แค่ตั้งใจดีอย่างเดียวไม่พอ คุณต้องเข้าใจให้ดีพอด้วย
ตัวแปรที่กระตุ้นให้ก่อกรรม
๑) ปัจจัยแวดล้อมเริ่มแรก
ไม่มีใครจำการตัดสินใจครั้งแรกได้ ทุกคนทราบแต่ว่าในวัยเด็กน้อยที่แขนขาสั้นเกินกว่าช่วยเหลือตนเอง ทุกคนไม่มีสิทธิ์เลือก ไม่มีสิทธิ์คิดตัดสินใจว่าจะเอาแบบไหน ทั้งพ่อแม่ เพศ รูปร่างหน้าตา แก้วเสียง สุขภาพ ฐานะ ที่อยู่อาศัย ครู ความเฉลียวฉลาด และวิธีใช้สติคิดอ่าน ทุกคนทราบแต่เพียงว่าตนถูกบังคับให้ต้องมีสมบัติเหล่านี้ ไม่ว่าชอบหรือชังก็ตาม
การตัดสินใจครั้งแรกๆนั้น เริ่มต้นเมื่อคุณมีสิทธิ์เลือกบางสิ่งตามใจชอบ เช่นเข้าโรงเรียนอนุบาลเจอเพื่อนคนไหนชอบใจก็เลือกคบคนนั้น ไม่ชอบใจขึ้นมาก็เลิกคบกัน เป็นต้น ทุกการตัดสินใจมีแรงผลักดันเสมอ แรงผลักดันแรกคือทุนเก่าที่แต่ละคนมีติดตัว อย่างเช่นถ้าคุณมีพ่อแม่สอนให้เลือกคบเพื่อนรวยๆ แนวโน้มที่คุณจะเป็นคนหัวสูงก็ย่อมมีอยู่
กรรมเป็นแดนเกิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เมื่อถือตามความจริงนี้ แปลว่าคุณไม่ได้มาเกิดกับพ่อแม่ที่สอนให้หัวสูงโดยบังเอิญ คุณจะต้องเคยหัวสูงมาก่อน หรือทำกรรมบางอย่างที่ลงตัวพอดีกับพ่อแม่หัวสูง ผลจึงออกมาสอดคล้องเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม ความเป็นคนหัวสูงไม่เที่ยง เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยแบบหนึ่ง และมีสิทธิ์แปรไปด้วยเหตุปัจจัยอีกแบบหนึ่ง หมายความว่าระหว่างมีชีวิตมนุษย์แต่ละครั้ง ถ้ามีแรงกระทำมาเปลี่ยนใจคุณ ทำให้คุณอ่อนโยนลง ลดความแข็งกระด้างได้อย่างถาวรชั่วชีวิต ก็แปลว่ามีนิสัยใหม่ที่ตั้งมั่น คือความอ่อนโยน นอบน้อมถ่อมตน ไม่ดูถูกคนยากจน เช่นนี้เมื่อเกิดใหม่คุณย่อมไปเกิดกับพ่อแม่ที่ไม่สอนให้หัวสูง แล้วก็ทำให้การตัดสินใจครั้งแรกๆของคุณเปลี่ยนไปด้วย
สรุปคือในเกมกรรมนั้น แม้กระทั่งการตัดสินใจครั้งแรกๆก็หาได้เกิดจากความบังเอิญ ต้องมีปัจจัยพื้นฐานของชีวิตเป็นตัวผลักดันอยู่เบื้องหลังเสมอ
ความจริงมีอยู่ประการหนึ่ง คือการตัดสินใจที่ขาดความเข้าใจเกมกรรมนั้น มักนำปัญหาใหม่มาเพิ่มแทนการแก้ปัญหาเก่าให้หมดไป สิ่งที่ฟ้องว่าคุณกำลังเดินอยู่บนทางเลือกที่ผิด คือการต้องทนทุกข์ทั้งที่ทุนเก่าน่าจะเอื้อให้เป็นสุข เช่นเศรษฐีที่มีเงินมาก แต่จิตใจเหมือนขอทานที่ไม่มีเงินสักบาท
สิ่งที่คุณต้องทราบคือ การคิดคะแนนใหม่เริ่มต้นนับแต่มีการตัดสินใจครั้งแรกๆด้วยตนเอง หลักกว้างๆมีอยู่ว่าถ้าคุณตัดสินใจอยู่ข้างแรงต้านกิเลส (เช่นมโนธรรม มนุษยธรรม และเหตุผล) โดยมากคะแนนคุณจะบวกขึ้น เห็นได้จากที่มีความสุขทางใจมากกว่าที่ควร แต่หากคุณตัดสินใจยอมตามแรงบีบคั้นของกิเลส (เช่นเครื่องกระตุ้นความโลภและความโกรธ) โอกาสจะสั่งสมคะแนนลบก็สูง เห็นได้จากที่มีความทุกข์ทางใจมากกว่าที่ควร
๒) เพื่อน
เพื่อนมีหลายแบบ สำหรับแบบที่กล่าวถึงในหัวข้อนี้คือเพื่อนที่คุณรู้สึกว่าเข้ากับคุณได้ คุณไว้วางใจเขาได้ คุณคิดพึ่งพาเขายามเกิดปัญหา คุณสนิทกับเขาพอจะถือวิสาสะมากหรือน้อย คุณสามารถพูดเล่นหรือใช้ภาษาโฉดๆได้โดยไม่โกรธกัน และคุณก็รู้สึกว่าตัวเองมีอิทธิพลกับชีวิตของเขาพอๆกับที่เขาก็มีอิทธิพลกับชีวิตของคุณในทางใดทางหนึ่ง เช่นคุณต้องยินยอมแบ่งเวลาทำกิจกรรมบันเทิงที่ปราศจากผลประโยชน์ร่วมกับเขา พักผ่อนหย่อนใจหรืออยู่ใกล้กับเขาเงียบๆได้โดยไม่อึดอัด และไม่จำเป็นต้องหาเรื่องมาพูดจ้อเสมอไป
เพื่อนในความหมายของคนใกล้ชิดนั้น โดยมากจะเป็นคนวัยเดียวกัน เพศเดียวกัน แต่นิยามความเป็นเพื่อนก็มิได้จำกัดจำเพาะเจาะจงอยู่แค่นั้น เพื่อนอาจต่างเพศ ต่างวัย ต่างชาติต่างภาษา หรืออาจเป็นพ่อแม่พี่น้องของคุณเองก็ได้
การที่หลายคนรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเพื่อนสนิท ก็อาจจะเพราะไม่มีใครที่ตรงตามคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น และการที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าตนมีเพื่อนแท้ ก็เพราะเกิดปัญหาหนักๆแล้วไม่มีใครแสดงตัวยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
เพื่อนสนิทหรือเพื่อนแท้ของคุณไม่ได้มีอิทธิพลกับคุณแค่เป็นใครให้คุณหยอกล้อเล่นหัวหรือพึ่งพายามยาก แต่เขายังมีส่วนในการหักเหเส้นทางกรรมของคุณ หรือส่งเสริมต่อยอดให้เส้นทางกรรมเดิมของคุณไปถึงจุดหมายเป็นนรกสวรรค์เต็มภูมิ คำยั่วยุหรือกำลังใจเล็กๆน้อยๆจากเพื่อนอาจมีผลให้คุณตัดสินใจทำเรื่องบ้าๆที่คุณไม่เคยคิดอยากทำ หรืออาจทำให้คุณยับยั้งชั่งใจในเวลาใกล้ขาดสติ
ส่วนเพื่อนกิน หรือเพื่อนที่มาตอดนิดตอดหน่อย จ้องจะเอารัดเอาเปรียบคุณอยู่ตลอดเวลานั้น คุณไม่จำเป็นต้องหา และไม่จำเป็นต้องมีกรรมเก่าอันใดเป็นพิเศษ เพราะมนุษย์เกินกว่าครึ่งพร้อมจะเป็นเพื่อนกินอยู่แล้ว
สำหรับกรรมเก่าที่ทำให้มีเพื่อนมากคือความมีน้ำใจ มีความคิด คำพูด และการกระทำในเชิงผูกไมตรี ชอบเกื้อกูลไม่เลือกหน้า ไม่มองใครในด้านลบด้านร้ายตั้งแต่แรกพบ กรรมประเภทนี้จะทำให้จิตมีความเบิกบาน ก่อกระแสความเป็นกันเอง และมีแรงดึงดูดให้ใครต่อใครอยากเข้ามาสนิทด้วย
กรรมเก่าที่ทำให้มีเพื่อนน้อยคือการเป็นคนแล้งน้ำใจ ชอบเอารัดเอาเปรียบ มีความคิด คำพูด และการกระทำในเชิงปฏิเสธไมตรี พร้อมจะมองใครๆแบบเพ่งโทษโดยยังไม่ทันคุยกันสักคำ กรรมประเภทนี้จะทำให้จิตมีความเศร้าหมอง ก่อกระแสความอึดอัดน่าระคาย และเต็มไปด้วยแรงผลักให้ใครต่อใครอยากออกห่าง
กรรมเก่าที่มีเพื่อนดีๆ คอยให้คำแนะนำและเป็นกำลังใจในด้านดี คือเคยเป็นคนว่าง่าย ไม่ดึงดันไร้เหตุผลเมื่อใครตักเตือนให้ได้สติคิดชอบ หรือทำตัวเป็นกำลังใจสนับสนุนให้คนรอบตัวประพฤติตนในทางที่ควร
กรรมเก่าที่มีเพื่อนเลวๆ คอยยุยงให้ไหลไปสู่ความเดือดร้อน คือเคยเป็นคนว่ายาก ดึงดันไร้เหตุผลเมื่อใครตักเตือน หรือทำตัวเป็นบ่างช่างยุให้คนเขาแตกคอกัน สนับสนุนให้คนใกล้ตัวหมกมุ่นในกามและการแก้แค้น หรือเขาอยู่ดีๆก็หาอุบายให้เขาเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คิดทำเรื่องเลวทรามต่างๆ
กรรมเก่าที่ทำให้มีเพื่อนสนิทแน่นแฟ้นคือการร่วมคิด ร่วมความเชื่อ และร่วมกระทำกิจน้อยใหญ่ด้วยกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลให้ซึ้งใจกัน เมื่อสนิทกันมากๆอาจไม่ได้มีแต่ความสัมพันธ์ด้านดีต่อกัน แต่อาจทำร้ายจิตใจหรือกระทั่งทำร้ายร่างกายกัน ตรงนั้นไม่สำคัญ สำคัญคือแม้ทะเลาะเบาะแว้งหนักขนาดไหนต้องกลับมาคืนดีกันได้ จึงจะย้อนกลับมาเป็นแรงกระชับความผูกพันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น แต่ถ้ากลับคืนดีไม่ได้ ยังอาฆาตอยากล้างแค้นกันไปล้างแค้นกันมา ก็อาจหมายถึงการเป็นศัตรูคู่อาฆาตรายใหญ่ อาจจะระดับข้ามภพข้ามชาติไปเลย
กรรมเก่าที่ทำให้มีเพื่อนแท้คือการร่วมกันทำบุญใหญ่สำเร็จ และมีความปลาบปลื้มยินดี ยิ้มให้กัน มองกันเต็มตาด้วยความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว บุญใหญ่อาจหมายถึงการช่วยเหลือพระที่เจ็บไข้อาพาธหนัก หรืออาจหมายถึงการร่วมกันสร้างชุมชนยากไร้ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น หรืออาจหมายถึงการร่วมงานบุญกันเป็นประจำ กระทั่งสะสมบุญสัมพันธ์ไว้พัฒนาจากกองเล็กเป็นกองใหญ่ บังเกิดความผูกพันเหนียวแน่นจนรู้สึกไม่เป็นอื่นต่อกัน น้ำพักน้ำแรงที่ช่วยกันจนงานบุญใหญ่สำเร็จนั้น จะย้อนกลับมาเป็นกำลังให้ทำกิจน้อยใหญ่ร่วมกันสำเร็จเสมอ เมื่อฝ่ายใดพลั้งพลาด อีกฝ่ายก็สามารถยื้อยุดฉุดดึงให้กลับทรงตัวขึ้นได้ใหม่ อีกทั้งอำนาจบุญในอดีตชาติจะเป็นกำลังให้ซึ้งใจกันตั้งแต่แรกพบ โดยยังไม่ทันต้องร่วมบุญกันอีก
และที่สุดแล้ว ชาตินี้ชีวิตนี้ คุณมีสิทธิ์ทำกรรมใหม่ คือเลือกสร้างเพื่อน หรือเลือกคบเพื่อนในแบบที่จะทำให้คุณได้คิด ได้ตั้งจิตเป็นบุญ แม้ว่าต้องตกอยู่ใต้อำนาจกรรมเก่า ส่งให้คุณอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เป็นมิตร ขอเพียงคุณมีน้ำใจและคิดดีกับทุกคน ไม่สนใจว่าเขาจะดีตอบหรือร้ายมา วันหนึ่งอาจเป็นชาตินี้หรือชาติหน้า เมื่อกรรมใหม่ถึงเวลาให้ผล คุณจะมีเพื่อนมาก เพื่อนที่ดี เพื่อนสนิท และเพื่อนแท้เข้าจนได้
๓) ผู้นำ
แต่ละคนมีอิทธิพลชักนำผู้อื่นไม่เท่ากัน มนุษย์จะรู้สึกได้ถึงความจริงนี้ตั้งแต่เด็กๆ และนั่นก็ทำให้เกิดการเลือกหัวหน้าชั้น หรือหัวหน้ากลุ่มเพื่อเป็นผู้นำกระทำกิจเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นแม่งานการตัดสินใจที่ทุกคนต้องยอมรับ
การเลือกผู้นำจะเป็นตัวบอกว่าคุณยอมรับนับถือคนแบบใด รวมทั้งอาจบอกว่าอนาคตของคุณจะอยู่ในทิศทางของการชี้นำจากคนแบบใด คุณยินดีตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแบบไหน
ในวัยเด็กภาวะความเป็นผู้นำอาจไม่ซับซ้อน เพราะเด็กๆยังสร้างภาพกันไม่เก่ง ใครมีทุนเก่าอย่างไรบารมีก็มักฉายออกมาตรงจริงตามนั้น คุณจึงเลือกยอมรับนับถือใครแบบตรงไปตรงมาจากภาพที่ปรากฏ เช่นหากเขามีรัศมีความเป็นผู้นำ มีความเด็ดเดี่ยวมั่นคง และมีความพิเศษที่ข่มคุณได้ ใจคุณก็จะยอมรับทันที โดยไม่ต้องสำรวจเสียก่อนว่าคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียของเขามีอยู่มากน้อยเพียงใด
แต่เมื่อคนเราโตขึ้น ก็จะเริ่มมีความซับซ้อนในตัวเอง รัศมีความเป็นผู้นำไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับหมู่ชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งจากคนในท้องถิ่นหรือมหาชนระดับประเทศ บีบคั้นให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสร้างภาพความเป็นผู้นำที่เหนือกว่าใคร และเมื่อคุณต้องเกี่ยวข้องกับการปกครองในฐานะผู้เลือก ก็ต้องดูว่าคุณเชื่อภาพแบบไหน ศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดของผู้นำเพียงใด ถ้ารู้ลึกแล้วเต็มใจเลือกใคร ก็เท่ากับคุณยอมรับอิทธิพลจากคนๆนั้นเต็มที่ เช่นคุณยินดีในแนวคิดของผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยจริยธรรม และเขาพิสูจน์ตัวเองว่ามีจริยธรรมในระยะยาว ก็เท่ากับคุณถูกปลูกฝังให้เอาแบบอย่างจริยธรรมของผู้นำที่คุณศรัทธาเข้ามาไว้ในตนเอง
และไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด หลายครั้งคุณอาจจำใจต้องยอมรับผู้นำ เช่นอยู่ในเกมฟุตบอลที่ใครบางคนสมควรเป็นศูนย์หน้าหรือกัปตันทีม ทั้งที่คุณไม่เห็นด้วย ก็อาศัยเสียงเดียวคัดค้านไม่ได้ หรือในฐานะประชาชนคนหนึ่ง คุณเลือกพรรคที่เห็นว่าเลวน้อยที่สุด หมายความว่าคุณไม่ได้เต็มใจเชียร์ใครให้เป็นผู้นำของคุณ คุณไม่ได้เลือกนาย คุณเพียงตกอยู่ในสถานการณ์จำทนต้องเลือกคนมารับใช้ชาติเท่านั้น กรรมเช่นนี้ต่อไปจะไม่มีผลให้คุณต้องยอมรับอิทธิพลของเขาหรือคนแบบเขาเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก
ความหมายของผู้นำไม่ใช่แค่ผู้บัญชาให้ทำโน่นทำนี่ แต่ยังอาจหมายถึงการเป็นผู้เป็นแบบอย่าง มีความเป็นตัวของตัวเอง เหนี่ยวนำให้ผู้พบเห็นถือเป็นแบบอย่าง พูดง่ายๆว่าใครที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณในทางใดทางหนึ่ง ก็จัดเป็นผู้นำในทางนั้นๆของคุณ คุณไม่อาจทราบตั้งแต่เกิดว่าใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ ที่จะทำให้คุณเกิดแรงบันดาลใจ แต่เมื่อพบ คุณก็จะรู้ เช่นเห็นเพื่อนเล่นเปียโนได้เพราะ คุณก็อยากเล่นให้ได้อย่างเขาบ้าง หรือเห็นครูบางคนขยันสอน กระตือรือร้นทุ่มเททำความกระจ่างให้กับนักเรียนทุกคน คุณก็ซึมซับรับรู้และนึกอยากมีพลังในการสอนแบบนั้นบ้าง เป็นต้น
กรรมที่ทำให้คุณเลือกผู้นำที่ดี คือยอมมีใจลงให้กับผู้พาไปสู่ทางอันเป็นประโยชน์ ได้แก่การที่เคยขวนขวายช่วยเหลือผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม หรือถึงแม้ไม่เคยลงมือช่วย อย่างน้อยก็เคยเอาใจช่วยเมื่อพิจารณาแล้วว่าสิ่งที่เขาทำเป็นประโยชน์สุขกับส่วนรวม ไม่คิดอกุศล ไม่พูดคัดค้าน ไม่กระทำการต่อต้านใดๆ
กรรมที่ทำให้คุณเลือกผู้นำที่เลว คือยอมมีใจลงให้กับผู้พาไปสู่ทางอันเป็นโทษ คือรู้ทั้งรู้ว่าเขาคิดผิด คิดเห็นแก่ตัว คิดเบียดเบียนสังคม แต่ก็ยังสนับสนุนช่วยเหลือ เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ร่วมกันกับเขา
กรรมที่ทำให้มีความเป็นผู้นำ ได้แก่การทำตนเป็นที่พึ่ง เป็นความอุ่นใจ เป็นความหวังของกลุ่ม คนเรามีบารมีขึ้นมาได้ด้วยการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่ด้วยการอยู่เฉยหรือขอให้คนอื่นช่วย ลักษณะความเป็นผู้นำแจกแจงได้หลากหลายพิสดาร แต่โดยเบื้องต้นแล้ว อย่างน้อยต้องมีลักษณะของผู้มีสติ มีความเห็นเป้าหมายว่าจะชักชวนให้ใครทำอะไร มีความมั่นคงอันเกิดจากการควบคุมตนเองให้อยู่ในร่องในรอยสู่เป้าหมาย มีความเต็มใจที่จะชี้นำและอธิบายให้คนอื่นเข้าใจวิถีทางที่เลือก กล้าคิดในแบบที่แตกต่าง กับทั้งฉลาดพอจะแก้ปัญหาที่คนอื่นแก้ไม่ได้
กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำระดับย่อยคือความขวนขวายน้อย กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำระดับใหญ่คือความขวนขวายมาก
กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำที่มีบริวารจงรักภักดีสูง คือความมีใจคิดเสียสละด้วยความบริสุทธิ์ หวังประโยชน์ผู้อื่นเป็นที่ตั้ง กับทั้งสามารถพลิกชีวิตผู้อื่นด้วยการเปลี่ยนความเห็นผิดให้เป็นความเห็นชอบ เปลี่ยนสถานะช่วยตัวเองไม่ได้ให้กลายเป็นช่วยตัวเองและคนอื่นได้ เป็นต้น
กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำที่ดีและมีบริวารมาก คือการชี้นำให้ผู้อื่นเข้าใจ เลื่อมใสในการบุญการกุศล แล้วจึงชักชวนให้ใครต่อใครทำบุญตาม ตลอดจนได้ดีตาม ขอจงแยกให้ออกว่าผู้นำทั่วไปกับผู้นำที่ดีนั้น แม้เป็นผู้นำเหมือนกัน ก็ทำให้คนได้ดีต่างกัน ผู้นำระดับประเทศอย่างฮิตเลอร์อาจใช้คำพูดยุยงปลุกปั่น พาคนนับล้านให้หลงผิดตาม คิดว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ศัตรูคู่อาฆาตคือทางออกที่ดีที่สุด อย่างนี้เรียกบุญเก่าเกี่ยวกับบริวารดี แต่ไม่ได้พาบริวารไปดี ส่วนผู้นำอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ จะทรงใช้พระอัจฉริยภาพในการเลือกคำ เพียงไม่กี่คำทำให้พสกนิกรจิตใจสงบเยือกเย็นลง ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ผู้คนเจ็บแค้นเพื่อนบ้านจนเฉียดเป็นสงครามระหว่างประเทศแท้ๆ อย่างนี้เรียกว่าสมควรเป็นกษัตริย์โดยกรรม เพราะบุญญาธิการส่งให้มีพสกนิกรจงรักภักดีทั่วประเทศ แล้วก็ทรงพาพสกนิกรไปดีด้วย
๔) ครู
ครูมีหลายระดับ ระดับแรกคือครูที่สอนไม่เป็น ระดับที่สองคือครูที่สอนให้เอาแต่ท่องจำ ระดับที่สามคือครูที่สอนให้คุณมีความรู้ความเข้าใจ ระดับที่สี่คือครูที่สอนให้คุณคิดเป็น ระดับที่ห้าคือครูที่สอนให้คุณรู้จักเป้าหมายของชีวิต และระดับสุดท้ายคือครูที่สอนให้คุณรู้จักประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิต
ครูที่สอนไม่เป็นอาจหมายถึงครูที่ไม่รู้จริง ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าสอนใครได้ ไม่มีใจรักอาชีพครูพอจะพยายามพัฒนาทักษะการสอน บางทีรู้แต่ก็ถ่ายทอดไม่ถูก หรือบางทีถ่ายทอดถูกแต่ก็หลงๆลืมๆหรือจำผิดจำถูก เราอาจไม่ได้เห็นครูประเภทนี้มากนัก แต่ก็หลงเข้ามายึดอาชีพครูประมาณหนึ่งในร้อยหนึ่งในพัน บางคนก็ลาออกเร็ว บางคนก็ย่ำอยู่กับที่เป็นสิบปี แต่ก็มีที่พัฒนาขึ้นในปีต่อๆมา ครูที่พัฒนาตัวเองมักกลับดำเป็นขาว จากขาดความเชื่อมั่นเป็นมั่นใจในตัวเองสูง จากถ่ายทอดลำบากเป็นถ่ายทอดคล่อง และจากรู้น้อยกลายเป็นรู้มาก เนื่องจากกรรมที่เกิดจากความเต็มใจสอนนักเรียนจำนวนมากๆนั้นให้ผลเร็ว
ครูที่มีความรู้ดีจนมีความมั่นใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งนั้น อาจเป็นเพียงความมั่นใจตำรา ไม่ใช่มั่นใจในตนเองว่ารู้และเข้าใจศาสตร์หนึ่งๆอย่างแท้จริง ความมั่นใจในตำราจึงทำให้พูดและคิดเฉพาะที่มีอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรตามตำรา วิธีการสอนจึงเป็นการสั่งให้นักเรียนท่องตามตำราเช่นเดียวกับตน ข้อด้อยของครูระดับนี้คือ ‘ตอบได้จำกัด’ พูดง่ายๆคือคุณอย่าถามในสิ่งที่ท่านไม่รู้ เพราะท่านจะตอบไม่ได้ หรือตอบแบบเทียบเคียงให้ใกล้ที่สุดกับตำรา ซึ่งหลายครั้งที่คำตอบประเภทนี้จะไม่ตรงจุด และพาคุณไขว้เขว ไม่อาจเจาะลงไปถึงความลึกซึ้งของศาสตร์นั้นๆผ่านครูระดับนี้
ครูที่มีทักษะดีพอจะทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจนั้น ต้องมีความเชื่อมั่นในความรู้อันครอบคลุมตลอดสายของตน กับทั้งมีความกระตือรือร้น พัฒนาวิธีพูด วิธีแสดงเนื้อหา ไม่ลืมว่าตนเองเคยสงสัยตรงไหน อยากรู้อะไร กับทั้งมีความอดทนพอจะลงรายละเอียดทั้งในส่วนต้น ส่วนกลาง และส่วนปลาย เมื่อคุณอยู่ในมือครูที่รู้จริง คุณจะซึมซับความรู้จริงนั้นเพียงด้วยการตั้งใจฟังดีๆ และเหมือนตาสว่างขึ้นเป็นเปลาะๆ ข้อเด่นของครูระดับนี้คือ ‘สามารถตอบ’ ได้ตรงจุด คุณถามอะไรท่านตอบได้หมด และด้วยภาษาของท่านเอง ไม่จำกัดวงแคบตามตัวอักษรในตำรา ทั้งนี้ก็จะไม่ตอบออกนอกลู่นอกทาง นอกตำราแบบคิดเดาเอาเองด้วย
ครูที่สอนให้คุณคิดเป็นนั้น จะต่อยอดความเข้าใจของคุณไปอีกขั้นหนึ่ง คือฝึกให้คุณเห็นสิ่งที่ควรจะมีแต่ยังไม่มี ท้าทายให้คุณคิดในสิ่งที่คุณอาจไม่กล้าคิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่จำกัดคุณอยู่กับความถูกความผิดแบบผูกขาด นี้มิใช่ยุยงให้คิดเองเออเองอย่างไรก็ได้ แต่จะชี้ให้เข้าใจเรื่องประโยชน์ เรื่องโทษ เรื่องเหตุ เรื่องผล กระทั่งคุณทราบว่าจะอยู่ในฐานะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับโลก ไม่ปล่อยให้โลกย่ำอยู่กับที่ได้อย่างไร
ครูที่สอนให้คุณรู้จักเป้าหมายของชีวิต หมายถึงครูที่ทำให้คุณรู้จักตนเอง และรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้ม ครูประเภทนี้อาจเป็นใครก็ได้ที่รู้จักคุณดีกว่าตัวคุณเอง และมีความสามารถพอจะเปิดเผยตัวตนของคุณให้คุณเห็นและยอมรับ กับทั้งทราบชัดว่ามีข้อบกพร่องอันใด มีจุดแข็งใดที่ควรนำมาใช้เป็นจุดยืน เป็นต้น
ครูที่สอนให้รู้จักประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิตนั้น หมายถึงศาสดาผู้มีบารมีระดับตั้งศาสนาได้ เพราะแก่นของศาสนาคือการแสดงเป้าหมายสูงสุดที่น่าไปให้ถึง อย่างเช่นสำหรับศาสนาพุทธ จะชี้ให้เห็นว่าทุกข์คืออะไร ต้นเหตุแห่งทุกข์คืออะไร ภาวะความดับทุกข์เป็นอย่างไร และจะไปถึงภาวะความดับทุกข์นั้นได้อย่างไร การตั้งศาสนาขึ้นมาให้คนเชื่อตามได้ เล็งประโยชน์สูงสุดตามได้ ตลอดจนประพฤติปฏิบัติตามอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้วบรรลุผลตามได้ นับเป็นบรมครูผู้ไม่มีอื่นยิ่งกว่า
ในวัยเด็กคุณต้องพบกับครูที่คุณเลือกไม่ได้ และแม้จะมีครูหลายคน แต่ก็จะมีเพียงไม่กี่คนที่ส่งอิทธิพลกระทบชีวิตคุณจริงจัง นั่นเป็นการแสดงตัวของกรรมเก่า คุณเคยเชื่อและอยู่ในโอวาทของครูแบบใดในอดีตชาติ ชีวิตนี้คุณก็จะพบเจอกับครูแบบนั้นหรือใกล้เคียงกันนั้น คุณจะถูกหล่อหลอมและดัดแปลงความคิดให้เป็นไปตามครรลองเดิมๆ
แต่เมื่อโตขึ้นมา ถึงจุดหนึ่งของชีวิตคุณจะต้องการเลือกครูด้วยตนเอง เมื่อใจคุณถามหาประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิต อันนี้ก็สุดแต่กรรมเก่าของคุณจะพาไปไหน คือไม่ใช่แค่ดูว่าชาติก่อนคุณ ‘เป็นคนของศาสนาใด’ แต่ต้องดูด้วยว่าคุณ ‘มีวิธีนับถือศาสนาอย่างไร’ หากอดีตชาติคุณมีวิธีนับถือศาสนาด้วยการหวังพึ่งพาความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แนวโน้มคือคุณจะพบและศรัทธาครูที่สอนให้พึ่งพาผู้อื่น และทำกรรมดีเพื่อหวังผลแต่เฉพาะในชาติหน้า แต่หากอดีตชาติคุณมีวิธีนับถือศาสนาด้วยการทำกรรมพึ่งพาตนเอง ศึกษาหาความเข้าใจเพื่อบรรลุประโยชน์สูงสุดในชาติปัจจุบัน แนวโน้มคือคุณจะพบและศรัทธาครูที่สอนให้มีเหตุผล สืบหาความจริงจากสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเดี๋ยวนี้
