วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๓๑. ทำแท้ง)

ตอนที่ ๓๑. ทำแท้ง


ลัดธีร์นั่งดูข่าวโทรทัศน์พลางดูดน้ำส้มผสมโซดาอย่างสบายอารมณ์ นาฬิกาบนผนังบอกเวลาหกโมงเศษ ภรรยาของเขาน่าจะใกล้กลับถึงบ้านเร็วๆนี้แล้ว และหากเป็นเหมือนอย่างเคย มาวันทาก็มักหอบข้าวของมาทำกับข้าวให้

การรอคอยมาวันทาเป็นความสุขอย่างหนึ่ง นึกถึงหล่อนทีไรคล้ายบังเกิดแสงใสสว่างเรืองขึ้นในใจ สีหน้าที่เหมือนมียิ้มละไมอยู่ตลอดเวลาก่อความรู้สึกอ่อนอุ่นผาสุกและทำให้เขายิ้มตามเสมอ โดยเฉพาะเมื่อตระหนักว่ามาวันทาเป็นสมบัติของตน แปดปีนับแต่เริ่มรู้จักจนคบหาถึงขั้นร่วมหอลงโรงเรียบเรียงเคียงหมอน คือการถ่ายทอดกระแสชีวิตเข้าผสานรวมกันจนเขาซึมซับความงดงามในวิธีคิด วิธีมองโลก และวิธีเจรจาของหล่อนมากมาย

นึกดีใจและขอบคุณตัวเองที่รวบหัวรวบหางเสียตั้งแต่มาวันทายังอยู่ในวัยขบเผาะ หาไม่แล้วหล่อนอาจหลุดลอยไปตามสายลมแห่งความต่างระหว่างกันก็ได้ ยอมรับว่าครั้งนั้นเขายังเป็นแค่เสือผู้หญิง คิดอยากลิ้มลอง อยากเชยชมน้ำหวานจากเกสรดอกไม้กลีบงามไปเรื่อย แต่มาวันทาเป็นดอกไม้ประหลาดที่ทำให้เขาลืมไม่ลง หลงไม่เลิก เปลี่ยนเขาจากหนุ่มกลัดมันผู้ทะนงในเชิงชายแห่งตนมาเป็นคนจริงใจกับการบูชารักด้วยความอดทนต่างๆนานา

ลงดินเที่ยวนี้เขาได้พักยาวหลายวัน แปลกที่ระยะหลังอยากอยู่ตามลำพังกับหล่อนเหลือเกิน อาจเพราะสัมพันธภาพระหว่างมาวันทากับลานดาวลงเอยในทางดีชัดเจนเสียที จินตนาการอันหวานชื่นจึงกลับมาอีกครั้ง ลัดธีร์ตั้งใจชวนภรรยาไปนั่งเครื่องบินเล็กกินลมที่หัวหิน มีแค่หล่อนเป็นผู้โดยสารของเขา เหลือเพียงสองคนบนฟ้าสูง โบยบินเหนือผืนทะเลไพศาลในสภาพใกล้เคียงอลาดินกับเจ้าหญิงจัสมินบนพรมวิเศษที่สุด

เสียงรถมาวันทาเคลื่อนเข้ามาจอด ทุกส่ำเสียงที่เป็นสัญญาณบอกถึงการมาของภรรยานำความดีใจมาให้เสมอ ดีใจจะได้เจอดวงหน้าสวย ดีใจจะได้กินข้าวอร่อย ดีใจจะได้เชยชมนิ่มเนื้อนวลนางหลังจากห่างหายกันไปไกลเสียสองคืน

ทำเป็นหลับด้วยการแกล้งปิดตาคอพับคออ่อนเหมือนคนดูทีวีจนกลายเป็นถูกทีวีดูทั้งหลาย ปกติเขาจะเป็นฝ่ายลุกไปต้อนรับและช่วยหิ้วของเข้าครัว แต่คราวนี้อยากเห็นหล่อนเดินมาหาและปลุกเขาด้วยเสียงใสๆบ้าง

ทว่าผิดคาด หลังเสียงเปิดปิดประตูบ้านคือเสียงหล่อนเดินหอบของเข้าครัวเฉย ไม่แม้แต่จะทักทายเขา ลัดธีร์ลืมตาขึ้นเก้อๆ สัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง แต่ก็ยังไม่คิดอะไรมาก นั่งดูโทรทัศน์ต่อเพราะไหนๆก็แกล้งทำเป็นหลับไปแล้ว

ฝ่ายมาวันทา เมื่อเข้าครัวก็ก้มหน้าก้มตาแกะถุงต่างๆเพื่อประกอบอาหาร เอาไก่แช่น้ำเกลือ ล้างผัก แล้วทำเครื่องแกง ทุกการเคลื่อนไหวต่อเนื่องกันอย่างคนคล่องแคล่วชำนาญงานครัว จัดลำดับขั้นตอนก่อนหลังได้ดีชนิดรวมเวลาปรุงอาหารเบ็ดเสร็จแล้วลัดสั้นที่สุด

ทว่าแม้ร่างกายภายนอกจะดูปราดเปรียวเป็นปกติ แต่ครั้งนี้จิตใจภายในกลับผิดแผกจากทุกคราวที่ผ่านมา หล่อนเคยมีความสุขกับการประจงรังสรรค์รสชาติยวนลิ้น ปรุงไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงคนกินที่ทำท่าติดใจและขอเติมข้าวไม่ต่ำกว่าสองจานเสมอ เมื่อคิดว่านี่คือมื้อสุดท้ายที่จะทำกับข้าวให้เขาทาน มาวันทาจึงรู้สึกต่างไป ใจหายลึกซึ้งเมื่อนึกว่าภาพที่ปรากฏรอบตัวกำลังจะกลายเป็นเงาแห่งความทรงจำในวันวาน และจะไปแล้วไปลับ ไม่หวนคืนกลับมาอีก…

ห้องครัวแห่งนี้เคยเป็นเวทีแสดงบทบาทภรรยาผู้ดูแลสามีให้อยู่ดีกินดี ทว่าในฉากสุดท้ายกลับกลายเป็นสถานที่สำหรับระลึกถึงความสุขอันเหมือนจะยั่งยืนจีรังในอดีต เป็นเพียงห้องหนึ่งในบ้านสำหรับแอบร้องไห้ตามลำพังโดยไม่มีใครบังเอิญเดินเข้ามาเห็น หล่อนทำทุกอย่างเงียบเชียบตามนิสัย แม้กระทั่งปล่อยให้น้ำตารินไหลโดยปราศจากเสียงสักกระซิก


ครู่ใหญ่ต่อมา…

สองสามีภรรยาร่วมรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน มาวันทายังคงทำกับข้าวอร่อยเหมือนเดิม วิธีชมของนักบินหนุ่มคือทานสามจานรวด แต่ละครั้งเมื่อหล่อนเติมข้าวให้ประมาณหนึ่งทัพพี ลัดธีร์จะขอเพิ่มด้วยการพูดสั้นๆว่า ‘อีก… อีก’

หญิงสาวเองกลับทานเพียงน้อย เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการชำเลืองมองสามีเงียบๆด้วยความรู้สึกหลงรักและไม่อยากจากไปไหน…

ลัดธีร์เพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดจ้อเป็นต่อยหอยอยู่คนเดียวก็เมื่อข้าวจานที่สามผ่านไป ได้มีโอกาสนั่งแอ่นพุงอวด เงยหน้าเงยตาดูโลกรอบตัวและเห็นเมียรักนั่งซึมไม่พูดไม่จา

“วันนี้เป็นอะไรเนี่ย เหนื่อยเหรอ?”

มาวันทาเฉยนิ่ง สามีหนุ่มยื่นหน้าจะหอมแก้มด้วยความคิดถึง แต่ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อผู้เป็นภรรยาเบี่ยงหลบและออกแรงยันร่างเขา บอกความหมายปฏิเสธจริงจัง

“มีอะไรเหรอเอิน?”

