วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๓๐. โลกล่ม)

ตอนที่ ๓๐. โลกล่ม


มาวันทาเดินมาถึงรถ กำลังจะหันไปลาอมฤตก็ต้องประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อลานดาวตามประกบและเอ่ยขอ

“จ๊ะว่าจะออกไปซื้อของหน่อย ขอติดรถไปส่งพี่เอินถึงบ้านแล้วกัน พอดีมีเรื่องอยากคุยด้วยนิดหนึ่ง ตอนเย็นลืม”

แพทย์สาวฉงน แต่ก็มิได้เฉลียวคิดอะไรมาก

“งั้นเหรอ เอาสิ”

“ขับตามไปนะคะพี่แตร”

ลานดาวหันมาบอก อมฤตยิ้มรับเยี่ยงคนรักที่ดี ที่ทำตัวเป็นเบ๊ว่าง่าย

“มีอะไร?”

มาวันทาถามตั้งแต่เริ่มออกจากบ้าน

“คือ…”

ลานดาวเลือกเรื่องเหมาะไว้แล้ว ชนิดที่สมเหตุสมผลพอกับคำอ้างว่าอยากคุยส่วนตัว ขณะเดียวกันก็ปรารถนาจะฟังความคิดเห็นในเรื่องนี้จากพี่สาวจริงๆ

“พี่เอินเห็นเรื่องการ… มีอะไรกันก่อนแต่งนี่ เป็นไงมั้ยคะ?”

มาวันทากะพริบตาเนิบช้า เหลียวมองน้องสาวแวบหนึ่งก่อนหันมองเบื้องหน้า และถามกลับแบบตรงไปตรงมา

“มีแล้ว หรือยังชั่งใจอยู่?”

“ก้อ…” ลานดาวทำเป็นอายม้วนต้วนแบบแกล้งๆ “จะว่ายังก็ยัง ถามพี่เอินก่อน จ๊ะว่าสมัยนี้เห็นเป็นเรื่องธรรมด๊า ธรรมดา”

“ทำกันเป็นธรรมดาน่ะใช่ แต่เห็นเป็นเรื่องธรรมดาหรือเปล่า คงต้องถามกันในวงกว้าง พี่ว่าถ้าสำรวจความเห็นกันจริงๆอาจไม่ใช่อย่างที่หลายคนคิดนะ… พี่แตรขอเธอหรือ?”

“เปล่า… แต่จะว่าไงล่ะ คือโดนกอดโดนจูบเป็นปกติ ไอ้เราก็… แหม่!… ใช่เทวรูปยืนถือน้ำพุบนแท่นบูชานี่เนาะ บ่อยเข้าก็รู้สึกรู้สา อยากลองมั่งเหมือนกัน”

มาวันทาย่นคิ้วสนเท่ห์

“เธอยังบริสุทธิ์อยู่?”

“ถามเสียงสูงปรี๊ดพิกลนะคะ อุ๊ยตาย! นี่เห็นเราเป็นอะไรมาตั้งนานเนี่ย?”

มาวันทานึกถึงวันที่ตนถูกรุก มาดของลานดาวในคืนนั้นยากจะทำใจเชื่อว่าไม่เคยผ่านสนามมาก่อน หล่อนเองเสียอีกมีสามีแล้วยังเป็นฝ่ายอาย

“ถ้าไม่เคยก็ดีแล้วนี่ แต่งแล้วค่อยมีอะไรกัน ผู้ชายจะได้เห็นค่าและให้เกียรติเรามากขึ้น เชื่อเถอะว่าพรหมจารียังเป็นสิ่งมีความหมายเสมอในวัฒนธรรมแบบเรา ต่อให้ผู้คนจิตใจด้านชา รับแนวคิดตะวันตกมาขนาดไหนก็ตาม เหลืออะไรที่สำคัญๆไว้ให้เขาค้นหา หรือตะกายคว้าเหมือนยังไปไม่ถึงที่สุดของดวงดาวมั่ง ตามธรรมชาติแล้วเซ็กซ์เป็นเครื่องแสดงว่าคนสองคนรักและไว้ใจกันมากพอจะร่วมชีวิต เปิดเผยทุกสิ่งต่อกัน เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวจนหมดความละอายต่อกัน ไม่ใช่หมดความละอายกับผู้ชายที่ไหนก็ได้ที่ทำให้เราอยาก… โดยเฉพาะสำหรับพี่แตร พี่ว่าเขาไม่ใช่คนด่วนได้กับเรื่องพรรค์นี้นะ”

“ก็ไม่แน่… ถ้าจ๊ะอ่อยๆหน่อย ขี้คร้านจะกางเขี้ยวเล็บกระโดดใส่จนหลบไม่ทัน”

“ก็อย่าไปอ่อยดิ้”

“สรุปคือพี่เอินไม่เห็นด้วย?”

“อือ”

“แล้วพี่เอินมีอะไรกับพี่อ๋องก่อนแต่งหรือเปล่าคะ?”

มาวันทาเงียบ ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่ชัดพอ ลานดาวเบือนหน้าไปซ่อนยิ้มหยัน และมาวันทาก็สัมผัสอาการนั้นได้

“จ๊ะ…” น้ำเสียงมีกระแสของคนฝืนใจเล่า “พี่อ๋องเคยใช้กำลังกับพี่ โดยที่พี่ไม่ได้สมยอมเลยแม้แต่น้อย และสาบานว่าไม่เคยยั่วยวนหรือส่งสัญญาณยินดีทอดตัวให้สักนิดเดียว พี่แตรต่างจากพี่อ๋อง พี่เชื่อว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ เพราะฉะนั้นเธอควรภูมิใจ และไม่ทำตัวให้เขาดูถูกเอา”

ลานดาวหันมาชำเลืองพี่สาว

“ทำไมรู้จักพี่แตรดีจัง เดาหรืออะไรเนี่ย ตัวเองเป็นแฟนเขาเหรอ แน่ใจจากไหนว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ?”

