ตอนที่ ๓๗. สูญเสีย
ทางเดินนั้นเรียงรายด้วยประตูห้องเต็มสองฝั่งซ้ายขวา
คอนโดมิเนียมยามดึกสงัดคล้ายสถานที่ว่างร้างไร้ผู้คน
ลานดาวก้าวเดินด้วยความรู้สึกคุ้นเคย เพราะมาเยี่ยมพี่สาวถึงถิ่นบ่อยๆ
ต่างกันก็เพียงครั้งนี้แอบมาโดยไม่บอกกล่าวหรือนัดหมายล่วงหน้า!
มาวันทาอาศัยหอพักแพทย์อยู่เดือนเศษ
ก่อนจะหาห้องชุดถูกใจได้ ลานดาวเป็นคนช่วยเลือก
จึงได้รับหนึ่งในสองคีย์การ์ดซึ่งทางคอนโดจัดให้ตั้งแต่วันแรกที่พี่สาวย้ายมาอยู่
และกลายเป็นแขกประจำรายเดียวนับแต่นั้น
มายืนนิ่งตรงหน้าประตูห้องหมายเลข ๑๗๐๔ ครู่ใหญ่
ขยับคีย์การ์ดในมืออย่างชั่งใจ คิดใคร่ครวญครั้งสุดท้ายถึงความควรไม่ควร
แต่ในที่สุดก็แปรไปเป็นความคิดว่าจะอ้างอย่างไรกับการมาเยี่ยมเยียนยามวิกาลเช่นนี้
“จ๊ะเหงา… คืนนี้ขอนอนด้วยคน”
ไม่เอาดีกว่า บอกว่าเหงาตอนนี้คือโกหกชัดๆ
และมาวันทาก็คงไม่เชื่อ
“อยากคุยกับพี่เอินบ้าง พักนี้ไม่เจอหน้ากันเลย”
มื้อค่ำเพิ่งผ่านไป นั่งคุยกันร่วมสองชั่วโมง
เหตุผลนี้จึงอ่อนอีก
“จ๊ะมีเรื่องอยากปรึกษา…”
เออ… อันนี้เข้าท่าหน่อย กรุยทางด้วยไม้นี้ก่อน
พอเข้าไปในห้องทำอะไรอู้ๆสักพักแล้วเดี๋ยวก็คิดข้อเรื่องขอคำปรึกษาได้เอง
แต่แล้วก่อนจะเอาคีย์การ์ดเข้าร่องรูด
หญิงสาวก็ชะงักมือไว้ เปลี่ยนใจหันซ้ายก้าวเท้ากลับทางเดิม
หล่อนควรไปนอนให้สบายที่บ้าน
พักผ่อนเอาแรงไว้ตื่นเช้าพรุ่งนี้เพื่อทำงานทำการตามปกติ มีจิตใจที่ปกติ
และความรู้สึกด้านดีต่อโลกรอบตัวเหมือนปกติ
เกือบสุดทางเดินก็เปลี่ยนใจอีก
คราวนี้กลับหลังหันด้วยท่าทีมาดมั่น
ย่ำเท้าด้วยจังหวะสม่ำเสมออย่างคนที่รู้ว่ากำลังจะทำอะไร
หล่อนควักคีย์การ์ดจากกระเป๋าสตางค์อีกครั้งในระหว่างก้าวเดินนั้นเอง
และเมื่อมาถึงหน้าห้องก็รูดบัตรฉับโดยปราศจากความคิดลังเลสิ้นเชิง
พอได้ยินเสียงกริ๊กก็ผลักบานประตูเปิดผาง
แสงไฟในห้องสาดให้เห็นทุกสิ่งกระจ่างชัด
มาวันทานอนหลับอยู่บนเตียงและสะดุ้งตื่นขึ้นพร้อมกับใครอีกคนหนึ่งที่ลานดาวภาวนาขออย่าได้เห็น…
“จ๊ะ!!”
เสียงร้องของมาวันทาแหลมบาดหู
สีหน้าสีตาตระหนกตกตื่นจนดูน่าสงสาร
ส่วนอมฤตเพียงลืมตากว้างและมองมานิ่งๆอย่างคนที่รับกับสถานการณ์พลิกผันกะทันหันมามาก
วินาทีแรกลานดาวรู้สึกเหมือนเกิดไฟร้อนลุกท่วมกาย
จิตวิญญาณแปรสภาพจากมนุษย์เป็นเปรตหรืออสุรกายอะไรสักชนิดที่พร้อมจะอาละวาดกราดเกรี้ยว
ทว่าวินาทีถัดมาเมื่อจะฟาดงวงฟาดงาด้วยความคลุ้มคลั่งเข้าจริงๆ
ลานดาวกลับชะงักมือเท้าอ่อน เพราะไม่ทราบจะไปลงมือทำร้ายใครดี
ในเมื่อสองร่างบนเตียงนอนต่างก็เป็นผู้ที่หล่อนแสนรักแสนบูชาสุดจิตสุดใจ
ไฟร้อนที่คลอกวิญญาณจึงสงบราบคาบ
แปรเป็นไอน้ำแข็งดุจคืนเดือนมืด
ลานดาวรู้สึกเหมือนร้องไห้สะอึกสะอื้นซ้อนกันเป็นพันครั้งภายในอึดใจเดียว
ทุกสิ่งตรงหน้าปรากฏคล้ายมายาหลอกหลอน
เหมือนพร้อมที่จะระเหยหายกลายเป็นควันเทียนในอากาศ ไม่มีอะไรเป็นเรื่องจริง
ไม่มีอะไรเป็นของหล่อน และไม่มีอะไรควรค่าแก่การอาลัยไยดีอีก
หล่อนผินหน้าผันผายออกมาจากจุดเดิม
วิ่งไปข้างหน้าสุดเท้าด้วยกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ในชีวิต วิ่ง วิ่ง และวิ่ง
กระทั่งมาถึงสุดทาง รู้ทั้งรู้ว่ามีกระจกหน้าต่างขวางอยู่ก็ยังพุ่งตัวออกไป…
เสียงเพล้งใหญ่ดังขึ้นเต็มสองหู
แผ่นกระจกบางใสที่เคยเนียนเรียบเป็นเนื้อเดียวแตกเปรื่องออกเป็นเศษเล็กเศษน้อย
หอบลมดึกนอกอาคารพัดมาปะทะ ลานดาวเห็นขอบฟ้าว่างมืดมิดเบื้องหน้าหลังจากหลุดจากการรองรับน้ำหนักตัวของพื้นอาคาร
รู้สึกเป็นอิสระ กายเบาคว้างดุจปุยนุ่น
ก่อนจะรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่มีพลกำลังโหดเหี้ยมมหาศาล
กระชากร่างหล่อนลงในแนวดิ่งสู่แท่นประหารเบื้องล่างอย่างปราศจากความปรานีปราศรัย
ลานดาวปิดตาลงด้วยความตระหนักในมรณกาลแห่งตน ยิ้มรับชะตาครึ่งกล้าครึ่งกลัว…
จิตอันมืดบอดถูกปลุกขึ้นด้วยแรงกระแทกที่มาถึงเร็วกว่าที่คิด
ลานดาวลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บเนื้อเจ็บตัว
นี่เป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าปีที่หล่อนนอนตกเตียงด้วยฝันร้ายกลางดึก
