็ไม่อาจเจาะกำแพงแปดทิศของคุกที่ขังหล่อนไว้กับความมืดมนอนธการได้เลย

“แปลว่าถ้าเจอครูดีขณะที่ใจเรายังมืดบอด ยังทำผิดศีลผิดธรรมอยู่เป็นนิตย์ ก็เท่ากับพลาดโอกาสทองไปใช่ไหมคะ?”

“ใช่”

“สรุปคือเราจะรู้ได้ว่าคำสอนไหนถูก ไม่โดนใครหลอกพาไปลงนรก ก่อนอื่นต้อง ‘มีดี’ อยู่ก่อน จิตใจพร้อมจะทำตัวเป็นพานทองรองรับของสูงบ้างแล้ว?”

“ใช่”

“ว้า! อย่างนั้นก็เหมือนงูกินหางเลยสิคะอาจารย์ จะดีได้ต้องมีครูสอนถูก แต่จะนับถือครูสอนถูกได้ก็ต้องมีดีเสียก่อน”

“เกิดเป็นมนุษย์ได้ต้องมีดีอยู่บ้างแล้ว การที่วิญญาณจะปฏิสนธิในท้องมนุษย์ได้นั้น จิตต้องเรืองสว่างเป็นกุศล ประเภทจิตมืดๆไม่รู้ผิดรู้ชอบนั้นเข้าท้องมนุษย์ไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นถือว่าโดยพื้นฐานทุกคนมีดี มีเหตุผล มีความสว่างเป็นทุนเดิมอุดหนุนอยู่ก่อน ขอแค่ไม่ไปสร้างเรื่องร้ายๆขึ้นเป็นม่านอกุศลบังตาบังใจในระหว่างมีชีวิตเสียอย่างเดียว เมื่อพบกัลยาณมิตรเช่นพระพุทธเจ้า เห็นท่านเป็นผู้ดำรงตนอยู่ในความไม่เบียดเบียน สอนเรื่องการไม่เบียดเบียน และจาระไนผลของการไม่เบียดเบียนได้อย่างละเอียดลออ ก็ย่อมเกิดความเลื่อมใสนับถือและบอกต่อกับลูกหลานได้แล้ว”

ลานดาวเปิดสมุดพกจดคำว่า ‘ไม่เบียดเบียน’ ไว้เป็นไอเดียพื้นฐานของหนังสือใหม่ รวมทั้งเขียนหวัดบันทึกกิ่งก้านสาขาความคิดที่งอกเงยขึ้นฉับพลัน คือตั้งข้อสังเกตว่าโดยพื้นฐานนั้น มนุษย์เจอใครที่สอนการไม่เบียดเบียน ไม่เข่นฆ่าบูชายัญ ไม่สังเวยตนเซ่นสงครามกิเลส ก็ย่อมรู้สึกแต่แรกว่าเป็นคำสอนที่ยืนพื้นอยู่บนความถูกต้อง แต่ถ้ากรรมเก่าส่งไปอยู่ในเผ่าพันธุ์ที่ถือกำเนิดจากความเกลียดชัง ความครุ่นคิดอาฆาต ความมุ่งมาดทำร้าย พวกเขาย่อมประสบแต่สิ่งแวดล้อมและเหตุการณ์ที่บันดาลโทสะไปวันๆ ต่อให้พวกเขามีศาสดาผู้สอนให้รักสงบ ก็อาจอยากลักลอบดัดแปลงคำสอนเดิมให้เป็นตรงข้ามเสีย

พอร่างไอเดียในการเขียนเสร็จหญิงสาวก็ถอนใจ

“มองย้อนกลับไป ตั้งแต่เด็กจ๊ะมีแต่เบียดเบียนชาวบ้านด้วยกาย วาจา ใจมาตลอด เพราะความทะนง ความหลงตัว และความอยากเหนือคนอื่น นิสัยเสียๆทำนองนี้จะติดตัวไปก่อเรื่องทุกครั้งที่เกิดใหม่เลยหรือเปล่าคะอาจารย์?”

“กรรมเก่าจะพยายามรักษาเราไว้ในเส้นทางเดิมด้วยการส่งเรามาเกิดในสิ่งแวดล้อมที่บีบให้ต้องมีพฤติกรรมเหมือนๆเดิม แต่กิเลสตัณหาจะบีบให้เราต้องตกต่ำลงกว่าที่เคยเสมอ หนูเคยทำทานมามาก กรรมจึงส่งให้มาเกิดในบ้านผู้มีอันจะกิน เท่ากับเปิดโอกาสให้ทำทานได้อีกมากๆโดยไม่ต้องกังวลว่าเราเองจะหมดไหม แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโลภะ จู่ๆเมื่อลืมตาดูโลกแล้วเห็นตนมีทรัพย์มาก โลภะก็ดลใจให้อยากเพิ่มพูนให้ล้นๆยิ่งขึ้นไป เพราะทุกคนจะพบตรงกันว่าทรัพย์คืออำนาจใหญ่ในโลก เงินยิ่งมากยิ่งทำตามอำเภอใจได้มาก มีหัวมาก้มให้เหยียบมาก”

ลานดาวฟังแล้วเหม่อไป ปีก่อนหล่อนเคยอยากลิ้มรสอำนาจวาสนาและความหรูหราของความเป็นเศรษฐีนีพันล้าน อยากพ้นสภาพลูกสาวขี้ขอของเศรษฐีหลายร้อยล้าน แต่ความปรารถนาจะทำมหาทานเป็นแสนเป็นล้านยังไม่เคยแวบผ่านมาในหัวสักหน ทานบารมีเก่าในชาติก่อนส่งหล่อนมารวยจริง แต่ทรัพย์สมบัติที่วางกองตรงหน้าก็ทำให้หล่อนงกจริงเช่นกัน

แต่จะว่าไป หล่อนก็เริ่มมีน้ำใจคิดให้โดยไม่หวังผลตอบแทนบ้างแล้ว เริ่มจากแอบโอนเงินค่าหนังสือทั้งหมดให้กับอมฤตและมาวันทา รวมทั้งตั้งใจว่าเร็วๆนี้ที่กำลังจะเป็นคุณนายของบริษัทนีโอเทรนด์ หล่อนจะออกรถป้ายแดงงามๆให้ครูผู้อยู่ตรงหน้าสักคันพร้อมจ้างคนขับประจำครบเสร็จ แต่ทว่านั่นเพราะความสำนึกคุณคนมากกว่าความอยากเจือจานไปในวงกว้างโดยปราศจากเงื่อนไข

พูดง่ายๆสั้นๆคือชาตินี้หล่อนยังไม่ได้เริ่มต่อบุญเก่าในเรื่องทานจริงจังนัก เห็นทีจะต้องเริ่มวางแผนเอานิสัยเดิมในอดีตชาติกลับมาทำบารมีต่อกันใหม่

“อีกอย่าง…” อุปการะกล่าวสืบต่อ “หนูเคยรักษาศีลมาสะอาดหมดจด กรรมจึงส่งให้มาครองอัตภาพหมดจดงดงาม เท่ากับเปิดโอกาสให้เห็นความสวยสะอาดทางกาย แล้วบันดาลให้คิดอ่านแต่ในทางดี มีวาจาไพเราะ ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเป็นเครื่องประดับโลก แต่เพราะคนเรามีกิเลสชื่อโมหะ จู่ๆพอโตขึ้นเป็นสาวแล้วเห็นหนุ่มๆมาปรนเปรอ เอาอกเอาใจพะเน้าพะนอ ใครต่อใครยอมทุกอย่างเพียงเพื่อได้ชมโฉมเราอย่างใกล้ชิดนานๆ ความหยิ่งทะนงก็งอกเงยขึ้น สั่งสมความหลงตัวมากขึ้น กระทั่งอัตตาโตขึ้นจนอยากสยบโลกทั้งใบด้วยความสวยของเรา ถึงเวลานั้นภูมิต้านทานกิเลสตัณหาของเราจะต่ำ อยากได้อะไรแล้วไม่ได้ก็ต้องอาละวาดให้พินาศกันไปข้าง ศีลธรรมจรรยาไม่ต้องไปสนแล้ว อยากได้ก็ต้องเอาให้ได้”

หญิงสาวกะพริบตาสองสามหน คล้ายถูกปลุกให้นึกออกว่าชีวิตนี้เพิ่งทำอะไรลงไปบ้าง

“ธรรมชาติเล่นแบบนี้เองนะคะ อนุญาตให้ขึ้นสูงเป็นเส้นตรงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องส่งแรงรบกวนมาดึงดูดให้กลับหล่นลง แม้ไม่ถึงขนาดกลับทิศจากเหนือลงใต้ อย่างน้อยก็เบี่ยงเบนให้ต้องไปทางตะวันตก ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ไม่ปล่อยให้ลงต่ำท่าเดียว จะมีแรงช่วยมาหนุนให้กลับขึ้นสูงบ้าง อย่างถ้าคนเราหน้าตาอัปลักษณ์เพราะกรรมชั่วเก่าๆแต่ปางก่อน จิตก็อาจถูกบีบให้เจียมตัว อันเป็นเชื้อของความอ่อนน้อม แล้วพัฒนาไปสู่ความมีใจเป็นกุศล”

“หน้าตาไม่ดีแล้วยังคิดไม่ดีต่อก็มีถมไป แล้วแต่การสั่งสมนิสัยมากกว่า อีกอย่าง สำนึกของคนเราพร้อมจะเกิดขึ้นเสมอ เมื่อไหร่สำนึกผิดหรือห้ามใจได้ ชาติเดียวกันนั้นก็กลับดีได้ใหม่ อย่างหนูก็ไม่ต้องไปเกิดเป็นนางยักษ์อัปลักษณ์ที่ไหนเสียก่อนกลับใจนี่”

“ถ้าไม่เจอมิตรดีและครูดี ป่านนี้ก็ยังไม่หายโง่มั้งคะ”

“ชีวิตมนุษย์ในแต่ละชาติก็อย่างนี้แหละ จะให้ดีพร้อมมาแต่เกิดไม่ได้ ทุกคนมีคุณสมบัติอันเป็นตัวตั้ง จะยากดีมีจน จะขี้เหร่เก๋ไก๋ แต่ละคนต้องเรียนรู้เอาว่าควรใช้คุณสมบัติที่ตนมีอยู่อย่างไรในการขุดทองทางวิญญาณ”

ลานดาวก้มหน้าก้มตาจด พักหนึ่งก็ชะลอมือช้าลงสู่การหยุดอย่างได้คิดก่อนเขียนจบ

“ถ้ามองคนๆหนึ่งเป็นเพียงจิตวิญญาณดวงหนึ่ง ก็เห็นเลยนะคะว่าคนเราเกิดเป็นอย่างหนึ่ง เพื่อตายไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้หลายครั้งเหลือเกิน สมัยเด็กจ๊ะเคยทั้งเกเรเรียนไม่เก่งและทั้งรักดีขยันขันแข็งจนเป็นที่หนึ่งของรุ่น เคยฝันหาเจ้าชายแล้วกลายไปเป็นหญิงรักหญิงก่อนจะกลับมารักผู้ชายได้อีก เคยเห็นแก่ตัวจนหน้าเขียวเดี๋ยวนี้เห็นใครต่อใครแล้วรู้สึกสงสารอยากช่วยไปหมด ภพภูมิมนุษย์นี่แปรปรวนไปมาได้ซับซ้อนจังค่ะ อยากรู้ว่าภพภูมิอื่นยอกย้อนได้อย่างนี้บ้างไหม”

“ไม่หรอก เพราะภพอื่นส่วนใหญ่เมื่อเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอย่างไร ก็จะคงความเป็นอย่างนั้นไว้ค่อนข้างสม่ำเสมอตลอดชีพ แต่เพราะภพมนุษย์มีธรรมชาติของวัยเด็ก วัยทำงาน และวัยชรามาเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มจากไม่ให้รู้อะไรเลย เขยิบขึ้นสู่การลองผิดลองถูก กระทั่งพัฒนาไปสู่สภาพตกผลึกของการเชื่อและการรู้สึกนึกคิด หนึ่งชาติของมนุษย์จึงเหมือนภพใหญ่ที่ซอยแบ่งออกเป็นภพย่อยๆได้มากมายเหลือจะนับ”

ประโยคสุดท้ายของอาจารย์สะกิดให้เกิดความสนใจ ลานดาวจึงจดไว้เป็นไอเดีย คือภพใหญ่นั้นอาจครอบรวมเอาภพย่อยๆไว้ได้มากมาย ขอเพียงภพใหญ่นั้นมีปัจจัยเอื้อให้เพียงพอ

จดไอเดียเสร็จก็เงยหน้าขึ้นกล่าว

“ชักรู้สึกว่าภพมนุษย์เป็นภพที่น่าสนใจแล้วซีคะ”

“ภพที่เรียนรู้ได้ แม้แต่ภพของสัตว์ฉลาด เป็นภพที่มีความหลากหลาย แล้วก็พัฒนาจากความเป็นอย่างหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่งได้ตลอดเวลา อย่างพวกลิงชิมแปนซี ฝึกดีๆฉลาดกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก น่าเสียดายแต่ว่าฉลาดอย่างไรก็ติดเพดานของภพภูมิเดรัจฉาน ฉลาดแค่ไหนก็ไม่รู้ทางสว่างเพื่อเลื่อนภพเลื่อนภูมิได้ง่ายๆ”

“ตอนนี้เหมือนเห็นอดีตชาติของตัวเองเลยค่ะ สมัยยังวุ่นวายกับการค้นหาตัวเอง ช่างเป็นวิญญาณที่เร่าร้อนกับการหาภพภูมิอาศัย พอพี่เอินชี้ทางสว่าง หางานให้ทำ หาตัวตนให้เป็น ก็ค่อยกลายเป็นวิญญาณมีภพมีภูมิกับเขาหน่อย แต่ตอนตายจริง เผาจริง ก็ต้องเคลื่อนจากความเป็นมนุษย์ไปสู่ความเป็นอย่างอื่นอีกด้วยแรงเขวี้ยงของกรรม”

อุปการะหัวเราะด้วยความรู้สึกหลากหลาย ลานดาวพูดสะกิดให้เขาเห็นภพชาติเบื้องหน้าของหล่อนเป็นฉากๆโดยไม่ต้องเจตนาดู แต่เขาเก็บงำไว้ไม่พูดถึง ยังคงสนทนากับหล่อนต่อเป็นปกติ

“หนูเอาไปเขียนเถอะ เราจะเข้าใจชาติหน้ามากขึ้น ถ้าทำความเข้าใจชาตินี้ดีๆ และมองแต่ละช่วงของชีวิตโดยความเป็นภพย่อยๆที่วิญญาณของเราเข้าไปยึด เห็นแต่ละภพว่าคือสภาวะที่ไม่แน่ไม่นอน ขึ้นอยู่กับกรรมที่เราก่อ และขึ้นอยู่กับความสมัครใจที่เรายอมติดอยู่กับภพหนึ่งๆ”

“เพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้เองค่ะ นี่จ๊ะเป็นวิญญาณเร่ร่อนไปเรื่อยอย่างปราศจากจุดหมายปลายทางใช่ไหมคะกรรมแต่ละระลอกซัดไปสู่ฝั่งใหม่ ก่อกรรมอีกแล้วถูกซัดไปสู่ฝั่งใหม่อีก”

“ใช่… วิญญาณทั้งหลายถูกสะกดโดยผลกรรม ให้หลงฝันว่าตนเป็นอย่างนี้ ตนอยากเป็นอย่างนั้น แล้วก็เคลื่อนไปเรื่อย โดยมีหลักกรรมคือทุกคนได้อย่างที่ทำ ไม่ได้อย่างที่อยาก หากไม่มีใครบอกให้รู้ชัดๆว่าฝั่งสุดท้ายอันเป็นที่หยุดนิ่งมีอยู่และพิสูจน์ได้ขณะยังเป็นมนุษย์ สรรพวิญญาณก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยโดยปราศจากความแน่นอนว่าเมื่อไหร่จะตกตาดี เมื่อไหร่จะตกตาร้าย”

“ชักอยากเข้าให้ถึงแก่นสารอันเป็นที่สุดของพุทธศาสนาแล้วสิคะ อาจารย์ไม่เห็นสอนจ๊ะมั่งเลย”

หญิงสาวทำเสียงอ้อน

“ถ้าผมให้หนูพูดรวบรัดชีวิตของหนูทั้งชีวิตเป็นคำๆเดียว หนูจะเลือกคำว่าอะไร?”