ลัดธีร์ถามนิ่มนวล เริ่มสัมผัสว่านี่อาจจะไม่ใช่เรื่องเล็กนัก มาวันทายังคงเงียบ สายตามองทางอื่นพักใหญ่ก่อนจะเบนมาหาเขา

“หลายคืนก่อนเอินฝันว่าเราไปเที่ยวชายทะเลกัน”

“ก็ดีซี ไปกันจริงๆเลยไหม นี่พี่ว่าจะชวนเอินไปขับเครื่องบินเล็กชมทะเลกันพอดี คราวนี้พี่หยุดหลายวันหน่อย”

คล้ายมาวันทาไม่ได้ยินที่เขาพูด หล่อนยังอยู่ในอารมณ์เดิม เล่าภาพความฝันที่คั่งค้างของตนเองต่อ

“เอินเห็นเรานั่งสองคนอยู่ที่ชายหาด ก่อปราสาททรายเล่นกัน พี่อ๋องสร้างสวย เสร็จเร็ว ส่วนเอินก็เป็นลูกมือที่พี่อ๋องสั่งให้โปะโน่น เติมนี่ ไม่มีความคิดของตัวเองเท่าไหร่”

ลัดธีร์ขมวดคิ้ว เอียงคอยิ้มฉงน

“ตอนเด็กพี่ชอบสร้างปราสาททรายเล่นจริงๆแหละ แต่ละครั้งให้เวลาหลายชั่วโมงอย่างไม่เสียดมเสียดาย งั้นเราลองไปช่วยกันตามฝันของเอินดีไหม? ดูจากฝีมือแต่งบ้านของเอินในความเป็นจริงแล้วก็เชื่อว่าฝ่ายเอินเสียอีกที่จะสั่งพี่โปะโน่นเติมนี่”

ตาของเขาเป็นประกาย แพทย์สาวเห็นแล้วเบนหน้าหลบไปทางอื่น มนุษย์เราภูมิใจกับการใช้น้ำพักน้ำแรงของตนสร้างรูปรอยขึ้นมาจากความไร้รูป สำหรับวัยเด็กไม่มีอะไรรวดเร็วและลงทุนน้อยเท่าการก่อปราสาททราย ก่อขึ้นเพื่อนั่งชื่นชมมันจนกว่าจะถึงเวลาคลื่นลมมาพัดพาไปสู่ความสิ้นสลาย

“พี่อ๋องจำความรู้สึกตอนชอบก่อปราสาททรายได้ไหมคะ?”

“จำได้ซี ทำไมเหรอ… จะถามว่ามีแรงบันดาลใจอะไร ถึงเสียเวลากับสิ่งก่อสร้างที่พังง่ายอย่างนั้นใช่ไหม?”

“ค่ะ”

“ถ้าเป็นวัยเด็ก เหตุผลคงไม่มีอะไรมากไปกว่าความสนุก ความภูมิใจในผลงานที่ทำให้คนอื่นทึ่งในฝีมือเรา แต่มองย้อนกลับไป พี่ว่ามันทำให้เราอยากโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สร้างบ้านของตัวเองเป็น ความรู้สึกเมื่อมีบ้านหลังนี้ กับที่มีเอินอยู่ข้างใน คล้ายกันมากกับความรู้สึกตอนก่อปราสาททรายเสร็จ”

มาวันทาเบือนหน้าหลบไปซ่อนบางสิ่ง คราวนี้ลัดธีร์ได้กลิ่นน้ำตา ซึ่งก็ทำให้ชักใจไม่ดีชอบกล เขาดึงมือน้อยมากุมอย่างถนอม

“สงสัยตอนจบในฝันของเอินคงไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่… มันเป็นยังไงเหรอ?”

ภรรยาสาวเม้มปากเงียบเพื่อกล้ำกลืนก้อนสะอื้นมิให้เล็ดลอดออกมา กระทั่งลัดธีร์หมดความอดทน

“ก็แค่ฝันน่ะเอิน เอินชอบเก็บความฝันมาทึกทักเป็นจริงเป็นจังอยู่เรื่อย ถึงแม้บางครั้งเผอิญตรงกับความจริงราวกับเป็นญาณสังหรณ์บอกเหตุ ก็อาจเป็นแค่วิธีประมวลจากความจริงชิ้นเล็กชิ้นน้อยเข้าด้วยกันจนตรงกับความจริงรูปใหญ่เท่านั้น”

มาวันทาชักมือกลับ และเบนหน้ามามองเขาด้วยสายตาอีกแบบหนึ่ง มีแววร้าวของคนบาดเจ็บลึกลงไปถึงวิญญาณ

“ชีวิตเหมือนฝัน ฝันว่าได้นี่มา ฝันว่าเสียนั่นไป… เราคิดว่าฝันไปเฉพาะเวลาหลับ แต่อันที่จริงเราอาจกำลังฝันทั้งยังลืมตาตื่นอยู่เดี๋ยวนี้ก็ได้… เมื่อคืนเอินก็ฝันร้ายค่ะ”

ลัดธีร์ทำหน้าเมื่อยอย่างสุดเอือมระอา แต่ก็กลับฝืนยิ้มเอาใจและข่มเสียงพูดเหมือนปกติ

“ม่ะ… ไหนลองเล่าซิ พี่จะเป็นหมอดูกำมะลอทำนายฝันให้”

หญิงสาวยิ้มรันทด

“เอินฝันว่ามีผู้หญิงชื่ออัสนีชามารอที่หน้าบ้าน และบอกว่าเขาท้องกับพี่อ๋องได้เดือนหนึ่งแล้ว!”

เพราะมาวันทามองลัดธีร์ไม่วางตา จึงเห็นทุกอากัปกิริยาชัดเจน นับแต่อาการสะดุ้งไหวคอแข็ง มือเกร็ง แขนเกร็ง กับทั้งสัมผัสได้ถึงอาการชาเห่อไปทั่วร่างของเขาราวกับเกิดขึ้นที่ตัวหล่อนเอง

“เอินหวังว่ามันจะเป็นเพียงฝันละเมอเพ้อพกที่จะผ่านไปอย่างปราศจากความหมาย… ทำนายซิคะว่าฝันนี้จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรระหว่างเรา”

ลัดธีร์ขบกรามแน่น แล้วเขาก็ผ่อนอาการฝืดฝืน ควบคุมกิริยาให้เกือบเป็นปกติได้ภายในอึดใจเดียว สมกับเป็นนักบินผู้ผ่านการฝึกปรือให้รับกับสถานการณ์เลวร้ายขีดสุดมาอย่างโชกโชน

“เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะท้องกับพี่”

มาวันทายิ้มเล็กน้อย รับฟังด้วยอาการสงบ เพราะเห็นว่าตนเองเสียน้ำตาไปพอแล้ว อาการตระหนกของสามีทันทีที่ได้ยินเรื่องไม่คาดฝันนั้นชัดเจนพอ อย่างน้อยก็รู้ว่าสัมพันธภาพลับระหว่างลัดธีร์กับอัสนีชาเป็นความจริง

“เขาไม่ปริปากคุยกับพี่เรื่องท้องไส้เลยหรือ?”

ลัดธีร์ส่ายหน้า รู้จักอัสนีชาดีพอจะเดาทางถูก หล่อนมาหย่อนระเบิดทิ้งถึงบ้านแบบไม่พูดพล่ามทำเพลง ประกาศชัดว่าต้องการสิ่งใด เขาน่าจะตระหนักขณะที่ทุกอย่างยังไม่สาย นอนกับหล่อนนั้นง่ายนัก เพราะอัสนีชามีใจกับเขามาแต่ไหนแต่ไร ทว่าให้สลัดทิ้งคงยากยิ่งกว่าเอาแขนออกจากคมเขี้ยวในปากนางเสือดาวสักสิบเท่ากระมัง

“เรื่องเกิดขึ้นเมื่อไหร่คะ?”

ลัดธีร์ถอนหายใจยาว หลบหน้าภรรยาขณะสารภาพ

“พี่รู้จักเขานานแล้ว แต่… ช่วงที่เอินมีปัญหากับจ๊ะ พี่… รู้สึกเสียศักดิ์ศรี น้อยใจเอินไปชั่ววูบ มีคืนหนึ่งที่ออกไปกับพรรคพวก ลืมตัวกินเหล้าเมาอย่างไม่เคยเป็น แล้ว…”

หญิงสาวกะพริบตา อ่านสามีออกว่าเขาพูดความจริง และไม่คิดปิดบังหรือบ่ายเบี่ยงใดๆ ดังนั้นแทนที่หล่อนจะโกรธ กลับรู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาแทนที่ เพราะทราบดีว่าคนเริ่มเรื่องคือตนเอง และหล่อนก็รู้สึกผิด เป็นคนสกปรก นึกเกลียดตนเองมาตลอด บัดนี้เมื่อผลกรรมย้อนคืนมาสนองอย่างเป็นเหตุเป็นผลสืบเนื่องกัน จึงไม่แปลกใจ และไม่โทษสามีว่าเป็นฝ่ายผิดเพียงลำพัง

โดยไม่จำเป็นต้องให้เขาสาธยายละเอียด มาวันทาชิงกล่าวแทรกขึ้น

“เอินคุ้นๆหน้าเขาอยู่เหมือนกัน เพิ่งนึกออกเมื่อบ่ายนี้เองว่าเขาเคยเป็นแขกในงานแต่งของเรา ตอนนั้นเขาสะดุดตาจนเอินยังต้องถามว่าเป็นใคร พี่อ๋องรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อไหร่”