“ก็… ใช่หรือเปล่าล่ะ? เมื่อกี้เธอบอกเองว่าเขาไม่เคยขอแบบนั้น”

“จ๊ะว่าเป็นเพราะวิธีวางตัวของจ๊ะด้วย ถึงถามพี่เอินก่อนว่าเอาไงดี แบบ… อิอิ เข้าใจใช่ม้า คนเราก็อยู่ในอารมณ์อยากรู้อยากเห็นได้เหมือนกัน”

“ไม่รู้นะ นี่ไม่ได้หัวโบราณ แต่พูดตามสภาพธรรมชาติ ตอนนี้เธอยังเป็นสมบัติของพ่อแม่เธอ ยังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจด้วยตัวเองหรือมาถามเอากับพี่อย่างนี้ ต่อเมื่อเธอทำงานเลี้ยงตัวแล้วเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ได้อยู่ในความปกครองดูแลของพ่อแม่อีกต่อไป นั่นแหละถึงจะเป็นตัวของตัวเองมากพอจะเลือก”

“ฮี้!” หญิงสาวร้องดังๆ “ถ้าไม่บอกใครจะไปรู้”

“ก็เธอกับพี่แตรไง เหมือนทรัพย์สินที่คนอื่นหวงและเก็บซ่อนไว้ ตอนขโมยมาเอาไปเขาก็ไม่รู้หรอก แต่ความผิดก็เกิดขึ้นกับขโมยแล้ว โดยนัยเดียวกันถ้าพี่แตรทำอะไรเธอก็ต้องนับว่าผิดประเวณีกับลูกชาวบ้านอยู่ดี นี่พี่ไม่ได้มั่วนะ ธรรมชาติศีลธรรมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผู้หญิงเป็นเพศที่มีเจ้าของ ไม่ผู้ปกครองก็สามี เว้นแต่เลี้ยงตัวเองอยู่ตามลำพังก็อีกเรื่องหนึ่ง”

ลานดาวเงียบเป็นครู่ก่อนเอ่ย

“ถ้าพ่อแม่ไม่ว่าก็ถือว่าไม่ได้ลักกินขโมยกินใช่ไหม?”

“ก็… คงทำนองนั้น”

“งั้นจะลองถามแม่ดู”

มาวันทาย่นคิ้ว

“อยากมากหรือไง?”

“จ๊ะมีพี่เอินเป็นต้นแบบ เป็นนางในอุดมคติค่ะ พี่เอินผ่านมาทางไหน จ๊ะก็จะเลือกเจริญรอยตามทางนั้น”

ลานดาวแกล้งพูดยั่วแบบที่จะทำให้มาวันทากลัดกลุ้มและรู้สึกผิด ซึ่งก็ได้ผล มาวันทาทำท่าร้อนใจเพราะเห็นว่าลานดาวฉวยพฤติกรรมได้เสียก่อนแต่งของหล่อนเป็นข้ออ้าง

“บอกแล้วไงว่าพี่ไม่สมยอมให้พี่อ๋อง ไม่เชื่อถามพี่อ๋องดูก็ได้!”

น้องสาวฟังแล้วยิ้ม นัยน์ตาฉายแววซุกซนซอกแซก

“เล่าให้ฟังหน่อยได้ป้ะ เหตุการณ์ตอนนั้นน่ะ”

แพทย์สาวเงียบด้วยใจขุ่น ลานดาวจึงตะล่อม

“แค่อยากรู้ ตัวบอกว่าถูกปล้ำ แต่ไหงไปอยู่ในที่ที่ให้เขาปล้ำได้… โดนฉุดรึ?”

“ตอนนั้นพี่ยังเด็ก ยังซื่อ นึกไม่ถึงว่าถ้าพี่อ๋องรู้เวลาที่อยู่บ้านคนเดียวแล้วจะเกิดเรื่อง เขามากดออด จะไล่กลับก็กลัวเสียใจ”

ยอมเผยบางส่วน ไม่วายถูกแม่ตัวดีรุกอีก

“แล้วตอนโดนปล้ำทำไมไม่ร้อง?”

ลานดาวจ้องรอคำตอบ พอเห็นพี่สาวไม่ตอบแน่ก็ได้ข้อสรุป ผู้หญิงก็อย่างนี้เอง อาย! โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นคนรัก กลัวจะขายหน้าเพื่อนบ้าน กลัวจะมองหน้ากันไม่ติดทีหลัง ปล่อยให้เขาได้ไปทั้งตัวแล้วค่อยมาสำนึกเสียใจ ส่วนใหญ่ผู้ชายได้ไปแล้วก็เบื่อ หายากกว่าหนึ่งในร้อยที่ยังมั่นคงพอจะสู่ขอ ตกแต่งจัดงานวิวาห์ให้สมเกียรติเหมือนคู่ของมาวันทากับลัดธีร์