ผุดลุกขึ้นยืนด้วยอาการสะลึมสะลือเงอะงะ
มองรอบตัวอย่างจะสำรวจให้แน่ว่านี่ฝันหรือตื่น
พอแน่ใจร้อยเปอร์เซนต์แล้วว่ากำลังตื่น ก็นั่งหมดท่าลงกับพื้น
เสยผมถอนใจยาวด้วยความระอากับความเป็น ลานดาว ลีลากีรติ ในยามนี้ยิ่งนัก
หล่อนเก็บอาการระแวงและความอยากรู้อยากเห็นเอามาฝันต่อเป็นตุเป็นตะ
ภาพความจริงที่เห็นครั้งสุดท้ายด้วยตาเนื้อคืออมฤตขับรถพามาวันทาจากไป
ใจหล่อนแล่นตามไปด้วย อยากดูนักว่าลับตาหล่อนแล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง
จิตเลยจำลองเหตุการณ์ให้ดูเสียเลย
ว่าเจอภาพที่คิดๆอยู่ว่าจะเจอแล้วเกิดอาการได้แค่ไหน ซึ่งก็ปรากฏว่าแทบล้มทั้งยืน
เจ็บปวดรวดร้าวพอจะเป็นแรงบันดาลให้พุ่งหลาวลงจากตึกเพื่อดับทุกข์ได้ทันทีโดยไม่ต้องไตร่ตรอง
ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ไม่ต้องฟังเรื่องนรกสวรรค์หลังความตายอะไรอีกแล้ว
เม้มปากแน่น มองนาฬิกาเห็นบอกเวลาตีหนึ่งครึ่ง
คงไม่เป็นไรกระมังหากจะขอรบกวนพี่ๆสักเล็กน้อย
“ฮัลโหล…”
มาวันทารับสายงัวเงีย น้ำเสียงมีความเคยชินกับการถูกพยาบาลตามตัวกลางดึก
ลานดาววางสายทันที แล้วกดเบอร์ใหม่เรียกไปยังเครื่องที่ห้องของอมฤต
ซึ่งถ้าเขาอยู่นั่น ก็แปลว่าฝันเมื่อครู่คือความเหลวไหลเลอะเทอะของหล่อนเองทั้งเพ
ลุ้นระทึกอยู่เพียงไม่ถึงอึดใจก็ได้คำตอบ
“สวัสดีครับ”
แฟนหนุ่มรับสายเสียงใสด้วยตนเอง
ไม่ใช่เสียงจากเครื่องตอบรับ ท่าทางคงยังไม่นอน ลานดาวอึกอัก
จะตัดสัญญาณดื้อๆแบบที่ทำกับมาวันทาก็เกรงอมฤตจับคลื่นจิตแล้วรู้ว่าเป็นตน
จึงอ้อมแอ้ม
“ทำไมยังไม่นอนคะ?”
“อ่านหนังสือเพลิน เกือบจบเล่มแล้ว”
ต่างฝ่ายต่างเงียบ
ลานดาวสำเหนียกถึงพลังอ่อนอุ่นที่เคลื่อนเข้ามาล้อม
ก็ทราบทันทีว่าอมฤตกำลังกวาดสำรวจความคิดตน
จึงพูดโมเมแบบเด็กเกเรหาเรื่องเพื่อให้เขาหยุด
“อ่านหนังสืออะไร คิดถึงจ๊ะในทางอกุศลอยู่หรือเปล่า
ทำไมเมื่อกี้ฝันถึงพี่แตรล่ะ? เป็นจริงเป็นจังจนต้องโทร.มาถามเนี่ย”
“ฝันว่ายังไง?”
“ในทางไม่เป็นมงคลก็แล้วกัน”
อมฤตทอดถอนใจ
“ถ้าพี่อยากทำอะไรจ๊ะก็จะขอตรงๆ
ไม่เล่นแนวไสยฯหรอกน่า”
ลานดาวยิ้มนิดๆ โล่งใจที่เขาคิดไปในแนวนั้นเสียได้
“ถ้าไม่ใช่ตัวต้นเหตุก็แล้วไป งั้นจ๊ะไปนอนต่อล่ะ
แผ่เมตตามาให้จ๊ะหลับสบายๆด้วยนะ”
“เดี๋ยว… โทร.มาป่วนเสร็จก็จะวางเลยหรือ?”
“ค่ะ”
“ไหนๆจ๊ะตื่นแล้วก็คุยกันหน่อยซี”
“ไม่เอาค่ะ ไปดีกว่า
ชาติก่อนไม่ได้เป็นนกเค้าแมวเหมือนใครบางคน ดึกๆดื่นๆไม่รู้จักนอน”
“อย่าเพิ่งวางเลย”
“จะวางเสียอย่าง มีอะไรรึเปล่า?”
โรคเก่ากำเริบ
พอรู้ว่าใครปรารถนาจะอยู่ใกล้ตนอย่างแรงก็อยากเล่นตัว ล่องหนหลบลี้ไปเสียเฉยๆ
ลานดาวกดปุ่มตัดสัญญาณทิ้งแล้วคลานขึ้นเตียงด้วยความรู้สึกเหมือนเพิ่งเชิดหน้าหนีหนุ่มแปลกหน้าที่ช่างตื๊อสักคน
พอลงนอนสงบได้พักหนึ่งก็รู้สึกผิด
นี่หล่อนจะเล่นตัวหาอะไรในเมื่อเพิ่งขวัญหายจากฝันร้ายเกี่ยวกับการสูญเสียเขาไปอยู่หยกๆ? หญิงสาวคว้าโทรศัพท์มากดเบอร์ใหม่
“จะคุยอะไรคะ?”
ทำเสียงแบบเด็กดื้อผู้น่ารักทักทายเขา
อมฤตหัวเราะเอื่อยๆ
“ระหว่างพี่กับจ๊ะ จ๊ะช่างพูดช่างคุยมากกว่า
เพราะฉะนั้นต้องถามจ๊ะเองนั่นแหละ แค่อยากฟังจ๊ะพูดอะไรก็ได้
พักหลังๆไม่ค่อยมีเวลาให้พี่เลย เอาแต่คุยกับแฟนๆรายการ”
และแล้วก็มาถึงวันนี้จนได้
วันที่โดนบ่นว่าไม่มีเวลาให้เขา…
“ต่างคนต่างไม่มีเวลาให้กันต่างหาก
พี่แตรทำงานหามรุ่งหามค่ำอย่างกับอะไร… อีกอย่าง
เทคโนโลยีระหว่างเราล้ำสมัยกว่าใคร เมื่อกี้ขนาดตัดสัญญาณไฟฟ้า
ยังมีสัญญาณจิตมาจิกตัวจนจ๊ะทนไม่ไหว ต้องโทร.กลับมาอีกเนี่ย”
หล่อนโบ้ยให้อยู่ในรูปถูกเขาประทุษร้ายทางจิต
อาศัยที่ล่วงรู้ว่าหลังจากวางสายแล้วเขาคิดถึงหล่อนในลักษณะอาลัยอาวรณ์อยู่จริงๆ
“พี่เปิดเทปฟังรายการเมื่อเช้าแล้ว… เดี๋ยวนี้ยิ่งใหญ่มากนะ
มีคนดังโทร.มาร่วมแจมด้วย”
เพราะเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า
ลานดาวจึงรับฟังโดยปราศจากอาการสะดุดใดๆให้เขาจับได้ทั้งสิ้น
“อ๋อ… อีตาสรณะเหรอคะ อือ… จ๊ะแปลกใจเหมือนกัน
เล่นเอาเราพูดไม่ออก ทีแรกยังแซวว่าชื่อเหมือนโฆษกรัฐบาล ต๊าย!