สรุปคือคุณเลือกครูแบบใด ก็แสดงให้เห็นว่าคุณมีอัธยาศัย หรือมีบุญอยู่กับเส้นทางที่ครูสอนแบบนั้น และการมีอุปกรณ์เล่นเกมกรรมแบบมนุษย์นี้ คุณมีสิทธิ์ ‘เปลี่ยนครู’ ได้เสมอ ครูที่คุณตัดสินใจเลือกได้ด้วยตนเองยามรู้ความนั่นเอง จะมาแทนที่ครูคนเก่า หมายความว่าเกมกรรมครั้งต่อไปคุณจะพบกับครูแบบที่คุณเลือกที่จะเชื่อในครั้งนี้เอง
กรรมที่ทำให้มีครูดี คือเคยหัวอ่อน อยู่ในโอวาท และมีความกตัญญูคิดตอบแทนครูที่ดี กรรมที่ทำให้มีครูนำไปสู่ความหลงผิด คือการที่เคยร่วมยินดีกับคำสอนที่หลงผิด เหยียบย่ำคนที่เขาถูก ตลอดจนพยายามยัดเยียดแนวคิดผิดทางให้คนอื่นยึดถือตามตน
กรรมที่ทำให้เป็นครูที่สอนให้เข้าใจได้ คือความมีใจฝักใฝ่กระตือรือร้นในการสอน ไม่รังเกียจการตอบคำถาม มีความอยากให้คนอื่นรู้อย่างที่ตนรู้ เข้าใจอย่างที่ตนเข้าใจ กับทั้งคิดหาวิธีที่จะทำให้ใครๆเข้าใจเรื่องยากโดยง่าย ไม่ต้องเหนื่อยนาน ความพยายามดังกล่าวจะไม่แค่ทำให้พบวิธีที่ต้องการ แต่ยังกลายเป็นกรรมที่ให้ผลสะท้อนกลับมาในรูปพลังการสอนที่เหนือกว่าครูทั่วไป
กรรมที่ทำให้เป็นครูที่สอนให้เห็นประโยชน์สูงสุดจากการเป็นมนุษย์ คือเป็นผู้แสวงหาประโยชน์สูงสุดจากคนอื่น แล้วนำมาพิจารณาแยบคายด้วยตนเอง ทดลองพิสูจน์จนเห็นผลแล้ว จึงนำไปเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ตาม หากชาติใดตั้งโจทย์ได้ถูก พิจารณาเห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ หาเหตุแห่งการเกิดทุกข์พบ และได้วิธีระงับเหตุแห่งทุกข์นั้น กระทั่งบรรลุธรรม รู้จักนิพพานอันเป็นที่สุดทุกข์ กับทั้งสามารถนำพระสัทธรรมมาเผยแผ่ให้คนทั่วไปได้รู้ตาม ก็ได้ชื่อเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมครูผู้รู้แจ้งนิพพานด้วยตนเอง ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธรื้อถอนสัตว์จากสภาพเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยการบอกทางถูก ทางตรง
๕) คนรัก
คุณเลือกคนแบบไหนมาเป็นคู่รัก ก็เท่ากับคุณเลือกใจตัวเองเป็นแบบนั้น อาจจะบางส่วนหรือทั้งหมด เพราะการประคองชีวิตรักให้ได้นาน ย่อมหมายถึงการปรับตัวเข้าหากัน และการปรับตัวก็อาจหมายถึงการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตประจำวัน วิธีพูดคุยให้รู้เรื่องด้วยการใช้เหตุผลแบบเดียวกัน ตลอดจนกระทั่งวิธีคิดเกี่ยวกับการดำรงชีพ ว่าจะอยู่เพื่อครอบครัวขนาดเล็กหรือใหญ่ ตลอดจนคิดให้อะไรกับครอบครัวอย่างเดียวหรือเสียสละบางสิ่งให้สังคมด้วย เป็นต้น
คนรักอาจเป็นผู้ที่มีอิทธิพลกับคุณมากที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งคืออาจเป็นตัวแปรให้กรรมของคุณเปลี่ยนแปลงได้ยิ่งกว่าใคร เขาอาจยุยงคุณให้กลายเป็นนักโกหกตามเขา หรืออาจปั่นหัวคุณแทบเป็นบ้าด้วยการแกล้งงอนให้ตามง้อ หรือด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของเขาอาจทำให้คุณกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ตาม
ในทางตรงข้าม แบบอย่างความดีงามบางประการในตัวคนรัก ก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเห็นดีเห็นงามตามโดยไม่รู้สึกตัว บางเรื่องที่คุณดื้อ ใครสอนอย่างไรก็ไม่ฟัง คุณอาจโอนอ่อนลง กระทั่งเปลี่ยนนิสัยได้เพียงเพราะเห็นแบบอย่างที่ดีใกล้ตัว เขาอาจไม่ได้สอนคุณเป็นคำพูดเช่นอย่าตระหนี่นักเลย หัดทำบุญทำทานเสียบ้าง แต่เมื่อคุณเห็นเขาซื้อขนมให้หมาแมวเป็นกิจวัตรประจำ และทำด้วยอาการอ่อนโยนน่าประทับใจ ในที่สุดจิตคุณก็ถูกโน้มน้าวให้นึกอยากซื้อขนมให้หมาแมวด้วยความเต็มใจเองบ้าง
ส่วนพวกที่มีคนรักแล้วไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเลยนั้น อาจหมายความได้สองประการ ประการแรกคือบุญเก่าชักพาคู่รักที่เข้ากันได้สนิทมาให้ เพียงเป็นตัวเดิมอย่างเคยก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกันอย่างเป็นสุข ประการที่สองคือเป็นคนมีอัตตาแรงจัด ไม่เห็นหัวคนรัก ไม่สนใจว่าคนรักจะชอบหรือไม่ชอบสิ่งใดในตน กับทั้งไม่ยอมโอนอ่อนใดๆ ด้วยความสำคัญว่าตนเองถูกต้องแล้ว ดีที่สุดแล้ว ซึ่งก็มักลงเอยเป็นการหย่าร้างกันจนได้
ปัจจุบันธรรมเนียมคลุมถุงชนลดน้อยเบาบางลงมาก เพราะการศึกษายุคใหม่และความเปิดกว้างของสังคมทำให้หนุ่มสาวมีโอกาสเลือกคนรักกันเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคนส่วนใหญ่มีโอกาสเลือกว่าจะให้เส้นทางกรรมของตนเองโน้มเอียงไปทางไหน
คนส่วนใหญ่เลือกคนรักเพื่อความสุขความสบายใจ หรือเพื่อสนองความบันเทิงทางเพศ และไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะในแง่ของเส้นทางกรรม ทั้งที่เส้นทางกรรมอันสัมพันธ์กันระหว่างคนรักนั่นเอง ที่จะทำให้รักกันหวานชื่นหรือขื่นขม ได้เสพสมนานเท่านานหรือเพียงสั้น
อีกประการหนึ่ง เมื่อได้คนรักมาอยู่ด้วยกัน คุณเลือกไม่ได้ว่าจะเอาแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งที่น่าชอบใจมา คุณต้องเอามาทั้งตัว รวมทั้งเงากรรมที่ตามหลังเขามาด้วย ผลกรรมของคนรักของคุณจะมีผลกระทบข้างเคียงกับคุณด้วย ที่เห็นได้ชัดก็เช่นถ้าเขาทำทานไว้มาก ชาตินี้รวยและมีลาภเสมอๆ คุณก็พลอยได้ส่วนความรวยหรือส่วนแบ่งลาภจากเขาในทางใดทางหนึ่ง แต่หากเขาเป็นพวกชอบหาเรื่อง มีเรื่องร้ายๆมากระทบให้ยุ่งยากใจ คุณก็จะพลอยปันส่วนเรื่องยุ่งยากใจกับเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
หากอดีตชาติเคยร่วมกันช่วยเหลือคนไว้มาก ชาตินี้เมื่อมาอยู่ด้วยกันจะเกิดแต่เรื่องดีๆ มีใครต่อใครชื่นชมและสนับสนุนให้แต่งงานกัน จะทำธุรกิจธุรกรรมอะไรร่วมกันก็เจริญรุ่งเรืองน่าอิ่มใจไปหมด
หากอดีตชาติเคยร่วมกันทำร้ายคนไว้มาก ชาตินี้แม้กระแสดึงดูดทางเพศจะชักนำให้มาอยู่ด้วยกัน ก็จะตีกันเอง แตกคอกันเอง พอแยกกันอยู่จะคิดถึงกัน แต่พออยู่ด้วยกันเป็นมีเรื่อง แม้แต่คิดร่วมทำบุญกันก็จะทะเลาะในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เป็นเหตุให้บุญที่ทำร่วมกันหม่นหมอง ไม่ผ่องใส เดินทางร่วมกันแท้ๆแต่เหมือนแยกกันไปคนละทิศ
กรรมที่ทำให้พบคนรักที่เข้ากันได้อย่างสนิทแน่นแฟ้น เต็มใจอยู่ด้วยกันไปจนตาย และเที่ยงที่จะได้พบกันอีกในชาติถัดๆไป ได้แก่การมีศรัทธาความเชื่อที่เสมอกัน มีศีลที่เสมอกัน มีความเสียสละที่เสมอกัน และมีปัญญาที่เสมอกัน เรียกว่าคุยกันรู้เรื่องเพราะพื้นความเชื่อไม่แตกต่างกัน เข้าใจกันได้หมด ตกลงกันได้หมด เอออวยกันได้หมด มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลไม่เอารัดเอาเปรียบกันไปหมด คนรักประเภทนี้มักถูกมองว่าเป็นเนื้อคู่ หรือคู่แท้ถาวร ซึ่งมีเองอยู่แล้วในธรรมชาติ ขอให้ทราบว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในเกมกรรมนั้น ต้องสานต่อเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ ถ้าเหตุปัจจัยหมด ผลก็หมดตาม
กรรมที่ทำให้พบคนรักไม่ถูกใจ อยู่ด้วยกันแล้วเป็นทุกข์ มีเหตุให้ต้องระหองระแหงเสียความรู้สึกบ่อยๆ หรือเข้ากันไม่ค่อยได้ ตั้งตนเป็นศัตรู จ้องเอารัดเอาเปรียบหรือฉกฉวยกัน ครองเรือนมีลูกหลานแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แก่การมีศรัทธาความเชื่อที่แตกต่างกัน มีศีลสูงต่ำกว่ากัน มีน้ำใจเสียสละผิดกัน ตลอดจนมีปัญญาห่างชั้นกัน ตัดสินใจครองรักกันอย่างวู่วามด้วยเหตุผลตื้นๆเช่นอยากมีเพศสัมพันธ์กัน หรือเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาถูกใจ หรือเพียงเพื่อให้ชีวิตดูสมบูรณ์แบบ หรือเพียงเพราะเหตุผลเกี่ยวกับการเงิน เป็นต้น
๖) อาชีพ
อาชีพที่คุณเลือกแล้วรู้สึกว่าเข้ากับตัวตนของคุณได้นั้น จะสะท้อนความเป็นคุณได้มากพอสมควร แต่ละสาขาอาชีพต้องการความสามารถต่างกัน บางอาชีพต้องการให้คุณคิดมาก บางอาชีพต้องการให้คุณพูดมาก บางอาชีพต้องการให้คุณออกแรงมาก คุณเลือกอาชีพแบบใดก็ต้องเน้นทำกรรมแบบหนึ่งๆมากเป็นพิเศษ และคนส่วนใหญ่ก็จะรู้จักตนเองผ่านอาชีพที่ยึดไว้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่เอง
เหตุผลของการเลือกอาชีพอาจเป็นตัววัดความโลภได้ระดับหนึ่ง ถ้าเงินมาก่อนงาน แปลว่าคุณเสียความเป็นตัวของตัวเองให้กับความโลภ ถ้าเนื้อหาของงานมาก่อนเงิน แปลว่าคุณเห็นแก่ความเป็นตัวของตัวเองก่อนความโลภ
และเมื่ออาชีพการงานคือตัวคุณ เหตุผลที่ตัดสินใจออกจากงานของคุณย่อมเป็นตัวบอกว่าโลภะ โทสะ โมหะมีอำนาจเหนือคุณมากน้อยเพียงใด หากคุณทิ้งงานค้างคาไว้ให้คนอื่นเพียงเพราะต้องการรับเงินเดือนที่สูงกว่า อันนั้นแปลว่าความโลภอยู่เหนือตัวคุณ คุณไม่สนใจอะไรมากไปกว่าลาภที่ชวนละโมบ หากคุณผลุนผลันลาออกทั้งที่ไม่พร้อม ด้วยเหตุผลเพียงเพราะโกรธใครบางคน อันนั้นแปลว่าตัวคุณตกอยู่ใต้อำนาจโทสะ หากคุณทำอาชีพที่รู้สึกว่าไม่เหมาะกับตัวเอง แต่ยังฝืนดันทุรังทำต่อ เพียงเพราะกลัวการลำบากหางานใหม่ หรือขี้เกียจพัฒนาตัวเองเพื่อความก้าวหน้า อันนั้นแปลว่าคุณยอมปล่อยให้โมหะครอบงำจนดิ้นไม่หลุด
ตรงข้าม หากคุณทำงานอย่างคุ้มค่าจ้าง ถนอมน้ำใจเพื่อนร่วมงาน และมีจังหวะเวลากับเหตุผลที่ดีในการลาออกโดยไม่ให้ใครเดือดร้อน กับทั้งสามารถใช้ประสบการณ์ต่อยอดไปสู่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น คุณจะรู้สึกเต็มตัว เต็มภูมิ เต็มคน ไม่มีความติดค้าง
กรรมที่ทำให้เป็นใหญ่ในอาชีพ คือการเคยช่วยเหลือให้ผู้คนให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือมีส่วนผลักดันให้สาขาอาชีพที่เคยทำเจริญรุ่งเรือง (โดยไม่จำเป็นต้องเป็นอันเดียวกับอาชีพในปัจจุบัน)
กรรมที่ทำให้ประสบความสำเร็จ มั่งมีและเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาเป็นพิเศษในธุรกิจแบบใดแบบหนึ่ง เป็นไปได้ว่าเพราะเคยทำบุญด้านนั้นๆมา เช่นถ้าเคยทำขนมถวายพระเป็นประจำ มีการบรรจงฝีมืออย่างประณีต มีความฉลาดในการแต่งรสให้อร่อย ขณะถวายมีความอิ่มใจ มีความรื่นเริงในบุญ มีความเอื้อเฟื้อแจกจ่ายกับคนที่มาในงานบุญ อย่างนี้หากเกิดใหม่จะเป็นคนมีหัวในเรื่องการทำขนม แม้ไม่ได้ร่ำเรียนมากก็ทำได้อร่อยกว่าคนอื่น คิดสูตรได้เอง กับทั้งเมื่อเปิดร้านทำขนมก็จะเงินทองไหลมาเทมา เป็นที่รู้จักกว้างขวาง เปิดสาขาได้ทั่ว หรือจะเขียนตำราทำขนมหรือทำอาหารก็ขายดิบขายดีเป็นที่นิยม