“เอาล่ะๆ…” ไม่อยากทำให้พี่สาวเสียอารมณ์นานจึงแสดงท่าทีใหม่ “จะพยายามเชื่อพี่เอินก็แล้วกัน ความจริงยุคนี้เนื้อตัวผู้หญิงเราเหมือนกรวดทรายไร้ค่าเลยเนอะ จ๊ะลองลุกขึ้นมาหวงตัวซักคน อาจมีใครบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นสาวบริสุทธิ์คนสุดท้ายที่สงวนพรหมจารีไว้ได้จนถึงวันแต่ง เฮ้อ! ว่าแต่จะทนเก็บกดได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้ พี่แตรเนี่ยเสือร้ายชัดๆเลยพี่เอิน โดนจูบแต่ละทีจ๊ะจะคลั่งตาย”

มาวันทาระบายลมหายใจโล่งอก อย่างน้อยก็พอใจที่น้องยังเชื่อตน

“ในเมื่อรู้อย่างนั้นก็อย่าเปิดโอกาสให้เขามากนักซี่ จะได้ไม่ต้องทรมาน”

ลานดาวขยับเหมือนจะเอ่ยอะไรอีก แต่ชะงักคำไว้ เพราะเห็นว่าจวนถึงบ้านมาวันทาเต็มที ถ้าพูดแล้วเดี๋ยวไม่จบ เลยนั่งเงียบกระทั่งรถเคลื่อนมาถึงประตูรั้ว

นิ่งงันเมื่อเห็นท้ายรถวอลโวคันงามจอดเทียบรั้วหน้าบ้านของพี่สาว นึกถึงสังหรณ์ของอมฤตทันที แต่อีกใจก็คิดในทางดีไว้ก่อนว่าอาจเป็นรถของแขกบ้านอื่น หรืออาจเป็นคนรู้จักของมาวันทา จึงถามเปรย

“เอ๊ะ! มีใครมาหาพี่เอินหรือเปล่าคะ? เห็นเอากระจกลง รู้สึกว่านั่งกันในรถด้วย”

แพทย์สาวมองพินิจอยู่ครู่ ทีแรกเข้าใจว่าเป็นรถของบิดาลัดธีร์เพราะรุ่นเดียวกัน แต่ดูเลขทะเบียนแล้วก็เปลี่ยนความคิด

“คงเป็นแขกบ้านใครแถวนี้มั้ง”

มาวันทาพึมพำอย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะนั้นรถอมฤตตามมาหยุดรอเบื้องหลัง หล่อนเห็นไฟท้ายจากกระจกแล้วจึงหันมาถามน้องเป็นเชิงไล่

“เธอจะไปเลยหรือเปล่า?”

“กำลังคุยติดลมเลยอ้ะ”

“ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยต่อ”

“ขอลงไปเข้าห้องน้ำหน่อยเถอะ”

คราวนี้มาวันทาชักเอะใจ ความรู้สึกบอกว่าลานดาวไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำ

“อะไรของเธออีก?”

“ส่งกุญแจมาสิคะ จะไปเลื่อนประตูให้”

ลานดาวยื่นมือขอแบบตัดบท

“พี่อยากนอน เธอไปได้แล้ว”

“เอาน่า ขอลงไปคุยต่อในบ้านหน่อย”

มาวันทาปฏิเสธซ้ำอย่างจะดูปฏิกิริยาลานดาว

“อย่าเลย ถ้าเธอมาคนเดียวก็ว่าไปอย่าง นี่แฟนมาด้วย พี่เกรงใจเขา เราจะรู้ได้ไงว่าเขาเต็มใจอยู่หรือเปล่า”

ลานดาวชักฉิว เผลอกระชากเสียงอย่างลืมตัว

“บอกให้เอากุญแจมา!”

“ไม่เอา! เธอนั่นแหละไปกับพี่แตรได้แล้ว เป็นเจ้าหัวใจกันหรือไง นึกอยากเอาอะไรต้องเอาให้ได้ตลอด ไม่สนใจใครเขาอยากรู้เหตุผลที่มาที่ไป”

“เอ๊า! พูดไม่รู้เรื่อง เป็นหมอจับฉลากหรือเปล่า? ก็เมื่อกี้บอกว่าขอเข้าห้องน้ำอ้ะ หรือว่างกน้ำประปา? ถ้างั้นไปเตรียมจดมิเตอร์ไว้เลยว่าขึ้นกี่ยูนิต เดี๋ยวให้พี่แตรจ่าย หรือถ้ายังไม่จุใจพรุ่งนี้นัดกินหูฉลามกันให้สะดือปลิ้นก็ได้นะ จ๊ะเลี้ยง”

ขณะกำลังต่อล้อต่อเถียงด้วยสำเนียงพี่ๆน้องๆอยู่นั้นเอง ประตูรถวอลโวเปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวลงมาจากตอนหลัง ติดตามด้วยชายฉกรรจ์สองคนลงมาจากตอนหน้า มาวันทากับลานดาวหันไปจ้องมองด้วยความประหลาดใจ เพราะทั้งสามเดินตรงมาที่รถอย่างรู้ว่าจะมาหาใคร นั่นเองแพทย์สาวจึงดับเครื่องและเปิดประตูก้าวลงจากรถลงไปเผชิญหน้า

“คุณมาวันทาใช่ไหมคะ?”