ใครจะนึกว่าของจริงมาเอง”
“อีกหน่อยนายกรัฐมนตรีคงตามมา”
ลานดาวหัวเราะ
“สมพรปาก
จะได้ถือโอกาสสับนโยบายยี้ๆออกอากาศซะให้เข็ด”
“อือม์ คงถูกสั่งปิดรายการวันนั้นเลยล่ะ…
ว่าแต่คุณสรณะนี่แกเชียร์จ๊ะน่าดูนะ
คนอาจเอาไปร่ำลือกันจนกลายเป็นข่าวซุบซิบในหน้าสังคมอีกพักหนึ่งทีเดียว”
ลานดาวชะงักเล็กน้อย
หยั่งดูก็สัมผัสว่ากระแสจิตอมฤตราบเรียบเป็นปกติทุกประการ แต่ใครจะรู้
ระดับความคงเส้นคงวาของเขาสูงกว่าหล่อน
คงเอาความเป็นหล่อนไปวัดเขาได้ไม่แม่นยำนักว่ากำลังแฝงซ่อนเลศนัยอันใดไว้หรือเปล่า
“จ๊ะทำงานออกกว้างแบบนี้… พี่แตรต้องทำใจหน่อยนะคะ”
“ฮื่อ… ไม่เห็นต้องทำใจเลย จ๊ะนั่นแหละ
อย่าวิตกมากแล้วกัน ทำงานสบายๆ ทำใจสบายๆ งานของจ๊ะต้องการความสดใสที่สม่ำเสมอ
เราคุยกันมาตั้งเกือบปีแล้วในเรื่องพรรค์นี้ พี่ไม่หึงหวงส่งเดชหรอกน่า”
ลานดาวก้มหน้าสลด เขาไม่หึงหวงส่งเดช
หล่อนเองที่หึงหวงส่งเดช
“จ๊ะสงสารพี่เอินจังเลยล่ะพี่แตร…
ต้องอยู่คนเดียวอย่างนี้”
เปลี่ยนเรื่องปุบปับด้วยการรำพึงถึงมาวันทาไปเสีย
ความจริงเคยบ่นกับอมฤตเรื่องสงสารมาวันทาหลายหน
จี้ให้เขาหาเพื่อนดีๆมาแทนที่สามีเก่าสักคน อมฤตก็รับว่าพยายามอยู่
แต่ก็ไม่เห็นผลงานคืบหน้าสักที
ระหว่างนี้เขากับหล่อนไปไหนจะชวนมาวันทาไปด้วยเสมอ
จนอาจกลายเป็นการสร้างความเคยชินผิดๆที่ขาดมาวันทาไม่ได้ในทุกงานเสียแล้ว
แม้แต่มาวันทาเองก็เคยคุยกับหล่อนจริงจังถึงความไม่เหมาะไม่ควร
แต่หลังจากที่หล่อนรับฟังพี่สาวแจกแจงผลเสียอันยาวยืดจนจบ
ก็พูดหน้าตาเฉยว่าพรุ่งนี้จะไปรับมากินข้าวเย็นด้วยกันอีก
แล้ววางโทรศัพท์ปิดทางปฏิเสธแค่นั้น
หล่อนคิดง่ายๆแค่ว่าในเมื่อเป็นความสุขความพอใจของทั้งสามคนเสียอย่าง
ความถูกต้องที่สุดก็อยู่ตรงนั้นแล้ว
ไม่เห็นต้องคำนึงถึงความถูกต้องตามครรลองของใครอื่นให้วุ่นวาย
“เบื่อเอินหรือไง อยากรีบหาใครมาเทคแคร์ซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
อมฤตซัก
“ตรงข้ามเลยค่ะ…” ลานดาวรีบปฏิเสธ
“จ๊ะอยากให้พี่เอินอยู่กับเราสองคนตลอดไปด้วยซ้ำ แต่เกรงใจพี่แตร
แล้วก็อยากให้พี่เอินมีคนดูแล ไม่ต้องเปลี่ยวใจ
นึกถึงภาพพี่เอินอยู่เดี่ยวๆทีไรสงสารเหลือเกิน”
“ไปสงสารทำไม เห็นยิ้มแฉ่งอยู่ตลอด
พี่สัมผัสเข้าไปทีไร เวลาไหน ก็เห็นมีแต่ความสุข ความเบา ความสว่าง
จ๊ะเคยเห็นเอินเหงา เศร้า หรือร้องไห้สักครั้งไหมล่ะ?”
“อันนั้นก็จริง แต่… คิดดูซิคนเคยมีสามีเลี้ยง
คอยเอาอกเอาใจ เดี๋ยวนี้ต้องผ่อนคอนโดเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง”
“หนุ่มๆรู้ว่าเอินหย่าก็มารุมชิงตัวกันยิ่งกว่าฝูงปลาหิวแย่งเหยื่อ
เท่าที่เอินเล่าให้ฟัง พี่รู้จักห่างๆอยู่คนหนึ่งเป็นหมอศัลย์ ก็ใช้ได้นะ
เสียแต่ไม่ค่อยหล่อ ส่วนที่หล่อก็ท่าทางเจ้าชู้จัด
สำคัญกว่าอะไรคือเอินยังมีความสุขกับการอยู่คนเดียว นั่ง เดิน ยืน นอนภาวนาไปเรื่อย
ยังไม่เดือดร้อนอะไร จ๊ะก็อย่าไปเดือดร้อนแทนเขานักเลย”
“วันนี้ไม่เดือดร้อน
แล้ววันหน้าเกิดเพลินลืมนับเดือนนับปี สังขารเริ่มโรยรา
โดนล้อว่าเป็นสาวทึนทึกจะว่าอย่างไรคะ?”