และเพราะระลึกได้เช่นนั้น มาวันทาจึงทราบว่าเรื่องเพิ่งเกิด มิใช่สืบสานกันมานมนาน หาไม่ในงานวันแต่งอัสนีชาคงอาละวาดจนวิวาห์ล่มไปแล้ว

ลัดธีร์นั่งนิ่งขึงไม่พูดไม่จา มาวันทาจึงต้องเป็นฝ่ายเจรจาต่อ ด้วยความรู้สึกในอากาศระหว่างกันดีเกินคาด

“คุณอัสนีชาคงชอบพี่อ๋องมานานใช่ไหมคะ? เอินไม่รู้สึกว่าเขาง่าย และคงไม่ยอมพี่อ๋องเพียงด้วยความสงสาร หรือเพราะเมามายไม่ได้สติด้วยกันทั้งคู่หรอก”

ชายผู้หลวมตัวมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นผู้มิใช่ภรรยาคอตก

“พี่เองก็ไม่ได้เมาขนาดครองสติไม่อยู่ บอกแล้วว่าที่ทำไปเพราะน้อยใจเอิน… แต่ก็สำนึกผิดอยู่ทุกวัน”

มาวันทาฟังแล้วหรี่ตาปลง เพราะนึกเดาล่วงหน้าไว้เช่นนั้นเหมือนกัน

“ถ้าทำเพราะความน้อยใจเอิน ก็แปลว่าเรื่องเริ่มจากเอินเอง เพราะฉะนั้นช่างเถอะค่ะ ถือว่าเราหายกัน พี่อ๋องไม่จำเป็นต้องสำนึกผิดอีก และเอินเองก็จะได้โล่งใจขึ้นที่ถูกธรรมชาติลงโทษเสียบ้าง… แต่คุณอัสนีชามีเด็ก อันนี้คงต้องคุยกันเรื่องที่ควรจะทำต่อไป”

ลัดธีร์ส่ายหน้า สายตายังไร้กำลังพอจะเงยขึ้นสบกับภรรยา

“พี่เพิ่งมีอะไรกับเขาแค่สามครั้ง… ครั้งสุดท้ายเมื่อสองอาทิตย์ก่อน และนั่นคือเหตุผลที่พี่ไม่เชื่อว่าเขาท้องกับพี่ อาจโกหกมาหลอกเอินดื้อๆ หรือท้องกับคนอื่นแล้วเอามาตู่ คิดดูนะ เขาบอกว่าท้องหนึ่งเดือน แปลว่าพี่เพิ่งมีอะไรกับเขาแค่ครั้งแรกหรือครั้งที่สองก็ติดลูกแล้ว ทีเรามีอะไรกันตั้งเท่าไหร่ยังไม่เห็นเด็กที่ไหนมาเกิดด้วยซักคน!”

แพทย์สาวหน้าแดงเรื่อ รู้สึกเหมือนถูกเปรียบเทียบว่าด้อยกว่าใครอีกคน เข้าใจอารมณ์ของเมียหลวงที่อยากอาละวาดให้บ้านแตกขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ความเป็นคนเย็นจริงของหล่อนแทรกแซงให้อารมณ์นั้นสลายลงอย่างรวดเร็ว สีหน้าจึงดูวางเฉยและเอ่ยวาจาเนิบนาบเป็นปกติ

“ผู้หญิงติดลูกยากง่ายต่างกันค่ะ แล้ววัดความถี่ห่างที่เราอยู่ด้วยกันในครึ่งปีนี้ ก็ยังไม่จัดว่าเป็นภาวะการมีลูกยาก ต้องเกินปีขึ้นไปถึงจะเข้าข่าย… เราข้ามประเด็นนั้นไปเถอะ เอาเป็นว่าตอนนี้เขาคิดจับพี่อ๋องด้วยเด็กในท้องแน่นอนแล้ว”

“พิสูจน์ดีเอ็นเอได้นี่ พี่จะขอนิชาตรวจ!”

นักบินหนุ่มประกาศเจตจำนงด้วยความเชื่อมั่นในผลว่าตนต้องไม่ใช่ผู้เป็นพ่อ

“ก็ต้องรออีกแปดเดือนนั่นแหละค่ะ”

ลัดธีร์ย่นคิ้ว

“ตรวจตอนนี้เลยไม่ได้เหรอ?”

ผู้เป็นทั้งภรรยาและหมอที่ปรึกษาเฉพาะกิจสั่นศีรษะ

“หนึ่งเดือนเด็กยังเป็นก้อนเนื้อเล็กนิดเดียว แค่หาตัวให้เจอก็ยากแล้วค่ะ จะเอาส่วนไหนของเด็กออกมาพิสูจน์ได้”

“น่าจะดูดเอาน้ำคร่ำได้นี่ คงมีโครโมโซมอยู่ในนั้นแล้ว”

“ไม่มีน้ำคร่ำกันตั้งแต่เดือนแรกหรอกค่ะ อีกอย่างไม่มีใครเขาพิสูจน์ภาวะพ่อแม่ลูกจากโครโมโซมในน้ำคร่ำกัน เพราะผลไม่แน่นอน แถมเสี่ยงอันตรายสูง ผิดพลาดนิดเดียวจะแท้งทันที เดี๋ยวนี้ถึงจะได้อัลตราซาวด์ช่วยนำเข็มเจาะ ก็มีสิทธิ์ติดเชื้อหรือเข็มโดนรกซึ่งเป็นตำแหน่งที่เด็กเกาะกับแม่ เขาดูดน้ำคร่ำกันเฉพาะกรณีที่สงสัยว่าเด็กผิดปกติ เช่นพิการหรือเป็นดาวน์ซินโดรม ไม่ใช่เพื่อพิสูจน์หาพ่อแม่หรอกค่ะ ขนาดท้อง ๑๕–๑๗ อาทิตย์ถ้าเจาะเอาน้ำคร่ำยังมีโอกาสเสี่ยงแท้งหรือผนังถุงน้ำคร่ำทะลุมากถึง ๑ ใน ๒๐๐”

แพทย์สาวบอกข้อมูลละเอียดเพื่อยับยั้งความคิดของเขาไว้อย่างเด็ดขาด ลัดธีร์เม้มปากแน่น อึ้งคิดครู่ใหญ่ก่อนส่ายหัว

“ยังไงก็ยืนยันว่าพี่ไม่เชื่อหรอกนะเอิน มันบังเอิญเกินไป พี่จงใจให้ลูกเกิดกับเอินตั้งกี่ครั้งยังไม่สำเร็จ นี่พี่… ไม่ใช้วิธีของผู้ชายที่ตั้งใจเป็นพ่อคนด้วยซ้ำ”

“คนถูกข่มขืนครั้งเดียวแล้วท้องก็ยังมีนี่คะ ถ้าคิดในแง่ของนามธรรม ครึ่งปีที่เราเปิดโอกาสให้เด็กมาเกิดนี้ อาจยังไม่ถึงเวลาเหมาะที่ใครจะได้สิทธิ์นั้น”

มาวันทาพูดแปลกจนลัดธีร์เอียงคอฉงน

“เราไม่ได้เป็นหมันทั้งคู่ นั่นน่าจะเป็นสิทธิ์ที่เราสามารถให้กำเนิดเด็ก หรือพี่เข้าใจอะไรผิด?”

“ก็ไม่ผิดหรอกค่ะ ถ้ามองในมุมที่ ‘เรามีสิทธิ์ทำ’ แต่หากมองในมุมที่ ‘ใครมีสิทธิ์เข้ามาได้หรือเปล่า’ ก็จะเป็นไปอีกแง่หนึ่ง”

นักบินหนุ่มยกมือเอาปลายนิ้วเกลี่ยคาง นัยน์ตาส่องแววของคนฉลาดที่เข้าใจอะไรเร็ว นึกทบทวนความรู้ทางชีววิทยาแบบชาวบ้านของตน ธรรมชาติแห่งความเป็นคู่ได้จัดสรรศักยภาพในการสืบพันธุ์ไว้อย่างน่าอัศจรรย์ เซลล์ไข่ของผู้หญิงและอสุจิของผู้ชายจะมีโครโมโซมจำนวน ๒๓ แท่ง ต่อเมื่อไข่และอสุจิมารวมตัวกันเป็นฟองไซโกท จึงจะมีโครโมโซม ๔๖ แท่ง ครบตามจำนวนที่จะต้องมีอยู่ในแต่ละเซลล์

ด้วยภาวะพ่อครึ่งและแม่ครึ่งในตำราชีววิทยาดังกล่าว ทำให้นักศึกษาชีววิทยาและแพทย์ทั้งหลายเกิดความเชื่อตั้งแต่ได้รับความรู้นั้น ว่ามนุษย์คนหนึ่งก็คือการผสมกันระหว่างรหัสพันธุกรรมของชายกับหญิง เด็กออกมาอาจจะมีลักษณะผสมผสานระหว่างพ่อกับแม่ หรืออาจจะมีลักษณะเด่นของผู้ให้กำเนิดคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ อย่างที่เรียกกันว่าเป็น ‘ลูกพ่อ’ หรือ ‘ลูกแม่’ นั่นเอง