อาคันตุกะยามวิกาลทักทายนิ่มนวลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ให้ความรู้สึกเป็นมิตร มาวันทาพิศใบหน้าฝ่ายนั้นกลางแสงเรืองจากโคมข้างถนนแล้วเห็นว่าเป็นหญิงมาดดียิ่งคนหนึ่ง ท่วงทีกิริยาและการแต่งกายบอกชัดว่าผ่านสังคมมามากเกินธรรมดา ในฐานะผู้ออกคำสั่งมากกว่าผู้รับคำสั่ง

“ค่ะ ดิฉันเอง คุณ…”

“อัสนีชาค่ะ!”

มาวันทาคิดทวนชื่อฝ่ายนั้นในหัวงงๆ เพราะไม่คุ้นกับความเป็นหล่อนสักนิด

“มีธุระด่วนหรือเปล่าคะ?”

แพทย์สาวพยายามคิดถึงเรื่องที่โรงพยาบาลหรือความเป็นความตายของใครบางคน แต่ท่าทีของผู้หญิงตรงหน้าทำให้เปลี่ยนใจ อัสนีชาดูปกติเกินกว่าจะมีเรื่องร้อนรนชนิดนั้น

ลานดาวกับอมฤตตามมาสมทบ อัสนีชาชะงักไปเล็กน้อย เหลือบมองสองหนุ่มสาวคล้ายพบส่วนเกินที่ไม่คาดหมาย ท่าทีคล้ายลังเลอยู่ครู่ก่อนตัดสินใจพูดตามเจตนาเดิม

“ดิฉันอยากคุยกับคุณเรื่องพี่อ๋อง”

เพียงได้ยินเท่านั้น มาวันทาก็เกิดความเคว้งแปลกในศีรษะ คล้ายกับลงลิฟต์ที่มีอัตราเร็วเกินควร สุ้มเสียงและสีหน้าของอัสนีชายามเอ่ยถึงสามีหล่อนไม่ส่อนักว่าจะมีเรื่องดีๆพูดกัน

“เข้าไปคุยกันข้างในดีไหมคะ?”

มาวันทาได้ยินตนเองพูดเช่นนั้น เหมือนเป็นถ้อยคำที่บันทึกไว้ล่วงหน้ามากกว่าจะเพิ่งคิดออกมาในปัจจุบัน

“อย่าเลยค่ะ ขอเวลาแค่ครึ่งนาทีเพื่อบอกเรื่องสำคัญ… แล้วก็ไม่อยากอยู่ทันเห็นคุณร้องไห้!”

ประกายตาดุขึ้นเมื่อจบประโยคนั้นเพื่อขึ้นประโยคใหม่

“ดิฉันท้องกับพี่อ๋องได้เดือนหนึ่งแล้ว! เสียใจด้วย แต่ทุกอย่างเลยเถิดเกินกลับไปแก้ไข อีกไม่นานคุณพ่อของดิฉันคงต้องถามแน่ๆว่าเด็กที่อยู่ในท้องเป็นลูกใคร และถ้าท่านโมโห ดิฉันก็เกรงว่าพี่อ๋องอาจมีอันตรายโดยไม่อาจป้องกันตัวได้ อีกอย่าง… คุณยังไม่มีลูก แต่ดิฉันกำลังจะมีภายในแปดเดือนข้างหน้า หวังว่าจะมีความกรุณาต่อเด็กที่ไม่รู้เดียงสาด้วยนะคะ”

มาวันทาหน้าซีดเผือด หญิงแปลกหน้าใช้เวลาเพียงครึ่งนาทีทำให้โลกตรงหน้าแปลกไป ดุจทุกสิ่งกำลังเคลื่อนเข้าสู่ภาวะล่มสลายหายหนก็ไม่ปาน

อัสนีชาออกประกาศิตเยี่ยงนางพญา และหมุนตัวกลับอย่างเจ้านายสั่งงานเสร็จสมบูรณ์โดยไม่ร่ำไรรอคำซักถามใดๆ บริวารร่างล่ำสันที่มีกระไอกายคล้ายปีศาจเลือดเย็นจ้องมองมาวันทาด้วยรังสีคุกคามอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนหมุนตัวก้าวตามเจ้าแม่เหนือหัวไป

แพทย์สาวยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูกอยู่กับที่ ลานดาวเองก็มึนงงจับต้นชนปลายไม่ติดเป็นครู่ แต่พอเห็นหนึ่งในสองสมุนกำลังจะเปิดประตูตอนหลังให้ท่านหญิงผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นรถ ก็ตวาดเรียกด้วยเสียงเกรี้ยว

“เดี๋ยว!”

ก้าวฉับๆเป็นจังหวะสม่ำเสมอเข้าถึงตัวนายใหญ่โดยไม่สะทกสะท้านพรั่นพรึงกับบริวารร่างใหญ่ที่ยืนกร่างเป็นกำแพงขวาง ชายฉกรรจ์ทั้งสองคุ้นกับตบะอำนาจของเจ้าพ่อเจ้าแม่มานานพอจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา แรงปะทะในอากาศที่มาพร้อมย่างก้าวอันองอาจของหล่อนถึงกับทำให้ระย่อคออ่อนโดยไม่รู้ตัว ผงะถอยเปิดทางให้ก้าวหนึ่ง

“แน่ใจเหรอว่าไม่มีใครป้องกันตัวได้?”