การเป็นผู้ค้าขายได้กำไรนั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยหลายประการ เช่นความตาแหลม รู้จักจัดหาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ ฉลาดตั้งราคาให้ได้กำไรคุ้มทุนโดยที่ลูกค้าก็ไม่นึกเกี่ยงงอน นอกจากนั้นยังสร้างความน่าเชื่อถือเป็น เช่นจ่ายหนี้ตามนัด ตลอดจนเลี้ยงครอบครัวและบริวารให้อยู่เป็นสุข ไม่มีปัญหาขัดแย้งหรือเรื่องระส่ำระสายภายในกิจการ
อย่างไรก็ตาม ยังมีกรรมเก่าเป็นตัวช่วยพิเศษ ที่ประกันความมีลาภในการค้าขาย คือการได้เคยอาสากับสมณะว่าถ้าต้องการสิ่งใดขอให้บอก เมื่อสมณะบอกขอแล้วก็จัดให้ตามประสงค์ เช่นนี้ถ้าเลือกเป็นพ่อค้าจะขายได้กำไรเสมอ แต่ถ้าถวายเกินกว่าที่ท่านประสงค์ก็จะได้กำไรสูงเหนือความคาดหมาย ในทางตรงข้ามหากสมณะบอกขอแล้วไม่ให้ครบตามคำขอ ก็จะค้าขายไม่ได้กำไรดังหวัง ยิ่งหากแกล้งทำเป็นลืม ไม่ให้ตามที่ท่านขอเลย อย่างนี้ก็มีแต่ค้าขายขาดทุนท่าเดียว
ตัวแปรในการก่อกรรม
๑) เจตนาตั้งต้น
ต้องดูก่อนเลยว่าหวังดีหรือหวังร้าย และการที่จะดูว่าหวังดีหรือหวังร้าย ก็ต้องพิจารณาจากความรู้อยู่แก่ใจ หรือคาดหวังไว้ล่วงหน้า ว่าทำอะไรลงไปควรจะเกิดผลกับใคร อย่างไร แค่ไหน
บางทีแม้ผลลัพธ์อาจไม่ตรงกับเจตนา แต่เจตนาก็ปรุงแต่งจิตให้เป็นสว่างหรือมืดเรียบร้อยแล้ว ยกตัวอย่างเช่นอุตส่าห์ดักรอคนแก่ ตั้งใจแกล้งคำรามเหมือนผีหลอกให้คนแก่ตกใจตายเพื่อฮุบสมบัติ แต่ปรากฏว่าคนแก่รู้ทันล่วงหน้า นอกจากไม่ตกใจยังหัวเราะขบขันในท่าทางของปีศาจกำมะลอ สรุปคือเจตนาฆ่าให้ผลเป็นความบันเทิงแก่เหยื่อไป
แม้คนแก่จะไม่ตายและกลายเป็นได้ขำ แต่อย่างไรเจตนาตั้งต้นนั้นก็ยังคงเป็นความจงใจฆ่า เป็นอกุศลจิตขั้นรุนแรง คือได้ตัวตั้งในการทำปาณาติบาตแล้ว เพียงแต่ยังไม่จัดเป็นปาณาติบาตโดยสมบูรณ์ เนื่องจากการฆ่าไม่ประสบความสำเร็จ
นั่นก็หมายความว่าแม้ไม่ต้องรับผลจากปาณาติบาต แต่ก็ได้ชื่อว่าทำบาปด้วยใจแล้ว และเป็นระดับรุนแรงมากด้วย ขอให้คำนึงว่าวิญญาณเพชฌฆาตได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ แม้จะยังไม่เป็นเพชฌฆาตอย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม
ตัวอย่างดังกล่าวคงทำให้เห็นได้ชัด เกมกรรมอาศัยเจตนาตั้งต้นเป็นตัวตัดสิน ว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นบุญหรือเป็นบาป เกมกรรมไม่ได้ดูว่าผลที่เกิดกับผู้ถูกกระทำเป็นอย่างไร เช่นในตัวอย่างข้างต้นนี้ ไม่ใช่ว่าได้ผลเป็นบุญที่ช่วยให้คนแก่หัวเราะ แต่ผลจะเป็นบาปอันเกิดจากเจตนาฆ่า
อีกตัวอย่างหนึ่ง คงเห็นว่าคนเรายิ่งมีตัวตนซับซ้อนขึ้นเพียงใด จิตใจก็ยิ่งดูยากขึ้นเพียงนั้น อย่างเช่นนักการเมืองระดับดาวสภา ที่ฝึกพูด ฝึกสำรวมกิริยาท่าทีดีมาก ดูสุภาพนุ่มนวล สงบนิ่งไม่หวั่นไหวง่าย กับทั้งสามารถผูกคำพูดเต็มไปด้วยเหตุผลน่าเชื่อถือ กระทั่งเหมือนรักประเทศ ต้องการเสียสละเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ออกมาจากใจจริง
แต่เมื่อส่องดูบางพฤติกรรม คนรู้เห็นก็อาจสงสัยว่าใจจริงหรือตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างตอนออกโทรทัศน์แน่หรือ เพราะก็เหมือนคนธรรมดาที่ต้องการเอาแต่ประโยชน์เข้าตัวเท่านั้น
หากเล็งกันที่จิต ว่าค่อนไปทางมืดเพราะโลภ หรือค่อนไปทางสว่างเพราะเสียสละ ก็จะตัดสินได้ว่าเจตนาหลักอันเป็นฐานตั้งของเจตนาอื่นๆนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ สำหรับนักการเมืองที่สร้างความเชื่อถือได้ในระดับประเทศนั้น หากหวังร้ายอยากกอบโกยจากชาติบ้านเมืองอย่างเดียวก็ยากที่จะมีสง่าราศี อย่างน้อยต้องมีความหวังดีกับชาติบ้านเมืองพอจะส่งกระแสให้คนรู้สึกไว้ใจได้ระดับหนึ่ง
แต่เวลาประชาชนมองนักการเมือง จะตัดสินด้วยอคติว่าเลวล้วนๆ หรือดีล้วนๆ ขึ้นอยู่กับรักหรือเกลียดใครเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงประสบกับความสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง เมื่อพบว่าพฤติกรรมของนักการเมืองไม่เป็นไปตามที่คิด พอเกลียดใครหรือผิดหวังใครก็สาปแช่งให้เขาพินาศ เมื่อเขาไม่พินาศก็พานสิ้นศรัทธากฎแห่งกรรมวิบากไปด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องของการมองไม่ครบต่างหาก กฎแห่งกรรมวิบากยังเที่ยงธรรม เพียงแต่ไม่ตรงใจ ไม่ถูกกับกิเลสและความใจร้อนของมนุษย์เท่านั้น
ตัวอย่างดังกล่าวคงทำให้เข้าใจได้ ว่านอกจากนักบวชที่มีใจสละโลกแล้ว ก็ไม่มีใครหวังดีเสียสละเพื่อส่วนรวมได้ถ่ายเดียว ต้องดูกันตามจริง ว่าโดยรวมแล้วโลภเอาเข้าตัวหรือเสียสละตนเองเพื่อคนอื่นมากกว่ากัน ภาพรวมของชีวิตเขาทั้งปัจจุบันและอนาคตก็จะโน้มเอียงไปตามเจตนาหลักนั้นๆ
แต่ละคนมีอิทธิพลชักนำผู้อื่นไม่เท่ากัน มนุษย์จะรู้สึกได้ถึงความจริงนี้ตั้งแต่เด็กๆ และนั่นก็ทำให้เกิดการเลือกหัวหน้าชั้น หรือหัวหน้ากลุ่มเพื่อเป็นผู้นำกระทำกิจเล็กๆน้อยๆ หรือเป็นแม่งานการตัดสินใจที่ทุกคนต้องยอมรับ
การเลือกผู้นำจะเป็นตัวบอกว่าคุณยอมรับนับถือคนแบบใด รวมทั้งอาจบอกว่าอนาคตของคุณจะอยู่ในทิศทางของการชี้นำจากคนแบบใด คุณยินดีตกอยู่ภายใต้อิทธิพลแบบไหน
ในวัยเด็กภาวะความเป็นผู้นำอาจไม่ซับซ้อน เพราะเด็กๆยังสร้างภาพกันไม่เก่ง ใครมีทุนเก่าอย่างไรบารมีก็มักฉายออกมาตรงจริงตามนั้น คุณจึงเลือกยอมรับนับถือใครแบบตรงไปตรงมาจากภาพที่ปรากฏ เช่นหากเขามีรัศมีความเป็นผู้นำ มีความเด็ดเดี่ยวมั่นคง และมีความพิเศษที่ข่มคุณได้ ใจคุณก็จะยอมรับทันที โดยไม่ต้องสำรวจเสียก่อนว่าคุณสมบัติและข้อดีข้อเสียของเขามีอยู่มากน้อยเพียงใด
แต่เมื่อคนเราโตขึ้น ก็จะเริ่มมีความซับซ้อนในตัวเอง รัศมีความเป็นผู้นำไม่เพียงพอที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับหมู่ชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้งจากคนในท้องถิ่นหรือมหาชนระดับประเทศ บีบคั้นให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องสร้างภาพความเป็นผู้นำที่เหนือกว่าใคร และเมื่อคุณต้องเกี่ยวข้องกับการปกครองในฐานะผู้เลือก ก็ต้องดูว่าคุณเชื่อภาพแบบไหน ศึกษาลึกลงไปในรายละเอียดของผู้นำเพียงใด ถ้ารู้ลึกแล้วเต็มใจเลือกใคร ก็เท่ากับคุณยอมรับอิทธิพลจากคนๆนั้นเต็มที่ เช่นคุณยินดีในแนวคิดของผู้นำที่เปี่ยมไปด้วยจริยธรรม และเขาพิสูจน์ตัวเองว่ามีจริยธรรมในระยะยาว ก็เท่ากับคุณถูกปลูกฝังให้เอาแบบอย่างจริยธรรมของผู้นำที่คุณศรัทธาเข้ามาไว้ในตนเอง
และไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด หลายครั้งคุณอาจจำใจต้องยอมรับผู้นำ เช่นอยู่ในเกมฟุตบอลที่ใครบางคนสมควรเป็นศูนย์หน้าหรือกัปตันทีม ทั้งที่คุณไม่เห็นด้วย ก็อาศัยเสียงเดียวคัดค้านไม่ได้ หรือในฐานะประชาชนคนหนึ่ง คุณเลือกพรรคที่เห็นว่าเลวน้อยที่สุด หมายความว่าคุณไม่ได้เต็มใจเชียร์ใครให้เป็นผู้นำของคุณ คุณไม่ได้เลือกนาย คุณเพียงตกอยู่ในสถานการณ์จำทนต้องเลือกคนมารับใช้ชาติเท่านั้น กรรมเช่นนี้ต่อไปจะไม่มีผลให้คุณต้องยอมรับอิทธิพลของเขาหรือคนแบบเขาเต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก
ความหมายของผู้นำไม่ใช่แค่ผู้บัญชาให้ทำโน่นทำนี่ แต่ยังอาจหมายถึงการเป็นผู้เป็นแบบอย่าง มีความเป็นตัวของตัวเอง เหนี่ยวนำให้ผู้พบเห็นถือเป็นแบบอย่าง พูดง่ายๆว่าใครที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับคุณในทางใดทางหนึ่ง ก็จัดเป็นผู้นำในทางนั้นๆของคุณ คุณไม่อาจทราบตั้งแต่เกิดว่าใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ ที่จะทำให้คุณเกิดแรงบันดาลใจ แต่เมื่อพบ คุณก็จะรู้ เช่นเห็นเพื่อนเล่นเปียโนได้เพราะ คุณก็อยากเล่นให้ได้อย่างเขาบ้าง หรือเห็นครูบางคนขยันสอน กระตือรือร้นทุ่มเททำความกระจ่างให้กับนักเรียนทุกคน คุณก็ซึมซับรับรู้และนึกอยากมีพลังในการสอนแบบนั้นบ้าง เป็นต้น
กรรมที่ทำให้คุณเลือกผู้นำที่ดี คือยอมมีใจลงให้กับผู้พาไปสู่ทางอันเป็นประโยชน์ ได้แก่การที่เคยขวนขวายช่วยเหลือผู้บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม หรือถึงแม้ไม่เคยลงมือช่วย อย่างน้อยก็เคยเอาใจช่วยเมื่อพิจารณาแล้วว่าสิ่งที่เขาทำเป็นประโยชน์สุขกับส่วนรวม ไม่คิดอกุศล ไม่พูดคัดค้าน ไม่กระทำการต่อต้านใดๆ
กรรมที่ทำให้คุณเลือกผู้นำที่เลว คือยอมมีใจลงให้กับผู้พาไปสู่ทางอันเป็นโทษ คือรู้ทั้งรู้ว่าเขาคิดผิด คิดเห็นแก่ตัว คิดเบียดเบียนสังคม แต่ก็ยังสนับสนุนช่วยเหลือ เพียงเพราะเห็นแก่ประโยชน์ร่วมกันกับเขา
กรรมที่ทำให้มีความเป็นผู้นำ ได้แก่การทำตนเป็นที่พึ่ง เป็นความอุ่นใจ เป็นความหวังของกลุ่ม คนเรามีบารมีขึ้นมาได้ด้วยการช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่ด้วยการอยู่เฉยหรือขอให้คนอื่นช่วย ลักษณะความเป็นผู้นำแจกแจงได้หลากหลายพิสดาร แต่โดยเบื้องต้นแล้ว อย่างน้อยต้องมีลักษณะของผู้มีสติ มีความเห็นเป้าหมายว่าจะชักชวนให้ใครทำอะไร มีความมั่นคงอันเกิดจากการควบคุมตนเองให้อยู่ในร่องในรอยสู่เป้าหมาย มีความเต็มใจที่จะชี้นำและอธิบายให้คนอื่นเข้าใจวิถีทางที่เลือก กล้าคิดในแบบที่แตกต่าง กับทั้งฉลาดพอจะแก้ปัญหาที่คนอื่นแก้ไม่ได้
กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำระดับย่อยคือความขวนขวายน้อย กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำระดับใหญ่คือความขวนขวายมาก
กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำที่มีบริวารจงรักภักดีสูง คือความมีใจคิดเสียสละด้วยความบริสุทธิ์ หวังประโยชน์ผู้อื่นเป็นที่ตั้ง กับทั้งสามารถพลิกชีวิตผู้อื่นด้วยการเปลี่ยนความเห็นผิดให้เป็นความเห็นชอบ เปลี่ยนสถานะช่วยตัวเองไม่ได้ให้กลายเป็นช่วยตัวเองและคนอื่นได้ เป็นต้น