ฉะนั้นมองในเชิงรูปธรรมอย่างเดียวจึงคล้ายดินน้ำมันสองสี เอามาผสมคลุกเคล้ากันก็จะได้สีใหม่ขึ้นมา ถ้าสีหนึ่งแยกไปผสมกับสีอื่น ก็จะได้สีที่แตกต่างกันไปเรื่อยๆ ทว่าเมื่อมาวันทากล่าวถึง ‘สิทธิ์เข้ามาเกิดในพ่อแม่คู่หนึ่งๆ’ ก็แน่นอนว่าอสุจิกับไข่ต้องไม่ถูกมองเหมือนแค่ดินน้ำมัน แต่จะเป็นเพียง ‘ร่างเปล่า’ ที่รอ ‘วิญญาณเหมาะ’ เข้ามาประสานเท่านั้น

“เอินหมายความว่า… ระยะครึ่งปีที่ผ่านมายังไม่มีลักษณะวิญญาณของสัมภเวสีที่ไหนสอดคล้องพอจะเข้าประกบกับพันธุกรรมระหว่างเรา?”

“ค่ะ”

“เขาดูลักษณะวิญญาณกันยังไงนะ ถึงรู้ว่าเหมาะหรือไม่เหมาะ”

ลัดธีร์ถามด้วยเจตนาเบี่ยงเบนประเด็นผ่อนคลายบรรยากาศเฉพาะหน้าลง ซึ่งมาวันทาก็ให้ความร่วมมืออย่างดี

“พระพุทธเจ้าตรัสว่ากามภพของสัตว์ทั้งหลายปรากฏได้เพราะมีกรรมเป็นไร่นา และมีวิญญาณเป็นพืช วิญญาณจะประดิษฐานในไร่นาใดก็เพราะธาตุอันสมกัน ถ้าเราใช้ตาทิพย์ส่องเห็นวิธีเกิดตายตามกรรมของสัตว์ต่างๆได้ ก็อาจเห็นเหมือนเกมจับคู่ระหว่างมนุษย์นั้น เป็นภาชนะรองรับกรรมของวิญญาณอื่น… ส่วนผสมระหว่างพี่อ๋องกับคุณอัสนีชาคงเหมาะกับ ‘เขา’ ที่เคลื่อนมาปฏิสนธิแล้ว”

ลัดธีร์เงียบคิดลึกซึ้ง อัสนีชาหาใช่อีจอมริษยาหน้าเลือดที่เอาแต่ขึ้นเสียงสูงตอนโมโห ตรงข้าม หล่อนโดดเด่นเป็นเอกอยู่ในแวดวงไฮโซ และในแง่ของความเป็นมนุษย์ หล่อนคือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่เคยถูก เคยผิด เคยดี เคยร้าย มีความน่าติดใจ มีความน่ารำคาญ เช่นเดียวกับที่เขาไม่ใช่ยักษ์มารสันดานหยาบ เขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ปล่อยให้ความเมามายและความน้อยใจนำตัวไปสู่ความยุ่งยาก ผีห่าซาตานอาจเข้าสิงสู่ ดลให้คิดทำเรื่องเลวๆได้เป็นบางครั้ง แต่ไม่ใช่ทุกวัน ไม่ใช่คิดลักลอบมีชู้กับใครก็ได้ด้วยความสะดวกใจเหมือนคนแอบกินน้ำเย็นอันเป็นของต้องห้ามขณะเจ็บคอ

ด้านความสัมพันธ์ เขารู้สึกกลมกลืนเป็นกันเองกับอัสนีชาในหลายๆทาง ตอนดูบอลก็แหกปากเชียร์ด้วยกันอย่างครื้นเครง ไม่มีใครเตือนใครว่าการพนันเป็นหนึ่งในอบายมุข เล่นแล้วทรัพย์จะเสื่อม เขาเป็นตัวของตัวเองอย่างที่อยากจะเป็น ไม่ใช่ใครอีกคนที่ต้องฝืนใจพะเน้าพะนอภรรยาสุดที่รักอยู่ตลอดเวลา

วูบนั้นชายหนุ่มเริ่มเชื่อความสมเหตุสมผลของกรรม แม้ที่ผ่านมาตลอดชีวิตจะเผื่อความศรัทธาไว้เพียงครึ่งเดียว บัดนี้เริ่มเห็นเค้าเงารางๆ เขากับอัสนีชาเข้าคู่กันดีโดยธาตุนิสัย จึงหาวิญญาณที่สอดคล้องมาเกิดด้วยง่ายหน่อย

อย่างไรก็ตาม ถามใจตนเองในบัดนั้น เขาก็ยังคงปักใจมั่นเลือกอยู่กับผู้หญิงที่เข้ากันไม่ได้เต็มร้อยอย่างมาวันทา เพราะกับหล่อน เขารู้จักความรัก รู้จักการอดทนเพื่อความรัก รู้จักกิ่งก้านสาขาของชีวิตอันเติบโตจากความรัก ความสนุกแบบดิบๆแค่วูบวาบกับอัสนีชาไม่อาจเอาชนะความรักลึกซึ้งที่เขามีต่อมาวันทาได้เลย

“เอิน… พี่ขอโทษ”

ลัดธีร์นึกคำได้แค่นั้น ฝ่ายภรรยาปราศจากปฏิกิริยาทางสีหน้า ทว่าเอ่ยเรียบนิ่ม

“ขอถามด้วยความอยากรู้หน่อยเถอะค่ะ… พี่อ๋องอยู่กับเอินตลอดเวลา ทำไมถึง…”

“จำคืนที่เอินไปหัวหินกับจ๊ะได้ใช่ไหม? นั่นแหละคืนแรก”

เขายอมคายความลับโดยดี มีร่องรอยความสะใจของคนได้แก้แค้นคืนเพียงนิดเดียว แต่ก็เหือดหายไปอย่างรวดเร็วภายในเสี้ยววินาที เพราะท่าทางเรื่องจะไม่จบง่ายๆแค่ที่ความสะใจเสียแล้ว

“จากนั้น… นิชาก็บินไปกับพี่สองสามหน ครั้งแรกพี่ปฏิเสธและพยายามขอเลิกความสัมพันธ์ผิดๆนี้ แต่…”

พูดยังไม่จบก็ยกมือกุมหน้าผากด้วยความสลดใจในพฤติกรรมของตนเอง การพลาดครั้งแรกของเขานั้น กลายเป็นข้ออ้างอันน่าเห็นใจของอัสนีชาสำหรับครั้งถัดๆมา ลัดธีร์ทั้งสงสารหล่อนและเห็นแก่ความอยากในกามของตนเองพร้อมกันในคราวเดียว หล่อนมีเสน่ห์ลึกลับบางอย่างที่ได้แล้วเหมือนยังไม่ได้ ยังต้องวิ่งไล่คว้า หรือค้นหาที่สุดของความเป็นหล่อนอยู่

“พี่อ๋องรักเขามากไหมคะ?”

“พี่สนุกที่ได้อยู่กับเขา แต่ไม่ใช่รักและอยากอยู่ใต้ชายคาเดียวกันตลอดไปเหมือนรู้สึกกับเอิน”

ชายหนุ่มตอบทันทีแบบไม่ต้องคิด มาวันทารับฟังด้วยอาการอันเป็นดุษณีดังเดิม ทว่าภายในกำลังอยากหัวเราะและร้องไห้พร้อมกัน จำได้ว่าสมัยหล่อนยังเป็นสาวน้อยที่ลัดธีร์เดินตามจีบต้อยๆ เคยมีบ้างที่เกิดอารมณ์หึงหวง ประเภทไม่อยากให้เขามองใคร ไม่อยากให้เขาคุยกับใคร กลัวจะสูญเสียเขาไป แต่นั่นก็ผ่านมานานนักแล้ว หล่อนเป็นคนเรียนรู้เร็วว่าความหึงหวงนั่นเองที่ทำให้ชีวิตคู่เป็นทุกข์ ความหึงหวงอยากครองใครไว้คนเดียวนั่นเองที่ท้ายสุดคือแรงผลักให้คู่ตนไปเป็นของคนอื่น

ทว่าแม้ได้สามีน่าไว้ใจที่สุด พอไม่หึงหวง ไม่ระแวง ไม่คอยจับผิด เรื่องก็เกิดขึ้นอย่างนี้อีก ราวกับสร้างเหตุปัจจัยดีงามเท่าไหร่ๆ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาก็ต้องแยกห่างกันวันยังค่ำด้วยเหตุปัจจัยอื่นที่มีน้ำหนักเหนือกว่า