หญิงสาวเอียงหน้าเหลือบตาคิดนิดหนึ่ง ก่อนเบนกลับมาทอดสายตามองอาจารย์ยิ้มๆอย่างรู้ล่วงหน้าว่าตนโดนดักทางไว้อย่างไร

“พูดถึงชีวิตจ๊ะทั้งชีวิตด้วยคำๆเดียว ก็คงเป็น ‘สนุก’ มั้งคะ”

“ทั้งๆที่เพิ่งทุกข์จนแทบอยากฆ่าตัวตายมาเมื่อปีก่อนเนี่ยนะ?”

ลานดาวหัวเราะสดใส เพราะอุปการะเอ่ยอย่างที่หล่อนเดาไว้เป๊ะ

“อาจารย์ถามคำเดียวจ๊ะเข้าใจไปถึงไหนต่อไหนแล้วค่ะ จ๊ะแค่ตอบตามความรู้สึกที่แท้จริงจากใจในขณะนี้ เห็นตัวเองแจ่มแจ๋วเลยว่ากำลังเพลินโลก สนุกกับงาน สนุกกับคนรัก สนุกกับชีวิต ใจก็ต้องเห็นภาพรวมของตัวเองทั้งหมดเป็นความสนุก และตราบใดที่ยังเห็นชีวิตเข้าข่ายเป็นสุข ก็ต้องหวงแหนไว้ และอยากตะกายหาสุขใหม่ๆมาเพิ่ม ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องเคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่ความเป็นอีกภพหนึ่งแล้วๆเล่าๆ โดยไม่มีวันคิดหาทางสละความยึดติดต่างๆอย่างแท้จริงเลย”

“อือ… รู้ดีหมดแล้วนี่”

“ใครบอกรู้หมด รู้แค่เล็กน้อยแต่เข้าเป้าเพราะอาจารย์ชี้ต่างหากค่ะ” หญิงสาวยิ้มระรื่นคล้ายคนไม่เคยรู้จักทุกข์มาก่อน “ถ้าไม่ถูกจี้ให้คิดย้อนมาถามตัวเองว่าเป็นใคร หรือกำลังทำอะไร ก็เหมือนโดนเส้นผมบังภูเขาเหมือนกันนะคะ เห็นความสำคัญของการตั้งโจทย์เดี๋ยวนี้แหละ เป็นมนุษย์ที่ช่างคิดนี่อาจตั้งโจทย์กันได้ไม่จำกัด แต่จะมีโจทย์อยู่เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้นที่บันดาลให้เราฉุกใจหาคำตอบเพื่อใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มสุด”

อุปการะพยักหน้ารับ

“นั่นซี คนมีแต่ความคิดรอเจอแฟนตอนเย็นน่ะ ผมว่าหมดสิทธิ์ตั้งโจทย์ชีวิตแบบพุทธแท้แน่ๆ”

ลานดาวหัวเราะโยกตัวไปมาเขินๆ เพราะทราบว่าอาจารย์ดักใจตน ซึ่งอดคิดถึงสรณะเป็นระยะๆไม่ได้ เนื่องจากเพิ่งทราบชัดด้วยความอิ่มเอมเปรมใจว่าเขาคือเนื้อคู่ที่แท้ แต่พอโดนกระตุก หล่อนก็สำรวมระวังจิตให้จดจ่อกับการสนทนาเต็มที่ยิ่งขึ้น

“เมื่อยังมีโจทย์แบบพุทธแท้ไม่ขึ้นใจ ก็ต้องหาโจทย์อื่นมาพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีแก่ใจตั้งโจทย์ข้อสุดท้ายใช่ไหมคะอาจารย์?”

“ก็ต้องอย่างนั้น”

“แล้วพุทธศาสนามีวิธีใช้ชีวิตไปตามลำดับจนกว่าจะซึ้งเรื่องของทุกข์ แล้วใคร่ครวญจริงจังถึงการดับทุกข์ไหมคะ?”

“ก็มีสอนเรื่องการอธิษฐานและการพิจารณาโดยแยบคาย กำหนดทิศให้จิตค่อยๆเลื่อนขั้นอยู่เหมือนกัน เช่นเมื่อทำทานครั้งใด ท่านให้หมั่นอธิษฐานว่าขอจิตเราจงสละความยึดมั่นถือมั่นผิดๆได้โดยไม่เสียดาย เช่นเดียวกับที่ไม่เสียดายข้าวของซึ่งทำทานไปนั้น และเมื่อมีเหตุการณ์ยั่วยุให้ผิดศีลข้อใดแล้วใจเราแน่วแน่พอจะหักห้าม ท่านก็ให้ระลึกว่าผู้มีศีลย่อมไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ผู้ไม่เดือดเนื้อร้อนใจย่อมมีจิตตั้งมั่นได้ง่าย ผู้มีจิตตั้งมั่นได้ง่ายย่อมรู้เห็นตามจริง ไม่มีความบิดเบี้ยวทางจิตเหมือนคนอื่น นี่แหละ ทำทานรักษาศีลด้วยอาการอย่างนี้เรื่อยๆ ถึงจุดหนึ่งจะเริ่มมีความคิดเข้าเป้าใหญ่ของพุทธศาสนาไปเอง”

ลานดาวรีบจดยิกก่อนเงยหน้าขึ้นถามใหม่

“อย่างจ๊ะมีสิทธิ์อธิษฐานแล้วทำได้ภายในชาติเดียว หรือจำเป็นต้องสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติคะ?”

“จิตคนน่ะ เมื่อทำบุญแล้วสั่งสมแรงอธิษฐานด้วยใจจริงซ้ำๆเป็นประจำ ก็ไม่ต้องรอชาติหน้าให้ไกลเกินรอหรอก คิดง่ายๆอย่างนี้ ช่วงที่หนูดื้อๆอยู่น่ะ ถ้าใครมาขอร้องอ้อนวอนให้อ่อนข้อรามือในเรื่องที่หนูไม่เต็มใจ หนูจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับเขา?”

หญิงสาวทำหน้าสลด ตอบเสียงอ่อยแทบไม่ต้องคิด

“ก็ไม่ยอมสิคะ ต่อให้รู้ว่าเราเลว ต่อให้รู้ว่าเขาเต็มไปด้วยเหตุผลขนาดไหน ในเมื่อใจไม่ยอมเสียอย่าง พูดเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์”

“นั่นแหละ จิตมีแต่ตัว ‘ไม่ยอม’ เป็นเกราะเป็นกำแพงล้อมอยู่หนาทึบขนาดนั้น ถ้าหนูแค่ท่องซ้ำๆถี่ๆว่า ‘ยอมๆๆๆๆ’ เพียงไม่นานเกราะและกำแพงที่ตั้งกั้นเหตุผลทั้งหลายไว้ก็จะอ่อนยวบลงทันตาเห็น นี่สะท้อนว่าใจเราพร้อมจะเป็นไปตามความคิดที่สั่งสมซ้ำๆ”

ลานดาวยิ้มกว้าง เห็นเป็นอุบายที่น่าจดไว้แนะนำคนดื้อ ก้มลงบันทึกข้อความอึดใจเดียวก็เงยหน้าขึ้นถามต่อ

“แล้วความยโสโอหัง ทะนงด้วยความสำคัญตนว่ายิ่งใหญ่ล่ะคะ จะให้ใช้อุบายอะไรดี ที่สะกดจิตให้เปลี่ยนแปลงไปในทางอ่อนน้อมลง?”

อุปการะหยั่งทราบว่าลานดาวถามด้วยความอยากได้อุบายไปกล่อมเกลาตนเอง เนื่องจากหล่อนเริ่มมีคนนับถือมากขึ้น และประสพความสำเร็จรวดเร็วจนกิเลสบุกเข้ามาทุกทิศทุกทางจนตั้งสติรับแทบไม่ทัน ยิ่งวันอัตตายิ่งโต เขาจึงแย้มริมฝีปากยิ้มแนะนำด้วยความปรานี

“พอได้สติว่ากำลังถือดีมีมานะ ให้หนูยกมือพนมไหว้เดี๋ยวนั้นเป็นการใช้กิริยาทางกายสยบความผยองของจิต นอกจากพนมมือไหว้แล้วก็ควรระลึกถึงผู้น่ากราบไหว้อย่างพระพุทธเจ้าด้วย เสร็จแล้วเปรียบเทียบเอา ว่ามืดทึบเพราะอัตตาเป็นอย่างไร สว่างไสวเพราะความอ่อนน้อมเป็นอย่างไร และระหว่างมืดกับสว่างอย่างไหนดีกว่ากัน ไม่นานจิตจะฉลาดเลือกความอ่อนน้อมไปเองโดยไม่ต้องแกล้งฝืน”

ลานดาวเบิกหน่วยตากว้าง

“จ๊ะเพิ่งนึกออกว่าฝรั่งที่อยู่เมืองไทยนานๆแตกต่างจากเดิมตรงไหน นอกจากปรับระบบการคิดพูดเป็นภาษาไทย กับมีร่างกายอยู่ท่ามกลางสภาพอากาศแบบไทยๆแล้ว ก็มีเรื่องของจิตอ่อนน้อมเพราะไหว้เป็นนี่เอง ที่เปลี่ยนความกระด้างภายในให้นุ่มนวลลง”

อุปการะพยักหน้า

“การพนมมือไหว้เป็นกิริยาของวิญญาณชั้นสูง กรรมสำคัญที่ทำให้จิตได้ช่องไปอยู่ในวรรณะประณีตคือความนอบน้อมถ่อมตน ยิ่งถ้าเรายอมอ่อนให้กับบุคคลอันควรเคารพสูงสุดเช่นพระพุทธเจ้า เกิดชาติไหนสมัยใดจะไม่พลัดตกไปเป็นพวกชั้นต่ำ และไม่ตกเป็นเบี้ยล่างใต้อำนาจของใครง่ายๆ”

“แต่ก่อนจ๊ะไม่เข้าใจนัก นึกว่ายกมือไหว้ก็เป็นอันเสร็จพิธี ระยะหลังพอรู้เหมือนกันค่ะว่าใจต้องน้อมเคารพด้วย การไหว้แต่ละครั้งถึงจะคล้ายหยอดกระปุก สั่งสมความอ่อนโยนได้เรื่อยๆจนกว่าจะเต็มวิญญาณ”

“เป็นอย่างนั้น การไหว้แบบกระโดกกระเดก หรือไหว้ไปก็แอบคิดด่าไป นอกจากไม่ได้บุญแล้วยังเป็นกรรมที่ก่อนิสัยไม่จริงใจ กลายเป็นคนสองหน้าตาส่อนได้อีกด้วย”

“ใครไม่มีผู้ควรเคารพอยู่ใกล้ก็ถือว่าขาดโอกาสแย่สิคะ”

“ธรรมเนียมไทยถึงให้มีห้องพระไว้ในบ้าน ก็เพื่อมีโอกาสกราบองค์ปฏิมาแทนพระพุทธเจ้า แล้วก็มีธรรมเนียมไปลามาไหว้ ทำความเคารพพ่อแม่อันเปรียบเหมือนพระในบ้าน ธรรมเนียมอันเป็นกรรมดีอย่างนี้ เด็กรุ่นใหม่กลับเห็นเป็นภาระรุงรังน่าขบขันกันไปหมด”

ลานดาวส่ายหน้าดิก

“ส่องสำรวจไปตรงไหน อะไรๆก็เป็นกรรมไปทั้งนั้น แบ่งให้เกิดชั้นวรรณะทางวิญญาณได้ทั้งนั้น”

“คนเราถึงหน้าตาแตกต่าง บุคลิกแตกต่าง ฐานะแตกต่าง อำนาจบารมีแตกต่าง ประสบโชคเคราะห์แตกต่าง มีจังหวะชีวิตที่สำเร็จและล้มเหลวแตกต่าง ทั้งหลายทั้งปวงก็เพราะรวบรวมความแตกต่างยิบย่อยในการคิด การพูด การทำมาประสานกันนี่แหละ การผสมผสานของวิบากกรรมนั้นเป็นไปได้นับอนันต์ ผู้ที่รู้ทันความจริงนี้จะเห็นกุศลทั้งปวงเหมือนเครื่องประดับ แล้วเร่งสั่งสมความดีในแบบของตน รวมทั้งกวาดเก็บกรรมดีอื่นที่ยังไม่มีในตนมาเพิ่มให้มากขึ้นไป แล้วเขาจะมีความโดดเด่นที่แตกต่างจากคนรอบข้างไปทุกชาติทุกภพ”

หญิงสาวนึกอยากไหว้บุรุษตรงหน้า ก็พนมมือไหว้ขึ้นมาเฉยๆ

“ขอทำบุญกับผู้ควรทำหนึ่งทีค่ะ” แล้วหล่อนก็ยิ้มแช่มชื่นแบบอิ่มบุญ “แต่ก่อนจ๊ะมองว่าต้นไม้แตกต่างกันได้โดยไม่ต้องทำกรรม คนเราต่างกันบ้างก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน เฮ้อ! ธรรมชาตินี่จัดสรรปัจจัยมาให้เราคิดนอกลู่นอกทางสัจจะความจริงไปได้เรื่อยเลยนะคะ”

“กรรมจะไม่ง้อให้เราเชื่อกฎของเขาหรอก ตรงข้าม สำหรับคนส่วนใหญ่จะถูกแกล้งบังตาไม่ให้เห็นกฎ หรือทำให้ดูถูกกฎแห่งกรรมไปเลยด้วยซ้ำ”

“การเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรมนี่ผิดหรือเปล่าคะ?”