กรรมที่ทำให้เป็นผู้นำที่ดีและมีบริวารมาก คือการชี้นำให้ผู้อื่นเข้าใจ เลื่อมใสในการบุญการกุศล แล้วจึงชักชวนให้ใครต่อใครทำบุญตาม ตลอดจนได้ดีตาม ขอจงแยกให้ออกว่าผู้นำทั่วไปกับผู้นำที่ดีนั้น แม้เป็นผู้นำเหมือนกัน ก็ทำให้คนได้ดีต่างกัน ผู้นำระดับประเทศอย่างฮิตเลอร์อาจใช้คำพูดยุยงปลุกปั่น พาคนนับล้านให้หลงผิดตาม คิดว่าการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ศัตรูคู่อาฆาตคือทางออกที่ดีที่สุด อย่างนี้เรียกบุญเก่าเกี่ยวกับบริวารดี แต่ไม่ได้พาบริวารไปดี ส่วนผู้นำอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๙ จะทรงใช้พระอัจฉริยภาพในการเลือกคำ เพียงไม่กี่คำทำให้พสกนิกรจิตใจสงบเยือกเย็นลง ทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม ผู้คนเจ็บแค้นเพื่อนบ้านจนเฉียดเป็นสงครามระหว่างประเทศแท้ๆ อย่างนี้เรียกว่าสมควรเป็นกษัตริย์โดยกรรม เพราะบุญญาธิการส่งให้มีพสกนิกรจงรักภักดีทั่วประเทศ แล้วก็ทรงพาพสกนิกรไปดีด้วย
๔) ครู
ครูมีหลายระดับ ระดับแรกคือครูที่สอนไม่เป็น ระดับที่สองคือครูที่สอนให้เอาแต่ท่องจำ ระดับที่สามคือครูที่สอนให้คุณมีความรู้ความเข้าใจ ระดับที่สี่คือครูที่สอนให้คุณคิดเป็น ระดับที่ห้าคือครูที่สอนให้คุณรู้จักเป้าหมายของชีวิต และระดับสุดท้ายคือครูที่สอนให้คุณรู้จักประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิต
ครูที่สอนไม่เป็นอาจหมายถึงครูที่ไม่รู้จริง ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเองว่าสอนใครได้ ไม่มีใจรักอาชีพครูพอจะพยายามพัฒนาทักษะการสอน บางทีรู้แต่ก็ถ่ายทอดไม่ถูก หรือบางทีถ่ายทอดถูกแต่ก็หลงๆลืมๆหรือจำผิดจำถูก เราอาจไม่ได้เห็นครูประเภทนี้มากนัก แต่ก็หลงเข้ามายึดอาชีพครูประมาณหนึ่งในร้อยหนึ่งในพัน บางคนก็ลาออกเร็ว บางคนก็ย่ำอยู่กับที่เป็นสิบปี แต่ก็มีที่พัฒนาขึ้นในปีต่อๆมา ครูที่พัฒนาตัวเองมักกลับดำเป็นขาว จากขาดความเชื่อมั่นเป็นมั่นใจในตัวเองสูง จากถ่ายทอดลำบากเป็นถ่ายทอดคล่อง และจากรู้น้อยกลายเป็นรู้มาก เนื่องจากกรรมที่เกิดจากความเต็มใจสอนนักเรียนจำนวนมากๆนั้นให้ผลเร็ว
ครูที่มีความรู้ดีจนมีความมั่นใจขึ้นมาอีกระดับหนึ่งนั้น อาจเป็นเพียงความมั่นใจตำรา ไม่ใช่มั่นใจในตนเองว่ารู้และเข้าใจศาสตร์หนึ่งๆอย่างแท้จริง ความมั่นใจในตำราจึงทำให้พูดและคิดเฉพาะที่มีอยู่เป็นลายลักษณ์อักษรตามตำรา วิธีการสอนจึงเป็นการสั่งให้นักเรียนท่องตามตำราเช่นเดียวกับตน ข้อด้อยของครูระดับนี้คือ ‘ตอบได้จำกัด’ พูดง่ายๆคือคุณอย่าถามในสิ่งที่ท่านไม่รู้ เพราะท่านจะตอบไม่ได้ หรือตอบแบบเทียบเคียงให้ใกล้ที่สุดกับตำรา ซึ่งหลายครั้งที่คำตอบประเภทนี้จะไม่ตรงจุด และพาคุณไขว้เขว ไม่อาจเจาะลงไปถึงความลึกซึ้งของศาสตร์นั้นๆผ่านครูระดับนี้
ครูที่มีทักษะดีพอจะทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจนั้น ต้องมีความเชื่อมั่นในความรู้อันครอบคลุมตลอดสายของตน กับทั้งมีความกระตือรือร้น พัฒนาวิธีพูด วิธีแสดงเนื้อหา ไม่ลืมว่าตนเองเคยสงสัยตรงไหน อยากรู้อะไร กับทั้งมีความอดทนพอจะลงรายละเอียดทั้งในส่วนต้น ส่วนกลาง และส่วนปลาย เมื่อคุณอยู่ในมือครูที่รู้จริง คุณจะซึมซับความรู้จริงนั้นเพียงด้วยการตั้งใจฟังดีๆ และเหมือนตาสว่างขึ้นเป็นเปลาะๆ ข้อเด่นของครูระดับนี้คือ ‘สามารถตอบ’ ได้ตรงจุด คุณถามอะไรท่านตอบได้หมด และด้วยภาษาของท่านเอง ไม่จำกัดวงแคบตามตัวอักษรในตำรา ทั้งนี้ก็จะไม่ตอบออกนอกลู่นอกทาง นอกตำราแบบคิดเดาเอาเองด้วย
ครูที่สอนให้คุณคิดเป็นนั้น จะต่อยอดความเข้าใจของคุณไปอีกขั้นหนึ่ง คือฝึกให้คุณเห็นสิ่งที่ควรจะมีแต่ยังไม่มี ท้าทายให้คุณคิดในสิ่งที่คุณอาจไม่กล้าคิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่จำกัดคุณอยู่กับความถูกความผิดแบบผูกขาด นี้มิใช่ยุยงให้คิดเองเออเองอย่างไรก็ได้ แต่จะชี้ให้เข้าใจเรื่องประโยชน์ เรื่องโทษ เรื่องเหตุ เรื่องผล กระทั่งคุณทราบว่าจะอยู่ในฐานะสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับโลก ไม่ปล่อยให้โลกย่ำอยู่กับที่ได้อย่างไร
ครูที่สอนให้คุณรู้จักเป้าหมายของชีวิต หมายถึงครูที่ทำให้คุณรู้จักตนเอง และรู้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไรให้คุ้ม ครูประเภทนี้อาจเป็นใครก็ได้ที่รู้จักคุณดีกว่าตัวคุณเอง และมีความสามารถพอจะเปิดเผยตัวตนของคุณให้คุณเห็นและยอมรับ กับทั้งทราบชัดว่ามีข้อบกพร่องอันใด มีจุดแข็งใดที่ควรนำมาใช้เป็นจุดยืน เป็นต้น
ครูที่สอนให้รู้จักประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิตนั้น หมายถึงศาสดาผู้มีบารมีระดับตั้งศาสนาได้ เพราะแก่นของศาสนาคือการแสดงเป้าหมายสูงสุดที่น่าไปให้ถึง อย่างเช่นสำหรับศาสนาพุทธ จะชี้ให้เห็นว่าทุกข์คืออะไร ต้นเหตุแห่งทุกข์คืออะไร ภาวะความดับทุกข์เป็นอย่างไร และจะไปถึงภาวะความดับทุกข์นั้นได้อย่างไร การตั้งศาสนาขึ้นมาให้คนเชื่อตามได้ เล็งประโยชน์สูงสุดตามได้ ตลอดจนประพฤติปฏิบัติตามอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้วบรรลุผลตามได้ นับเป็นบรมครูผู้ไม่มีอื่นยิ่งกว่า
ในวัยเด็กคุณต้องพบกับครูที่คุณเลือกไม่ได้ และแม้จะมีครูหลายคน แต่ก็จะมีเพียงไม่กี่คนที่ส่งอิทธิพลกระทบชีวิตคุณจริงจัง นั่นเป็นการแสดงตัวของกรรมเก่า คุณเคยเชื่อและอยู่ในโอวาทของครูแบบใดในอดีตชาติ ชีวิตนี้คุณก็จะพบเจอกับครูแบบนั้นหรือใกล้เคียงกันนั้น คุณจะถูกหล่อหลอมและดัดแปลงความคิดให้เป็นไปตามครรลองเดิมๆ
แต่เมื่อโตขึ้นมา ถึงจุดหนึ่งของชีวิตคุณจะต้องการเลือกครูด้วยตนเอง เมื่อใจคุณถามหาประโยชน์สูงสุดของการมีชีวิต อันนี้ก็สุดแต่กรรมเก่าของคุณจะพาไปไหน คือไม่ใช่แค่ดูว่าชาติก่อนคุณ ‘เป็นคนของศาสนาใด’ แต่ต้องดูด้วยว่าคุณ ‘มีวิธีนับถือศาสนาอย่างไร’ หากอดีตชาติคุณมีวิธีนับถือศาสนาด้วยการหวังพึ่งพาความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แนวโน้มคือคุณจะพบและศรัทธาครูที่สอนให้พึ่งพาผู้อื่น และทำกรรมดีเพื่อหวังผลแต่เฉพาะในชาติหน้า แต่หากอดีตชาติคุณมีวิธีนับถือศาสนาด้วยการทำกรรมพึ่งพาตนเอง ศึกษาหาความเข้าใจเพื่อบรรลุประโยชน์สูงสุดในชาติปัจจุบัน แนวโน้มคือคุณจะพบและศรัทธาครูที่สอนให้มีเหตุผล สืบหาความจริงจากสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเดี๋ยวนี้
สรุปคือคุณเลือกครูแบบใด ก็แสดงให้เห็นว่าคุณมีอัธยาศัย หรือมีบุญอยู่กับเส้นทางที่ครูสอนแบบนั้น และการมีอุปกรณ์เล่นเกมกรรมแบบมนุษย์นี้ คุณมีสิทธิ์ ‘เปลี่ยนครู’ ได้เสมอ ครูที่คุณตัดสินใจเลือกได้ด้วยตนเองยามรู้ความนั่นเอง จะมาแทนที่ครูคนเก่า หมายความว่าเกมกรรมครั้งต่อไปคุณจะพบกับครูแบบที่คุณเลือกที่จะเชื่อในครั้งนี้เอง
กรรมที่ทำให้มีครูดี คือเคยหัวอ่อน อยู่ในโอวาท และมีความกตัญญูคิดตอบแทนครูที่ดี กรรมที่ทำให้มีครูนำไปสู่ความหลงผิด คือการที่เคยร่วมยินดีกับคำสอนที่หลงผิด เหยียบย่ำคนที่เขาถูก ตลอดจนพยายามยัดเยียดแนวคิดผิดทางให้คนอื่นยึดถือตามตน
กรรมที่ทำให้เป็นครูที่สอนให้เข้าใจได้ คือความมีใจฝักใฝ่กระตือรือร้นในการสอน ไม่รังเกียจการตอบคำถาม มีความอยากให้คนอื่นรู้อย่างที่ตนรู้ เข้าใจอย่างที่ตนเข้าใจ กับทั้งคิดหาวิธีที่จะทำให้ใครๆเข้าใจเรื่องยากโดยง่าย ไม่ต้องเหนื่อยนาน ความพยายามดังกล่าวจะไม่แค่ทำให้พบวิธีที่ต้องการ แต่ยังกลายเป็นกรรมที่ให้ผลสะท้อนกลับมาในรูปพลังการสอนที่เหนือกว่าครูทั่วไป
กรรมที่ทำให้เป็นครูที่สอนให้เห็นประโยชน์สูงสุดจากการเป็นมนุษย์ คือเป็นผู้แสวงหาประโยชน์สูงสุดจากคนอื่น แล้วนำมาพิจารณาแยบคายด้วยตนเอง ทดลองพิสูจน์จนเห็นผลแล้ว จึงนำไปเผยแพร่ให้คนอื่นรู้ตาม หากชาติใดตั้งโจทย์ได้ถูก พิจารณาเห็นการเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ หาเหตุแห่งการเกิดทุกข์พบ และได้วิธีระงับเหตุแห่งทุกข์นั้น กระทั่งบรรลุธรรม รู้จักนิพพานอันเป็นที่สุดทุกข์ กับทั้งสามารถนำพระสัทธรรมมาเผยแผ่ให้คนทั่วไปได้รู้ตาม ก็ได้ชื่อเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมครูผู้รู้แจ้งนิพพานด้วยตนเอง ผู้ก่อตั้งศาสนาพุทธรื้อถอนสัตว์จากสภาพเวียนว่ายตายเกิดได้ด้วยการบอกทางถูก ทางตรง
๕) คนรัก
คุณเลือกคนแบบไหนมาเป็นคู่รัก ก็เท่ากับคุณเลือกใจตัวเองเป็นแบบนั้น อาจจะบางส่วนหรือทั้งหมด เพราะการประคองชีวิตรักให้ได้นาน ย่อมหมายถึงการปรับตัวเข้าหากัน และการปรับตัวก็อาจหมายถึงการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตประจำวัน วิธีพูดคุยให้รู้เรื่องด้วยการใช้เหตุผลแบบเดียวกัน ตลอดจนกระทั่งวิธีคิดเกี่ยวกับการดำรงชีพ ว่าจะอยู่เพื่อครอบครัวขนาดเล็กหรือใหญ่ ตลอดจนคิดให้อะไรกับครอบครัวอย่างเดียวหรือเสียสละบางสิ่งให้สังคมด้วย เป็นต้น
คนรักอาจเป็นผู้ที่มีอิทธิพลกับคุณมากที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งคืออาจเป็นตัวแปรให้กรรมของคุณเปลี่ยนแปลงได้ยิ่งกว่าใคร เขาอาจยุยงคุณให้กลายเป็นนักโกหกตามเขา หรืออาจปั่นหัวคุณแทบเป็นบ้าด้วยการแกล้งงอนให้ตามง้อ หรือด้วยนิสัยเจ้าอารมณ์ของเขาอาจทำให้คุณกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ตาม
ในทางตรงข้าม แบบอย่างความดีงามบางประการในตัวคนรัก ก็อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คุณเห็นดีเห็นงามตามโดยไม่รู้สึกตัว บางเรื่องที่คุณดื้อ ใครสอนอย่างไรก็ไม่ฟัง คุณอาจโอนอ่อนลง กระทั่งเปลี่ยนนิสัยได้เพียงเพราะเห็นแบบอย่างที่ดีใกล้ตัว เขาอาจไม่ได้สอนคุณเป็นคำพูดเช่นอย่าตระหนี่นักเลย หัดทำบุญทำทานเสียบ้าง แต่เมื่อคุณเห็นเขาซื้อขนมให้หมาแมวเป็นกิจวัตรประจำ และทำด้วยอาการอ่อนโยนน่าประทับใจ ในที่สุดจิตคุณก็ถูกโน้มน้าวให้นึกอยากซื้อขนมให้หมาแมวด้วยความเต็มใจเองบ้าง