โลกนี้สกปรกนัก ผู้คนชุ่มไปด้วยบาป หล่อนเองก็หนีไม่พ้น ใช่จะเลิศลอยกว่าปุถุชนทั้งหลาย โดยเฉพาะกรณีนี้สมควรถูกตราหน้าว่าเป็นฝ่ายเริ่มสร้างมลทินด้วยซ้ำ ความผิดบางอย่างที่นึกว่าจบไปแล้ว แท้จริงเพียงรอเวลาแว้งกลับมาขบกัดในจังหวะเหมาะ ดุจเดียวกับระเบิดเวลาที่ทำงานตามกำหนด

เพิ่งเห็นความสำคัญของศีลชัดแจ้งเดี๋ยวนี้เอง เพียงด่างพร้อยนิดเดียว ก็กลายเป็นชนวนนำความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้ได้แล้ว หากหล่อนเถรตรง เห็นแค่ขาวกับดำ เลือกเฉพาะขาว ปฏิเสธดำอย่างสิ้นเชิง และไม่เผื่อกระทั่งสีเทา ก็คงไร้เหตุบันดาลให้ลัดธีร์รู้สึกเสียศักดิ์ศรี ไม่เมาเหล้าน้อยอกน้อยใจและถูกกิเลสกระชากไปทำเรื่องบาดอารมณ์อย่างนี้เลย

และคู่สามีภรรยาที่จะปลอดจากเรื่องบาดใจอย่างเด็ดขาด ก็คือคู่ที่จงใจถือศีลให้สะอาดบริสุทธิ์ร่วมกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบกพร่อง ก็อาจเปรียบได้กับคนขาเป๋ข้างหนึ่ง เดินไปเรื่อยๆอาจล้มลงเองโดยไม่ต้องโดนใครผลัก

"เอินไม่เคยอยากรู้เลยว่าเราเป็นคู่กันมาแต่ปางไหน แต่ตอนนี้เริ่มอยากรู้แล้ว..."

มาวันทาเปรยซึมๆ ลัดธีร์เงียบใบ้อยู่ครู่ก่อนเอ่ย

“ภพชาติในอดีตจะเป็นเหตุผลให้เรามาอยู่ด้วยกันหรือเปล่าพี่ไม่รู้ แต่แน่ใจอย่างหนึ่งคือเราสองคนถูกวางตัวให้มาเป็นของกันและกันตลอดไป”

“เกิดเรื่องนี้แล้วยังเชื่ออยู่เหมือนเดิมหรือคะ?”

ลัดธีร์รู้สึกเหมือนย้อนกลับไปเป็นเด็กที่กำลังเห็นสายป่านว่าวกำลังจะขาด บังเกิดความกลัวการสูญเสียจนร้อนวาบไปทั้งอกทั้งใจ

“เอิน…” คว้ามือหล่อนมากุมแน่น “พี่ขอโทษอีกครั้ง สั่งให้พี่ทำอะไรก็ได้เพื่อชดใช้ความผิด”

มาวันทาพยายามดึงมือออก แต่อุ้งมือแกร่งของสามีประดุจเครื่องจองจำเหล็กกล้า จึงอ่อนใจเกินกว่าจะขืนสู้ทางกาย

“เอินแค่อยากมีชีวิตสงบสุข ไม่ต้องการให้ใครมาตอแย และไม่อยากวอแวกับใครในเรื่องชู้สาว คุณอัสนีชาพูดน่าเห็นใจอยู่คำหนึ่ง คือเอินกับพี่อ๋องไม่มีลูกด้วยกัน แต่เขามี เราควรจะเห็นแก่เด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่”

ลัดธีร์หน้าซีดตัวชาด้วยความตระหนักในการตัดสินใจของภรรยา

“พี่ไม่เชื่อว่าเป็นลูกของพี่ รอให้เด็กออกมาก่อนแล้วค่อยพิสูจน์กัน”

มาวันทามองลึกเข้าไปในแววตาวิงวอนของอีกฝ่าย บังเกิดความสงสารเขา สงสารตัวเอง และอยากให้เกมชีวิตยืดหยุ่น สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขความผิดพลาดในอดีต ถ้าขอได้แค่ครั้งเดียวในหนึ่งชีวิต หล่อนจะเลือกใช้สิทธิ์กลับไปแก้ไขเรื่องนี้เท่านั้น

“ทำไมเอินอยากทราบเรื่องอดีตระหว่างเรารู้ไหมคะ? คนเราตอนอยากมีคู่ จะถามหมอดูกันง่ายๆซื่อๆแค่ว่าใครเคยเป็นคู่ผัวตัวเมียกับเราในชาติปางก่อน แต่ไม่เคยเฉลียวใจถามลึกลงไปว่าชาติที่เป็นผัวเมียนั้น พบกันในช่วงอายุใด อยู่กินครองเรือนร่วมกันครบทั้งชาติหรือเปล่า และ… เมื่อต้องพรากกัน เป็นการจากเป็นหรือจากตาย…”

ลัดธีร์เงียบอึ้ง เป็นฝ่ายฟังเมียรักพูดอย่างไม่ทราบจะเอื้อนเอ่ยประการใด

“การอยู่ด้วยกันได้แค่ประเดี๋ยวประด๋าวอาจหมายถึงกรรมไม่ดีที่ทำร่วมกันไว้ รูปแบบการพบและจากพรากเดิมๆอาจย้อนมาวนซ้ำไปเรื่อย จนกว่าจะร่วมมือเลิกทำผิดเหมือนอย่างเคย”

“ต่อไปนี้พี่จะเลิกนิสัยเสียเก่าๆทั้งหมด ชวนเอินไปทำบุญทุกหนทุกแห่ง”

หญิงสาวเบือนหลบ ละการสบสายตากับสามีไปอีกทาง เค้าหน้านิ่งดุจหินสลักขณะเอ่ย

“ดูเหมือนสายไปแล้วค่ะ ชาตินี้เรายังคงหลงทำผิดอยู่ด้วยกันทั้งคู่ เป็นเหตุให้ทุกอย่างจบตั้งแต่เริ่มต้นได้ไม่นาน พี่อ๋องได้ความเป็นสาวจากเอินด้วยวิถีทางที่ผิด เอินเองมีพี่อ๋องแล้วก็ยังหลงเผลอใจด่างพร้อยกับจ๊ะไปพักหนึ่ง จนในที่สุดเป็นเหตุให้พี่อ๋องพลาดมีใครอื่นเข้าจริงๆ”

“ไม่…” ลัดธีร์ปฏิเสธเสียงปร่าพร่า “จะไม่มีอะไรทำให้เราต้องเลิกกัน”

“มี” ภรรยาตอบเสียงเย็น “เหตุของความแตกแยกปรากฏตัวแล้ว และมันก็เป็นวิธีประพฤติปฏิบัติตัวของเราเอง… เอินคบกับจ๊ะก็ดีอย่างหนึ่ง เขาชอบสะท้อนให้เอินเห็นว่าเอินเป็นคนไม่ค่อยยอมรับความจริง ครั้งนี้เหมือนไม่มีม่านบังตาเอินเลย ชัดเจนเหมือนเห็นด้วยตาเปล่าว่าสีด่างสีดำเริ่มแต้มจากตัวเอินก่อน แล้วจึงลามเลอะไปถึงพี่อ๋อง เอินละอายใจและโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง เอินยอมรับความผิดและการลงโทษจากกรรมของตัวเองโดยดี…”

“เอินยังไม่ได้ทำอะไรผิด… แต่พี่ทำ”

“แค่ยอมให้มีมลทิน ก็แปลว่าเอินทำบางอย่างไปเหมือนกันค่ะพี่อ๋อง ดีแล้วที่เราคุยกันได้เข้าใจและไม่โจทก์โทษ ยัดเยียดให้อีกฝ่ายผิดเหมือนคู่อื่นๆ ทุกอย่างจะได้ลงเอยด้วยมิตรภาพ”

“เอินจะเลิกกับพี่เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้นะ ไอ้บ้าบางคนมันมีบ้านเล็กบ้านน้อยเป็นสิบหลังยังอยู่เป็นสุข นี่พี่เผลอตัวกับทางผ่านแค่คนเดียว ถึงกับจะให้เป็นความสิ้นสุดระหว่างเราทีเดียวเหรอ?”