“สาวทึนทึกหมายถึงสาวใหญ่ที่ยังไม่แต่งงาน
เอินแต่งแล้ว รอดจากบัญญัติที่มีไว้สร้างความเจ็บใจพรรค์นี้แล้ว และสำหรับพี่นะ
ผู้หญิงอายุมากขนาดไหน
ถ้าหน้าตาผ่องใสเสียอย่างเดียวก็ไม่เหมาะที่ใครจะประเคนคำว่า ‘ทึนทึก’ หรือ
‘ทึมทึก’ ให้พวกเธอหรอก เว้นเสียแต่จะมีจิตใจหดหู่
ฟ้องสภาพเงียบเหงาของตัวเองด้วยใบหน้าเศร้าหมองเท่านั้น หญิงไร้สามีที่ทำประโยชน์ให้สังคมตั้งมากมายดูเป็นสุขเสียยิ่งกว่าพวกแต่งแบบคิดผิดเพราะด่วนเลือกเยอะนัก”
ลานดาวยิ้มซึม
“หลังๆจ๊ะอาจฝึกเอาใจเขามาใส่ใจเรามากเกินไป
เห็นใครเคราะห์ร้ายแล้วนึกเอาตัวเองเข้าไปแทนที่อยู่เรื่อย
ถ้าจ๊ะถูกพี่แตรทอดทิ้งไปมีคนใหม่อย่างนี้ จ๊ะคงทนรับสภาพไม่ได้”
อมฤตหัวเราะ
มันเป็นเสียงหัวเราะที่เยียบเย็นอย่างประหลาด
“ระหว่างเรา ถ้าจะมีใครทิ้งใคร
ก็เชื่อเถอะว่าคงเป็นจ๊ะเอง”
หน่วยตาลานดาวเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
เสียงหัวเราะของเขาทำให้เจ็บจี๊ดขึ้นมาในอก
“พี่แตร…” ขานชื่อเขาด้วยหางเสียงติดเค้น “พี่แตรคงไม่รู้หรอกว่าจ๊ะทำอะไรมาบ้างเพื่อให้ได้อยู่กับพี่
พี่จำไว้ดีๆเถอะว่าจ๊ะออกปากบอกไปสองครั้งว่าพร้อมแล้วสำหรับการแต่งงาน
พี่ทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนแกล้งหูทวนลม จ๊ะก็เก้อพอแรงอยู่แล้ว
นี่มาพูดเหมือนจ๊ะเป็นคนใจจืดใจดำอีก มันหมายความว่ายังไงคะ?”
เสียงเครียดของลานดาวทำให้อมฤตนิ่งไปนาน
หญิงสาวรู้สึกแน่นหน้าอก หน้ามืดวูบวาบกะทันหัน หายใจลึกข่มโทสะอยู่ครู่
ตกลงกับตนเองว่าอย่างไรคืนนี้ต้องพูดให้รู้เรื่อง
“พี่แตรบอกมาดีกว่าว่าจะเอายังไง”
“พี่…”
“พี่เบื่อจ๊ะ ทนเหม็นขี้หน้ามานาน… เปิดอกเลยค่ะ
จ๊ะรับได้ เพราะจ๊ะก็เหนื่อยเต็มที”
อมฤตส่ายหน้าอยู่อีกปลายทางหนึ่ง
พยายามไม่ถือสาอารมณ์ร้อนของแฟนสาว
“อยากให้สารภาพก็จะสารภาพ
พี่เริ่มกลัวบารมีจ๊ะขึ้นมา ชีวิตเราเหมือนอยู่คนละช่องชั้น ดูไม่ค่อยสมน้ำสมเนื้อกันเท่าไหร่
โดยเฉพาะในแง่ของฐานะ พี่ทำงานมาตั้งกี่ปี
ยังไม่เคยมีเงินสดถึงเสี้ยวหนึ่งของจ๊ะทำในครึ่งปี…
ทีแรกพ่อจ๊ะรวยก็ให้ความรู้สึกว่าเราต่างชั้นต่างฐานะกันพอแรงอยู่แล้ว แต่นี่…
จ๊ะทำเงินได้หลายๆล้านด้วยตัวเอง ยิ่งกดความรู้สึกพี่เข้าไปใหญ่”
“พี่แตร!” ขึ้นเสียงสูงฟ้องความพิศวงล้ำลึก
“พี่ใช้อะไรคิดคะ? ความรู้ความสามารถของจ๊ะมาจากไหนถ้าไม่ใช่พี่? หนังสือที่ขายได้นั้นจ๊ะระลึกเสมอว่าเราสามคนช่วยกัน
ถ้าพี่เอินไม่เป็นต้นคิด ก็ไม่มีจุดเริ่ม ถ้าพี่แตรไม่สอนอะไรดีๆให้
จ๊ะก็คือเด็กอมมือคนหนึ่งเท่านั้น”
อมฤตเงียบกริบ
ลานดาวกล้ำกลืนก้อนขมแห่งความน้อยใจเป็นครู่ ก่อนกล่าวสืบต่อด้วยความอดทน
“จ๊ะรู้ว่าทั้งพี่แตรกับพี่เอินยังไม่ได้ดูบัญชีธนาคารของตัวเองกัน
ไปเช็กซะนะคะ อาทิตย์ก่อนจ๊ะโอนเงินค่าหนังสือให้พวกพี่คนละครึ่ง
ของตัวเองไม่ได้เก็บไว้เลยแม้แต่บาทเดียว!”
ทิ้งท้ายด้วยเสียงสั่นเครือเช่นนั้นแล้วลานดาวก็ปิดโทรศัพท์
หลับตาขบริมฝีปากแน่น
ซบหน้าสะอึกสะอื้นกับหมอนเงียบๆโดยไม่สนใจสัญญาณเรียกจากอมฤตทั้งทางโทรศัพท์และทางจิต
ในที่สุดเขาก็พูดออกมา เขาไม่อยากอยู่กับหล่อน
ตกลงอมฤตไม่ใช่คู่ของหล่อนจริงๆ ทั้งที่เพียรพยายามแล้วทุกอย่างเพื่อรักษาเขาไว้
แต่เหมือนกลายเป็นว่าความพยายามทั้งหลายนั่นเอง ที่ผลักเขาออกไปเร็วขึ้น
รู้สึกสูญเสียอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เหมือนทั้งตัวทั้งตนที่ผ่านมาในอดีตมีอยู่ก็เพียงเพื่อรอพบเขา เพื่ออยู่กับเขา
พอเขาหายไปจะเหลืออะไรในความเป็นหล่อนไว้อีก?
ทำอย่างไรจะล้างมนต์อาถรรพณ์แห่งคำทำนายของหมอดูผู้วิเศษเช่นอุปการะได้??
ไม่ใช่… ทำอย่างไรจะล้างคำสาปแห่งกรรมของตนเองได้หนอ???
เป็นรุ่งสางแห่งความประหลาดใจของมาวันทา
เมื่อลืมตาขึ้นมาพบกับลานดาวบนม้านั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
กำลังจับตาทอดมองหล่อนนิ่ง ลีลานั่งไขว่ห้างของน้องสาวดูสงบเป็นดุษณีภาพ
ให้ความรู้สึกแปลกไปจากเดิมอย่างบอกไม่ถูก
ถึงขนาดที่มาวันทาต้องถามตนเองว่ากำลังหลับและหลงเห็นภาพฝันไปหรือเปล่า
“จ๊ะ” หล่อนทักงงๆ “มาแต่เช้าเลย มีอะไรเหรอ?”