“ผิดซี่ กฎของกรรมก็อยู่ส่วนกฎของกรรม กฎของพืชก็อยู่ส่วนกฎของพืช นอกจากนั้นกฎของจิต กฎของฤดูกาล กฎของฐานะ กฎของโลกและจักรวาล ต่างก็แยกส่วนเป็นต่างหากจากกันหมด กฎของกรรมเพียงพาให้เราต้องไปพัวพัน หรือต้องไปเกี่ยวข้องแบบอ้อมๆกับกฎอื่น อย่างเช่นส่งให้ไปเกิดใต้ฤกษ์หรืออิทธิพลของดวงดาวดีร้าย ส่งให้ไปอยู่ในเขตที่มีฤดูกาลมากน้อย ส่งให้ไปอยู่ในประเทศที่ชุ่มชื่นหรือแห้งแล้ง พูดง่ายๆว่ากรรมมีหน้าที่แค่นำไปเกิด หรือเกิดแล้วให้มีสิทธิ์เลือกว่าจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้แค่ไหน ทุกอย่างที่เราเห็น ได้ยิน และสัมผัส ล้วนแล้วแต่เป็นภาชนะรองรับผลกรรมก็จริง แต่พวกมันก็มีกฎธรรมดาของตัวเองอยู่ ไม่ต้องอาศัยอำนาจดลบันดาลของกรรมใครหรอก”

“แล้วกฎแห่งกรรมที่นำมาเกิดเป็นชายและหญิงล่ะคะจ๊ะว่าจะถามอาจารย์ด้วยความอยากรู้มานานแล้ว ทำอย่างไรจึงเป็นชาย ทำอย่างไรจึงเป็นหญิง?”

“ตามความเข้าใจของหนู ผู้ชายคืออะไร ผู้หญิงคืออะไร?”

ลานดาวชะงักไปนิดหนึ่งเพราะนึกไม่ถึงว่าอุปการะจะถามกลับเช่นนั้น แต่แน่นอนว่าอุปการะคงไม่ถามเล่นเอาสนุก อาจารย์ของหล่อนไม่เคยถามลองภูมิ ทุกคำล้วนมีความหมายกระตุ้นให้คิดในทางใดทางหนึ่งเสมอ หญิงสาวจึงใคร่ครวญก่อนตอบอย่างระมัดระวัง

“ถ้าพูดถึงร่างกายภายนอก ก็คงวัดกันด้วยอวัยวะต่างๆทั่วองคาพยพซึ่งแสดงลักษณะทางเพศที่เป็นตรงข้ามกัน ฝ่ายชายเอื้อให้นำหรือรุก ฝ่ายหญิงเหมาะจะตามหรือรับ แต่ถ้าพูดถึงจิตใจภายใน ยิ่งรู้จักคนมากขึ้นเท่าไหร่ จ๊ะก็ยิ่งเห็นเส้นแบ่งความเป็นเพศพร่าเลือนลงทุกทีค่ะ”

“ที่หนูตอบมาก็นับว่าเข้าเป้าแล้ว เอาล่ะ! เพื่อเข้าใจเรื่องกรรมที่ทำให้เป็นชายหรือเป็นหญิงอย่างถ่องแท้ ก่อนอื่นเราควรย้อนกลับมาหาพื้นฐานความจริงเกี่ยวกับกายมนุษย์กัน ความจริงอันเป็นที่สุดเกี่ยวกับกายคือแรกสุดมันไม่ใช่ชายหรือหญิง แต่เป็นแค่การประชุมกันของกระดูกฉาบเนื้อ บรรจุน้ำเลือดน้ำหนอง มีไออุ่นกระจายตลอดร่าง และเป็นที่พัดเข้าพัดออกแล่นขึ้นแล่นลงของลม”

“คือถ้าชำแหละออกมาเป็นกองๆจะไม่เห็นมีชายหรือหญิง เหลือแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลมเท่านั้นใช่ไหมคะ?”

หญิงสาวช่วยสรุปให้อย่างผู้ที่เริ่มมีความรู้ทางศาสนาในเชิงลึกพอสมควรแล้ว

“นั่นแหละ” อุปการะผงกศีรษะรับ “หากศพใครเหลือแต่กระดูกที่ป่นแล้ว หรือปรากฏแต่น้ำเลือดน้ำหนองกองไว้ จะไม่มีใครบอกได้เลยว่านั่นเคยเป็นชายหรือเป็นหญิง เพศเป็นแค่ภาวะอย่างหนึ่ง เกิดขึ้นโดยกรรมบันดาลให้ดินน้ำไฟลมแสดงรูปชายหญิงชั่วคราว”

“เข้าใจค่ะ”

ลานดาวรับฟังได้ไม่ยากนัก เนื่องจากพอมีฐานความรู้เชิงชีววิทยาอยู่บ้าง ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่าทารกในครรภ์มารดาเมื่อยังเป็นตัวอ่อนอยู่นั้น จะเริ่มต้นด้วยการมีอวัยวะเพศหญิงก่อน แต่ถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นชาย อวัยวะเพศแบบชายจึงปรากฏยื่นออกมาภายหลัง ส่วนถ้าเซลล์ของตัวอ่อนมีโครโมโซมเพศเป็นหญิง อวัยวะเพศจะฝ่อตัวหายไปก่อนคลอด

กล่าวให้ชัดคืออวัยวะเพศนั้น เดิมทีเคยเป็นอันเดียวกันนั่นเอง!

“วิญญาณที่มาปฏิสนธินั้น ถ้าพกเอาคุณสมบัติของบุรุษมาด้วยก็จะได้เป็นชาย คิดง่ายๆว่ามีพลังกุศลหนักแน่นพอจะผลักอวัยวะเพศให้ยื่นออกไป และแสดงรูปภาวะอื่นๆให้ปรากฏโดยความเป็นชาย”

ลานดาวจดเฉพาะคำสำคัญคือ ‘เป็นชายได้ต้องมีพลังกุศลหนักแน่นพอ’ สิ่งที่หล่อนครุ่นคิดอยู่ในหัวขณะนี้คือการเปรียบเทียบกันระหว่างความรู้ที่ได้รับจากโลกวิทยาศาสตร์กับความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะ ถ้าถามนักวิทยาศาสตร์ว่าเหตุใดจึงเป็นชาย ก็จะได้คำตอบที่ชัดถ้อยชัดคำว่าเด็ก ‘บังเอิญ’ ได้รับโครโมโซม Y จากพ่อไปประกบคู่กับโครโมโซม X ของแม่ ยิ่งไปกว่านั้น นับวันวิทยาการยังมีสูตรสำเร็จที่หวังผลได้สูง ถ้าอยากได้ลูกชายต้องใช้ไม้ตายท่าไหน เทคนิควิธีและเครื่องช่วยอันใดบ้าง แพทย์แผนปัจจุบันจาระไนได้หมดว่าจะลด ‘ความบังเอิญ’ ลงให้เหลือน้อยที่สุดได้อย่างไร

แต่ในมุมมองที่ต้องมีวิญญาณเป็นปัจจัยประกอบในการปฏิสนธิ การวางแผนให้กำเนิดบุตรชายเป็นเพียงการตระเตรียมหัวโขนไว้อันหนึ่ง รอวิญญาณที่พร้อมพอจะมาอาศัยสวมเท่านั้น สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมในแนวพุทธจนแก่กล้าพอจะหยั่งรู้รายละเอียดของรูปนาม ก็ย่อมรู้ประจักษ์ใจว่าจักรวาลนี้ไม่มีเรื่องบังเอิญ

“แล้วกรรมอะไรคะที่ทำให้เกิดพลังกุศลหนักแน่นพอจะได้เกิดเป็นชาย?”

“ไม่มีกรรมใดกรรมหนึ่งโดยเฉพาะหรอก ถ้าให้มองออกง่ายที่สุดก็คือ ‘วิธีคิด’ ที่เกิดขึ้นเป็นประจำในขณะทำทานรักษาศีลนั่นเอง”

ลานดาวฟังแล้วเข้าใจคำพูดของอาจารย์อยู่รางๆ แต่ไม่ถึงขนาดกระจ่างเหมือนเห็นรูปด้วยตา จึงซักถามเพื่อเก็บรายละเอียด

“ทำไมต้องเอาวิธีคิดขณะทำบุญเป็นตัวตั้งด้วยคะ?”

“เพราะการทำบุญเป็นของใหญ่ เป็นสิ่งครอบงำนิสัย และมักเป็นตัวกำหนดเส้นทางหลักในการเวียนว่ายตายเกิด วิธีคิดในขณะทำบุญเป็นอย่างไร ก็มีความโน้มเอียงจะคิดแบบเดียวกันนั้นในขณะใช้ชีวิตประจำวันปกติไปด้วย”

ลูกศิษย์สาวจดวลี ‘วิธีคิดขณะทำบุญ’ แล้ววงเป็นดวงเด่นไว้ก่อนเงยหน้าถาม

“อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างวิธีคิดขณะทำทานที่ส่งให้ไปเกิดเป็นชายได้ไหมคะ”

“ก็ควรเป็นผู้ริเริ่ม นึกอยากทำทานเอง และชวนญาติสนิทมิตรสหายหรือคนรักไปทำด้วย จิตก่อนทำทานต้องมีความเลื่อมใสมั่นคง อย่างถ้าจะถวายสังฆทานนั้น ต้องรู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ในการถวาย ไม่ใช่เห็นว่าการเตรียมของถวายเป็นภาระ หรือเห็นการถวายเป็นเรื่องทิ้งขว้างเปล่าประโยชน์ ต้องไม่มีความเสียดมเสียดายเงินทองและเวล่ำเวลาที่หมดไปกับสังฆทาน และขณะเมื่อกำลังถวายสังฆทาน จิตมีความเคารพ มีความชื่นชมยินดีในบรรยากาศการถวาย สุดท้ายหลังถวายสังฆทานเสร็จก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย รักษาความรู้สึกชื่นมื่นซึ่งบุญได้ปรุงแต่งจิตแล้วนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ นี่แหละ ที่มาของความหนักแน่นในทาน”

ลานดาวคัดเฉพาะคำสำคัญบันทึกไว้ ขณะเดียวกันหยั่งดูผลรวมของอาการทางใจในการทำทานทั้งหมดที่อาจารย์กล่าวมา ก็สำเหนียกทราบถึงความมั่นคงทางจิตเต็มอัตรา ใครนิ่งไม่กระสับกระส่ายในบุญได้อย่างนั้นจะให้ความรู้สึกเป็นแมนดีจริงๆ

“จ๊ะเคยได้ยินว่าผู้ชวนคนอื่นทำบุญ คนที่ไปร่วมทำบุญจะตามไปเกิดเป็นบริวารหรือคะ?”

“ผู้นำบุญจะเป็นผู้มีบริวาร อันนั้นถูกแล้ว แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกที่ตามไปทำบุญด้วยกันหรอก”

“งั้นคนที่เอาแต่ตามทำบุญ มีใจนิยมในบุญ แต่ไม่ริเริ่มเอง และไม่เลื่อมใสในบุญเต็มกำลัง แม้จะได้รับอานิสงส์จากทานมากมายเพียงใด ก็ได้เกิดแค่เป็นหญิงหรือคะ?”

“ทำนองนั้น พวกคิดเล็กคิดน้อย สองจิตสองใจ ตอนแรกคิดเลือกของดีแล้วเปลี่ยนเป็นของคุณภาพด้อยกว่าในภายหลัง กิริยาอาการคิดเทือกนี้แหละที่เป็นฝักฝ่ายของอิสตรี เมื่อจะถือกำเนิดเกิดใหม่ พลังกุศลย่อมไม่หนักแน่นพอจะปฏิสนธิในเพศบุรุษ และถ้าเอาผลเฉพาะปัจจุบันที่เห็นทันตา คือจะเป็นผู้คิดมากไปทุกเรื่อง จุกจิกหยุมหยิมได้หมดกระทั่งเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ”

“เข้าใจชัดเลยค่ะ”

ลานดาวพูดกลั้วหัวเราะ เพราะหล่อนเองมักเป็นเช่นนั้น เช่นเวลานึกอยากใส่ซองทำบุญพันหนึ่ง ก็ชอบเปลี่ยนใจอยากชักออกสักครึ่ง ต่างจากสรณะที่ตั้งใจทำพันแต่ถึงเวลาเอาเข้าจริงมักกลายเป็นหมื่น แม้หล่อนทำบุญกับเขามาแค่สองสามหนก็เห็นนิสัยชนิดนี้ในเขาเด่นชัด

“จ๊ะคิดหยุมหยิมในการทำทานของตัวเองบ่อยๆ คงต้องปรับปรุงค่ะ แต่เวลาทำบุญกับพี่ณะ นิสัยช่างคิดของจ๊ะก็ทำให้เขาได้ไอเดียดีๆแบบไม่เคยนึกมาก่อนเหมือนกันนะคะ”

“ดีแล้ว ถ้าปรึกษาการบุญร่วมกันด้วยความปรองดอง ระหว่างทางไปและทางกลับไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ก็เชื่อขนมกินได้ว่าชีวิตคู่จะเป็นสุข เพราะทั้งสองคนจะปรึกษาปัญหาขัดแย้งอื่นๆได้ลงตัวเหมือนคุยกันในงานบุญนั่นเอง”

“วาว! ดีจังที่ได้รู้เสียอย่างนี้ จะจำไปบอกพี่ณะค่ะ”

“ความจริงถ้าเพิ่งคบกันแล้วอยากรู้ว่าพอไปด้วยกันได้ไหม ก็แค่ดูง่ายๆด้วยการทดลองทำบุญร่วมกันนี่แหละ ดูว่ามีใจเสมอกันในการคิดเห็นเรื่องค่าใช้จ่ายไหม ดูว่าระหว่างเดินทางทำบุญมีเหตุให้ต้องขุ่นเคืองใจหรือเป็นปากเป็นเสียงกันไหม หากทุกอย่างราบรื่นหลายๆหน ก็จะส่อเค้าชัดขึ้น รู้กับใจทั้งสองฝ่ายทีเดียวว่าน่าจะครองกันอย่างมีความสุข”

“โอ้โห! นึกไม่ถึงมาก่อนเลยค่ะ แต่ก็เป็นอย่างที่อาจารย์บอกจริงๆด้วย ครั้งแรกที่พี่ณะชวนไปทำบุญด้วยกัน มีแต่เรื่องดีๆน่าชื่นใจเข้ามาเพิ่มปีติ แล้วหลังจากพี่ณะตกลงจัดของสังฆทานตามคำแนะนำของจ๊ะ ก็เหมือนเห็นอะไรตรงกัน อยากว่าอะไรว่าตามกันไปหมด”

“การทำทานด้วยความปรองดองจะมีผลสืบเนื่องไม่รู้จบทั้งชาตินี้และชาติถัดๆไป”

“ใจคนส่วนมากไม่ใหญ่พอจะคิดถวายสังฆทานอย่างชาย อย่างนี้ควรจะฝึกเป็นขั้นเป็นตอนยังไงดีคะถ้าอยากเกิดเป็นชาย?”