มาวันทารู้สึกสงบเย็นคงเส้นคงวากว่าที่ผ่านมาทั้งชีวิต ขณะอยู่ในสถานการณ์กดดันอันน่าจะเต็มไปด้วยความระทมทุกข์โทมนัส หล่อนกลับพูดด้วยสติสตังพร้อมบริบูรณ์ทุกคำ มีความรุ่มร้อนเพียงเล็กน้อยเมื่อเริ่มเจรจา ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป ใจยิ่งเห็นความวางเฉยของตนเองมากขึ้นทุกที ราวกับกำลังอยู่ในระหว่างบทฝึกปล่อยวางที่ทุกสิ่งถูกตระเตรียมไว้หลอกๆ ไม่มีภาระผูกพันหลังการฝึกแต่ประการใด

และในความสงบเย็นนั้น หล่อนเห็นกิริยาของลัดธีร์ที่ยึดกุมมือตนเหนียวแน่นแล้วนึกประหลาดใจ เพิ่งเห็นความยึดมั่นถือมั่นเป็นเรื่องโง่เขลาชัดๆเดี๋ยวนี้เอง คนเรานึกว่ายึดเหนี่ยวอะไรไว้ได้ด้วยร่างกายซึ่งมีกำลังงานเพียงชั่วคราวจากข้าวและน้ำ หากขาดข้าวและน้ำอย่างที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร กายก็แค่หุ่นกระบอกที่แขนตกขาตก หาความเคลื่อนไหวหน่วงเหนี่ยวสิ่งใดไว้ไม่ได้เลย

แต่ด้วยจิตใจอันรุ่มร้อนกระวนกระวายยามนี้ของลัดธีร์ ก็ทำให้เขาเข้าใจว่าสามารถเก็บหล่อนไว้เป็นสมบัติส่วนตัวได้ตลอดไปด้วยกำลังแขนทั้งหมดของเขา…

“คุณอัสนีชาไม่ใช่แค่ทางผ่าน พี่อ๋องก็รู้… พี่อ๋องคะ ช่วยปล่อยมือเอินหน่อยได้ไหม ขอร้อง”

ลัดธีร์อิดเอื้อนอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกลัวว่าถ้ายอมปล่อยแล้วหล่อนจะหายวับไปกับตาเดี๋ยวนั้น ทว่าเมื่อทนกระแสอ้อนวอนจากภรรยาไม่ได้ ก็จำใจคลายมือออกด้วยสีหน้าหมองคล้ำ

“คงเหมือนในเกมหมากรุก ที่แม้เดินดีมาร้อยตา ก็อาจสูญเปล่าด้วยการพลาดเพียงตาเดียว ขอแค่ตานั้นสำคัญพอ… พี่อ๋องมีลูกกับเขา ไปอยู่กับเขาเถอะค่ะ อย่าให้เด็กเกิดมาด้วยการมีคำถามไปทั้งชีวิตว่าพ่อเป็นใครเลย”

ลัดธีร์บันดาลโทสะขึ้นมาวูบหนึ่งที่วนไปเวียนมาภรรยาก็เอาแต่พูดถึงเด็กในท้องของอัสนีชา จนเผลอโพล่งออกมาดังๆคล้ายตะคอก

“ถ้าท้องจริง ทำแท้งเสียก็สิ้นเรื่องนี่!”

มาวันทาไหล่กระตุกนิดหนึ่ง ก่อนสงบเฉยและเอ่ยอย่างเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

“คุณอัสนีชาไม่ยอมหรอกค่ะ เชื่อเถอะ เขาต้องการผูกมัดพี่อ๋องไว้อยู่แล้ว… อีกอย่าง เอินจะไม่ยินดีเลยหากตัวเองมีส่วนให้พี่อ๋องคิดฆ่ามนุษย์”

“มนุษย์ที่ไหน?” ขึ้นเสียงสูงขมวดคิ้วย่น แล้วสามีหนุ่มก็พยายามหว่านล้อมภรรยาสาวด้วยเหตุผล “เอินก็เพิ่งบอกว่ายังเป็นก้อนเนื้อแค่จิ๋วเดียว พี่ว่าช่วงเดือนแรกเหมือนธรรมชาติให้เวลาเอาเนื้อส่วนเกินออกโดยไม่ต้องรู้สึกผิดบาป”

“พี่อ๋องคิดว่าเมื่อไหร่ควรเรียกว่าเป็นชีวิตมนุษย์หรือคะ?”

“ก็ตอนโผล่หัวออกมาจากท้องแม่ แหกปากร้องอุแว้นั่นไง”

“เด็กมีภาวะพร้อมจะร้องก่อนครบกำหนดคลอดนะคะ ทุกวันนี้เราผ่าท้องกันเป็นปกติ ไม่ต้องรอให้เขาโผล่ออกมาตามธรรมชาติ ถ้าพี่อ๋องตัดสินด้วยความสามารถส่งเสียงร้อง ก็แปลว่าเขาเป็นมนุษย์ตั้งแต่อยู่ในท้อง ก่อนที่เราเห็นด้วยตาเปล่าแน่นอน ทีนี้พี่อ๋องกล้าบอกหรือเปล่าว่าความเป็นมนุษย์นั้นเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่? ท้องหนึ่งเดือนของคุณอัสนีชา ถ้าสำรวจดูจะเห็นเริ่มมีปุ่มห้าปุ่มงอกออกมาจากก้อนเนื้อแล้ว และกำลังจะมีขน ผม เล็บเป็นอันดับต่อไป ก้อนเนื้อนี้ยังไม่สามารถร้องไห้ได้ก็จริง แต่ ‘มีสิทธิ์’ ที่จะลืมตาดูโลกในฐานะมนุษย์คนหนึ่งแล้ว”

ลัดธีร์ส่ายหน้า

“ต้องถกกันในเชิงปรัชญาแล้วเอิน ก้อนเนื้อคือก้อนเนื้อ ยังไม่ใช่มนุษย์ที่ไหน เหมือนเราผสมสารสองอย่างเพื่อเข้าสู่กระบวนการเคมี แต่ยังไม่นานพอจะฟักตัวจนเกิดสารสุดท้ายที่ต้องการ เอินจะบอกว่ามีสารนั้นขึ้นมาแล้วตั้งแต่ต้นไม่ได้”

“อย่างที่เราคุยกันแล้วไงคะ กำเนิดมนุษย์ไม่ใช่แค่หยาดน้ำใสอันเกิดจากชายหญิง แต่ต้องอาศัยจิตวิญญาณที่เข้ามาร่วมปฏิสนธิด้วย ความเป็นมนุษย์นับเริ่มจากตรงนั้นแล้ว”

“ใครเป็นคนตัดสิน?”

“ทางพุทธเรา ถือว่าพระพุทธองค์เป็นผู้เชี่ยวชาญกฎหมายของธรรมชาติมากที่สุด เพราะฉะนั้นท่านตัดสินอย่างไร ก็ทำให้เรารู้กฎธรรมชาติอย่างนั้น”

“ท่านตรัสไว้อย่างไรหรือ?”

“ทางพระวินัยมีบทบัญญัติสำหรับพระภิกษุในเรื่องการทำความผิดฐานทำลายชีวิตมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีนิยามที่ชัดเจนว่า ‘ชีวิตมนุษย์’ คืออะไร พระองค์ท่านตรัสว่านับแต่ปรากฏปฐมวิญญาณในครรภ์มารดาจนกระทั่งถึงมรณกาล ในระหว่างนั้นทั้งหมดได้ชื่อว่าเป็นชีวิตมนุษย์”

“ปฐมวิญญาณ? พระพุทธเจ้าท่านกำลังบอกเราหรือเปล่าว่าวิญญาณเริ่มต้นขึ้นในท้องนั่นเอง ไม่ใช่มาจากไหนเลย?”

“ปฐมวิญญาณในที่นี้หมายถึงจิตขณะแรกที่มาอาศัยในครรภ์ค่ะ จะเรียกว่าปฏิสนธิจิตก็ได้ อย่างที่เอินพูดถึงก่อนหน้านี้แล้วว่ามีวิญญาณมาประกอบร่วมกับไซโกท”

“พระพุทธองค์ท่านตรัสถึงไซโกทไว้อย่างไร?”