ลานดาวระบายยิ้มอ่อนโยน
นัยน์ตาทอประกายล้ำลึกด้วยกระแสความรักจากก้นบึ้งของหัวใจ
“จ๊ะทำให้พี่เอินตื่นหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า พี่ตื่นเอง… เธอมานานหรือยัง?”
“พักใหญ่ค่ะ เห็นปกติพี่เอินตื่นตีห้า
เลยมาก่อนหน้านั้นหน่อย”
“อ๋อ… วันนี้เข้าสายได้ ตั้งใจลุกราวๆนี้แหละ
นี่ตื่นขึ้นมาเจอเธอนั่งจ้องตาแป๋ว งงเลย”
พี่น้องสองสาวนั่งสบตากัน
มาวันทาดึงกายขึ้นนั่งขัดสมาธิกลางเตียง จ้องมองอีกฝ่ายอย่างค้นหา
ขณะนั้นแสงทิวายังไม่สาดให้รูปทรงสีสันทั้งหลายเจิดแจ่ม
ทว่าก็เพียงพอจะเห็นแววตากันและกันถนัด คิดว่าไม่ใช่อุปาทานที่รู้สึกว่าลานดาวกำลังเศร้าหงอย
แต่แทนการทักอาการตรงๆ มาวันทาก็พูดเลี่ยงไปอีกทางหนึ่งให้ฟังดูดี
“เวลาเธอหงิมๆนี่ชักเริ่มฉายแววแม่พระผู้มีรัศมีปรานีกระจายแล้วล่ะจ๊ะ
รักษามาดนิ่มๆไว้นะ เปลี่ยนจุดขายมั่งก็ดี คนจะได้ไม่เบื่อ”
ลานดาวหัวเราะแผ่วและรับปากอย่างคนว่านอนสอนง่าย
“ค่ะพี่เอิน จ๊ะเชื่อพี่เอินเสมอ”
“วาว! ยอด!… ยอด!” แพทย์สาวยกนิ้วโป้งให้พร้อมจุปาก
“ท่าทางซื่อๆ พูดจาเนิบนาบ น้ำเสียงนิ่มนวลละมุนละไม อย่างนี้ไม่ใช่คนแล้วนะเธอ
ต้องเรียกเจ้าหญิง ลานดาว ลีลากีรติ เต็มยศถึงจะสมพระเกียรติ”
คนเป็นน้องหัวเราะรื่นขึ้น
พอหยุดหัวเราะก็ยิ้มพรายส่ายหน้าเชื่องช้า เดี๋ยวนี้มาวันทาชักหยอดมุขยั่วเย้าเก่ง
เห็นได้ชัดว่าติดนิสัยขี้เล่นของหล่อนไปมาก แตกต่างจากเดิมพอดู
ทว่าพี่สาวคนดีก็น่ารักตลอดกาล
ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยกับใครเหมือนอย่างที่หล่อนเคยเป็น
“เป็นน้องของพี่เอินก็ต้องเอาแบบอย่างความเป็นกุลสตรีมาจากพี่เอินบ้างสิคะ”
“อือม์… อือม์… ไหนบอกพี่ซิเกิดอะไรขึ้น
แค่ชั่วข้ามคืนเหมือนจ๊ะเปลี่ยนไปจริงๆ อย่างก๊ะนางอาย”
ลานดาวซ่อนยิ้ม
“นางอายน่ะลิง พี่”
“อ้าว! เหรอ?”
“ค่ะ ลิงลม ลิงจุ่น หรือนางอาย
ล้วนแล้วแต่หมายถึงลิงหางสั้นจู๋ เชื่องช้าเวลากลางวัน ว่องไวเวลาหากินตอนกลางคืน…
หรือพี่เอินเห็นจ๊ะเป็นอย่างนั้น?”
มาวันทาหัวเราะออกมาได้
“ความหมายของพี่คือเธอเหมือนนางในวรรณคดีขี้อายต่างหาก
แบบว่าดูแปลกๆน่ะ แม้แต่กระแสจิตที่ฉายออกมาก็ให้สัมผัสผิดไป”
“โตแล้วมั้งคะ เลยโรยแรงเกินกว่าจะคึกคะนองแบบเด็กๆ
ความจริงจ๊ะอยากพูดน้อยๆ แล้วก็อยู่เงียบๆมาพักหนึ่งแล้ว
ฝืนทำเหมือนเดิมไปอย่างนั้นเอง กลัวพี่เอินหาว่าดังแล้วทำเป็นขรึม”
แพทย์สาวหัวเราะเสียงใสอีกครั้ง
“จ๊ะ… เธอเป็นยังไงพี่ก็รักเธอเสมอ”
สองตาสานกัน
ลานดาวนึกอยากร้องไห้ขึ้นมาด้วยความตื้นตันวูบหนึ่ง แต่กล้ำกลืนฝืนซ่อนไว้ในลำคอ
ลุกจากม้านั่งมาพับเพียบบนเตียงเคียงข้างผู้พี่
แล้วเอนร่างทอดสองแขนสวมกอดด้วยความรู้สึกแสนบริสุทธิ์
“ขอให้เราพบเจอกันไปทุกภพทุกชาตินะคะ
ถึงแม้ไม่เป็นพี่น้องคลานตามกันมา
ก็จงรู้สึกไม่เป็นอื่นต่อกันอย่างนี้ตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน”
มาวันทากดใบหน้าลานดาวแนบซอกไหล่
เพิ่งรู้สึกเป็นจริงเป็นจังเดี๋ยวนั้นว่าการอธิษฐานร่วมภพร่วมชาติก็เหมือนการนัดหมายไปเจอกันที่ไหนสักแห่ง
หากปักใจมั่นคงทั้งคู่ก็เหมือนรู้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ผิดนัดเป็นแน่แท้
“ตกลง! เราจะพบกันทุกชาติ
ทำให้พี่ได้หัวเราะสนุกเหมือนชาตินี้ไปเรื่อยๆนะ”
แพทย์สาวรู้สึกดีที่พูดรับคำเช่นนั้น
และคุ้นๆว่าเหมือนเคยตกลงร่วมกันมาก่อนแล้ว“พวกเราคงวนเวียนพูดซ้ำไปซ้ำมาทำนองนี้อีกหลายแสนหลายล้านรอบ
เจอหน้าวันแรกก็เอ้อเฮอ! รู้สึกคุ้นจังเลย เข้าอีหรอบเดิมทุกประการ
แต่หวังว่าคราวต่อไปคงไม่เริ่มสัมพันธภาพด้วยการเป็นหญิงรักหญิงอีกล่ะ”
ลานดาวสูดกลิ่นที่ระเหยหอมจากไออุ่นในทรวงอกของพี่สาว
สัมผัสอันก่อจินตนาการถึงความปลอดภัยดุจอ้อมกอดผู้เป็นมารดา หล่อนเริ่มซึมซับกลิ่นอายนั้นมาเข้าตัว
และเห็นว่าหล่อนก็อาจกอดคนทั้งโลกด้วยกระแสปรานีเยี่ยงนี้ได้ด้วยตนเองแล้วเช่นกัน
“บอกพี่เถอะนะ เธอเป็นอะไรไป”
มาวันทาถามเชิงปลอบอยู่ในที
แต่น้องสาวยังคงนิ่งเงียบเชียบเช่นเดิม
“จ๊ะทำให้พี่นึกถึงวันที่เธอความจำเสื่อม
ท่าทางหงอยๆเหมือนอย่างนี้เลย”
ลานดาวดึงกายผละจากอ้อมกอดของหญิงผู้อาวุโสกว่าทั้งกายและใจ
เบือนหน้าหลบไปทางหนึ่ง
“ที่ผ่านมาทั้งชีวิตจ๊ะมัวเป็นใครอยู่ก็ไม่รู้
เพิ่งรู้สึกแปลกหน้าตัวเองเหมือนกันค่ะ”
มาวันทาตามมาโอบกอดจากเบื้องหลัง กระซิบแผ่วชัด
“เธอเป็นเธอนั่นแหละ
แต่ตัวเธอมีหลายมิติหน่อยเท่านั้น ขึ้นอยู่กับช่วงวัน หรือช่วงวัย
ที่ภาคไหนจะมีโอกาสแสดงตนออกมา ถ้าตัดความจำเกี่ยวกับอัตตาน่าผยองของปัจจุบันชาติ
จิตวิญญาณเดิมๆของเธอคงเอนเอียงไปทางสงบเสงี่ยมนี่เอง รักษาภาคนี้ไว้ให้พี่ดูเล่นนานๆหน่อยก็ดี”
“จะเป็นภาคไหนมิติใด
จ๊ะก็หลงแสวงหาตัวเองและสิ่งเติมเต็มในชีวิตแบบผิดๆทั้งนั้น”
“เขาก็เป็นอย่างนี้กันหมดแหละ
เธอดีกว่าคนอื่นเท่าไหร่ ที่พบตัวเองตามจริงตั้งแต่ต้นชีวิต”
ลานดาวระบายลมหายใจเหยียดยาว
“คนเราต้องวิ่งหาใจจริงให้เจอก่อน
ถึงจะมีสิทธิ์พบกับความจริงรอบตัวโดยปราศจากอุปาทานบังตาใช่ไหมคะพี่เอิน?”