“ก็ให้เริ่มไต่ระดับเป็นขั้นๆจากหยาบไปหาละเอียด โลกนี้เต็มไปด้วยผู้พร้อมจะรับ ซึ่งก็หมายถึงมีพื้นที่ฝึกหัดให้ลงหลายสนามจากง่ายไปหายาก แรกสุดควรเลือกทำทานกับสัตว์ เพื่อสร้างใจที่ไม่หวังผลตอบแทนก่อน จากนั้นขยับขึ้นมาทำทานกับขอทานข้างถนน แบบที่พิการชัดๆก็ดี เป็นการสร้างใจที่เอื้อเฟื้อต่อคนตกทุกข์ได้ยาก ทำด้วยเศษสตางค์ทีละน้อยๆ แต่ขอให้บ่อย ให้เป็นกิจวัตรประจำวันได้ยิ่งดี จิตจะเริ่มติดสุขในการให้เปล่า แล้วใจจะค่อยๆใหญ่ขึ้น อยากให้ด้วยความเต็มใจยิ่งๆขึ้น เพิ่มพูนน้ำจิตคิดเมตตากรุณาจริงแท้ยิ่งๆขึ้น ถึงตรงนั้นแหละ แม้ไม่มีใครชักชวน อยู่ดีๆก็อาจนึกอยากทำบุญกับพระสงฆ์องค์เจ้าด้วยตนเอง”

ลานดาวยิ้มกริ่ม ต่อไปถ้าใครถามเรื่องวิธีเลือกเกิดใหม่เป็นชาย หล่อนจะเริ่มตอบจากวิธีให้ทานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนี้

“การทำบุญเอาหน้ามีส่วนลดทอนความหนักแน่นของกุศลหรือเปล่าคะ?”

“ก็แล้วแต่จังหวะการคิด การทำบุญเอาหน้านั้น ในมโนทวารของเราจะมีหน้าตาใหญ่ๆของตัวเองแปะอยู่ในกองบุญ อาการนึกขณะนั้นไม่แน่วบริสุทธิ์ไปในบุญ ถ้าคิดอยู่ตลอดเวลาก็อาจเหมือนพระจันทร์ข้างแรม แสงบุญหรี่เหลือน้อยเพราะถูกบดบังเห็นเป็นเงามืดไปเกือบหมด อย่างนี้ไม่จัดเป็นการทำบุญของบุรุษ แต่ถ้าคิดเพียงเล็กน้อยก็เหมือนพระจันทร์ที่เพิ่งอยู่ในช่วงข้างขึ้น แม้มีเงามืดบดบังแสงอยู่บ้างก็นับว่านิดหน่อย อย่างนี้ยังเข้าข่ายการทำบุญของบุรุษอยู่”

“การทำบุญหวังผลด่วน การทำบุญแล้วอธิษฐานขอโน่นขอนี่ แบบพวกเห็นการทำทานเป็นการลงทุนทางธุรกิจ ก็มีผลลดทอนกำลังกุศลด้วยใช่ไหมคะ?”

“ใช่ แต่ถ้าอธิษฐานแบบสมเหตุสมผลบ้างก็ไม่เป็นไร คนส่วนใหญ่เงินขาดมือ ชักหน้าไม่ค่อยถึงหลัง หากทำทานเป็นประจำแล้วขอให้มีรายได้จากการขยันทำงานไม่ขาด อย่างนี้ผลทานจะไปเพิ่มความสว่างทางการเงินในชาติปัจจุบันได้จริง แล้วก็ไม่ถึงกับลดทอนกำลังกุศลแบบชายลงมากนัก แต่อย่างหนูไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ก็ควรตั้งจิตให้บริสุทธิ์ในบุญโดยไม่หวังผลไปเลยจะประเสริฐสุด”

“แล้วการกีดกันไม่ให้คนอื่นมีส่วนในกองบุญของเราหรือกลุ่มญาติของเราล่ะคะ จัดเข้าฝักฝ่ายทานแบบสตรีได้หรือเปล่าจ๊ะเห็นเต็มเลย คนไทยชอบแยกกองบุญว่านี่ส่วนของฉัน ฉันจะภูมิใจของฉันเป็นเอกเทศ อย่าได้เอาของเธอมาปะปนกัน”

“ทานแบบนั้นก็น้องๆวิธีการทำบุญเอาหน้านั่นแหละ แต่เรียกให้ตรงตัวคือเป็นการทำบุญด้วยจิตใจคับแคบมากกว่า ไม่ได้เป็นฝักฝ่ายบุรุษหรือสตรีโดยตรง เพราะบางคนกันกองบุญของตัวเองเป็นต่างหากจากคนอื่นก็ด้วยแน่วไปในความหวังว่าตนจะได้เสวยบุญส่วนตัวเต็มบริบูรณ์ ความคิดในการทำบุญทำนองนี้จะส่งผลให้ใช้ชีวิตปกติแบบไม่ค่อยเอื้อเฟื้อ คิดเห็นแปลกแยกจากคนอื่น หรือคิดอยากได้ดีเด่นเหนือใคร ยอมน้อยหน้าไม่ได้ ผลทางอ้อมคือมีเพื่อนน้อย หน้าตาถึงแม้สวยหล่ออย่างไรก็เหมือนขาดเสน่ห์น่าคบหาไป และชาติหน้าคนเห็นโหงวเฮ้งแล้วจะรู้สึกว่าเป็นพวกใจแคบด้วย”

“กรรมนี่ทำกันได้ละเอียดพิสดารจริงๆเลย”

ลานดาวรำพึง อุปการะสาธยายอย่างเห็นประโยชน์ในการให้ความเข้าใจ

“เรื่องการทำทานน่ะนะ ความจริงถ้าเข้าใจหลักสำคัญก็ไม่มีอะไรมากหรอก ขอแค่แม่นตรงจุดยอดจุดเดียว คือบุญจะเกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยกับจิตที่เปิดกว้าง ที่เบิกบาน ที่เป็นปีติสุข ถ้าเห็นตรงนี้ให้ได้ คนเราจะฉลาดทำบุญเหมือนๆกันหมด สามารถนำไปเป็นหลักตรวจสอบใจตัวเองได้หมดว่าคิดเข้าร่องเข้ารอยหรือยัง”

หญิงสาวก้มหน้าก้มตาจดสรุปพร้อมขยายความว่าทานจิตที่สมบูรณ์วัดกันด้วยความเปิดกว้างไม่คับแคบ ความเบิกบานไม่หดหู่ กับความมีปีติสุขไม่เศร้าหมอง หากมีคุณสมบัติของกุศลจิตครบ ก็สะท้อนให้เห็นถึงรากว่าวิธีคิดในการทำทานถูกต้องบริบูรณ์

“คราวนี้เอาศีลเป็นเกณฑ์บ้างล่ะคะ อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของชาย อย่างไรเป็นฝักฝ่ายของหญิง?”

“วัดกันที่ความแน่วแน่ในการตั้งใจรักษาศีล ความตั้งใจไม่กระทำกาเมสุมิจฉาจารอย่างเด็ดขาด ฝักฝ่ายของชายคือมีใจเดียวเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ไม่เอาแน่ๆ ไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับการห้ามใจหรือลังเลว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี ยืนกรานปฏิเสธแบบกระต่ายขาเดียวเลยเมื่อโอกาสมาถึงหรือมีใครมายั่วยวนชวนขึ้นเตียง”

“สรุปคือถ้าไม่ใช่สามีหรือภรรยาของตน ก็จะไม่ใจแกว่งเป็นอันขาด?”

“ใช่!”

“ถ้าสนิทกัน คิดว่าหยวนๆหน่อยเดียวแค่หอมปากหอมคออะไรงี้นับหรือเปล่าคะ?”

“นับสิ! ส่วนใหญ่เกิดเป็นหญิงก็เพราะใจอ่อน หยวนๆนิดหยวนๆหน่อยนี่แหละ ใจคนน่ะ ไม่ต้องถึงขั้นหอมปากหอมคอหรอก แค่ครุ่นคิดไม่เลิก ไม่ยอมหักห้าม ก็เริ่มผิดกันที่ตรงนั้นแล้ว”

“ผิดศีลตั้งแต่คิดแล้ว?”

“ถ้าใจคิดอย่างเดียว ยอมจุกอกปิดกั้นไม่ให้ลามมาถึงมือไม้ก็แค่ถือว่าศีล ‘พร้อมจะด่างพร้อย’ เท่านั้น ยังไม่ถึงขั้น ‘ด่างพร้อยไปแล้ว’ เรียบร้อย ศีลจะเริ่มมีมลทินด่างพร้อยก็เมื่อแตะเนื้อต้องตัวกันด้วยความกำหนัดยินดี”

“แกล้งจับมือด้วยความยินดีในสัมผัสระหว่างเพศก็ถือว่าต้องมลทินแล้ว?”

“อย่างนั้น”

“แปลว่าตราบใดศีลยังไม่ด่างพร้อย ยังไม่แกล้งเฉี่ยวมือเฉี่ยวไม้ ยังมีความหักห้ามยั้งคิด ก็นับเป็นฝักฝ่ายของชายอยู่ใช่ไหมคะ?”

“ใช่! แต่พวกตัดเด็ดขาดไปเลยแม้กระทั่งความคิด อย่างนั้นถึงจะเรียกว่ามีใจเป็นลูกผู้ชายเต็มร้อย”

“ฟังดูขัดแย้งชอบกลนะคะ เรื่องพรรค์นี้โดยวิสัยของผู้หญิงจะระวังตัวมากกว่าผู้ชายไม่ใช่หรือถึงแม้ยุคนี้เหมือนฟรีกันมากขึ้น จ๊ะสังเกตดูผู้หญิงยังมีความละอาย ทำแล้วสำนึกผิดอยู่ดี ต่างจากพวกผู้ชายที่จะมองการคบชู้เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆ ทำไปไม่สำนึกผิดเลยสักนิดเดียว นี่มิแปลว่าผู้หญิงมีแนวโน้มจะเกิดใหม่เป็นชายได้มากกว่าผู้ชายในชาติปัจจุบันหรอกหรือคะ?”

“ก็เป็นวิธีสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนเพศไง พออยู่ในอัตภาพหญิงก็เจียมในสภาพของตน เห็นว่าเป็นฝ่ายเสีย เป็นฝ่ายรู้สึกงามหน้า เลยระมัดระวังรักนวลสงวนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแต่งงานแล้วก็มีแนวโน้มจะซื่อสัตย์กับสามี แต่พออยู่ในอัตภาพชายก็ทะนงในพลกำลังของตน แถมเกิดความมักง่ายด้วยเห็นว่าตนไม่เสียหายอะไร เป็นฝ่ายได้ เป็นฝ่ายสนุกอย่างเดียว นักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย ชาติต่อไปจะเป็นกะเทย เป็นบทลงโทษให้เกิดความอับอายแรงๆชดเชยกับที่ไม่เคยอายเอาเสียเลย ส่วนพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร แต่ยังเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง”

ลานดาวหัวเราะอย่างถึงบางอ้อ

“พูดง่ายๆคือเป็นทอมใช่ไหมคะ?”

“ทำนองนั้น”

“ถามหน่อยเถอะค่ะ จ๊ะกับพี่เอินเป็นหญิงแท้ทั้งคู่ ทำไมเคยรักเคยหลงในแบบชู้สาวกันได้เป็นการบีบคั้นของกรรมอย่างเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาความต่างศักย์แบบขั้วหนึ่งเป็นทอม ขั้วหนึ่งเป็นดี้เลยหรือ?”

“คู่ที่รักและผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติมานาน ก็มักก่อกรรมร่วมกันมาหลายแบบ จึงมีฐานะได้หลากหลายอย่างนี้แหละ พอพบเจอจะตั้งต้นด้วยความรู้สึกว่าเป็นอะไรกันก็ได้ ขอให้มีความผูกพัน มีโอกาสใกล้ชิดกัน ทำอะไรร่วมกัน ตัวหนูเองในชาตินี้นั้น วิบากด้านดีทำให้มีเสน่ห์เป็นที่น่าหลงรักสำหรับทุกเพศอยู่แล้ว พอหนูโดนวิบากด้านร้ายบังคับให้ตกหลุมรักหมอเอิน กระแสความอยากในเชิงชู้สาวของหนูก็บีบให้เขาพลอยหลงผิดตามกัน เพราะมีความผูกพันลึกซึ้งนำหน้า แถมหมอเอินเองก็มีความเหงาหนุนหลังอยู่”

“เป็นเหตุเป็นผลที่เหมือนปรากฏอยู่ตรงหน้าชัดๆ แต่อธิบายไม่ถูกอย่างอาจารย์เลยค่ะ แล้วจ๊ะหลุดจากบ่วงกรรมได้เพราะหมดแรงส่งของกรรม หรือว่าตามขั้นตอนของผังกรรมนั้นจ๊ะจะต้องเจอพี่แตร หรือว่าเป็นเพราะจ๊ะทำใจสละบาปแล้วอธิษฐานขอพบคนใหม่กันแน่คะ?”