ลัดธีร์ถามอย่างจะเปรียบเทียบความรู้ยุคเก่าเข้ากับยุคปัจจุบันด้วยความสงสัยลังเลว่าวิทยาการยุคสองสามพันปีก่อนจะรู้จักธรรมชาติระดับจุลภาคได้อย่างไร ในเมื่อขนาดของไซโกทเล็กเพียงจุดบนกระดาษที่เกิดจากปลายปากกาแต้มแผ่วๆเท่านั้น นักสรีรศาสตร์ที่ไหนจะเดาถูกว่าผู้หญิงเริ่มมีเด็กในอาทิตย์แรก ต่อให้เดาถูกแล้วผ่าดูผนังมดลูกก็ไม่น่าจะรู้อยู่ดีว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของความเป็นมนุษย์ หากปราศจากเทคโนโลยีทางรังสีวินิจฉัยอย่างเช่นออโตเรดิโอกราฟี หรือฟลูออโรกราฟีอย่างในปัจจุบัน ไหนเลยจะรู้จักกระบวนการกำเนิดมนุษย์อย่างแท้จริงได้ คนโบราณน่าจะรู้เรื่องการตั้งครรภ์ก็เมื่อผ่าท้องพบก้อนเนื้อที่โตพอจะเห็นด้วยตาเปล่าแล้วเท่านั้น

“ถ้าเปรียบเทียบศัพท์ต่างยุค ไซโกทคงเทียบเท่ากับกลลรูป สำหรับคำว่า ‘กลละ’ นั้นบาลีว่าเป็นหยาดน้ำใสขนาดกระจิริด สมัยนั้นคนยังไม่เข้าใจเรื่องมาตราวัดเป็นหน่วยมิลลิเมตร เลยต้องอาศัยวิธีสร้างกลละเทียมๆขึ้นมาให้เห็นว่าขนาดเท่าไหน คือเอาขนสัตว์ที่ละเอียดมากๆอย่างขนจามรีในภูเขาหิมาลัยมาจุ่มน้ำมันงา จุ่มแล้วสลัดเจ็ดครั้ง น้ำมันงาเหลือติดขนจามรีอยู่แค่ไหนก็คือขนาดและลักษณะที่คล้ายคลึงกับกลละ มีคนทดลองสลัดน้ำมันงาจากขนจามรีเจ็ดครั้ง ก็ปรากฏว่าได้ขนาดเท่าไซโกทจริงๆ! คิดดูนะคะ คำว่า ‘กลละ’เป็นพุทธพจน์ที่สืบทอดกันมาหลายพันปี ไม่ใช่เพิ่งมีใครบัญญัติขึ้นตามเทคโนโลยีใหม่ แปลว่าพระพุทธองค์ท่านมีวิธีรู้ที่ไม่อาศัยเครื่องมือช่วยเหมือนสมัยเรา”

ลัดธีร์กะพริบตาด้วยความทึ่ง เคยทราบว่าสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศพระองค์เองเป็นสัพพัญญูผู้รู้หมดทุกสิ่งตามจริง แต่เพิ่งเดี๋ยวนี้ที่ประจักษ์หลักฐานยืนยันความเป็นเช่นนั้นของท่าน

“พระพุทธเจ้าตรัสความรู้ที่ยุคเราเพิ่งตามทันไว้เยอะไหม?”

“พระองค์ท่านใช้เวลาโดยมากสั่งสอนเรื่องวิถีทางดำเนินสติเพื่อความพ้นทุกข์พ้นภัย แต่บางทีก็มีคนตั้งโจทย์บางอย่างที่ทำให้ท่านต้องแสดงความรู้เกินยุคออกมา อย่างเช่นเรื่องกลลรูปนี้ท่านไม่ได้ประทานความรู้เหมือนเป็นชั่วโมงวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน แต่มียักษ์ชื่ออินทกะมาทูลถามว่าสัตว์ติดอยู่ในครรภ์ได้อย่างไร กระดูกและก้อนเนื้อมาจากไหน พระองค์จึงตรัสตอบว่ารูปนี้เป็นกลละก่อน แล้วจึงเป็นอัพพุทะ จากนั้นจึงแปรเป็นเปสิ เป็นฆนะ แล้วจึงเกิดสาขางอกออกมา ๕ ปุ่ม ตามด้วยผม ขน เล็บ สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์มารดายังอัตภาพได้ด้วยข้าวและน้ำที่มารดาบริโภค ซึ่งทุกวันนี้ความรู้ทางแพทย์ก็ยืนยันว่าท่านตรัสไว้ถูกต้องครบถ้วนทุกขั้นตอน”

มาวันทาเห็นดวงตาสามีเริ่มส่องแววเชื่อในความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธองค์มากขึ้น จึงสำทับว่า

“ในเมื่อพระองค์รู้แจ้งรูปธรรมระดับจุลภาคด้วยใจ เรื่องอื่นเช่นการมาปฏิสนธิของวิญญาณ รวมทั้งการกำหนดขอบเขตการเริ่มภาวะแห่งชีวิตมนุษย์ พระองค์ก็น่าจะถูกด้วยแปลว่าความหมายของการฆ่ามนุษย์นั้น เริ่มนับตั้งแต่คิดทำลายเด็กที่เพิ่งเป็นกลลรูปเลยทีเดียว ไม่ใช่ต้องรอให้คลอดออกมาเป็นตัวเป็นตนเสียก่อน”

ลัดธีร์ทำหน้าคิดหนัก อยู่กับมาวันทานานๆเข้าก็ชักซึมซับความกลัวบาปกลัวกรรมไว้บ้างแล้วเหมือนกัน แต่ยังคงต่อรองอ่อยๆ

“ความจริงเราไม่ได้ฆ่าเอง เป็นภาระของหมอเถื่อนต่างหาก”

“ตรงนี้พระพุทธองค์ก็นิยามความหมายของการปลงชีวิตมนุษย์ไว้ด้วยค่ะ เวลาตัดสินว่าพระรูปไหนต้องถูกขับไล่โทษฐานฆ่ามนุษย์จะได้ง่ายและชัดเจน ท่านตรัสว่าจะฆ่าโดยตรงก็ดี จะหาอาวุธมาเพื่อการฆ่าก็ดี จะแค่เพียงหว่านล้อมชักชวนกันตายก็ดี หรือกระทั่งจะพรรณนาให้ใครเห็นความตายเป็นของวิเศษด้วยเจตนาให้เขาอยากฆ่าตัวเองก็ดี เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่พ้นข้อหาฆ่าคนตายทั้งสิ้น… หากมีเหตุให้ควรเชื่อว่าพระพุทธองค์รู้แจ้งในกฎแห่งกรรม กรณีนี้ก็ตัดสินได้ว่าแค่คิดก็ผิดแล้ว ถึงดูเผินๆเหมือนเราจ้างวานคนอื่นทำแท้งแทน แต่ต้นเหตุการฆ่าก็เริ่มด้วยเจตนาของเราเอง”

“โทษของการทำแท้งหนักขนาดไหน?”

“ก็เหมือนกับการฆ่ามนุษย์ เป็นการผิดศีลข้อปาณาติบาต ในภายภาคหน้าผู้ฆ่าย่อมถูกฆ่า ผู้ตัดทางกำเนิดย่อมถูกตัดทางกำเนิด นี่ยังไม่นับว่าถ้าประกอบกรรมเป็นประจำอย่างหมอทำแท้ง จะต้องรับโทษจากมหาปาณาติบาตในนรกภูมิหรือโลกของเปรตอสุรกายยืดเยื้อสักเท่าไหร่”

ลัดธีร์ขยับตัวอย่างพยายามหาทางออกจากความอึดอัด

“อย่างนี้ก็แย่สิเอิน ถ้าผู้หญิงถูกข่มขืนแล้วท้องล่ะ?”

“ถึงน่าเห็นใจขนาดไหน กฎแห่งกรรมก็ทำงานอย่างไม่มีข้อยกเว้นค่ะ… ก็ต้องเลือกเอาว่าจะทำบาปคือตัดทางกำเนิดมนุษย์ หรือจะเลือกใช้กรรมเก่าที่มองไม่เห็นในอดีตชาติ”

“เกือบร้อยทั้งร้อยผู้หญิงที่ท้องจากการข่มขืนต้องตัดสินใจเอาเด็กออก ใครจะบ้าเลี้ยงเด็กที่มีเทือกเถาเหล่ากอเป็นอาชญากร ถ้าฝืนรับไว้เพราะกลัวบาป ก็เหมือนเราซ้ำเติมคนเคราะห์ร้ายด้วยกฎแห่งกรรมเลยนะ”

“ไม่มีใครซ้ำเติมใคร มีแต่กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ชั่วนาตาปี ลองมองอย่างนี้นะคะ บรรดาชายที่รุมโทรมหญิงด้วยความคะนองแม้ครั้งเดียว อาจต้องเกิดใหม่เป็นหญิงเพื่อถูกรุมโทรมบ้าง จะกี่ครั้งกี่หนก็ขึ้นอยู่กับโทษานุโทษในชาติที่ลงมือกระทำการ ถ้าเราเพิ่งเจอเขาขณะเปลี่ยนภพเป็นฝ่ายถูกกระทำ ก็จะสงสารและรู้สึกถึงความอยุติธรรม แต่ถ้าหยั่งรู้ที่มาที่ไป ก็จะวางใจเป็นกลางเสียได้ อกุศลวิบากทำให้เขาต้องเจ็บตัว ซ้ำร้ายถ้ากรรมดำในอดีตใหญ่โตพอ ก็อาจถูกบังคับให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างทำบาปข้อปาณาติบาตกับการทนทุกข์เลี้ยงลูกของชายโฉดจนกว่าจะโต”

“แล้วหมอที่ช่วยคนถูกข่มขืนโดยการทำแท้งอย่างถูกต้องตามกฎหมายล่ะ มิพลอยร่างพลอยแห มีมือเปื้อนบาปเพราะฆ่ามนุษย์ไปด้วยหรือ?”