ลานดาวเค้นเสียงเข้ม กอดอกถามอัสนีชาด้วยสง่าราศีที่เหนือกว่า

เมื่อผู้จู่โจมกลับกลายเป็นผู้ถูกจู่โจมโดยไม่คาดฝัน ความระส่ำระสายก็เกิดขึ้น อย่างน้อยอัสนีชาก็อึกอักพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ หล่อนเผยทั้งชื่อ กับทั้งให้เห็นทะเบียนรถเลขสวยไปแล้ว ถือว่ายืนอยู่ในที่แจ้งระดับหนึ่ง แต่ผู้หญิงที่กำลังยืนกอดอกใช้เสียงแข็งกับหล่อนเดี๋ยวนี้ เป็นใครมาจากไหน เลขทะเบียนรถอะไร ล้วนเป็นความมืดมนอย่างสนิท

อัสนีชารู้สึกถึงรัศมีอิทธิพลใหญ่ของฝ่ายตรงข้าม ผู้หญิงแค่คนเดียวสามารถข่มขี่พวกตนได้ถึงสามคนให้ละล้าละลัง แต่หล่อนไม่อยากเสียมาดน่าเกรงขามของตนต่อหน้าลูกน้อง จึงคุมสติให้เยือกเย็น เลือกใช้เสียงต่ำในการโต้ตอบ ด้วยตระหนักว่าแก้วเสียงของตนกำลังถูกกดไว้ด้วยพลังรุกจากอีกฝ่าย หากพูดเต็มเสียงอาจสั่นพร่าได้

“คุณเป็นใคร?”

ลานดาวยิ้มมุมปากนิดหนึ่งเมื่อเพราะเห็นแววหวั่นไหวในสายตาของอัสนีชา หล่อนมีความเชื่อมั่นในบารมีของอมฤตที่ปกคุ้มอยู่เบื้องหลัง จึงพูดแบบไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น

“จะขู่ใครทั้งทีทำไมมากันแค่นี้หือ? มีปัญญาเลี้ยงแค่นักมวยบ้านนอกขี้แพ้กับกระเป๋ารถเมล์เก่าที่ถูกไล่ออก ใช้ปืนเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ให้พวกสวะนี่มายืนจ้องหน้าข่มขวัญคนอื่นน่ะ ยังเป็นเจ้าแม่กระจอกอยู่ อย่าเพิ่งทะนงนัก เดี๋ยวเจอของแข็งขึ้นมาจะเสียใจ!”

ทุกถ้อยคำพรั่งพรูออกมาด้วยลีลาของคนที่เป็นของจริง สะกดให้ผู้รุกรานทั้งสามถึงกับหน้าถอดสี อย่างน้อยก็งงงันว่าลานดาวรู้ได้อย่างไร เรื่องบอดี้การ์ดคนหนึ่งเคยเป็นนักมวยบ้านนอกที่ชกแพ้รูดในนัดท้ายๆ กับอีกคนเคยเป็นพนักงานเก็บสตางค์บนรถประจำทางขี้เมาที่ถูกตัดหางปล่อยวัด

ถ้านั่นเป็นการเกทับส่งเดชก็นับว่าเหลือเชื่อสุดขีดที่บังเอิญถูกเผง!

จากประสบการณ์ของอัสนีชา ถ้าใครพูดฉอดๆอย่างไม่เกรงเสือสิงห์แบบนี้ อย่างไรก็คงไม่ใช่พวกมืออ่อนเท้าอ่อนแน่ หล่อนไม่กล้าโต้ตอบรุนแรง เพราะอยู่ใกล้แวดวงของการใช้อิทธิพลมืดมาแต่เล็ก จึงเข้าใจดีว่าการบุ่มบ่ามทำอะไรลงไปโดยไม่รู้เขารู้เราอาจเสียมากกว่าได้ นักเลงนั้นใช่จะเป็นฟ้าฟาดใส่ใครได้ตลอด วันหนึ่งเจอฟ้าที่ใหญ่กว่าอาจโดนฟาดกลับแบบปวดแสบปวดร้อนหลายร้อยเท่า จึงพยายามยิ้มแย้มและปั้นมาดนิ่ม

“คุณคงเป็นเพื่อนกับคุณมาวันทา”

“จะเพื่อนหรือญาติไม่สำคัญ เอาเป็นว่า เป็นคนที่รู้ได้เดี๋ยวนี้ว่าทะเบียนรถนี่ของใคร และทำอย่างไรจะให้เจ้าของอยู่ไม่เป็นสุขไปทั้งชาติ เรื่องขยี้กันในเงามืดน่ะ เชื่อเถอะว่าเทียบกันแล้วเธอมันแค่เด็กเมื่อวานซืนเท่านั้น!”

อัสนีชาตัวสั่นเทิ้ม เกิดความรู้สึกสองประการพร้อมกัน นั่นคือครั่นคร้ามหนึ่ง กับอยากตบหน้าลองดีกับนังนี่ให้รู้แล้วรู้รอดหนึ่ง หล่อนพยายามระงับโทสะ เพราะความจริงคือไพ่ในมือของตนไม่ใช่สูงส่งเท่าใดนัก เมื่อไม่แน่ใจว่ากำลังจะงัดข้อกับใครแน่จึงสู้ข่มความโกรธเสียด้วยการขบกรามระงับอารมณ์ พูดเค้นลอดไรฟัน

“ฉันแค่มาทวงสิทธิ์ที่มีผู้ชายมาทำฉันท้อง!”

“เธอไม่ได้มาทวงสิทธิ์ เธอมาวางก้าม มายกหางอวดฤทธิ์ ไม่ต่างอะไรกับแมงป่องที่สำคัญตัวว่าพิษสงมาก วันหนึ่งเถอะจะเจอพญานาคขึ้นมา!”