“ทุกอย่างประกอบกัน แต่จุดใหญ่ที่สุดคือจาคะ ความมีใจคิดสละบาปนั่นแหละเป็นตัวประกอบสำคัญสูงสุดในกรณีของหนู เพราะเดิมหนูมีความคิดเอาแต่ได้ เห็นแก่ตัวจัด ถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงตัวตนเดิมๆ ก็จะต้องหลงวนอยู่ในวงโคจรเดิมๆ ไม่อาจเจอคนใหม่ที่ดีกว่า คล้ายสร้างเขาวงกตให้ตัวเองหาทางออกไม่เจอ หรือเหมือนขุดหล่มให้ตัวเองติดอยู่อย่างไม่อาจถอนเท้าขึ้นมาสำเร็จ”

“ถ้ามองตามจริงว่าชีวิตต้องผ่านการเลือกคู่หลายครั้ง คิดสละคนที่ไม่ใช่ไปเรื่อยๆ ก็คงทำใจให้ปักแน่วมั่นคงในศีลได้ยากสิคะ เหมือนๆจะต้องเตรียมใจรับสภาพว่าเขาอาจไม่ใช่ของเราในวันหนึ่ง เราเองก็มีสิทธิ์สอดส่ายสายตาหาคนเหมาะกว่านี้ พูดตรงๆเลยก็ได้ แม้แต่จ๊ะในวันนี้ ถ้าอาจารย์ไม่บอกว่าพี่ณะใช่ จ๊ะก็คงไม่ทุ่มใจให้กับเขาหมดหรอก กลัวว่าในที่สุดก็ไม่ใช่เหมือนพี่แตรอีก”

“อือม์… หนูก็พูดถูก เกมกรรมน่ะเล่นยาก เตรียมใจยาก ทุ่มมากไปก็กลายเป็นยึดมั่นถือมั่นผิดตัวได้ เผื่อมากไปก็กลายเป็นหลายใจได้ เอาเป็นว่าเมื่อตัดสินใจอยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับใคร ต่างคนต่างก็ไม่ทำเรื่องบาดใจกันด้วยการรักษาศีล ไม่ล่วงละเมิดศีลข้อกาเมฯแน่ๆจนกว่าจะแยกเตียงเป็นเรื่องเป็นราวก็แล้วกัน โลกนี้นะ ถ้าเอาตามอุดมคติ ต่างคนต่างทำหน้าที่ ฝ่ายชายเลี้ยงดูและปกป้องภรรยา ภรรยาปรนนิบัติรับใช้สามีด้วยความซื่อสัตย์ มีค่านิยมผัวเดียวเมียเดียว ก็ได้ชื่อว่าทั้งคู่ทำจิตไม่ให้ซัดส่ายสับสน ไม่ต้องชดใช้บาปกรรมทางเพศทั้งชาตินี้และชาติหน้ากันแล้ว ต่อให้ชาตินี้ยังไม่รักกันดูดดื่มปานจะกลืน ศีลสัตย์ก็จะกลายเป็นพลังดลใจให้รู้สึกรักลึกซึ้งเมื่อเจอกันในปรโลกไปเอง”

“เพื่อนจ๊ะหลายคนบ่นกันมากเลย ว่าอยากเกิดเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงมีแต่เสียเปรียบ หากผู้หญิงเกิดอยากเป็นผู้ชายในชาติหน้า ถ้ารักษาศีลข้อกาเมฯให้บริสุทธิ์แล้วอธิษฐานเอา อย่างนี้จะเกิดผลสำเร็จตามปรารถนาไหมคะ?”

“สำเร็จซี่ เพราะใจที่เลื่อมใสในศีล รักษามั่นในศีลอย่างหนักแน่น เป็นฝักฝ่ายของบุรุษอยู่แล้ว หากอธิษฐานกำกับไว้ด้วยก็ต้องได้เป็นชายแน่นอน”

“อย่างนี้ถ้าอยู่ตัวคนเดียวไม่แต่งงานก็หมดสิทธิ์สร้างกรรมว่าด้วยความซื่อต่อสามีสิคะ?”

“อยู่ตัวคนเดียวก็คิดได้ ว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชายที่มีภรรยาแล้ว ถ้าให้ดีครองตัวบริสุทธิ์ไปเลย เพราะการถือครองพรหมจรรย์ การถือศีลแปดประพฤติธรรมจนเกิดปีติสุขปลอดโปร่ง จะบันดาลผลให้ได้เป็นชายตามปรารถนาแน่นอนที่สุด”

“เพราะอะไรคะ?”

“เพราะพรหมจรรย์ทำให้จิตมีกำลังเป็นกุศลหนักแน่นไงล่ะ ต้องใช้กำลังใจไม่ใช่น้อยๆนะถึงจะอยู่รอดตลอด กามน่ะเหมือนห้วงน้ำ ทำให้จิตเอิบชุ่มด้วยยางเหนียว เป็นตัวลดทอนอำนาจกุศลให้อ่อนกำลังลงอย่างมาก คนที่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงกามรสหนักๆจิตมักจดจ่ออยู่กับเครื่องเพศของหญิง ยิ่งจดจ่อมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งยึดในอัตภาพหญิงมากขึ้นเท่านั้น เหมือนภพของหญิงเป็นแม่เหล็กดึงดูดจิตให้ไปติดจนแกะยาก พอติดจมมากเข้าในที่สุดเลยกลายเป็นหญิงไปเสียเองเมื่อเกิดใหม่ครั้งต่อไป”

ลานดาวเขียนคำว่า ‘ความมักมากในกาม’ แล้วขีดเส้นใต้

“แค่ไหนถึงเรียกว่า ‘มักมากในกาม’ ในความหมายของอาจารย์คะ?”

“คือมีความคิดส่วนใหญ่ตรึกไปในกาม อย่างเห็นใครก็เน้นมองเป็นวัตถุกามไปหมด ไม่ค่อยอยากรู้แง่มุมอื่นของใครเท่าไหร่ ที่สำคัญคือมีใจอุทิศร่างกายให้กับกามท่าเดียว วันๆแทบไม่อยากหยิบจับอย่างอื่น”

หญิงสาวหน้าแดงหน่อยๆ เม้มปากหัวเราะออกจมูก เหลือบตาลงต่ำเพื่อจดบันทึกก่อนเปรย

“ผู้ชายหลายคนมองว่าการประกาศศักดาของชาติชาตรีคือการมีผู้หญิงเยอะๆ บางทีจ๊ะยังเคยคิดเลยค่ะว่าเป็นผู้ชายไทยนี่ดีเนอะ เมียยิ่งมากสังคมก็ยิ่งยกนิ้วโป้งให้ว่าเก่ง บางประเทศเขากีดกันไม่ยอมให้พวกขุนแผนเล่นการเมืองระดับประเทศด้วยซ้ำ”

อุปการะพยักพเยิด

“ค่านิยมของคนทั่วไปมักยืนพื้นอยู่บนความเชื่อในทางเสื่อม พูดง่ายๆว่าชอบแข่งกันเก่งในทางลง ไม่ใช่ทางขึ้น ทั้งนี้ก็เพราะความไม่รู้ว่าทำอะไรแล้วได้ผลตอบแทนท่าไหนนั่นเอง อย่างเช่นคนมักเข้าใจว่าแมนเต็มร้อยคือต้องแข็งกระด้างหรือแสดงออกในทางก้าวร้าวฉุนเฉียว ปล่อยอารมณ์เต็มที่โดยไม่ต้องใช้เหตุผลยั้งคิดให้มาก หรือเข้าใจผิดอย่างหนักคือควรพิสูจน์ความเป็นชายด้วยการมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงเยอะๆ ทั้งที่กรรมเหล่านั้นเป็นฝักฝ่ายให้ได้เกิดเป็นหญิงแท้ๆ”

“แล้วพวกจิตวิปริต ชอบกดขี่ทารุณผู้หญิงล่ะคะ ต้องไปเกิดเป็นหญิงเพื่อโดนเอาคืนในรูปแบบเดียวกันหรือเปล่า?”

“กรรมจำพวกนั้นไม่ต้องทำบ่อยเป็นอาจิณก็มีน้ำหนักถีบลงนรกได้ เพราะการข่มขืนหรือการกดขี่ทารุณทางเพศบาดจิตบาดกาย เบียดเบียนผู้อื่นเป็นอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดความสกปรกแก่จิตของผู้กระทำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าโชคดีหน่อยลงไม่ถึงนรก อย่างน้อยก็ไปเป็นสัตว์ที่ถูกทำทารุณแบบหมดสิทธิ์ป้องกันตัว และในชาติถัดๆมาหากบุญถึง มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์อีก เศษกรรมย่อมเสกรูปหญิงมาเพื่อชดใช้หนี้เก่าซ้ำ ตามหลักที่ผู้เอาเปรียบย่อมกลายเป็นผู้เสียเปรียบ ผู้กระทำย่อมถูกกระทำคืน เขาจะงุนงงว่าเหตุใดตั้งแต่ต้นชีวิตตนจึงพบเจอแต่การทารุณทางเพศ ทั้งที่หญิงอื่นหลายต่อหลายคนไม่เคยถูกกล้ำกรายแม้เท่าแมวข่วน”

ลานดาวกะพริบตาถี่ๆ ข่าวอาชญากรรมทางเพศเป็นเรื่องน่าหวาดผวาสำหรับลูกผู้หญิงทุกคน แต่หลังจากตระหนักว่าโลกทั้งโลกถูกดูแลโดยกรรม หล่อนก็เดาว่าอดีตชาติตนคงไม่เคยทำเรื่องโหดร้ายมาก่อน ชาตินี้จึงไม่มีเรื่องโหดร้ายแผ้วพานมาใกล้ตัวแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งที่เพื่อนบางคนมาปรับทุกข์ให้ฟังแล้วต้องฉงนว่าสมัยนี้คนส่วนใหญ่อยู่กันเข้าไปได้อย่างไร บางรายเจอเป็นปกติแทบปีละหนทีเดียว

“น่ากลัวจังนะคะ เหมือนหมุนวนเป็นวัฏจักรอย่างนี้เอง ธรรมชาติให้เครื่องล่อใจมา พอบุ่มบ่ามคว้าเหยื่อล่อด้วยวิถีทางที่ผิดบาป กระทำชำเราคนอ่อนแอ อนาคตก็ต้องกลับเป็นคนอ่อนแอให้ถูกชำเราคืน โดยจำไม่ได้ว่าตัวก็เคยทำเขามา มีแต่จะเคียดแค้นอยากจองเวรกันไม่เลิกราต่อไป”

“ถ้ามองจากมุมของผู้อยู่เหนือกรรมอย่างพระพุทธเจ้า ทุกคนน่าสงสารหมด ทุกความเลวทรามเป็นกรรมอันน่าสลดสังเวชหมด เพราะเป็นเหตุให้ต้องรับผลย่ำแย่ในวันใดวันหนึ่งข้างหน้าเสมอ ตราบใดยังไม่มีการสำนึกผิด ตราบใดยังไม่มีการอโหสิ ตราบนั้นเวรจะยังไม่ระงับ แล้วก็ต้องอยู่บนเส้นทางเดิมที่น่าเหน็ดหน่ายไม่สิ้นสุดกันต่อไป”

หญิงสาวนิ่งไปอึดใจ ภาวนาอย่าได้ต้องมีเวรมีภัยกับใครอีกเลย

“จ๊ะสรุปอย่างนี้ถูกไหมคะ…” กระแอมนิดหนึ่งก่อนดูโน้ตรวมๆ “จิตวิญญาณไม่มีเพศ คือทางนามธรรมไม่มีใครเป็นชาย ไม่มีใครเป็นหญิง มีแต่กรรมทางการคิด การพูด การทำของแต่ละคนที่ ‘สมชาย’ หรือ ‘สมหญิง’ ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมมีความสมชายก็ทำให้เกิดรูปชาย ถ้าน้ำหนักกรรมโดยรวมไม่พอก็ได้รูปหญิงกันไป เพราะเป็นเพศหญิงกันง่าย ตอนเป็นตัวอ่อนทุกคนก็เป็นหญิงอยู่แล้ว”

“ถูก!” อุปการะรับรอง “ว่าแต่รู้ช่องทางอย่างนี้แล้ว ยังพอใจจะเป็นหญิงต่อไปไหมล่ะ?”

คำถามนั้นแฝงน้ำเสียงสัพยอก ลานดาวยกมือลูบเส้นผมยาวของตนเองลงมาถึงปลาย กิริยานั้นทำให้รู้สึกถึงความเป็นหญิงจนต้องระบายยิ้มที่มุมปากนิดๆ ความเป็นหญิงทำให้หล่อนรู้สึกว่าเป็นสมบัติของผู้ชายคนหนึ่ง ขณะเดียวกันนั่นก็เป็นนาทีแรกที่รู้สึกแปลกไป เดิมทีหล่อนไม่ได้เป็นหญิง ไม่ได้เป็นสมบัติของใคร ไม่แม้แต่จะเป็นเจ้าของครอบครองร่างกายตนเองได้ชั่วกาลนานด้วยซ้ำ แต่กรรมเก่าส่งให้มาใช้ชีวิตในภาวะอิตถีชั่วคราว เกิดอุปาทานยึดมั่นถือมั่นว่านี่เป็นหล่อน หล่อนเป็นเจ้าของร่างหญิงนี้

แต่ความติดใจในการครองรูปหญิงก็ยังเหนียวแน่น เพราะ…

“ถ้าเป็นหญิงแล้วได้ตามพี่ณะไปเรื่อยก็ดีเหมือนกันนะคะ”

อุปการะหัวเราะแล้วเบนหน้าไปอีกทาง

“อือ… ก็ดีตามอัธยาศัยเก่าของเรา”

“จ๊ะรู้สึกว่าพี่ณะมีความเป็นชายออกมาจากข้างใน บอกไม่ถูก เหมือนเขาเป็นชายตลอดมาทุกภพทุกชาติ และจะไม่กลับเปลี่ยนเป็นหญิงเลย จ๊ะเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”

อุปการะดึงสายตากลับมามองลูกศิษย์สาว

“คุณสรณะก็เหมือนแฟนคนก่อนของหนู พวกนี้เป็นพระโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีมามากแล้ว จิตใจหนักแน่นเกินมนุษย์ เสียสละขนาดตายแทนคนไม่รู้จักได้ ก็ธรรมดาที่หนูจะรู้สึกว่าเขาเป็นชายเต็มพิกัด”

“พระโพธิสัตว์นี่คือพวกที่ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตใช่ไหมคะ?”