“อื้อม์… วาทะเด็ดที่เตรียมไว้พูดพรุ่งนี้หรือเปล่า? จำลีลาไว้ด้วยนะ ถอนใจยาวๆก่อนแล้วค่อยพูด มาดสมเป็นมืออาชีพทีเดียว”
ลานดาวอดหัวเราะไม่ได้ เอี้ยวกายมาผลักแขนมาวันทาเบาๆ
“พี่เอินนี่…”
รู้ว่าพี่สาวพยายามยั่วเย้ากระเซ้าแหย่เพื่อให้หล่อนกลับมาทะลึ่งตึงตังเหมือนเดิม
ร่ำๆจะสนองความต้องการของฝ่ายนั้น
แต่พอนึกถึงเรื่องที่กำลังจะพูดต่อไปก็ทะลึ่งไม่ออก
“พี่เอินคะ…”
หันกลับมานั่งพับเพียบเผชิญหน้าผู้พี่ด้วยสายตาเปิดเผยแน่นิ่ง
“จ๊ะไม่ได้รักพี่แตรหรอก… อาจจะเคารพลึกซึ้ง แต่ไม่ใช่ความรัก
ไม่ใช่ความใกล้ชิดในแบบที่จะเป็นเมียเขา”
มาวันทาตะลึงงง
แต่ครู่หนึ่งก็เอื้อมมือบีบแขนน้องสาวแน่น พูดด้วยท่าทีร้อนรนกว่าปกติ
“เธออย่าด่วนสรุปบ้าๆไปคนเดียวนะ
เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงไม่บอก ไหนเล่าให้พี่ฟังซิ”
ลานดาวส่ายหน้า
“ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นเลยค่ะ
นอกจากเห็นว่าความคิดระหว่างจ๊ะกับพี่แตรตรงกัน เราคิดตรงกันมานานเรื่องความต่าง
เพียงแต่พี่แตรเริ่มพูดขึ้นก่อน แล้วก็ถึงวาระที่จ๊ะจะเอาม่านบังตาออกไป
เลิกดื้อดึงกับชะตากรรมของตัวเองเสียที”
มาวันทาส่ายหน้าบ้าง
“ไม่เชื่อหรอก! จู่ๆเธอจะคิดอย่างนั้นได้ยังไง
พี่ไม่เคยเห็นใครสมกันเท่าพวกเธอสองคนเลยจริงๆ”
“แต่จ๊ะเห็นจากมุมมองที่พี่เอินไม่มีวันเห็น…”
ลานดาวยิ้ม และมองมาวันทาด้วยนัยแฝง “พี่แตรมีคนที่เหมาะสมกว่าจ๊ะอยู่”
“ใคร?”
“ขอเปลี่ยนเรื่องชั่วคราว ถามจริงๆเถอค่ะ…
พี่เอินตกหลุมรักพี่อ๋องตั้งแต่แรกสุดที่พบกันเลยหรือเปล่า?”
หัวคิ้วมาวันทาย่นลงเล็กน้อย
มองน้องสาวอย่างตามไม่ทัน ทราบแต่ว่ามีนัยบางอย่างอยู่ในคำถามนั้น
จึงตอบตามตรงโดยปราศจากการปิดบัง ดุจเดียวกับพูดให้ตนเองฟัง
“ช่วงต้นพี่มีใจให้เขามากกว่าใคร
แต่ยังไม่ถึงขนาดหลงรักลึกซึ้ง ก็อย่างที่เคยเล่าให้เธอฟัง มีความสกปรกและมลทินระหว่างเราตั้งแต่เดือนแรก
พี่อ๋องใช้กำลังกับพี่ บังคับขืนใจให้พี่ตกเป็นของเขาและอดคิดถึงเขาไม่ได้
ถึงแม้จะเกลียดเข้ากระดูกและตั้งใจเลิกคบเด็ดขาด ในที่สุดก็ต้องใจอ่อน…
และพี่ก็คิดว่าพี่อ๋องเองนั้น กว่าจะรักพี่ด้วยหัวใจแท้จริง ก็ล่วงหลายเดือนผ่านไป
หลังรู้จักและเห็นใจกันจากเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆ”
ลานดาวสยายยิ้มกว้างขึ้น
“แล้วพี่เอินเคยรู้จักความรักที่ไม่ต้องฝืนไหม? แบบมีความสุขความสบายใจ เข้ากันได้แต่แรก ไม่ต้องปรับตัวเข้าหากัน
ไม่ต้องมีใครเพียรพยายามก็เหมาะกันอยู่เองเหมือนของสำเร็จรูปที่เอามาประกบก็ลงล็อกทันที”
มาวันทาสั่นศีรษะ
“มนุษย์ทุกคนมีความแตกต่าง
และนั่นก็ทำให้เราทุกคนมีช่องว่าง อย่างเธอกับพี่ถึงแม้สนิทแน่นแฟ้น
หลงรักกันปานจะกลืน
แต่สำรวจดีๆก็มีบางสิ่งกั้นเราไว้ไม่ให้เห็นกันได้ทั่วถึงตลอดสาย
เชื่อเถอะว่าคู่ที่ปราศจากช่องว่างคือคู่ที่อยู่ในจินตนาการเกินจริงเท่านั้น”
“งั้นฟังดีๆนะคะ…
พี่แตรเคยบอกกับจ๊ะว่าเห็นพี่เอินครั้งแรกก็นึกรักแล้ว พี่เอินสวยเหมือนนางในฝันที่เขารอมานาน”
มาวันทาฟังแล้วหน้าแดงด้วยความตกใจ
จากนั้นเปลี่ยนเป็นซีดขาวด้วยความกลัว
“เธออย่าตัดตอนคำพูดของพี่แตรมาแค่บางส่วนให้เกิดความเข้าใจผิดกันเปล่าๆเลยจ๊ะ
พี่กับพี่แตรไม่เคยมีอะไรกันแม้แต่นิดเดียว เธอคือแฟนตัวจริงของเขา เขารักเธอ!”