ขณะนั้นเงาร่างสูงอมฤตตามมาสมทบ

“คุณอัสนีชากลับไปก่อนเถอะครับ อย่ามีปากเสียงกันตรงนี้เลย”

ความสุภาพและน้ำเสียงเชิงทูตของชายหนุ่มทำให้บรรยากาศเบาบางลงระดับหนึ่ง อัสนีชาหันมองเขาแทน

“ฉันก็กำลังจะกลับ แต่ใครมารั้งไว้ล่ะ?”

“วิธีการของคุณไม่เหมาะสม ทั้งมาและไป ก็อาจต้องขอทำความเข้าใจเบื้องต้นกันบ้าง… ที่เหลือขอให้เจรจากันด้วยสันตินะครับ ไม่มีใครอยากเสียเวลา ไม่มีใครอยากได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจ และไม่มีใครปล่อยให้คนอื่นทำอันตรายโดยไม่ป้องกันตัว การทำให้อีกฝ่ายพินาศไม่ใช่เรื่องยาก ทั้งเราทำเขา และอาจจะเขาทำเรา เปลี่ยนวิธีคิดดีกว่า ทุกเรื่องลงเอยได้ด้วยการคุยกันให้รู้เรื่อง”

อัสนีชาเจอคนมามาก แต่ไม่เคยเหมือนคืนนี้ หนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าทำให้หล่อนรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับราชสีห์ใหญ่ สายตาเยือกขรึมเต็มไปด้วยพลังสะกดที่ไม่เคยพบเคยเห็นจากไหนมาก่อน ไม่ใช่แบบรังสีคุกคาม ไม่ใช่เชิงนักเลงข่มขวัญ และไม่ใช่เงามาเฟียทะมึนมืดมาแต่ไหน ทว่าเป็นอะไรอีกอย่างหนึ่งที่ครอบงำความรู้สึกนึกคิดของหล่อนได้ด้วยความเนิบนิ่มทรงอิทธิพล แทบทำให้ลืมหายใจไม่อยากกระดิกตัวทีเดียว!

“ลูกในท้องคงคุยแทนฉันได้หรอก ตอนเขาลืมตาดูโลกแล้วร้องหาพ่อ”

หญิงสาวยอมปล่อยให้หางเสียงสั่น และไหนๆมาถึงตรงนี้ ก็ใช้มารยาหญิงปั้นหน้าน่าสงสารเรียกร้องความเห็นใจแทนการห้ำหั่นด้วยวาจาและกำลังคนอย่างเคย

“ให้เราคุยกับสามีของน้องสาวผมก่อน พวกเราเพิ่งเห็นหน้าคุณ และเพิ่งฟังคุณพูดแค่ไม่กี่คำ จะให้เออออห่อหมก หรือให้ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งคงเหลือวิสัยนะครับ คุณอัสนีชาต้องเห็นใจคนอื่นด้วย ที่คุณกำลังทำนี้คือโยนระเบิดใส่แบบไม่ให้ตั้งตัว และระเบิดก็ทำงานแล้ว สิ่งที่เหลือคืองานจัดเก็บซากปรักหักพัง ต่างฝ่ายต่างจัดการภาระของตนอย่างสงบเถอะ”

อัสนีชามองหน้าอมฤตนิ่ง ก่อนพึมพำเย็นชา

“ฉันจะไม่ยอมให้ลูกในท้องเป็นซากปรักหักพังที่ตัวเองต้องจัดเก็บคนเดียวแน่ๆ!”

พูดจบก็หันหลังกลับ เปิดประตูขึ้นรถและกระแทกปิดปังด้วยมือตนเอง สองสมุนเอกไม่ยืนปั้นมาดขู่เข็ญแบบดาวร้ายหน้ายักษ์ในหนังไทยอีก พากันแยกย้ายขึ้นรถแทบมือเท้าพันกัน เพราะเห็นลูกพี่หญิงพลิกบทเป็นนางรองไปเสียแล้ว

ไฟท้ายรถค่อยๆห่างออกไปตามลำดับ ผู้มาทำให้มาวันทาใจสลายถึงหน้าบ้านลับตาไปแล้ว แต่อมฤตกับลานดาวยังยืนมองตามอยู่อึดใจก่อนหันหลังและเดินมาหามาวันทา ทุกคนอยู่ในสภาพอึ้งงันพูดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะเจ้าตัวผู้ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง คล้ายตกอยู่ในภาวะถูกสาปให้แข็งเป็นหิน สติเลือนหายไปชั่วขณะ

“พี่เอิน… เข้าบ้านเถอะค่ะ เดี๋ยวจ๊ะเอารถเข้าให้”

ลานดาวปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน ใช้มือจับต้นแขนอีกฝ่ายอย่างจะส่งกำลังใจ ซึ่งเมื่อสติของแพทย์สาวกลับคืนมาก็พึมพำแผ่ว

“พี่ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ อย่าห่วง”

น้องสาวเหลือบตาเห็นมือไม้ผู้พี่สั่นระริกแล้วส่ายหน้า

“ไม่ได้ห่วงหรอกค่ะ ก็แค่อยากให้พี่เอินเดินเข้าบ้านสบายๆบ้าง”

ยินเสียงประโลมใจของผู้เป็นที่รัก ผู้ยืนเป็นหลักที่พึ่งให้ในยามเจ็บร้าวสาหัส มาวันทาก็เกิดความอ่อนแอจนเกินกว่าจะอยากทรงตัวด้วยตนเองต่อ หล่อนโผเข้ากอดน้องแล้วสะอื้นฮัก ลานดาวกอดตอบ นัยน์ตาส่องแววเจ็บแค้นแทน รับรู้ความเจ็บปวดรวดร้าวของพี่สาวชัดราวกับเกิดขึ้นกับตนเอง