“ใช่… ในอดีตกาลพวกนี้เคยพบพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆแล้วเกิดแรงบันดาลใจ แทนที่จะบำเพ็ญเพียรให้สำเร็จอรหัตตผลเอาตัวรอดเฉพาะตน ก็ขอเดินทางอ้อม อยากอยู่บำเพ็ญบารมีต่อจนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เพื่อช่วยรื้อถอนสัตว์จากสังสารวัฏด้วยกำลังแห่งตน มโนกรรมอันเป็นมหากุศลนั้นส่งผลให้ชาติต่อๆมาเป็นผู้มีความริเริ่ม มีความหนักแน่นในการทำกุศลยิ่งใหญ่มาก กำลังใจที่จะคิดเองทำเองนั้นสูงเหนือธรรมดา เดินเดี่ยวได้โดยไม่ต้องมีใครนำ ชอบแต่จะชักจูงหรือนำพาใครต่อใครไม่เลือกหน้าให้ได้ดีตามตน นับว่าเป็นกรรมในฝักฝ่ายของบุรุษสุดขั้ว จึงมีความเป็นชายติดตัวไปตลอดตราบเท่าเข้านิพพาน”

“จ๊ะจะได้เป็นตัวจริงของพี่ณะตลอดไปด้วยใช่ไหมคะ?”

“หนูเคยอนุโมทนายินดีกับความปรารถนาพุทธภูมิของคุณสรณะมาหลายครั้ง มีน้ำใจหนักแน่นขนาดออกปากเปล่งวาจาอธิษฐานขอยินดีในกุศลร่วมกับเขาทุกภพทุกชาติได้ วจีกรรมที่เกิดซ้ำๆด้วยใจจริงหลายภพหลายสมัยนั้น จะดลให้ได้เป็นคู่แท้ของเขา เพราะชนะบุญที่หญิงอื่นทำร่วมกับเขามาทั้งหมด พูดให้เข้าใจง่ายคือเมื่อไหร่เขาเป็นราชาหรือมหาจักรพรรดิผู้มีบาทบริจาริกาตามประเพณีหลายนาง เราจะเป็นมเหสีเอกเสมอ ไม่มีทางเป็นนางสนมอย่างเด็ดขาด”

ลานดาวสยายยิ้มกว้างด้วยแรงฉีดของปีติ

“เมื่อกี้แค่อาจารย์พูดถึงการปรารถนาพุทธภูมิของพี่ณะ จ๊ะก็นึกยินดีจะติดตามเขาตลอดไป ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน อันนี้คือสัญญาณทางใจที่ติดมาจากการอธิษฐานเดิมใช่ไหมคะ?”

“อย่างนี้แหละ ธรรมดาของการอธิษฐานจะให้ผลแบบข้ามชาติในรูปความเต็มใจคิดแบบเดิมๆเมื่อถูกกระตุ้นเตือนให้ระลึกได้ เหมือนไฟลึกลับที่ผุดโพลงขึ้นมาจากส่วนลึกอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ เราจะบอกตัวเองว่าใช่โดยปราศจากคำถามหาเหตุผลที่มาที่ไป”

“คิดทบทวนแล้วก็ประหลาดดีจังค่ะ ตอนยังไม่ทันอายุเข้าวัยรุ่นดี จ๊ะเห็นพี่ณะออกทีวีก็หลงใหลคลั่งไคล้เอามากๆ และเชื่ออยู่ลึกๆว่าจ๊ะเป็นของเขา แต่ความเชื่อนั้นก็สลับกับความคิดว่านั่นน่าจะเป็นแค่อาการละเมอเพ้อพกของเด็กผู้หญิงช่างฝันคนหนึ่ง แล้วจ๊ะก็เริ่มเมียงมองหาเจ้าชายในโลกความจริง ค่อยๆโตขึ้นพร้อมกับความตระหนักชัดว่าพี่ณะคงอยู่ไกลเกินเราจะตามทัน แต่เขาก็เป็นเครื่องวัดระดับผู้ชายอื่นๆของจ๊ะ และเหมือนคอยเป็นเครื่องบอกอยู่ตลอดเวลาว่าให้ดีแค่ไหนก็ยังไม่ใช่ไปหมด ไม่น่าพอใจไปทั้งนั้น เพราะยังเทียบเขาไม่ได้สักคน เว้นพี่แตรที่ใกล้เคียงที่สุดแล้ว”

“อือ… ก็เพราะแฟนเก่าของหนูอยู่บนทางพุทธภูมิเหมือนกัน บำเพ็ญบารมีมาใกล้เคียงกัน”

หญิงสาวหัวเราะนิ่มๆ

“สิ่งที่สำคัญว่าเป็นอุปาทานกลับกลายเป็นของจริงไปได้ อย่างนี้จะมีวิธีรู้ไหมคะว่าตกลงอันไหนอุปาทาน อันไหนคือสัญญาณเก่าจากอดีตชาติจริงๆ?”

“ปุถุชนธรรมดาที่ปราศจากญาณหยั่งรู้กรรมสัมพันธ์ระดับข้ามภพข้ามชาติ ไม่มีทางแยกได้ออกหรอก เป็นเรื่องอจินไตย คือพระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรคิด ถือเป็นอุปาทานไปก่อนจะปลอดภัยที่สุด ไว้มีเหตุปัจจัยคลี่คลายพิสูจน์ตัวเองค่อยเชื่อก็ยังไม่สาย”

“เอ่อ… ในเมื่อการติดตามพี่ณะเป็นเรื่องจริง และเขาจะเป็นผู้ชายตลอดกาล อย่างนี้ก็หมายความว่าจ๊ะไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนเพศตลอดไป?”

อุปการะพยักหน้า

“การติดใจ การปักใจอธิษฐานขอติดตามพระโพธิสัตว์ เป็นเหตุผลหนึ่งของการเกิดเป็นหญิง”

“เมื่อกี้ตอนอาจารย์ยกตัวอย่างเล่นๆว่าถ้าชาติไหนพี่ณะเกิดเป็นมหาจักรพรรดิ ชาตินั้นจ๊ะจะได้เป็นมเหสี จ๊ะขนลุกไปทั้งตัว ไม่ใช่เพราะยินดีกับตำแหน่งนะคะ แต่เหมือนเห็นนิมิตพี่ณะกับตัวเองอยู่ในเครื่องทรงกษัตริย์แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน!”

“ก็คงเป็นความจำในส่วนลึก เพราะบำเพ็ญบารมีแบบโพธิสัตว์มานานขนาดนี้ บุญญาบารมีมักส่งให้ไปเกิดเป็นใหญ่เป็นโตบ่อย”

“กรรมอะไรที่ทำให้คนเราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิคะ?”

“ฐานะของคนเราโดยมากก็ผูกอยู่กับผลของทานที่ทำนั่นแหละ ไม่ให้ทานเลยก็เป็นอยู่อย่างคนไม่มีอะไรเลย ให้ทานอย่างคนธรรมดาก็เป็นอยู่อย่างคนธรรมดา ให้ทานอย่างราชาก็เป็นอยู่อย่างราชา ให้ทานอย่างจักรพรรดิก็เป็นอยู่อย่างจักรพรรดิ”

“ทานของคนธรรมดาเป็นยังไงคะ?”

“ดูจากตัวหนูเองก็แล้วกัน ตอนเลือกซื้อของมาใส่ครัวผม หนูเข้าซูเปอร์มาเก็ตด้วยความตั้งใจอย่างไร?”

หญิงสาวทบทวนไปถึงวาระจิตก่อนเข้าซูเปอร์มาเก็ตแล้วตอบตามซื่อ

“จ๊ะรู้สึกว่าถ้าไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาฝาก ก็เหมือนขาดสิ่งที่สมควรน่ะค่ะ”

“ตอนเลือกของจากชั้นหนูคิดอย่างไร?”

“ก็เลือกสิ่งที่จ๊ะคิดว่าคุณภาพดีที่สุด บางชิ้นจ๊ะรู้ว่าอาจารย์ชอบ แต่บางชิ้นจ๊ะก็ชอบของจ๊ะเองและอยากให้อาจารย์ลองบ้าง”

“หนูกะงบประมาณในการซื้อแค่ไหน?”

“เวลาให้ของอาจารย์หรือถวายของพระ จ๊ะชอบเห็นของเต็มๆรถเข็นสองสามคัน ไม่ได้กะเป็นงบประมาณ และไม่เคยดูด้วยซ้ำว่าจ่ายไปเท่าไหร่ แค่ยื่นบัตรเครดิตให้แคชเชียร์อย่างเดียว”

“หนูไม่รู้สึกเดือดร้อนกับค่าใช้จ่ายเลยใช่ไหม?”

“ไม่เลยค่ะ สำหรับอาจารย์ แค่นี้นับว่าน้อยมาก”

“ลองกะได้ไหมว่าของทั้งหมดนั่นกี่บาท?”

หญิงสาวเหลือบตาลงต่ำ พยายามทบทวนโดยนึกถึงตัวเลขดิจิตอลบนเครื่องคิดเงินของซูเปอร์มาเก็ตซึ่งผ่านตาเพียงแวบเดียว แล้วก็ฟังเสียงพนักงานแค่ผ่านๆหูโดยไม่นึกว่าจะต้องจำไว้ให้ตัวเลขกับใคร ถึงแม้โดยทั่วไปหล่อนยังตระหนี่ถี่เหนียวอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นการซื้อของให้อาจารย์แล้วไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องหมดเงินไปสักเท่าไหร่

“ดูเหมือนจะเป็นห้าพันเจ็ดกว่าๆนะคะ จำไม่ถนัด”

ตอบอย่างไม่มั่นใจนัก

“ช่างเถอะ ผมไม่ได้จะเอาความแม่นยำเรื่องตัวเลขหรอก แค่อยากถามว่าหลังจากซื้อของด้วยจำนวนเงินประมาณนั้น กับทั้งขนของจากรถมาเข้าห้องครัวบ้านผมแล้ว หนูรู้สึกยังไง?”

ลานดาวลำดับภาพอีกครั้ง ประมวลรวมลงเป็นความรู้สึกโปร่งเบาแช่มชื่นขึ้นทันที

“มีความสุขค่ะ ชื่นใจที่ได้ทำอะไรตอบแทนอาจารย์บ้าง แม้เล็กๆน้อยๆเหมือนไม่ค่อยมีความหมายก็ยังดี”

“จำประมาณของความสุขไว้นะ… เอาล่ะ! ทีนี้ลองย้อนนึกถึงวันที่หนูทำงานหนัก ต้องเหนื่อยและทนหิว จำความหิวจนไส้แทบขาดได้ไหม?”

ลานดาวต้องเค้นนึกอยู่พักหนึ่ง เพราะตั้งแต่เกิดมา คำๆหนึ่งในพจนานุกรมที่หล่อนไม่ค่อยเข้าใจความหมายก็คือ ‘หิว’ นี่เอง แต่พอระลึกถึงวันคืนที่ตนดื้อดึงและประท้วงอดข้าวเพื่อขอแลกใบหย่ากับมาวันทา สภาพหิวไส้กิ่วหน้ามืดตาลายก็ย้อนกลับมาสู่ความทรงจำ มันเหมือนร่างกายเหี่ยวแห้ง อยากงอตัวตลอดเวลา มีความทุรนทุรายเรียกร้องหาอาหารดับความทรมาน โดยเฉพาะในช่วงวันแรกที่ไม่มีอะไรตกถึงท้อง ทว่าครั้งนั้นหนองน้ำแห่งความเศร้าก็ปิดปากหล่อนไว้สนิท ไม่ให้ยอมรับสิ่งใดเข้าท้องได้เลย

พอนึกถึงความหิวได้ครั้งหนึ่ง ก็โยงความทรงจำไปถึงความหิวอีกครั้งหนึ่งได้อีก ครั้งนั้นหล่อนอยู่ในช่วงประถม เป็นเนตรนารี มีกิจกรรมที่ต้องทำหนักหน่วง หล่อนเหน็ดเหนื่อย เหงื่อท่วมและหิวโซ แต่ก็ปลีกตัวออกมากินข้าวตามลำพังไม่ได้ เพราะงานปลูกค่ายยังไม่สำเร็จลุล่วง และเพื่อนๆในกลุ่มก็ยังไม่ได้กินกันสักคน ครั้งนั้นหล่อนเหลือบไปเห็นกลุ่มอื่นที่ทำงานเสร็จและนั่งกินข้าวปลาอย่างเอร็ดอร่อย บังเกิดความอิจฉาตาร้อนขนาดคิดว่าจะยอมแลกชีวิตกับพวกนั้น ขอเพียงสลับที่ได้เป็นฝ่ายกินข้าวแทนก็พอ

เมื่อนึกถึงสภาพตามที่อาจารย์กำหนดได้ก็พยักหน้า

“ค่ะ จำได้”

“จดจ่ออยู่กับความรู้สึกหิวนั้นไว้ แล้วลองลบความรู้สึกว่าหนูเป็นลูกคนรวยออกไป ตอนที่ทั้งเหนื่อยและทั้งหิวน่ะ คนเราจำไม่ได้หรอกว่าเคยมีทรัพย์สินเงินทองแค่ไหน คราวนี้สมมุติว่าหนูเป็นนางทาสคนหนึ่งที่ถูกเขาใช้แรงงานเกินกำลังทั้งวันทั้งคืน อดตาหลับขับตานอนจนถึงรุ่งเช้าก็แล้วกัน”

ด้วยจิตที่กำลังคลุกเค้ากับความทรงจำครั้งเมื่อเป็นเนตรนารี แถมมาเจอกับการพูดเหนี่ยวนำด้วยจิตตานุภาพของอุปการะ ลานดาวก็รู้สึกเป็นจริงเป็นจังว่าตนคือนางทาสผู้แสนทุกข์ทรมานขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง และก่อนที่มโนภาพอันแจ่มชัดในชั่วขณะนั้นจะผ่านไป อุปการะก็เอ่ยเสริมขึ้นอีก

“ถ้าหนูทำงานเสร็จ ท้องกำลังว่าง ปากกำลังแห้ง แล้วได้รับปันส่วนอาหารเป็นข้าวสุกเพียงกำมือเดียว หนูจะทำอย่างไรเป็นอันดับแรก”

“เอาข้าวใส่ปากเคี้ยวอย่างรีบด่วนเลยค่ะ”

หญิงสาวตอบยิ้มๆโดยไม่ลังเล

“ถ้าใครมาเอ่ยปากขอ บอกว่าเขาหิวมากกว่าหนู หนูจะให้ข้าวในมือไหม?”

ลานดาวเบ้ปาก ส่ายหน้าน้อยๆตอบตามความสัตย์จริงโดยไม่เกรงถูกหาว่าใจร้าย จิตไม่มีกำลังบุญพอจะเมตตาให้ทาน

“คงม่ายล่ะค่ะ ยอมรับว่าใจไม่ถึง ถ้าคิดจะแย่งข้าวจ๊ะตอนกำลังหิวคงต้องข้ามศพกันไปก่อน”

“แล้วถ้าเผอิญขณะนั้นหนูเหลือบขึ้นมาเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาบิณฑบาตพอดีล่ะ ท่านไม่ได้เอ่ยปากขอ และหนูก็รู้อยู่ว่าท่านไม่ได้หิว หนูจะยังคิดเอาข้าวใส่ปากตัวเองเหมือนเดิมหรือเปล่า?”