“แล้วสมมุติว่าไม่มีจ๊ะล่ะคะ?”
แพทย์สาวผุดลุกขึ้นยืนข้างเตียง จ้องเขม็ง
และใช้เสียงแข็งขึ้นเพื่อประกาศความจริงจัง
“อย่าให้พี่แตรเสียแรงเก็บหอมรอมริบแทบแย่อย่างเปล่าประโยชน์นะ
เขาอยากแต่งงานกับเธอ เขาสู้ทุกอย่าง
เธอกำลังจะเบื่อเขาด้วยความหลายใจของเธอเองใช่ไหม?”
โดนหาว่า ‘หลายใจ’ อย่างนี้
หากเป็นเมื่อก่อนลานดาวคงเกิดความขุ่นเคือง
และอาจลุกขึ้นโต้เถียงด้วยอารมณ์แรงกว่าพี่สาวสองเท่า
แต่วินาทีปัจจุบันใจหล่อนกลับสงบอย่างประหลาด
ราวกับไม่มีสิ่งใดมาเร้าให้ร้อนขึ้นได้อีกเลย
“อย่าด่วนปรักปรำจ๊ะเลยค่ะพี่เอิน มานั่งคุยกันดีๆเถอะ
จ๊ะมีเรื่องจะอธิบายมากอยู่เหมือนกัน”
มาวันทายิ่งฉุนหนักขึ้น
เพราะลานดาวทำท่าคล้ายผู้ใหญ่เกลี้ยกล่อมเด็กเอาแต่ใจให้สงบลงและพยายามเรียกมานั่งฟังเหตุผลดีๆ
ไม่เต้นแร้งเต้นกาเกเรเกตุงไปเสียก่อน
แต่สถานการณ์เช่นนี้ขืนหล่อนไม่สงบลง
ฐานะของคนเคยได้รับความนับถือให้เป็นพี่เป็นเชื้อ
ก็จะลดลงมาเป็นผู้หญิงธรรมดาระดับเดียวกันเปล่าๆ มาวันทาจึงยอมนั่งลง
แต่ห่างกันเป็นโยชน์กับอีกฝ่าย
คือเลือกไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งแทนนั่งร่วมเตียงเช่นเมื่อครู่
“พี่จะฟังเธอพูด…
แต่ขอให้พูดแบบครบถ้วนทุกคำทั้งของเธอและของพี่แตรนะ อย่าดัดแปลง อย่าตัดต่อ
อย่าเสริมเติมด้วยความเห็นส่วนตัว ประเภทมูลมีอยู่หนึ่งขยายให้เป็นร้อย
พี่จะไปถามขอคำยืนยันจากพี่แตรด้วย”
“พี่เอิน… ทำไมพี่เอินต้องโมโห?”
คำถามง่ายๆจากกิริยาสงบนิ่งของลานดาวทำเอามาวันทาสะอึกและเงียบงันอย่างตอบไม่ถูก
“พี่เอินโมโหพฤติกรรมของจ๊ะ
หรือโมโหเพราะเจ็บแทนพี่แตรคะ?”
“หงุดหงิดกับวิธีพูดของเธอนั่นแหละ
พี่ไม่ชอบถูกต้อน เธอมีอะไรจะพูดก็พูดเถอะ”
“ที่พี่แตรสารภาพกับจ๊ะว่ารักพี่เอิน
ไม่ใช่จ๊ะไปเคี่ยวเข็ญหาความจริงอะไรเลย
พี่แตรคายความในใจตั้งแต่วันที่สองที่รู้จักกันแล้ว
ตอนนั้นจ๊ะอยากเรียนโทรจิตกับเขา เขาบอกว่าก่อนอื่นต้องไม่มีความลับต่อกัน
เราเลยเล่นกับความลับที่ถือว่าเร้นสุดของแต่ละฝ่าย จ๊ะบอกไปอย่างหนึ่ง
เขาก็บอกมาอย่างหนึ่ง และสิ่งที่เขาบอกก็คือหลงรักพี่เอินตั้งแต่แรกพบ… ไม่ใช่จ๊ะ”
มาวันทาหน้าขึ้นสีชมพูจัด ก่อนแหวออกมาเสียงสั่น
“มันจะเป็นไปได้ยังไง
ผู้ชายที่ไหนเห็นเราสองคนพร้อมกันแล้วจะมาหลงพี่ก่อนเธอ”
“ผู้ชายที่เคยมีบุพกรรมร่วมกับพี่เอินในอดีตชาติไงคะ”
ลานดาวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบและใสเย็น
แพทย์สาวขบริมฝีปากอย่างไม่ทราบว่าควรโต้ตอบอย่างไร หรือกระทั่งมีปฏิกิริยาเป็นความรู้สึกเช่นใดดี
นอกจากกลั้นใจฟังต่อ
“จ๊ะเพียรทำทุกอย่างที่ผ่านมาไม่ใช่เพราะหลงรักใครเลยนอกจากตัวเอง
กลัวคำทำนายของอาจารย์ กลัวตัวเองแก่ลงเรื่อยๆด้วยความเงียบเหงา
กลัวตัวเองขายหน้าที่หาแฟนมาควงอวดโลกไม่ได้สมตัว พอพบพี่แตรที่สมบูรณ์แบบทุกอย่าง
ก็เพียรพยายามยื้อยุดฉุดดึงเขาไว้
แม้แต่ทำเรื่องยากสาหัสเช่นปรับเปลี่ยนแผนผังกรรมของตัวเองให้ใกล้เคียงกับเขา
กระทั่งสุดท้ายพบว่าทุกอย่างยังคงเป็นไปตามเส้นทางเดิมอยู่ดี…
ตรองดูแล้วแรงส่งของความผูกพันเก่าๆทำให้จ๊ะเป็นแค่ตัวขัดตาทัพ
หรือมาช่วยเป็นตัวเชื่อมให้เกิดความผูกพันระหว่างพี่แตรกับพี่เอินเท่านั้น
รอจังหวะเวลาเหมาะจนพี่เอินเป็นอิสระ และจ๊ะเป็นผู้ใหญ่รู้คิดรู้อ่านมากขึ้น
ค่อยแยกจ๊ะกับพี่แตรออกจากกันโดยไม่ต้องมีใครเจ็บปวดนัก…”
พูดแล้วนึกถามตัวเอง ไม่เจ็บแน่หรือ? ความจริงหล่อนเจ็บเสียจนเหมือนตายดับไปแล้ว… ทว่าเมื่อถึงนาทีที่ใจตัดได้
ทุกอย่างก็คล้ายเปลี่ยนแปลงราวกับพลิกโลก พลิกตัวตน