ส่วนพวกที่มีคนรักแล้วไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองเลยนั้น อาจหมายความได้สองประการ ประการแรกคือบุญเก่าชักพาคู่รักที่เข้ากันได้สนิทมาให้ เพียงเป็นตัวเดิมอย่างเคยก็อยู่ร่วมชายคาเดียวกันอย่างเป็นสุข ประการที่สองคือเป็นคนมีอัตตาแรงจัด ไม่เห็นหัวคนรัก ไม่สนใจว่าคนรักจะชอบหรือไม่ชอบสิ่งใดในตน กับทั้งไม่ยอมโอนอ่อนใดๆ ด้วยความสำคัญว่าตนเองถูกต้องแล้ว ดีที่สุดแล้ว ซึ่งก็มักลงเอยเป็นการหย่าร้างกันจนได้
ปัจจุบันธรรมเนียมคลุมถุงชนลดน้อยเบาบางลงมาก เพราะการศึกษายุคใหม่และความเปิดกว้างของสังคมทำให้หนุ่มสาวมีโอกาสเลือกคนรักกันเอง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าคนส่วนใหญ่มีโอกาสเลือกว่าจะให้เส้นทางกรรมของตนเองโน้มเอียงไปทางไหน
คนส่วนใหญ่เลือกคนรักเพื่อความสุขความสบายใจ หรือเพื่อสนองความบันเทิงทางเพศ และไม่ค่อยให้ความสำคัญกับผลกระทบที่จะตามมา โดยเฉพาะในแง่ของเส้นทางกรรม ทั้งที่เส้นทางกรรมอันสัมพันธ์กันระหว่างคนรักนั่นเอง ที่จะทำให้รักกันหวานชื่นหรือขื่นขม ได้เสพสมนานเท่านานหรือเพียงสั้น
อีกประการหนึ่ง เมื่อได้คนรักมาอยู่ด้วยกัน คุณเลือกไม่ได้ว่าจะเอาแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งที่น่าชอบใจมา คุณต้องเอามาทั้งตัว รวมทั้งเงากรรมที่ตามหลังเขามาด้วย ผลกรรมของคนรักของคุณจะมีผลกระทบข้างเคียงกับคุณด้วย ที่เห็นได้ชัดก็เช่นถ้าเขาทำทานไว้มาก ชาตินี้รวยและมีลาภเสมอๆ คุณก็พลอยได้ส่วนความรวยหรือส่วนแบ่งลาภจากเขาในทางใดทางหนึ่ง แต่หากเขาเป็นพวกชอบหาเรื่อง มีเรื่องร้ายๆมากระทบให้ยุ่งยากใจ คุณก็จะพลอยปันส่วนเรื่องยุ่งยากใจกับเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
หากอดีตชาติเคยร่วมกันช่วยเหลือคนไว้มาก ชาตินี้เมื่อมาอยู่ด้วยกันจะเกิดแต่เรื่องดีๆ มีใครต่อใครชื่นชมและสนับสนุนให้แต่งงานกัน จะทำธุรกิจธุรกรรมอะไรร่วมกันก็เจริญรุ่งเรืองน่าอิ่มใจไปหมด
หากอดีตชาติเคยร่วมกันทำร้ายคนไว้มาก ชาตินี้แม้กระแสดึงดูดทางเพศจะชักนำให้มาอยู่ด้วยกัน ก็จะตีกันเอง แตกคอกันเอง พอแยกกันอยู่จะคิดถึงกัน แต่พออยู่ด้วยกันเป็นมีเรื่อง แม้แต่คิดร่วมทำบุญกันก็จะทะเลาะในเรื่องไม่เป็นเรื่อง เป็นเหตุให้บุญที่ทำร่วมกันหม่นหมอง ไม่ผ่องใส เดินทางร่วมกันแท้ๆแต่เหมือนแยกกันไปคนละทิศ
กรรมที่ทำให้พบคนรักที่เข้ากันได้อย่างสนิทแน่นแฟ้น เต็มใจอยู่ด้วยกันไปจนตาย และเที่ยงที่จะได้พบกันอีกในชาติถัดๆไป ได้แก่การมีศรัทธาความเชื่อที่เสมอกัน มีศีลที่เสมอกัน มีความเสียสละที่เสมอกัน และมีปัญญาที่เสมอกัน เรียกว่าคุยกันรู้เรื่องเพราะพื้นความเชื่อไม่แตกต่างกัน เข้าใจกันได้หมด ตกลงกันได้หมด เอออวยกันได้หมด มีแต่ช่วยเหลือเกื้อกูลไม่เอารัดเอาเปรียบกันไปหมด คนรักประเภทนี้มักถูกมองว่าเป็นเนื้อคู่ หรือคู่แท้ถาวร ซึ่งมีเองอยู่แล้วในธรรมชาติ ขอให้ทราบว่าเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะในเกมกรรมนั้น ต้องสานต่อเหตุปัจจัยไปเรื่อยๆ ถ้าเหตุปัจจัยหมด ผลก็หมดตาม
กรรมที่ทำให้พบคนรักไม่ถูกใจ อยู่ด้วยกันแล้วเป็นทุกข์ มีเหตุให้ต้องระหองระแหงเสียความรู้สึกบ่อยๆ หรือเข้ากันไม่ค่อยได้ ตั้งตนเป็นศัตรู จ้องเอารัดเอาเปรียบหรือฉกฉวยกัน ครองเรือนมีลูกหลานแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ได้แก่การมีศรัทธาความเชื่อที่แตกต่างกัน มีศีลสูงต่ำกว่ากัน มีน้ำใจเสียสละผิดกัน ตลอดจนมีปัญญาห่างชั้นกัน ตัดสินใจครองรักกันอย่างวู่วามด้วยเหตุผลตื้นๆเช่นอยากมีเพศสัมพันธ์กัน หรือเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาถูกใจ หรือเพียงเพื่อให้ชีวิตดูสมบูรณ์แบบ หรือเพียงเพราะเหตุผลเกี่ยวกับการเงิน เป็นต้น
๖) อาชีพ
อาชีพที่คุณเลือกแล้วรู้สึกว่าเข้ากับตัวตนของคุณได้นั้น จะสะท้อนความเป็นคุณได้มากพอสมควร แต่ละสาขาอาชีพต้องการความสามารถต่างกัน บางอาชีพต้องการให้คุณคิดมาก บางอาชีพต้องการให้คุณพูดมาก บางอาชีพต้องการให้คุณออกแรงมาก คุณเลือกอาชีพแบบใดก็ต้องเน้นทำกรรมแบบหนึ่งๆมากเป็นพิเศษ และคนส่วนใหญ่ก็จะรู้จักตนเองผ่านอาชีพที่ยึดไว้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องนี่เอง
เหตุผลของการเลือกอาชีพอาจเป็นตัววัดความโลภได้ระดับหนึ่ง ถ้าเงินมาก่อนงาน แปลว่าคุณเสียความเป็นตัวของตัวเองให้กับความโลภ ถ้าเนื้อหาของงานมาก่อนเงิน แปลว่าคุณเห็นแก่ความเป็นตัวของตัวเองก่อนความโลภ
และเมื่ออาชีพการงานคือตัวคุณ เหตุผลที่ตัดสินใจออกจากงานของคุณย่อมเป็นตัวบอกว่าโลภะ โทสะ โมหะมีอำนาจเหนือคุณมากน้อยเพียงใด หากคุณทิ้งงานค้างคาไว้ให้คนอื่นเพียงเพราะต้องการรับเงินเดือนที่สูงกว่า อันนั้นแปลว่าความโลภอยู่เหนือตัวคุณ คุณไม่สนใจอะไรมากไปกว่าลาภที่ชวนละโมบ หากคุณผลุนผลันลาออกทั้งที่ไม่พร้อม ด้วยเหตุผลเพียงเพราะโกรธใครบางคน อันนั้นแปลว่าตัวคุณตกอยู่ใต้อำนาจโทสะ หากคุณทำอาชีพที่รู้สึกว่าไม่เหมาะกับตัวเอง แต่ยังฝืนดันทุรังทำต่อ เพียงเพราะกลัวการลำบากหางานใหม่ หรือขี้เกียจพัฒนาตัวเองเพื่อความก้าวหน้า อันนั้นแปลว่าคุณยอมปล่อยให้โมหะครอบงำจนดิ้นไม่หลุด
ตรงข้าม หากคุณทำงานอย่างคุ้มค่าจ้าง ถนอมน้ำใจเพื่อนร่วมงาน และมีจังหวะเวลากับเหตุผลที่ดีในการลาออกโดยไม่ให้ใครเดือดร้อน กับทั้งสามารถใช้ประสบการณ์ต่อยอดไปสู่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น คุณจะรู้สึกเต็มตัว เต็มภูมิ เต็มคน ไม่มีความติดค้าง
กรรมที่ทำให้เป็นใหญ่ในอาชีพ คือการเคยช่วยเหลือให้ผู้คนให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือมีส่วนผลักดันให้สาขาอาชีพที่เคยทำเจริญรุ่งเรือง (โดยไม่จำเป็นต้องเป็นอันเดียวกับอาชีพในปัจจุบัน)
กรรมที่ทำให้ประสบความสำเร็จ มั่งมีและเป็นที่รู้จักนับหน้าถือตาเป็นพิเศษในธุรกิจแบบใดแบบหนึ่ง เป็นไปได้ว่าเพราะเคยทำบุญด้านนั้นๆมา เช่นถ้าเคยทำขนมถวายพระเป็นประจำ มีการบรรจงฝีมืออย่างประณีต มีความฉลาดในการแต่งรสให้อร่อย ขณะถวายมีความอิ่มใจ มีความรื่นเริงในบุญ มีความเอื้อเฟื้อแจกจ่ายกับคนที่มาในงานบุญ อย่างนี้หากเกิดใหม่จะเป็นคนมีหัวในเรื่องการทำขนม แม้ไม่ได้ร่ำเรียนมากก็ทำได้อร่อยกว่าคนอื่น คิดสูตรได้เอง กับทั้งเมื่อเปิดร้านทำขนมก็จะเงินทองไหลมาเทมา เป็นที่รู้จักกว้างขวาง เปิดสาขาได้ทั่ว หรือจะเขียนตำราทำขนมหรือทำอาหารก็ขายดิบขายดีเป็นที่นิยม
การเป็นผู้ค้าขายได้กำไรนั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัยหลายประการ เช่นความตาแหลม รู้จักจัดหาสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการ ฉลาดตั้งราคาให้ได้กำไรคุ้มทุนโดยที่ลูกค้าก็ไม่นึกเกี่ยงงอน นอกจากนั้นยังสร้างความน่าเชื่อถือเป็น เช่นจ่ายหนี้ตามนัด ตลอดจนเลี้ยงครอบครัวและบริวารให้อยู่เป็นสุข ไม่มีปัญหาขัดแย้งหรือเรื่องระส่ำระสายภายในกิจการ
อย่างไรก็ตาม ยังมีกรรมเก่าเป็นตัวช่วยพิเศษ ที่ประกันความมีลาภในการค้าขาย คือการได้เคยอาสากับสมณะว่าถ้าต้องการสิ่งใดขอให้บอก เมื่อสมณะบอกขอแล้วก็จัดให้ตามประสงค์ เช่นนี้ถ้าเลือกเป็นพ่อค้าจะขายได้กำไรเสมอ แต่ถ้าถวายเกินกว่าที่ท่านประสงค์ก็จะได้กำไรสูงเหนือความคาดหมาย ในทางตรงข้ามหากสมณะบอกขอแล้วไม่ให้ครบตามคำขอ ก็จะค้าขายไม่ได้กำไรดังหวัง ยิ่งหากแกล้งทำเป็นลืม ไม่ให้ตามที่ท่านขอเลย อย่างนี้ก็มีแต่ค้าขายขาดทุนท่าเดียว
ตัวแปรในการก่อกรรม
๑) เจตนาตั้งต้น
ต้องดูก่อนเลยว่าหวังดีหรือหวังร้าย และการที่จะดูว่าหวังดีหรือหวังร้าย ก็ต้องพิจารณาจากความรู้อยู่แก่ใจ หรือคาดหวังไว้ล่วงหน้า ว่าทำอะไรลงไปควรจะเกิดผลกับใคร อย่างไร แค่ไหน
บางทีแม้ผลลัพธ์อาจไม่ตรงกับเจตนา แต่เจตนาก็ปรุงแต่งจิตให้เป็นสว่างหรือมืดเรียบร้อยแล้ว ยกตัวอย่างเช่นอุตส่าห์ดักรอคนแก่ ตั้งใจแกล้งคำรามเหมือนผีหลอกให้คนแก่ตกใจตายเพื่อฮุบสมบัติ แต่ปรากฏว่าคนแก่รู้ทันล่วงหน้า นอกจากไม่ตกใจยังหัวเราะขบขันในท่าทางของปีศาจกำมะลอ สรุปคือเจตนาฆ่าให้ผลเป็นความบันเทิงแก่เหยื่อไป
แม้คนแก่จะไม่ตายและกลายเป็นได้ขำ แต่อย่างไรเจตนาตั้งต้นนั้นก็ยังคงเป็นความจงใจฆ่า เป็นอกุศลจิตขั้นรุนแรง คือได้ตัวตั้งในการทำปาณาติบาตแล้ว เพียงแต่ยังไม่จัดเป็นปาณาติบาตโดยสมบูรณ์ เนื่องจากการฆ่าไม่ประสบความสำเร็จ
นั่นก็หมายความว่าแม้ไม่ต้องรับผลจากปาณาติบาต แต่ก็ได้ชื่อว่าทำบาปด้วยใจแล้ว และเป็นระดับรุนแรงมากด้วย ขอให้คำนึงว่าวิญญาณเพชฌฆาตได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ แม้จะยังไม่เป็นเพชฌฆาตอย่างสมบูรณ์แบบก็ตาม
ตัวอย่างดังกล่าวคงทำให้เห็นได้ชัด เกมกรรมอาศัยเจตนาตั้งต้นเป็นตัวตัดสิน ว่าสิ่งที่ทำลงไปเป็นบุญหรือเป็นบาป เกมกรรมไม่ได้ดูว่าผลที่เกิดกับผู้ถูกกระทำเป็นอย่างไร เช่นในตัวอย่างข้างต้นนี้ ไม่ใช่ว่าได้ผลเป็นบุญที่ช่วยให้คนแก่หัวเราะ แต่ผลจะเป็นบาปอันเกิดจากเจตนาฆ่า
อีกตัวอย่างหนึ่ง คงเห็นว่าคนเรายิ่งมีตัวตนซับซ้อนขึ้นเพียงใด จิตใจก็ยิ่งดูยากขึ้นเพียงนั้น อย่างเช่นนักการเมืองระดับดาวสภา ที่ฝึกพูด ฝึกสำรวมกิริยาท่าทีดีมาก ดูสุภาพนุ่มนวล สงบนิ่งไม่หวั่นไหวง่าย กับทั้งสามารถผูกคำพูดเต็มไปด้วยเหตุผลน่าเชื่อถือ กระทั่งเหมือนรักประเทศ ต้องการเสียสละเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ออกมาจากใจจริง
แต่เมื่อส่องดูบางพฤติกรรม คนรู้เห็นก็อาจสงสัยว่าใจจริงหรือตัวตนที่แท้จริงเป็นอย่างตอนออกโทรทัศน์แน่หรือ เพราะก็เหมือนคนธรรมดาที่ต้องการเอาแต่ประโยชน์เข้าตัวเท่านั้น
หากเล็งกันที่จิต ว่าค่อนไปทางมืดเพราะโลภ หรือค่อนไปทางสว่างเพราะเสียสละ ก็จะตัดสินได้ว่าเจตนาหลักอันเป็นฐานตั้งของเจตนาอื่นๆนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ สำหรับนักการเมืองที่สร้างความเชื่อถือได้ในระดับประเทศนั้น หากหวังร้ายอยากกอบโกยจากชาติบ้านเมืองอย่างเดียวก็ยากที่จะมีสง่าราศี อย่างน้อยต้องมีความหวังดีกับชาติบ้านเมืองพอจะส่งกระแสให้คนรู้สึกไว้ใจได้ระดับหนึ่ง