จุดรวมสายตาของลานดาวแปรไปเล็กน้อย มโนภาพพระพุทธเจ้าเสด็จดำเนินมาในระหว่างทางปรากฏแจ่มชัดยิ่งในห้วงนึก วาระนั้นหล่อนลืมความสำคัญของทุกสิ่ง เกิดน้ำจิตกระซิบบอกตนเองอย่างเฉียบขาด ว่าต่อให้ถวายแล้วตายดับลงไปจริงๆเดี๋ยวนี้หล่อนก็จะถวาย!

“โอกาสดีที่สุดผ่านมา จ๊ะคงไม่ปล่อยให้ผ่านไป ชีวิตหนึ่งเป็นได้มากที่สุดก็แค่ทาสรับใช้กิเลส จ๊ะจะไม่เสียดายถ้าต้องตายเพราะถวายข้าวคำสุดท้ายใส่บาตรพระพุทธองค์!”

ขาดคำน้ำตาก็เอ่อท้นล้นขอบด้วยแรงแห่งมหาปีติ ลำคอจุกแน่นด้วยความตื้นตันเกินระงับกับความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวของตน บังเกิดความเย็นซ่านตลอดทั้งสรรพางค์ โล่งหัวอกถึงที่สุดเยี่ยงผู้เคยถูกภูเขาแห่งความเห็นแก่ตัวกดทับแล้วยกลอยออกเสียได้ทั้งลูก

อุปการะปล่อยให้ลูกศิษย์สาวเสพรสแห่งความปราโมทย์เงียบๆอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถาม

“เห็นความต่างระหว่างทานสามัญกับทานอันวิเศษไหม?”

ลานดาวกะพริบตาถี่ๆเพื่อเรียกความรู้สึกตัวเป็นปกติกลับมาตอบ

“ชัดที่สุดเลยค่ะ อาจารย์สะกดจิตจ๊ะเหรอคะ?”

“หนูเป็นตัวของตัวเองเต็มร้อยเมื่อตัดสินใจเลือกทำกุศลกรรม… ดูไว้นะ ขอให้สังเกตเปรียบเทียบว่าข้าวของกองพะเนินที่หนูซื้อหามาด้วยเงินครึ่งหมื่นนั้น ไม่ต้องใช้กำลังใจในการสละเงินสักเท่าไหร่ อย่างมากคือใช้กำลังใจในการคัดเลือกสิ่งดีที่สุดมาให้ผม แต่ข้าวคำเดียวที่อาจหมายถึงการประทังชีวิตให้รอดนั้น ต้องใช้กำลังใจในการสละยิ่งกว่ากันเกินประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้รับทานเป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนได้ภาคขยายผลที่ก่อให้เกิดกำลังใหญ่สูงสุด ความสุกสว่างของทานย่อมแตกต่างกันลิบลับ”

หญิงสาวก้มหน้าจดบันทึกอย่างรวดเร็วก่อนเงยขึ้นถาม

“เมื่อครู่จ๊ะทำมหากุศลกรรมไปจริงๆหรือเปล่าคะ?”

อุปการะผงกศีรษะ

“จริง! จริงเต็มร้อยทางมโนกรรม แต่ไม่เต็มร้อยทางกายกรรม เพราะขาดองค์ประกอบเช่นข้าวในมือ และขาดพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แต่วิบากกรรมที่ได้รับเดี๋ยวนี้คือปีติสุขยิ่งใหญ่ซึ่งหนูรู้ประจักษ์อยู่กับตนเอง และนี่อาจเป็นชนวนเปลี่ยนนิสัยทางความคิดในชาติปัจจุบัน จากการให้ทานแบบมีเงื่อนไขเป็นไม่มีเงื่อนไข จากคิดหยุมหยิมเป็นไม่มีอะไรในใจในระหว่างให้ทาน ส่วนวิบากในอนาคตชาติคือจะได้เป็นผู้มีโอกาสถวายข้าวกับพระพุทธเจ้าองค์จริงในพุทธกาลถัดไป นี่แหละ! ผลของมโนกรรมที่ทำอย่างสมบูรณ์เพียงแค่นี้แหละ”

ลานดาวรับฟังด้วยความตื้นตันจนนึกอยากพนมมือไหว้ ไหว้พระพุทธเจ้าในมโนนึก ไหว้อาจารย์ตรงหน้า

“หนูลองเปรียบเทียบดู” อุปการะสั่งสืบมา “เอาน้ำหนักปีติสุขเป็นเกณฑ์ก่อน นึกออกไหมว่าทานธรรมดาที่ทำกับผม และทานอันวิเศษที่ทำกับพระพุทธเจ้าต่างกันอย่างไร?”

หญิงสาวนึกออกแจ่มชัด ทั้งขณะทำ ระหว่างทำ และหลังทำ เหมือนน้ำอ่างเล็กกับน้ำบ่อใหญ่ แต่ด้วยเพราะความเคารพในอาจารย์จึงไม่กล้าปริปากตอบ เดี๋ยวจะเป็นการหลู่คุณท่านอยู่กลายๆ

“คราวนี้ลองเอาขอบเขตแสงสว่างแห่งกรรมเป็นเกณฑ์ หนูนึกในใจดูว่าความต่างระหว่างทานทั้งสองชนิดเป็นขนาดประมาณไหน”

ลานดาวเหลือบตาลงพื้น ย้อนกลับไประลึกถึงใจในเหตุการณ์อันเป็นทานธรรมดาที่ทำกับอาจารย์ ประมาณความรู้สึกสว่างได้ระดับหนึ่งซึ่งกว้างขวางกว่าทานทั่วไปอักโข เนื่องจากอาจารย์ท่านเป็นผู้ทรงศีล แล้วหล่อนก็ทำไปด้วยจิตคารวะ มีความกตัญญูกตเวทีเป็นที่ตั้งอีกด้วย

จากนั้นจึงระลึกถึงขณะแห่งเจตนาทำทานวิเศษ ที่สำคัญตนเองเป็นนางทาสกำลังจะถวายข้าวอันเป็นสิทธิ์เพียงคำเดียวแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ถึงกับเบิกตาโพลงขนลุกเกรียว อุทานอย่างลืมตัว

“โอ้โห!”

กุศลกรรมได้ชื่อว่า ‘กรรมขาว’ ก็เพราะเห็นด้วยจิตเป็นความสว่างขาวจริงๆ และถ้าเปรียบความสว่างของทานที่ทำกับอาจารย์เป็นไฟร้อยแรงเทียน ความสว่างของทานที่เพียงคิดทำกับพระพุทธเจ้าแบบไม่คิดชีวิตนั้น แม้ขาดพระองค์จริงรับทาน ก็ยังเทียบเท่ากับไฟล้านแรงเทียนเข้าไปแล้ว!

นั่นทำให้นึกถึงสิ่งเทียบเคียงบางอย่างในธรรมชาติฝ่ายรูปธรรม ขอเพียงเราเข้าใจเหตุและผลแบบวิทยาศาสตร์ดีพอ ก็ไม่มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ อย่างเช่นถ้าบีบแสงแดดด้วยเลนส์นูนธรรมดา ก็สามารถเพิ่มความร้อนระดับปกติที่เนื้อคนทนอยู่ได้ให้ทวีขึ้นเป็นความร้อนระดับย่างเนื้อให้ไหม้เกรียมลงไปถึงกระดูกภายในเวลาไม่นานเกินรอ

หรืออย่างเช่นที่เราป้อนพลังอัดเข้าไปนิดเดียว ระบบไฮดรอลิกสามารถคายพลังขับดันออกมาเป็นสิบเป็นร้อยเท่าได้ราวกับมายากล ก็เพราะนักวิทยาศาสตร์มีความรู้เกี่ยวกับการส่งถ่ายแรงดันผ่านของเหลวที่อัดตัวไม่ได้ จากลูกสูบหน้าตัดเล็กไปสู่ลูกสูบหน้าตัดใหญ่

แต่เรื่องของการขยายกุศลผลบุญอันเป็นนามธรรมนั้น มีความซับซ้อนวิจิตรพิสดารยิ่งกว่าธรรมชาติทางรูปธรรมมาก เพราะทั้งกำลังใจในการทำ ทั้งบุคคลอันเป็นภาคขยายผล ล้วนเป็นสิ่งที่ปราศจากขนาดและน้ำหนักให้ชั่งตวงวัดได้ชัดเจน แม้ผู้มีจิตสัมผัสความสว่างหรือน้ำหนักของกรรมได้ก็ต้องฝึกฝนเข้าไปรู้ เข้าไปจำแนก และมีความสงบนิ่งเป็นกลางปราศจากอคติอย่างยิ่งยวดด้วย จึงจะทราบได้ตามจริง

อุปการะสรุป

“ทานที่หนูทำกับผมนั้น เป็นทานบนฐานของความกตัญญู จะส่งผลให้หนูมีความเจริญรุ่งเรืองไม่ตกอับง่ายๆ ส่วนทานที่หนูคิดทำกับพระพุทธเจ้านั้น เป็นทานบนฐานของศรัทธาในบุคคลอันควรบูชาสูงสุด จะส่งผลให้หนูมีโอกาสทำบุญและเสวยบุญอย่างใหญ่ หนูเคยทำมาก่อน เมื่อเจอสถานการณ์ที่ปลุกความจำในบุญเก่าก็กระตุ้นให้นึกอยากทำซ้ำอีก บุญประมาณนี้แหละสามารถติดตามพระโพธิสัตว์ไปทุกภพทุกชาติได้ไหว แม้เมื่อท่านเสวยชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็คู่ควรกับการเป็น ‘นางแก้ว’ ของท่าน”

ลานดาวแย้มยิ้มอย่างสุขสมและภาคภูมิใจในตนเอง แต่ขณะเดียวกันก็อดกังขาไม่ได้ ขนาดประมาณบุญแห่งตนยังแค่ระดับบาทบริจาริกา แล้วกรรมอันควรแก่ความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิจะต้องยิ่งกว่านี้ขนาดไหน ทั้งในแง่กำลังใจ ทั้งในแง่คุณภาพกับปริมาณของทาน และทั้งในแง่ผู้รับอันเป็นภาคขยายผลของทาน

“แล้วทานแบบไหนที่ทำให้เป็นใหญ่ระดับจักรพรรดิคะ?”

“ทานที่ทำกับคนทุกระดับ ครบทุกประเภท และสั่งสมกันข้ามภพข้ามชาติเหมือนเก็บแต้มจนถึงจุดที่จะบันดาลทุกสิ่งให้พรั่งพร้อมบริบูรณ์พอกับการเป็นหมายเลขหนึ่งของโลก”

หญิงสาวรีบจดพลางถาม

“ทานที่ทำกับคนทุกระดับคืออย่างไรคะ?”

“คือให้กับทุกคนที่อยู่แวดล้อมรอบตัวเรา นับตั้งแต่ในบ้านเช่นพ่อแม่พี่น้องลูกเมีย ไปถึงนอกบ้านเช่นลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ครูบาอาจารย์ พระสงฆ์องค์เจ้า ตลอดจนผู้ที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับชีวิตเราโดยตรง เช่นสัตว์ ขอทาน เด็กกำพร้า คนไข้อนาถา คนชรา หรือแม้กระทั่งคนปกติที่รวยกว่าเรา แข็งแรงกว่าเรา มีเรื่องแค้นเคืองกับเรา สรุปรวมเรียกสั้นๆว่าเป็นทานที่ ‘ให้แบบไม่เลือกหน้า’ นั่นเอง จะใกล้ชิดหรือห่างเหิน จะต่ำกว่าหรือสูงกว่า เป็นเหมาหมดไม่เกี่ยงงอนทั้งสิ้น”

“แล้วการให้ทานครบทุกประเภทล่ะคะหมายถึงอย่างไร?”

“ทานมีหลายแบบ ‘ทรัพยทาน’ คือให้ข้าวของเงินทองปัจจัย ๔ ‘อภัยทาน’ คือยกโทษไม่ถือโกรธยุติได้แม้กระทั่งการผูกใจเจ็บ ‘อวัยวทาน’ คือช่วยเหลือด้วยกำลังกายหรือบริจาคอวัยวะเช่นเลือดขณะมีชีวิตและร่างกายหลังตายให้นักเรียนแพทย์ใช้ศึกษา ‘วิทยทาน’ คือช่วยเหลือด้วยกำลังความรู้ความคิดคำปรึกษาแนะนำต่างๆ ‘ธรรมทาน’ คือให้ปัญญารู้เรื่องกรรมวิบากและทางดับทุกข์”

ลานดาวเงียบคิดไปครู่หนึ่ง พยายามเทียบเคียงกับชีวิตจริง สำหรับคนทั่วไปนั้น แค่อะไรง่ายๆเช่นเอื้อเฟื้อกันบนถนนให้รถของอีกฝ่ายไปก่อนก็ยากแล้ว อย่าว่าแต่จะให้ควักกระเป๋าจ่ายสตางค์ หรือจะให้สละความผูกใจเจ็บ หรือจะให้ถ่อสังขารไปบริจาคเลือด หรือจะให้เสียเวลาปากเปียกปากแฉะสอนใครทางโลกและทางธรรม แต่ละอย่างนับว่ายากเต็มกลืน นี่กรรมของการเป็นพระเจ้าจักรพรรดิยังมีเงื่อนไขว่าต้องทำให้ครบทุกประเภทกับคนทุกระดับเข้าไปอีก ก็ไม่ควรแปลกใจหรอกที่ตำแหน่งจักรพรรดิจะเป็นของหายาก

“หากทำทานได้ครบถ้วนอย่างนี้จริงก็น่าเชื่อแหละค่ะว่าจะเกิดใหม่มีศักดิ์ใหญ่เหนือมนุษย์แน่ๆ เพราะธรรมดาคนเราเกิดมาพร้อมกับความรู้สึกว่าต้องทำเพื่อตัวเอง เอาเข้าตัวเองเท่านั้น อะไรไม่ต้องแจกก็ไม่อยากแจกเลย”

“ถึงต้องอาศัยบารมีระดับโพธิสัตว์ คือเคยปรารถนามาก่อนว่าจะเสียสละตนเองในทุกๆทางเพื่อคนอื่นไงล่ะ และเส้นทางของพระโพธิสัตว์นั้นไม่ใช่พรวดพราดขึ้นมาก็ทำทานได้ครบถ้วนอย่างที่ผมว่าภายในชีวิตเดียวหรอก ต้องค่อยๆสะสมแต้มกันข้ามภพข้ามชาติเพื่อมาต่อแต้มเอา กระทั่งบุญหนักศักดิ์ใหญ่พอจะเป็นราชาในเวลาที่พระพุทธเจ้าอุบัติ ได้ถวายมหาทานยิ่งใหญ่เกินใคร กับทั้งมีโอกาสเป็นศาสนูปถัมภก อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนาให้เป็นศาสนาใหญ่ในประเทศของตน ขั้นนั้นบุญจึงไพบูลย์ถึงขีดสุด เกิดใหม่ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิของโลกทันทีที่เจริญวัยพร้อมพอ”

ลานดาวนึกอะไรขึ้นได้ก็ชักกังขา

“อาจารย์คะ การที่จิตวิญญาณไปปฏิสนธิในฤกษ์จักรพรรดิได้ก็เพราะบุญอย่างอุกฤษฏ์ แต่ทำไมการเป็นจักรพรรดิที่เห็นๆในอดีตถึงต้องลำบากตรากตรำอยู่แต่ในสนามรบแทบทั้งชีวิต มหาจักรพรรดิบางพระองค์กว่าจะสวรรคตก็ต้องบั่นคอศัตรูด้วยพระหัตถ์เป็นพัน อย่างนี้มิขัดแย้งแย่หรือชาติหนึ่งทำบุญด้วยหัวใจบริสุทธิ์ เพื่อมาก่อกรรมทำเข็ญด้วยความกระหายอำนาจในอีกชาติหนึ่ง”

“จักรพรรดิประเภทนั้นเป็นจักรพรรดิธรรมดา”

คนฟังทำตาโต

“แม้แต่จักรพรรดิก็มีแยกประเภทด้วย?”