“ไปคุยกันในบ้านเถอะ” อมฤตเอ่ย “จ๊ะพาเอินเข้าไป เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องรถเอง”

“ค่ะ”

ลานดาวรับคำ ตบหลังมาวันทาเบาๆสองที ผละจากฝ่ายนั้นเพื่อมุดเข้าไปเอากุญแจจากในรถมาเลื่อนประตูรั้ว แล้วกลับไปประคองปลอบ ดึงพี่สาวเข้าบ้าน

สามหนุ่มสาวมานั่งรวมกันท่ามกลางความเงียบงัน มาวันทาพยายามตั้งสติยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่แสดงอาการหมดสภาพให้อมฤตและลานดาวพลอยเดือดเนื้อร้อนใจมากนัก

“พี่แตรพาจ๊ะไปทำธุระต่อเถอะค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งในคืนนี้”

“พี่อ๋องกลับวันไหนคะ?”

ลานดาวถามขัด

“พรุ่งนี้เช้า”

“คืนนี้จ๊ะนอนเป็นเพื่อนแล้วกันนะ”

“ไม่ต้องหรอก”

“ไม่ได้หลอก… จะนอนที่นี่จริงๆ”

เจ้าของบ้านหัวเราะแผ่ว

“เดี๋ยวพี่จะอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ต้องตื่นไปทำงานแต่เช้า ไว้เจอกับพี่อ๋องคงคุยกันว่าความจริงเป็นยังไง อย่ากลัวพี่จะคิดอะไรมากเลย”

ลานดาวถอนใจ หล่อนไม่กลัวมาวันทาคิดมาก แต่กลัวจะคิดสั้นต่างหาก ภาพพี่สาวก้าวขึ้นโต๊ะกระจกเตรียมโดดตึกโดยปราศจากอาการชะงักคิดลังเลยังติดตาไม่จาง คนเคยฆ่าตัวตายมาก่อน อย่างไรก็ได้ชื่อว่าเพาะนิสัยหลบปัญหาด้วยทางลัดไว้แล้ว ที่จะซื้อความไว้ใจจากญาติสนิทมิตรสหาย ปล่อยให้อยู่ตามลำพังยามเครียดคงยากหน่อย

“จ๊ะอยากดูแลพี่เอิน ขอแค่แสดงความห่วงใยด้วยการนอนเป็นเพื่อนก็รังเกียจหรือคะ?”

มาวันทาถอนใจบ้าง เพราะแน่ใจว่าตนสงบสติอารมณ์เข้าที่ดีแล้ว

“เมื่อกี้ประสาทชาไปหน่อย เธอเลยนึกว่าพี่จะทำบ้าๆอีกล่ะซี… เชื่อเถอะ พี่ไม่รักพี่อ๋องขนาดทำลายตัวเองลงคอหรอก โดยเฉพาะในคืนที่พี่แตรเพิ่งสอนวิธีรับมือกับอุปาทานร้ายๆในหัวอย่างนี้”

พูดจบก็หันไปยิ้มให้อมฤต

“แปลกจังค่ะ เมื่อกี้เหมือนจิตเอินถอยออกมาดูเหตุการณ์เลวร้ายเอง คล้ายกับเป็นอีกคนหนึ่งยืนดูหนังที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอยู่ครู่ใหญ่ กระทั่งยายจ๊ะมาปลอบนั่นแหละ ถึงกลับมารู้สึกอ่อนแออีก”

อมฤตย่นคิ้วกังวลเล็กน้อย พยายามสำรวจและเฝ้าติดตามกระแสจิตของมาวันทาทั้งส่วนตื้นและส่วนลึกอย่างละเอียด พบว่ามีความเศร้าระลอกใหญ่แฝงอยู่เหมือนคลื่นใต้น้ำ แต่ยังดันขึ้นมาไม่ถึงผิวนอก จึงปรากฏสีหน้าสีตาคล้ายไม่ทุกข์มาก

และด้วยเพราะเห็นคลื่นใต้น้ำทางอารมณ์เช่นนั้น อมฤตจึงกระทำตนเป็นหมอดูพยากรณ์เหตุการณ์

“เดี๋ยวพออยู่คนเดียวเอินอาจร้องไห้อย่างขาดสติก็ได้นะ พี่เห็นความทุกข์ที่ซ่อนตัวอยู่ ตอนนี้แม้เอินเองก็อาจจะนึกว่าทำใจได้ แต่พอระเบิดเวลาทำงาน ทุกอย่างคงเหมือนทำนบแตก… ให้จ๊ะอยู่เป็นเพื่อนก็ดี”

มาวันทาหุบยิ้ม รู้สึกเหมือนถูกรุมกล่าวหา หรือมีใครต่อใครบอกว่ารู้จักหล่อนดีกว่าตัวหล่อนเอง แต่ด้วยความนับถือและเกรงใจอมฤต มาวันทาจึงฝืนกล่าว

“เพื่อความสบายใจของพี่แตรกับจ๊ะ จะให้จ๊ะนอนที่นี่ก็ได้ค่ะ แต่ขอให้รู้ว่าเอินยังเป็นปกติทุกประการ”