“เขาก็ได้ชื่อว่าปิดทางกำเนิดไปครั้งหนึ่ง อันนั้นเป็นฝ่ายบาป แต่ถ้าทำด้วยเจตนาช่วยผู้เคราะห์ร้ายซึ่งจะต้องกลายเป็นแม่โดยไม่สมัครใจ อันนั้นเป็นฝ่ายบุญ หากเขาเป็นหมอที่ดี ตลอดชีวิตช่วยทำคลอด ช่วยอำนวยการกำเนิดมาเป็นร้อยเป็นพัน อย่างนี้กรรมที่ปิดกั้นการเกิดเพียงครั้งสองครั้งก็ยืดเวลารอคิวให้ผลออกไป เพราะวิบากฝ่ายดีแซงหน้าให้ผลก่อน ต่างจากพวกเปิดโรงทำแท้งเป็นอาชีพ พวกนั้นไม่มีดีคุ้มตัว ผลคือถ้ามีสิทธิ์เกิดในสุคติภพก็จะถูกปิดกั้นไว้หลายร้อยหลายพันหนตามแต่ความหนักเบาของกรรมที่ก่อ”

เห็นลัดธีร์ยังทำหน้าครุ่นคิดครึ่งๆกลางๆ มาวันทาก็เสริมอีก

“เรื่องวุ่นเป็นวังวนไม่รู้จบ ยั่วยุให้เราถามหาความยุติธรรมจากลมแล้งไปเรื่อย ธรรมชาติปิดซ่อนความจริงไว้ด้วยการลืมภพชาติ ทำให้พวกเรางุนงง สับสน และไม่รู้จะเลือกเชื่ออย่างไรดี ต่อเมื่อบริสุทธิ์จากมลทิน มีใจที่ตั้งมั่นพร้อมหยั่งรู้เพียงพอ กรรมวิบากก็เป็นเรื่องเปิดเผยต่อจิตของเราเองแหละค่ะ… แต่ก่อนหน้าจะสามารถหยั่งรู้ภพชาติ ก็ควรเชื่อมโนธรรมของตัวเองก่อน เพราะที่เราปฏิสนธิเป็นมนุษย์กันได้ ก็ด้วยจิตที่เข้าฝักเข้าฝ่ายกุศลมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงมีสัญชาตญาณรู้จักบาปบุญดีพอสมควร”

“ถ้าให้เชื่อมโนธรรม พี่ก็คงไม่อยากเอาเด็กออก แต่ถ้าให้เชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง พี่ว่าอนาคตข้างหน้าคงไม่มีใครเป็นสุขกันทั้งพ่อ แม่ ลูก… ถ้าคนเป็นพ่อรู้สึกว่าคนเป็นแม่ทำให้เขาต้องพลัดพรากจากผู้หญิงที่ตัวเองรัก จะมีกำลังใจทำบ้านให้เป็นบ้านได้ยังไง?”

มาวันทาเกิดความเศร้าลึกขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่เมื่อใจไม่ดิ่งไปกับกระแสโศก ถอยออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดู ก็เห็นความเศร้าเป็นแค่ก้อนแข็งๆที่จุกอกจุกคอ กับทั้งดูไปดูมา ประจักษ์ตามจริงว่าแม้ความเศร้าก็ไม่เที่ยง อัดแน่นชั่วครู่แล้วค่อยๆคลายลงเองโดยไม่ต้องไปทำอะไร ดวงจิตของหญิงสาวก็เป็นอิสระจากการครอบงำของความทุกข์แทบทันที

“ลองไม่ต้องเชื่อมโนธรรมกับสัญชาตญาณก็ได้ค่ะ เปลี่ยนมาใช้สามัญสำนึกและเหตุผลแทน ถ้าเราทู่ซี้อยู่ต่อไป ใครบ้างที่จะเป็นสุข ลงท้ายอาจต้องฆ่าแกงกัน… เท่าที่เอินรู้ บ้านของคุณอัสนีชาเลี้ยงนักเลงไว้ด้วยใช่ไหมคะ?”

ลัดธีร์อึ้ง เขาไม่รู้จักอัสนีชาลึกซึ้งนัก ไม่เคยแม้กระทั่งไปเยี่ยมบ้านหล่อน คบหากันนอกบ้านมาตลอด

“เอินรู้ได้ยังไง?”

มาวันทาอ่านจากนัยน์ตาสามี เห็นแววว่างจากความรู้ ก็เล่าเพียงคร่าว

“คุณอัสนีชามาพร้อมกับบอดี้การ์ดสองคน และบอกว่าถ้าพี่อ๋องไม่รับผิดชอบ ก็อาจเป็นอันตรายถ้าเรื่องรู้ถึงพ่อเขา”

ลัดธีร์สูดลมหายใจลึก เอนหลังพิงพนัก ความรู้สึกหลากหลายประดังเข้าจู่โจม โมโหที่ถูกข่มขู่ แต่ขณะเดียวกันก็เกรงอาญาจะมาถึงตัวพร้อมกัน คนสมัยนี้เชือดกันง่ายยิ่งกว่าผักปลา ขับรถปาดหน้าก็ยิงทิ้งแล้ว เขาเคยมีเพื่อนถูกมาเฟียอุ้มไปฆ่าและตกเป็นข่าวหราในหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ จำได้ดีถึงกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวของโลกด้านมืด และไม่นึกอยากทำตัวเป็นพระเอกหนังผู้หาญท้าชนกับอิทธิพลเถื่อนนับแต่นั้น ยิ่งมาถึงยุคนี้ที่มีเรื่องเมียหลวงเมียน้อยอาละวาดพิฆาตกันง่ายคล้ายนึกว่าตายแล้วฟื้นได้ ก็ยิ่งทำให้ไม่อาจเห็นคำขู่ของอัสนีชาเป็นเรื่องเล่นๆเลย

แต่ต่อหน้าภรรยา เขาจำเป็นต้องทำฮึดฮัดรักษาท่าชายชาตรีไว้ก่อน

“มือเท้าของพี่ก็ไม่ด้วนนี่ มาเถอะ อันตรายน่ะ!”

มาวันทาสัมผัสได้ว่าลัดธีร์เกิดโทสะจริง แต่ก้นบึ้งหัวใจก็มีความกลัวอยู่พร้อมกัน เพราะเสียงที่แต่งให้ห้าวนั้นฟังไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่ จึงนึกสงสารขึ้นมาจับจิต ถ้าเขาต้องไปอยู่กินกับคนอย่างอัสนีชาที่มีครอบครัวบ้าอำนาจ ชีวิตจะเป็นสุขได้อย่างไร แวบหนึ่งคิดชวนเขาหนีไปไกลๆ ตั้งรกรากใหม่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก อาจเป็นต่างจังหวัดหรือเมืองนอกเมืองนาไปเลย แต่แค่คิดแวบเดียวก็เหนื่อยสุดฝืนทนแล้ว เพิ่งรู้ตัวว่าหล่อนไม่ได้รักเขามากพอจะทิ้งทุกสิ่ง ทั้งพ่อแม่พี่น้อง ทั้งความผาสุก ทั้งความเป็นตัวของตัวเอง

อยู่กับลัดธีร์ เวลาส่วนใหญ่อบอุ่นเป็นสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์ แต่ช่วงที่เขาไม่อยู่ เวลาก็ผ่านไปด้วยการรอคอยอันเยียบเย็น หล่อนเหงาหงอยเสียจนเคยหลงไปรักกระทั่งผู้หญิงด้วยกันมาแล้ว…

แพทย์สาวพยายามเข้าสู่จุดสรุปที่ตนเองตกลงปลงใจไว้ล่วงหน้า

“ลูกคนนี้เป็นของพี่อ๋อง เอินก็มีส่วนรักและเอ็นดูเขาอยู่ด้วย และเพราะความรักนั้น เอินก็อยากให้ชีวิตเขาสมบูรณ์พร้อมทั้งพ่อทั้งแม่ ได้โปรดอย่าคิดทำลายเขา หรือทอดทิ้งให้ต้องมีเพียงแม่เลยค่ะ”

สองสามีภรรยามองตากันในความเงียบงันและวังเวง ราวกับการใช้สายตาเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะสื่อความรู้สึกทางใจอันติดค้างในแต่ละฝ่าย เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเลิกกัน แม้กายใกล้เพียงเอื้อม ใจก็เห็นเหมือนห่างสุดหล้าไปเสียแล้ว




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น