“ที่หนูกับคนในโลกรับรู้ตามบันทึกในประวัติศาสตร์น่ะ เป็นจักรพรรดิซึ่งบุญเก่าส่งฐานอำนาจมาให้ครึ่งหนึ่ง แล้วต้องบวกกับความเก่งในการรบอีกครึ่งหนึ่ง จึงสามารถสร้างชัยชนะเหนือราชาทั้งปวงได้ แบบนั้นอาจเป็นผู้ครองโลกด้วยเวลาไม่กี่สิบปีเพื่อไปรับโทษในอบายภูมิเป็นร้อยเป็นพันปีกัน”

“แต่อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช หลังจากปราบโลกได้แล้ว ท่านก็หันมาทำนุบำรุง และเป็นประมุขในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาออกไปทั่วทุกสารทิศไม่ใช่หรือคะ?”

“ท่านก็ได้รับผลสมควรกับกรรมสืบต่อไป พระหัตถ์ที่เปื้อนเลือดในช่วงชีวิตแรก กับพระหัตถ์ที่ชูพระคัมภีร์ขึ้นเหนือเศียรในช่วงชีวิตหลัง ทำให้ท่านเป็นกษัตริย์นักรบที่มีพลังชนะเหนือกษัตริย์อื่นๆในชาติต่อๆมา และไปเกิดในประเทศที่พระพุทธศาสนาประสบกับวิกฤตการณ์ ต้องการบารมีของท่านมารักษาให้อยู่รอดและยั่งยืนต่อไป แต่แม้เป็นศาสนูปถัมภกขนาดนั้นแล้ว ท่านก็เป็นจอมจักรพรรดิตามคติของโลก ยังไม่เข้าข่ายพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้”

ลานดาวเอนหลังพิงพนัก อดหัวเราะด้วยความอ่อนใจไม่ได้

“กรรมจำแนกสัตว์ซับซ้อนพิสดารขนาดนี้นี่เล่า มิน่าล่ะ พี่เอินเคยบอกว่าเฉพาะสัตว์ในโลกนี้ก็ร่วม ๑๐ ล้านสายพันธุ์เข้าไปแล้ว”

“โดยย่นย่อให้เหลือเพียงแก่น สัตว์ทั้งหลายต่างกันด้วยวิธีคิดในการก่อกรรมเท่านั้นแหละ ผลกรรมหลากหลายได้เป็นอนันต์แค่ไหน ก็สะท้อนความวิจิตรพิสดารของความต่างระหว่างวิธีคิดก่อกรรมได้แค่นั้น”

“แล้วพระเจ้าจักรพรรดิตามคติที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงไว้เป็นอย่างไรหรือคะอาจารย์?”

“คือคนที่บุญถึงอย่างแท้จริง ขนาดที่โลกต้องยอมสยบให้เพียงเพราะเห็นบุญฤทธิ์ที่แสดงออกมาในรูปแบบความศักดิ์สิทธิ์ประการต่างๆ ผู้เป็นโพธิสัตว์นั้น ก่อนเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ชาติสุดท้ายมักเกิดใต้ร่มโพธิ์พุทธศาสนา ศรัทธาพระพุทธเจ้า พยายามใช้สติปัญญาและบารมีทุกๆทางกระทำให้อาณาประชาราษฎร์ของพระองค์อยู่ในกรอบศีลธรรม ไม่ใช้อาชญาขั้นประหารในการลงโทษผู้ประพฤติผิด แต่มีวิธีทำให้สำนึกผิดกลับตัวเป็นคนดีมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…

“ด้วยฤทธิ์ของทานและฤทธิ์ของศีลที่พระโพธิสัตว์ทำแล้ว และชักนำให้คนอื่นร่วมทำตาม ส่งให้ชาติต่อมาของท่านเป็นใหญ่ได้โดยสวัสดิภาพ ไม่ต้องรบพุ่ง ไม่ต้องอาศัยอาญา ไม่ต้องใช้ศาสตรา ก็สามารถครองทวีปทั้งหลายโดยธรรม เพราะเมื่อมีสมบัติมากพอก็แจกจ่ายให้ทุกคนอิ่มท้อง เมื่อทุกคนท้องอิ่มก็ปราศจากขโมยขโจร ปราศจากการเบียดเบียนฆ่าฟัน ปราศจากการโกหกมดเท็จ… ฟังยากหน่อยนะ เพราะเรื่องนี้เราจะไม่ได้เห็นกับตา เผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้ก็ยังไม่เคยมีตัวอย่างบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์”

ความรู้ที่เพิ่งได้รับจากอุปการะทำให้ลานดาวนึกถึงดำริของสรณะ เขาบอกหล่อนเสมอว่าปรารถนาที่จะเห็นระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์พอจะพัฒนาเป็นธรรมาธิปไตย เขาอยากขจัดอาชญากรรม อยากให้ทุกคนรู้ทางบุญ ซึ่งแม้หล่อนจะสนับสนุนให้ฝันอะไรดีๆอย่างนั้น ใจก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะยอดแห่งฝันของเขาห่างไกลความจริงเหลือเกิน

ต่อเมื่อใกล้ชิดเขามากขึ้น ทำงานด้วยกันมากขึ้น เห็นวิสัยทัศน์กับปัญญาอันเอกอุของเขาแจ่มกระจ่างขึ้น ถึงวันนี้หล่อนกลับเกิดมุมมองใหม่ นั่นคือมนุษย์เราเคยชินกับคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ เพียงเพราะโลกนี้ขาดคนทุ่มเทสติปัญญาคิดสร้างเหตุปัจจัยให้มันเป็นไปได้ขึ้นมา ช่องทางที่คนอื่นไม่เคยมอง โอกาสที่คนอื่นไม่เคยเห็น สรณะพยายามเข้าไปมองจนเห็นมาแล้วหลายครั้ง

“พี่ณะพูดถึงอุดมคติทางการเมืองการปกครองให้จ๊ะฟังมามาก แรกๆจ๊ะฟังแล้วรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลก แต่ยิ่งวันก็ยิ่งตลกน้อยลงทุกทีเมื่อจ๊ะเห็นความสำเร็จในแผนต่างๆของเขา หลายครั้งดูเหลือเชื่อ แต่ในที่สุดก็ต้องเชื่อเมื่อผลออกมาตามเป้าหมาย”

“หนูอย่าไปดูถูกเขา ความเป็นไปได้จริงเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัยสองประการ อันดับแรกคือมีความตั้งใจมุ่งมั่น อันดับที่สองคือมีบุญเก่าหนุนอยู่อย่างเพียงพอ ขอเพียงมีเหตุและปัจจัยที่เหมาะสม ก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอกที่มนุษย์ทำไม่ได้”

“พระเจ้าจักรพรรดิของแท้มีจริง แล้วก็เกิดขึ้นได้ยากจริงๆ เหมือนการอุบัติของพระพุทธเจ้าเลยใช่ไหมคะ?”

“การอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นไปได้ยากกว่าการอุบัติของพระเจ้าจักรพรรดิหลายร้อยหลายพันเท่า! อันที่จริงเส้นทางโพธิสัตว์ต้องผ่านการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์มาด้วยกันทั้งสิ้น และการบำเพ็ญบุญอย่างอุกฤษฏ์จนใกล้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านั้น ส่งผลให้ได้ครองโลกแบบพระเจ้าจักรพรรดิก่อน เพื่อกวาดบริษัทบริวารทั้งหลายให้ติดตามพระองค์ไปถึงชาติสุดท้ายที่ทรงเป็นธรรมราชา”

“แปลว่ายกชั้นขึ้นเสวยภพจักรพรรดิแล้วจะไม่ตกกลับเป็นราชาหรือสามัญชนคนธรรมดาได้อีก รอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าต่อเลยหรือคะ?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฐานะจักรพรรดิยังตกอยู่ในการครอบงำของอนิจจัง ยังกลับมาเป็นกษัตริย์ธรรมดาหรือสามัญชนได้เสมอ ชาติต่างๆมีปัจจัยบีบคั้นให้ก่อเหตุลงต่ำและขึ้นสูงได้เรื่อยๆ”

“จ๊ะนึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ถ้าหากจำไม่ผิด มีโหราจารย์ทำนายเจ้าชายสิทธัตถะไว้ว่าจะเลือกเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือพระบรมศาสดาก็ได้”

อุปการะพยักหน้ารับรอง

“ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่เลือกออกผนวช ถึงตอนนี้หน้าประวัติศาสตร์จะบันทึกการมีอยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิตัวจริง เหนือยิ่งกว่าพระเจ้าอโศกมหาราช อเลกซานเดอร์มหาราช ตลอดจนเจงกิสข่านรวมกัน! เหตุเพราะท่านมีบารมีพอจะครองโลกในแบบธรรมาธิปไตยได้สำเร็จเป็นพระองค์แรกในเผ่าพันธุ์มนุษย์ชุดนี้!”

หญิงสาวทำหน้าสงสัย

“แล้วอย่างนั้นทำไมท่านไม่เป็นพระเจ้าจักรพรรดิก่อน แล้วค่อยออกผนวชเป็นศาสดาล่ะคะโลกจะได้มีศาสนาเป็นหนึ่งเดียว”

อุปการะส่ายหน้าเล็กน้อย

“ไม่ใช่วิสัยหรอก เมื่อพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติอันทรงบารมีแก่กล้าถึงขีดสุด ก็ต้องเลือกว่าจะให้บารมีทางโลกหรือบารมีทางธรรมเบ่งบานขึ้นมา จะเหมารวมทั้งทางโลกทางธรรมไม่ได้ ถ้าเทียบเคียงกับโหราศาสตร์คือจะมีจุดตัดของการบันดาลผลสำเร็จสูงสุดครั้งเดียว เมื่อเลือกด้านหนึ่งก็จะต้องเสียอีกด้านหนึ่งไป ลองมองตามความจริงของช่วงอายุขัยมนุษย์ปัจจุบันซึ่งไม่เกินร้อยปี ถ้าท่านครองราชย์ก็ต้องรอจนชราหรือใกล้ชราจึงเหมาะควรกับการออกบวชตามธรรมเนียมกษัตริย์โบราณ แล้วท่านจะเอาพระกำลังจากไหนมาลองผิดลองถูก ตรากตรำทรมานตนตั้ง ๖-๗ ปีก่อนสำเร็จธรรมอย่างที่เรารู้ๆกัน”

เครื่องหมายคำถามที่หัวคิ้วของลานดาวคลายลง

“การตัดสินใจเลือกของผู้มีบุญญาธิการระดับโลกนี่ส่งผลกระทบในวงกว้างใหญ่และยืดยาวมากนะคะ ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะท่านไม่เลือกการบรรพชา ก็คงไม่มีมรดกธรรมมาถึงอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็จะส่งทอดมาถึงจ๊ะไม่ได้ จ๊ะก็โง่ต่อไป ระหว่างการเที่ยวเกิดตาย คงมีน้อยครั้งที่จ๊ะจะเข้าใจกรรมวิบากได้กระจ่างเหมือนชาติที่เกิดใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาอย่างนี้”

“การตัดสินใจของทุกคนมีผลกระทบที่สำคัญต่อโลกเสมอ ตอนหนูร้าย หนูไม่ได้เดือดร้อนคนเดียว และตอนหนูดี หนูก็ไม่ได้เย็นสบายเพียงลำพัง คนรอบตัวหนูจะช่วยกันกระจายคลื่นความเดือดร้อนหรือคลื่นความเย็นสบายออกไปกว้างไกลขึ้นเรื่อยๆโดยที่หนูไม่อาจตามไปดูผลได้หมด”

ลานดาวประสานมือบิดตัวนิดๆ คุยเรื่องพระโพธิสัตว์มากๆแล้วคิดถึงสรณะขึ้นมาอย่างแรง จึงแย้มยิ้มในลักษณาการของผู้มีความยินดีปรีดาในเส้นทางกรรมแห่งตน

“โชคดีจังที่หนูเจออาจารย์ แล้วก็เอาชนะนิสัยเสียๆของตัวเองได้จนพบพี่ณะตั้งแต่อายุยังน้อย แทนที่จะต้องใช้ชีวิตไปครึ่งค่อนกว่าจะมีโอกาสคบกับเขา จ๊ะยังตะลึงไม่หายเลยนะคะที่อาจารย์บอกว่าเขาใช่ มันเหมือนฝัน หรือเหมือนเล่นเกมที่ชนะแล้วบางทีไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าชนะแล้ว”

“ชนะนิสัยเสียๆของตัวเอง ก็คือชนะอกุศลกรรมเก่าด้วยกุศลกรรมใหม่ เป็นการทำให้ตัวเองหลุดจากเส้นทางที่น่าเหน็ดหน่าย สั่งสมกุศลให้ยิ่งๆขึ้นไปเถอะ จิตยิ่งสว่างขึ้นเพียงใด ชีวิตยิ่งเหมือนฝันที่เต็มไปด้วยแสงสวยสาดรอบมากขึ้นเพียงนั้น อะไรๆในฝันย่อมกระจ่างชัดและสนุกสนานตั้งแต่ต้นจนจบเสมอ”