“ค่ะ… ยอมให้หาว่าเป็นห่วงเกินเหตุ ยอมทุกอย่าง ให้นอนพื้นข้างเตียง เผื่อตอนดึกๆพี่เอินอยากหย่อนเท้าลงมาคลึงเล่นแก้กลุ้มก็ยังได้”

แม้กำลังตึงเครียดข้นหนักเช่นนั้น ลานดาวยังทำให้สองหมอเผลอหัวเราะผ่อนคลายออกมาไหว อมฤตเหลือบตามองแฟนสาวแล้วคิดในใจว่าแม่คนนี้ช่างมีพรสวรรค์ทางบันเทิงเสียจริงๆ

มาวันทาอยากให้ลานดาวกับอมฤตเห็นว่าตนสบายดี จึงชวนคุย

“เธอกล้าจัง ตอนเข้าไปต่อปากต่อคำกับพวกนั้น ทำอย่างกับเป็นลูกสาวมาเฟียใหญ่จริงๆงั้นแหละ”

“อิอิ ลูกบ้าประจำตัวน่ะค่ะ เอาเข้าจริงก็ถอย นี่เห็นพี่แตรยืนปกเกล้าปกกระหม่อมอยู่เลยกล้าเสี่ยงเกทับดู”

“แล้วรู้ได้ไงว่าบอดี้การ์ดสองคนนั่นเป็นนักมวยบ้านนอกกับกระเป๋ารถเมล์เก่า?”

ลานดาวยิ้มเก๋

“ปากพูดออกมาเองแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันค่ะ เป็นแฟนพี่แตรเลยพลอยมีสัมผัสพิเศษตามมั้ง มันรู้ขึ้นมาเดี๋ยวนั้นในวินาทีที่ต้องพูดอะไรบางอย่างออกไป เหมือนมีข้อมูลติดตัวสองหน่อนั่นอยู่เจ๋งๆ เราแค่เห็นอย่างไรยิงอย่างนั้น… ความจริงถึงผิดก็คิดเสียว่าเป็นมุขเกทับได้นะ”

ทุกคนหัวเราะในลำคอพร้อมกัน

“แต่ท่าทางแม่นนี่ ทำเอาชะงักกึกกันไปหมด… พี่แตรมองแล้วรู้หรือเปล่าคะ?”

อมฤตสั่นศีรษะยอมรับซื่อๆ

“ไม่รู้หรอก จิตสัมผัสเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่มีใครรู้ทุกแง่มุม ใจแต่ละคนมีวิธีเลือกส่อง เลือกรับ เลือกจับต้องไปต่างๆ พี่อาจรู้แบบจ๊ะก็ได้ถ้ากำลังอยู่ภายใต้สถานการณ์และเงื่อนไขเดียวกัน”

ลานดาวกับอมฤตชวนมาวันทาคุยไปสารพัดเรื่องเพื่อให้ลืมความทุกข์ พร้อมกับสังเกตว่าอารมณ์แปรปรวนได้มากน้อยเพียงใด ทว่าแม้พี่สาวจะดูมีสติดีขนาดไหน ลานดาวก็ไม่ไว้วางใจอีกต่อไป หล่อนยืนกรานที่จะนอนเป็นเพื่อน กระทั่งมาวันทายินยอมอย่างอ่อนใจปนรำคาญด้วยเหตุผลคือสองเสียงชนะหนึ่งเสียง

มาวันทาถอนใจยาวเหยียด หล่อนกลายเป็นคนมีประวัติเสียหาย ต้องอยู่ในสายตาดูแลระมัดระวังไม่ให้ฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะนี่เป็นการลงความเห็นรับรองของจิตแพทย์อย่างอมฤต ยิ่งทำให้เสียความรู้สึกกับตัวเองอย่างแรง และน้อยใจที่เขามองไม่ออกว่าหล่อนรับแรงสั่นสะเทือนระดับนี้ได้โดยไม่ทุกข์หนักยืดเยื้อ ก็เพราะเขานั่นเองเป็นผู้ปรับแต่งวิธีดำเนินจิตเพื่อรับเรื่องเลวร้าย พอหล่อนทำใจได้เร็ว แทนที่จะชื่นชมและให้คะแนนดีๆ กลับหาว่าซุกซ่อนทุกข์ใหญ่ไว้เสียอีก

แต่คืนนี้เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดก็ทำให้หล่อนรู้จักเพื่อนที่ดีที่สุดสองคน มิตรแท้ปรากฏตัวในยามเดือดร้อน ไม่ใช่ในยามยิ้มชื่น ลานดาวเล่าให้ฟังหลังจากอยู่กันตามลำพังในเวลาต่อมา เกี่ยวกับสังหรณ์ของอมฤตที่เห็นมีคนดักรอหล่อนอยู่ และติดตามมาช่วยโดยไม่หวั่นเกรงว่าจะต้องเผชิญกับภัยร้ายรูปแบบใด มาวันทานึกไม่ออกเลยว่าถ้าขาดอมฤตกับลานดาวในคืนนี้ หล่อนจะรับกับสถานการณ์โลกล่มได้อย่างไรตามลำพัง

แต่ที่แน่ใจและบอกกับตนเองอย่างเชื่อมั่นก็คือต่อให้ขาดลานดาวกับอมฤต หล่อนก็จะไม่ฆ่าตัวตายเพราะผิดหวังในตัวลัดธีร์อย่างเด็ดขาด หล่อนจะต้องเอาคุณค่าของชีวิตตัวเองไปแลกกับพฤติกรรมไร้ค่าของเขาทำไมกันเล่า?




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น