แต่เวลาประชาชนมองนักการเมือง จะตัดสินด้วยอคติว่าเลวล้วนๆ หรือดีล้วนๆ ขึ้นอยู่กับรักหรือเกลียดใครเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงประสบกับความสมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง เมื่อพบว่าพฤติกรรมของนักการเมืองไม่เป็นไปตามที่คิด พอเกลียดใครหรือผิดหวังใครก็สาปแช่งให้เขาพินาศ เมื่อเขาไม่พินาศก็พานสิ้นศรัทธากฎแห่งกรรมวิบากไปด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องของการมองไม่ครบต่างหาก กฎแห่งกรรมวิบากยังเที่ยงธรรม เพียงแต่ไม่ตรงใจ ไม่ถูกกับกิเลสและความใจร้อนของมนุษย์เท่านั้น
ตัวอย่างดังกล่าวคงทำให้เข้าใจได้ ว่านอกจากนักบวชที่มีใจสละโลกแล้ว ก็ไม่มีใครหวังดีเสียสละเพื่อส่วนรวมได้ถ่ายเดียว ต้องดูกันตามจริง ว่าโดยรวมแล้วโลภเอาเข้าตัวหรือเสียสละตนเองเพื่อคนอื่นมากกว่ากัน ภาพรวมของชีวิตเขาทั้งปัจจุบันและอนาคตก็จะโน้มเอียงไปตามเจตนาหลักนั้นๆ
๒) น้ำหนักของเจตนา
เมื่อจับได้แล้วว่าเจตนาเริ่มต้นคือหวังดีหรือหวังร้าย ก็ต้องดูต่อไปคือดีร้ายที่ว่านั้น เอาจริงเอาจังหรือยั้งๆอยู่
ตัวอย่างเปรียบเทียบที่คงเห็นได้ง่ายคือคนทั่วไปสามารถบี้มดหรือตบยุงได้แบบไม่กะพริบตา เรียกว่าเจตนาฆ่านั้นหนักแน่นมาก แต่หากให้ฆ่าคน กำลังใจจะลดวูบ โดยเฉพาะเมื่อทำครั้งแรกต้องสองจิตสองใจไม่กล้าทำ เหมือนฝ่าแรงต้านที่ทรงกำลังมหาศาล
การที่ยังมีความละอายต่อบาป การที่มโนธรรมยังทำงาน ยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดีบริบูรณ์นั้น น้ำหนักเจตนาทำชั่วขนาดฆ่าคนจะมีกำลังอ่อนเสมอ ผลของน้ำหนักเจตนาที่อ่อนจะไม่รุนแรงนัก เปรียบเหมือนการพุ่งตัวเข้าชนกำแพง ถ้าพุ่งเบาก็ไม่เจ็บมาก
ผู้ฆ่าย่อมถูกฆ่า เมื่อฆ่าคนด้วยน้ำหนักเจตนาที่หนักแน่น ก็ย่อมถูกฆ่าด้วยวิธีโหดเหี้ยม และเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยในนรก ก็อาจเจ็บป่วยรุนแรงเยียวยายากมาก เป็นต้น
คนเราทำบาปด้วยความหนักแน่นเพราะเหตุ ๒ ประการหลักๆ หนึ่งคือโทสะแรง สองคือไม่รู้ว่าเป็นบาป ฉะนั้นจึงทุ่มจิตทุ่มเจตนาเต็มเหนี่ยวแบบไม่ยั้ง ด้วยองค์ประกอบ ๒ ประการนี้ เพียงโห่ร้องตะโกนสุดเสียงว่า ‘ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!’ ในสนามสู้กระทิง ก็เกิดมหาอกุศลจิตระดับปาณาติบาตร่วมกับมือสังหารจริงๆแล้ว ถ้าหมั่นเชียร์เป็นกิจวัตรก็ต้องได้รับผลเป็นการทอนอายุให้สั้นลง หรือเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้แล้ว แม้ชั่วชีวิตไม่เคยฆ่าสัตว์ใหญ่เลยสักตัวก็ตาม
ในทางตรงข้าม คนเราทำบุญด้วยความหนักแน่นด้วยเหตุ ๒ ประการหลักๆ หนึ่งคือเมตตามาก สองคือเลื่อมใสในผลบุญ ฉะนั้นจึงเทจิตเทใจเต็มกำลัง
หากเป็นคนฉลาดในบุญ ก็จะไม่ดูเบา และเทใจให้กับบุญเล็กบุญใหญ่เสมอกัน ไม่ดูแคลนว่านั่นบุญใหญ่ นี่บุญเล็ก แต่หากยังไม่ฉลาดในบุญ ก็อาจเพ่งเล็งเฉพาะวัตถุภายนอก เช่นเห็นว่าสร้างวัดได้บุญมาก แล้วไปดูถูกว่าให้สตางค์ ๕ บาทเป็นทานชั้นต่ำ เลยจะเอาแต่บุญใหญ่หวังผลมาก ไม่เห็นค่าของการทำบุญเล็กๆน้อยๆ พอทำทานขนาดเล็กน้อยจึงไม่ปลื้ม นั่นจะเป็นการทำให้น้ำหนักของเจตนาในการสละออกมีความไม่สม่ำเสมอ จิตไม่เป็นทานจิตเต็มดวงในระยะยาว
สำหรับผู้มีทานจิตซึ่งจะได้รับผลไพบูลย์จริงๆแล้ว ย่อมทราบว่าการให้นั้นเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ ไม่ควรตั้งข้อแม้ว่าเป็นทานวรรณะสูงหรือทานวรรณะต่ำ ได้ผลมากหรือได้ผลน้อย
เพื่อให้เกิดน้ำหนักของเจตนาที่ดี จึงควรตั้งต้นด้วยความหวังประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นอันดับแรก คือรินเมตตานำ แต่ถ้าหวังประโยชน์ตนในการให้ทาน ก็ย่อมเป็นทานที่เจือด้วยโลภะ น้ำหนักเจตนาอันเป็นกุศลย่อมเบาลงตามส่วน กล่าวโดยสรุปแล้ว จุดสำคัญคืออย่าไปตั้งแง่รังเกียจ ไม่อยากทำทานที่ให้ผลตอบแทนน้อยๆก็แล้วกัน เพราะนั่นเป็นการฝึกทำทานด้วยความโลภ เมื่อจิตติดยึดในทานแบบผสมโลภ เมตตาย่อมน้อย เมื่อเมตตาน้อย น้ำหนักเจตนาย่อมเบา
คนส่วนใหญ่จะสงสัยกันมาก ว่าถ้าไม่ได้คิดเจตนาจริงจัง เช่นผุดคำด่าหรือเกิดความคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์ขึ้นมาชั่วแวบในหัว จะเป็นบาปเป็นกรรมแค่ไหน อย่างนี้เพียงทราบกฎของเกมกรรมให้ดีก็จะสบายใจได้ เพราะการเกิดสติเท่าทันความคิดชั่วร้ายได้นั้น จิตเป็นมหากุศลด้วยซ้ำ สิ่งที่สะท้อนชัดคือจิตใจโดยรวมจะดีขึ้นเรื่อยๆ สุกสว่างขึ้นเรื่อยๆ ขออย่างเดียวอย่าพะวงหรือกลัดกลุ้มกับความคิดชั่วร้ายที่เกิดขึ้น ระลึกให้แม่นยำว่าถ้าน้ำหนักเจตนาไม่แรง บาปก็ไม่มาก และถ้ายิ่งเกิดสติเท่าทันความคิดชั่วร้ายได้เดี๋ยวนั้น ก็จะพลิกจากอกุศลเป็นมหากุศลทันที
เมื่อจับได้แล้วว่าเจตนาเริ่มต้นคือหวังดีหรือหวังร้าย ก็ต้องดูต่อไปคือดีร้ายที่ว่านั้น เอาจริงเอาจังหรือยั้งๆอยู่
ตัวอย่างเปรียบเทียบที่คงเห็นได้ง่ายคือคนทั่วไปสามารถบี้มดหรือตบยุงได้แบบไม่กะพริบตา เรียกว่าเจตนาฆ่านั้นหนักแน่นมาก แต่หากให้ฆ่าคน กำลังใจจะลดวูบ โดยเฉพาะเมื่อทำครั้งแรกต้องสองจิตสองใจไม่กล้าทำ เหมือนฝ่าแรงต้านที่ทรงกำลังมหาศาล
การที่ยังมีความละอายต่อบาป การที่มโนธรรมยังทำงาน ยังมีสำนึกผิดชอบชั่วดีบริบูรณ์นั้น น้ำหนักเจตนาทำชั่วขนาดฆ่าคนจะมีกำลังอ่อนเสมอ ผลของน้ำหนักเจตนาที่อ่อนจะไม่รุนแรงนัก เปรียบเหมือนการพุ่งตัวเข้าชนกำแพง ถ้าพุ่งเบาก็ไม่เจ็บมาก
ผู้ฆ่าย่อมถูกฆ่า เมื่อฆ่าคนด้วยน้ำหนักเจตนาที่หนักแน่น ก็ย่อมถูกฆ่าด้วยวิธีโหดเหี้ยม และเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่กรรมเผล็ดผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยในนรก ก็อาจเจ็บป่วยรุนแรงเยียวยายากมาก เป็นต้น
คนเราทำบาปด้วยความหนักแน่นเพราะเหตุ ๒ ประการหลักๆ หนึ่งคือโทสะแรง สองคือไม่รู้ว่าเป็นบาป ฉะนั้นจึงทุ่มจิตทุ่มเจตนาเต็มเหนี่ยวแบบไม่ยั้ง ด้วยองค์ประกอบ ๒ ประการนี้ เพียงโห่ร้องตะโกนสุดเสียงว่า ‘ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!’ ในสนามสู้กระทิง ก็เกิดมหาอกุศลจิตระดับปาณาติบาตร่วมกับมือสังหารจริงๆแล้ว ถ้าหมั่นเชียร์เป็นกิจวัตรก็ต้องได้รับผลเป็นการทอนอายุให้สั้นลง หรือเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้แล้ว แม้ชั่วชีวิตไม่เคยฆ่าสัตว์ใหญ่เลยสักตัวก็ตาม
ในทางตรงข้าม คนเราทำบุญด้วยความหนักแน่นด้วยเหตุ ๒ ประการหลักๆ หนึ่งคือเมตตามาก สองคือเลื่อมใสในผลบุญ ฉะนั้นจึงเทจิตเทใจเต็มกำลัง
หากเป็นคนฉลาดในบุญ ก็จะไม่ดูเบา และเทใจให้กับบุญเล็กบุญใหญ่เสมอกัน ไม่ดูแคลนว่านั่นบุญใหญ่ นี่บุญเล็ก แต่หากยังไม่ฉลาดในบุญ ก็อาจเพ่งเล็งเฉพาะวัตถุภายนอก เช่นเห็นว่าสร้างวัดได้บุญมาก แล้วไปดูถูกว่าให้สตางค์ ๕ บาทเป็นทานชั้นต่ำ เลยจะเอาแต่บุญใหญ่หวังผลมาก ไม่เห็นค่าของการทำบุญเล็กๆน้อยๆ พอทำทานขนาดเล็กน้อยจึงไม่ปลื้ม นั่นจะเป็นการทำให้น้ำหนักของเจตนาในการสละออกมีความไม่สม่ำเสมอ จิตไม่เป็นทานจิตเต็มดวงในระยะยาว
สำหรับผู้มีทานจิตซึ่งจะได้รับผลไพบูลย์จริงๆแล้ว ย่อมทราบว่าการให้นั้นเป็นประโยชน์ทั้งต่อผู้ให้และผู้รับ ไม่ควรตั้งข้อแม้ว่าเป็นทานวรรณะสูงหรือทานวรรณะต่ำ ได้ผลมากหรือได้ผลน้อย
เพื่อให้เกิดน้ำหนักของเจตนาที่ดี จึงควรตั้งต้นด้วยความหวังประโยชน์ต่อผู้อื่นเป็นอันดับแรก คือรินเมตตานำ แต่ถ้าหวังประโยชน์ตนในการให้ทาน ก็ย่อมเป็นทานที่เจือด้วยโลภะ น้ำหนักเจตนาอันเป็นกุศลย่อมเบาลงตามส่วน กล่าวโดยสรุปแล้ว จุดสำคัญคืออย่าไปตั้งแง่รังเกียจ ไม่อยากทำทานที่ให้ผลตอบแทนน้อยๆก็แล้วกัน เพราะนั่นเป็นการฝึกทำทานด้วยความโลภ เมื่อจิตติดยึดในทานแบบผสมโลภ เมตตาย่อมน้อย เมื่อเมตตาน้อย น้ำหนักเจตนาย่อมเบา
คนส่วนใหญ่จะสงสัยกันมาก ว่าถ้าไม่ได้คิดเจตนาจริงจัง เช่นผุดคำด่าหรือเกิดความคิดลบหลู่ครูบาอาจารย์ขึ้นมาชั่วแวบในหัว จะเป็นบาปเป็นกรรมแค่ไหน อย่างนี้เพียงทราบกฎของเกมกรรมให้ดีก็จะสบายใจได้ เพราะการเกิดสติเท่าทันความคิดชั่วร้ายได้นั้น จิตเป็นมหากุศลด้วยซ้ำ สิ่งที่สะท้อนชัดคือจิตใจโดยรวมจะดีขึ้นเรื่อยๆ สุกสว่างขึ้นเรื่อยๆ ขออย่างเดียวอย่าพะวงหรือกลัดกลุ้มกับความคิดชั่วร้ายที่เกิดขึ้น ระลึกให้แม่นยำว่าถ้าน้ำหนักเจตนาไม่แรง บาปก็ไม่มาก และถ้ายิ่งเกิดสติเท่าทันความคิดชั่วร้ายได้เดี๋ยวนั้น ก็จะพลิกจากอกุศลเป็นมหากุศลทันที
๓) ความเพียรพยายามในการก่อกรรมให้สำเร็จ
อันนี้หมายถึงกำลังใจและความวิริยะอุตสาหะอย่างต่อเนื่อง ยิ่งงานยากเท่าไหร่ ก็ต้องอาศัยกำลังใจยาวนานมากขึ้นเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นคนเขียนหนังสือธรรมะต้นฉบับภาษาไทย ใช้เวลา ๓ วันแบบง่ายๆ เพราะเป็นสิ่งที่รู้อยู่ชำนาญอยู่ แต่คนแปลเป็นภาษาอังกฤษใช้เวลาเป็นเดือนด้วยกำลังใจที่สูงกว่า เพราะเป็นงานที่ไม่ถนัด ไม่มีความชำนาญ อย่างนี้เรียกว่าส่วนประกอบของบุญในแง่ความเพียรสูงกว่า แม้องค์ประกอบบุญในแง่การริเริ่มจะไม่เทียบเท่า แต่พลังที่ใช้ไปในการบุญย่อมเหนือกว่า ปรุงแต่งจิตให้สุกสว่างมากกว่ากัน
เรื่องของความสม่ำเสมอในการพากเพียรก็เป็นตัวแปรให้เกิดความผกผันได้ ความมีวิริยะอุตสาหะต่อเนื่องหนึ่งวันจนงานสำเร็จในรวดเดียว อาจอาศัยกำลังใจยิ่งกว่าคนทำหลายเดือนแบบเรื่อยๆเฉื่อยๆเสียอีก
และยิ่งถ้ามีความวิริยะอุตสาหะต่อเนื่อง ทุ่มกายทุ่มใจ ลงแรงลงสมองเต็มเหนี่ยวแล้วงานไม่เสร็จในหนึ่งวัน แต่จำต้องใช้เวลาหนึ่งปี เป็นหนึ่งปีที่หามรุ่งหามค่ำแทบไม่หลับไม่นอน บุญอันเกิดจากกำลังใจที่ต่อเนื่องจะไม่ใช่แค่เอา ๓๖๕ คูณเข้าไป ทว่าตัวบุญจะทวีกำลังขึ้นไปเหมือนดอกเบี้ยทบต้นทบปลาย เช่นผ่านไปหนึ่งเดือนคูณสิบ ผ่านไปครึ่งปีคูณร้อย พอครบปีคูณพัน แปลง่ายๆว่าผลอันเป็นที่สุดจะเป็น ๓๖๕ คูณด้วย ๑,๐๐๐!