พลิกกาลเวลากลับไปสู่การฟื้นคืนชีพใหม่
ดวงจิตหล่อนสงบลงอย่างราบคาบด้วยน้ำใจสละยิ่งใหญ่อย่างที่ทั้งชีวิตไม่เคยรู้มาก่อนว่าให้รสเป็นสุขล้ำปานนั้น
ประจักษ์ชัดว่าดวงจิตที่ไม่เกาะเกี่ยว ไม่ผูกพัน
ไม่ยึดมั่นบุคคลหรือสรรพสิ่งภายนอกช่างพิสุทธิ์ใสควรแลกกับทุกสิ่ง
แม้แต่คนรักที่เคยบูชาเสียนักหนา
จนแล้วจนรอดมาวันทาก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่นั่นเอง
ลานดาวจึงเป็นฝ่ายเอ่ยต่อหลังจากเงียบนานพักใหญ่
“จ๊ะทบทวนแล้ว
กรรมดีที่ทำมาเพื่อให้ได้อยู่กับพี่แตรไม่สูญเปล่า
เพราะสิ่งที่จ๊ะสูญเสียไปคือตัวตนที่เห็นแก่ได้
ส่วนสิ่งที่ได้มาคือดวงตารู้เห็นความจริงที่น้อยคนจะเห็น
คือในโลกนี้โดยเนื้อหาที่แท้แล้ว เรื่องเล็กไม่มี มีแต่ใจยึดเรื่องหนึ่งๆนิดหน่อย
แล้วเรื่องใหญ่ก็ไม่มี มีแต่ใจยึดเรื่องหนึ่งๆเสียมากมาย พอไม่ยึดเลย
สายตาจ๊ะก็เปิดกว้างและเห็นความจริง เช่นจ๊ะไม่เหมาะกับพี่แตร
พี่เอินต่างหากที่เหมาะ”
“แต่พี่… พี่ไม่ได้รักพี่แตรแบบนั้น”
“เพราะที่ผ่านมามีจ๊ะยืนบังใจพี่เอินไงคะ
พลิกมุมมองนิดเดียว พอจ๊ะหายไป ใจพี่เอินจะยอมรับเขาทันที”
มาวันทานิ่วหน้า
“อย่าทำเป็นสู่รู้หน่อยเลย ขอร้อง…
นึกว่าการเอาแฟนมายัดเยียดให้คนอื่นง่ายๆอย่างนี้คือการเสียสละที่ควรสรรเสริญหรือ? ใคร่ครวญดีๆนะจ๊ะ นี่อาจเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของความเห็นแก่ตัวก็ได้
เธอกำลังจะมีใครใหม่ใช่ไหมล่ะ?”
ลานดาวส่ายหน้า
“จ๊ะแค่อยากทำให้อะไรๆง่ายขึ้น
พอพี่เอินรู้ว่าใจพี่แตรคิดยังไง ทุกอย่างจะได้ลงเอยโดยไม่ต้องเสียเวลายืดเยื้อ…
เมื่อคืนจ๊ะพูดเรื่องแต่งงาน พี่แตรเป็นคนบอกเองว่าเริ่มเห็นความไม่เหมาะกันระหว่างเขากับจ๊ะ
พี่เอินถามเขาดูเถอะค่ะว่าจริงไหม”
คราวนี้มาวันทาใจอ่อนยวบ
“พี่แตรทำกับเธออย่างนั้นได้ยังไง
ต้องมีอะไรที่ผิด…”
“ทุกอย่างถูกต้องตามเส้นทางของกรรมแล้วค่ะพี่เอิน
จ๊ะทำเงินได้มากและเร็วจนเขารู้สึกน้อยหน้า เพราะเดิมทีก็เกรงบารมีพ่อแม่จ๊ะอยู่ก่อน”
“โธ่เอ๊ย! เรื่องแค่นั้น…”
“เรื่องแค่ไหนขึ้นอยู่กับใครประสบกับตนเอง
รู้สึกอยู่กับตัวเอง… ด้วยความเป็นเขา มันไม่ใช่เพียง ‘เรื่องแค่นั้น’ หรอก
พี่แตรไม่ได้หลงรักบูชาจ๊ะขนาดยอมเสียความหยิ่งทะนงในตัวเขาไป”
ลานดาวประสานมือวางบนตัก กล่าวสืบต่อเหมือนสายน้ำ
“อีกอย่าง…
เขาคงเห็นใครที่เหมาะกับตัวเขามากกว่าจ๊ะด้วย เพียงแต่ไม่กล้าคิด
เพราะไม่อยากทำร้ายจ๊ะ แต่ถ้าเงื่อนไขเปลี่ยนไป เมื่อเขากล้าคิด
ก็จะมีแต่คนเป็นสุขกันถ้วนหน้า แม้แต่จ๊ะเองก็คงยินดีด้วย”
“จ๊ะ… นี่พูดอย่างพี่สาวนะ พี่ไม่อยากให้เธอเสียใจภายหลัง
เช้านี้เธออาจจะกำลังคิดเองเออเองตามลำพัง
ตกบ่ายอาจย้อนทบทวนแล้วเห็นตัวเองเพ้อเจ้อใหญ่
อย่าด่วนพูดจากับพี่แตรอย่างที่พูดกับพี่เด็ดขาดล่ะ
ทุกคนจะเจ็บปวดกันหมดเพียงเพราะความหูตาฝ้าฟางเข้าข้างตัวเองของเธอคนเดียว!”
“ยังไงพี่เอินก็ไม่เชื่ออยู่ดี
งั้นเย็นนี้นัดคุยกันสามคนก็ได้ค่ะ จ๊ะไม่ใช่จะหลบลี้หนีหน้าไปไหน
ยังขอติดสอยห้อยตามพี่ๆบ้างในบางโอกาส เพียงแต่เราเปลี่ยนมุมมอง
สลับตำแหน่งกันให้ถูกต้องเท่านั้น
พี่เอินอย่ากลัวว่าจะต้องมีอะไรเสียหายทางกายทางใจระหว่างพวกเราเลย”
แล้วหญิงสาวผู้แสนสวยก็ยิ้มกระจ่าง
สายตามีทั้งกระแสปรานีและอำนาจใหญ่ราวกับนักสะกดจิตชั้นเจ้า
“จ๊ะกลับล่ะ
จะปล่อยให้พี่เอินอยู่คนเดียว
แล้วรู้ด้วยตัวเองว่าที่จ๊ะพูดมาทั้งหมดนี้มีใจของพี่เอินช่วยรับรองว่าเป็นความจริงไหม”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น