ความเพียรที่สม่ำเสมอนั้น ยิ่งยาวนานยิ่งยืดอายุการให้ผลของกรรมออกไปด้วย ยกตัวอย่างเช่นมาอาสาช่วยทำศาลาพักริมทางหนึ่งวัน ความเหนื่อยเต็มๆวันนั้นอาจให้ผลเป็นช่วงหนึ่งของชีวิตที่มีใครต่อใครมาทำอะไรให้ได้อยู่สบาย แต่หากติดสอยห้อยตามคณะสร้างศาลาพักริมทางเพื่อสาธารณะประโยชน์ตลอดอายุขัย คือว่างจากงานเลี้ยงชีพก็มาช่วยสร้างศาลาพักไปเรื่อยจนเต็มเมือง ไม่ตายไม่เลิก อย่างนี้นับเป็นความตั้งมั่นชนิดอุทิศชีวิต ความหนักแน่นของเจตนาย่อมให้ผลตั้งแต่ในชาติปัจจุบัน มีคนมาช่วยให้สุขกายสบายใจไม่ขาดสาย และเมื่อกรรมเผล็ดผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยในชาติถัดไป เขาย่อมได้รับความช่วยเหลือ ได้เป็นใหญ่ในภาวะสุขสบายยืดยาวหลายสิบชาติ ต่อให้พลาดพลั้งทำชั่ว ต้องตกทุกข์ได้ยากอย่างไร ก็ต้องมีจังหวะพักผ่อนยาวๆบ้าง
ความเพียรทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งชั่วชีวิตนั้น มีผลเป็นเชื้อของอุปนิสัยให้แก่ชาติถัดไปได้ เช่นกรณีสมัครใจอาสาสร้างศาลา พอเกิดใหม่เห็นใครเหนื่อยยากตากแดดร้อนนึกอยากทำที่พักให้ นี่เองเป็นความสำคัญของการปลูกฝังนิสัยด้านดีอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ เพราะจะไม่ใช่แค่กรรมที่ออกดอกออกผลเป็นเรื่องดีอย่างใดอย่างหนึ่ง ทว่าจะเป็นนิสัยติดตัว กระตุ้นให้อยากทำอะไรแนวๆเดียวกันในการเล่นเกมครั้งต่อๆไป ซึ่งก็จะเป็นการหล่อเลี้ยงผลดีไว้ไม่ให้ขาดสาย
๔) โสมนัสในการก่อกรรม
ขอให้เข้าใจว่า ‘โสมนัส’ เป็นอาการที่จิตปลาบปลื้มในการกระทำ อาจจะเป็นก่อนลงมือทำจริง หรือขณะกำลังลงมือทำ หรือหลังจากทำสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว โสมนัสอาจเกิดขึ้นเพราะเจตนาอันเป็นบุญหรือบาปก็ได้
ยกตัวอย่างเช่นตั้งใจขโมยวัตถุล้ำค่าราคาแพง กว่าจะเข้าไปขโมยได้ต้องผ่านด่าน ผ่านอุปสรรคยากเย็น ดังนั้นเมื่อขโมยมาครอบครองได้จึงบังเกิดความปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจในฝีมือของตนเป็นล้นพ้น ซึ่งนั่นก็ยิ่งตอกย้ำให้บาปตรึงแน่นมั่นคงมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะนอกจากจิตจะเขลา ไม่ทราบว่าเป็นบาปแล้ว ยังสำทับด้วยความหลงเห็นว่าควรชื่นใจ ปลาบปลื้มปรีดาเข้าไปอีก
อย่างเช่นแทนที่การขโมยของราคาล้านบาท ควรให้ผลสนองคืนเป็นการถูกขโมยของราคาหนึ่งล้านถึงสิบล้าน (อาจจะคราวเดียวหรือผ่อนส่ง) แรงโสมนัสก็ทวีค่าของของที่จะถูกขโมยเป็นร้อยล้านหรือพันล้าน เป็นต้น
สำหรับงานบุญ ความเข้าใจและความเพียรจะเป็นตัวกำหนดว่าโสมนัสจะเกิดมากหรือน้อยเพียงใด ยิ่งเข้าใจว่าทำอะไรลงไป จะเกิดผลดีแบบไหน ประกอบกับการมีความเพียรเพื่อเอาชนะอุปสรรค มุ่งมั่นทำให้สำเร็จให้จงได้ โสมนัสก็จะยิ่งแรง ซึ่งก็ขยายพลังบุญ ทำให้ย้อนกลับมาสนองคุณรวดเร็วและหนักแน่นยิ่งๆขึ้น
การโลเลกลับไปกลับมา เดี๋ยวอยากทำเดี๋ยวไม่อยากทำ จะเป็นเหตุบั่นทอนโสมนัสได้มาก แต่ถ้าคิดดีได้ตลอด โสมนัสก็เกิดเต็มที่ บุญก็ไพศาลสมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงก่อนทำและขณะทำสำคัญที่สุด หากรักษาความคงเส้นคงวาไว้ได้แค่สองช่วงนี้ก็นับว่าเลิศแล้ว แม้โสมนัสมาแหว่งวิ่นหลังทำบ้างก็จะมีผลเสียน้อยกว่ากัน
ในเรื่องของโสมนัสหลังทำบุญนั้น เป็น ‘ตัวบวก’ ที่ทุกคนประจักษ์จริงได้ง่ายๆ ทุกคนมักมีบุญประเภท ‘งานชิ้นโบแดง’ อยู่สักอย่างสองอย่าง คือทำแล้วมักหวนกลับมานึกถึงบ่อยๆสักช่วงหนึ่ง นึกถึงทีไรก็ปลาบปลื้มไม่ต่างจากได้ทำบุญซ้ำ ยิ่งถ้าคุณฟังใครบอกว่าได้รับประโยชน์จากงานของคุณมากๆ โสมนัสในงานบุญนั้นๆก็จะยิ่งขยายผลออกไป เพราะเกิดการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบุญดังกล่าวเพิ่มเติมนั่นเอง โสมนัสเกิดขึ้นซ้ำกี่ครั้ง บุญก็ยิ่งทับทวีมากขึ้นเท่านั้น นี่คือธรรมชาติอันมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของบุญ ตราบเท่าที่คุณไม่หมดแรงปลื้ม ตราบนั้นบุญยังแพร่ขยายได้ราวกับดอกเห็ด แต่ถ้าคุณลืมๆบุญที่ทำไปแล้ว หมดโสมนัส หมดความผูกพันกับบุญแล้ว บุญก็จะคงที่อยู่ในระดับนั้นๆ และรอจังหวะให้ผลแบบผ่อนส่งหรือเต็มกำลังต่อไป
๕) ความคงทนและความสำคัญของวัตถุ
การทำบุญหรือทำบาปส่วนใหญ่จะอาศัยวัตถุอันเป็นที่ตั้ง อย่างน้อยก็ทำให้จิตเกิดความรับรู้ว่าสิ่งนั้นๆเป็นคุณหรือเป็นโทษได้นานแค่ไหน มีความสลักสำคัญยิ่งหย่อนเพียงใด
สำหรับความสำคัญของวัตถุนั้น คงมองได้จากคำถามง่ายๆเช่นว่าเป็นปัจจัย ๔ หรือเปล่า หากเป็นอาหาร ที่อยู่ เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ใจจะรู้สึกถึงความสำคัญได้ชัดเจน แต่ก็มีสิ่งอื่นที่ใจอาจรับทราบถึงคุณค่าเหนือปัจจัย ๔ อย่างเช่นพระไตรปิฎกและหนังสือธรรมะ หากโลกขาดสิ่งเหล่านี้ ก็จะไม่มีการสืบทอดพระสัทธรรมเผยแผ่ไปได้กว้างไกลและยาวนานเลย
หากวัตถุที่ตั้งบุญบาปเป็นของกิน ลักษณะบุญบาปจะออกไปทางมีกินมีใช้หรืออัตคัดขัดสน แม้อาหารเป็นสมบัติใช้สอยชั่วคราว เก็บไว้ได้เดี๋ยวเดียว กินเสร็จก็หมด ทว่าอาหารก็เป็นปัจจัยในการดำรงชีวิตที่สำคัญสูงสุด ขาดไปก็ตาย ฉะนั้นต้องใส่บาตรเรื่อยๆ หรือให้อาหารแก่สัตว์อย่างสม่ำเสมอ จึงจะช่วยให้มีกินมีใช้ไม่ขาดสาย ไม่ไปเกิดใหม่ในประเทศที่อดอยากยากแค้น แม้ตกที่นั่งลำบากก็มีคนยื่นมือช่วยให้ไม่อดตาย แต่หากเป็นพวกชอบลักกินขโมยกิน หรือเป็นเจ้าหน้าที่ที่เบียดบังงบอาหารนักโทษเป็นประจำ เอาของเลวให้ทั้งที่จัดของดีได้มากกว่านั้น เช่นนี้ย่อมไปเกิดในถิ่นแร้นแค้น หาน้ำหาอาหารดีๆถูกอนามัยได้ยากเย็นนัก
หากวัตถุที่ตั้งของบุญบาปเป็นที่อยู่อาศัย ลักษณะบุญบาปจะออกไปทางความร่มเย็นหรือเดือดร้อนเกี่ยวกับเคหะสถาน เพราะที่อยู่เป็นสมบัติใช้สอยระยะยาว ฉะนั้นแม้สร้างวิหาร สร้างกุฏิ หรือสร้างเรือนให้คนอนาถาอยู่อาศัยเพียงครั้งเดียว ก็ให้ผลยืดยาวเกินกว่าจะคาดคะเน แม้ความปลาบปลื้มก็ถูกหล่อเลี้ยงไว้ได้นาน เช่นสร้างโบสถ์แล้วใจรู้อยู่ ว่าจะมีคนมากมายมาทำบุญใต้หลังคาโบสถ์อันร่มเย็นและงดงาม สงฆ์จะได้ประกอบศาสนกิจอีกหลายสิบปีกว่าจะถึงเวลาทุบสร้างใหม่ ความเข้าใจประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับสงฆ์ในระยะยาวนั้นเอง จะปรุงแต่งจิตให้สว่างกว้างใหญ่ กับทั้งมีความตั้งมั่นในบุญเป็นอันมาก เกิดตายกี่ครั้งต้องมีที่อยู่คุ้มแดดคุ้มฝนเสมอ ตรงข้าม หากลอบวางเพลิง เผาบ้านในถิ่นสลัมเพื่อไล่ที่ ทำความเดือดร้อนสาหัสกับผู้คนนับสิบนับร้อยครัวเรือนเพียงครั้งเดียว ก็เป็นอันคาดหวังได้ว่านักวางเพลิงจะต้องทนทุกข์เรื่องที่อยู่อาศัยไม่รู้จักจบจักสิ้น ทั้งไปเป็นพวกเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย หรือมีที่อยู่ชั่วคราวก็โดนขับไล่อย่างไร้ความปรานี หรือไปอยู่บ้านไหนไฟก็ไหม้แทบจะชั่วข้ามคืน เป็นต้น
หากวัตถุที่ตั้งของบุญบาปเป็นเครื่องนุ่งห่ม ลักษณะบุญหรือบาปจะออกไปทางผิวพรรณวรรณะ ตลอดจนรสนิยมขั้นพื้นฐานในการแต่งกาย เพราะเครื่องนุ่งห่มเป็นสมบัติที่ใช้นาน แสดงความน่าประทับใจเมื่อแรกเห็น ตลอดจนเป็นสิ่งห่อหุ้มคุ้มร้อนคุ้มหนาว หากได้ถวายจีวรสงฆ์ด้วยเนื้อผ้าที่ประณีต หรือบริจาคเสื้อผ้าแก่คนยากจน ก็จะให้ผลเกี่ยวกับเนื้อหนังที่ทนทาน ไม่อ่อนไหวกับดินฟ้าอากาศง่าย ส่วนจะมีผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งเป็นทองทาเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับระดับความศรัทธาเลื่อมใสและคุณภาพของเนื้อผ้า ในทางกลับกัน หากทำอะไรที่เป็นผลร้ายกับผิวหนัง เช่นชอบแกล้งโรยหมามุ่ยในที่พักให้คนคันคะเยอเล่นเอาสนุก ถ้าแกล้งได้แล้วเกิดโสมนัสบ่อยๆก็มีสิทธิ์ให้ผลทันตาในชาติปัจจุบัน เช่นผิวแพ้ง่าย โดนอะไรนิดหน่อยก็เป็นพิษเป็นภัยแก่ผิวไปหมด เป็นต้น
หากวัตถุที่ตั้งของบุญบาปเป็นยารักษาโรค ลักษณะบุญหรือบาปจะออกไปทางสุขภาพ แม้ยารักษาโรคเป็นสมบัติที่เก็บไว้ไม่ได้นานนัก ทว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จะหายป่วยหรือทรุดหนักถึงขั้นพบยมทูตบางทีก็ตัดสินกันที่มียาหรือไม่มียานั่นเอง ฉะนั้นต้องถวายหยูกยาแด่สมณะเรื่อยๆ หรือเป็นหมอที่รักษาคนไข้ด้วยความปรารถนาให้หายเจ็บป่วย จึงจะให้ผลเป็นสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์คงเส้นคงวา แต่อีกขั้วหนึ่ง ถ้าเป็นพวกชอบเล่นยาพิษ ชอบฉีดยาทดลองกับสัตว์ ก็จะให้ผลเป็นสุขภาพที่ย่ำแย่ เป็นโรคประหลาดรักษายาก
คราวนี้มาพูดถึงวัตถุอื่นนอกเหนือขอบเขตปัจจัย ๔ มองไปในโลกนี้คุณจะพบวัตถุที่เป็นประโยชน์และเป็นโทษเต็มไปหมด ผู้ให้วัตถุที่เป็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ ผู้ให้วัตถุเป็นโทษย่อมได้รับโทษ ขอยกตัวอย่างเพียงสังเขปเพื่อให้เกิดภาพในใจพอประมาณ
หากวัตถุที่ตั้งของบุญบาปเป็นแสงสว่าง ลักษณะบุญหรือบาปจะออกไปทางการรับรู้ที่แจ่มชัด ไม่ว่าจะเป็นเทียนที่มีอายุสั้น หรือหลอดไฟที่มีอายุยืน สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการเห็นโลกยามมืด ฉะนั้นการถวายเครื่องทำความสว่างใดๆแด่สมณะ ก็ย่อมมีผลกับคุณภาพประสาทตา และหากอธิษฐานกำกับก็อาจปรารถนาความเป็นผู้มีปัญญากระจ่าง รู้เห็นและเข้าใจอะไรๆแจ่มแจ้งแทงตลอด ในทางตรงข้าม หากขโมยไฟตามทางในวัด ทำให้พระเณรลำบากงมในความมืด ก็มีสิทธิ์ถึงขั้นเกิดใหม่ตาบอดแต่กำเนิดได้ หรือแม้พวกทรมานนักโทษด้วยการเอาสปอตไลท์ส่องหน้าบ่อยๆ ก็มีสิทธิ์เกิดใหม่นัยน์ตาพร่าพราย ประสาทการรับรู้ผิดปกติได้
หากวัตถุที่ตั้งของบุญบาปเป็นหนังสือ ต้องแยกเป็นหมวดๆว่าหนังสืออะไร หนังสือประโลมโลกที่ทำให้หลงติดและทวีราคะ โทสะ โมหะอย่างหนัก หรือหนังสือให้ความรู้ ความเข้าใจเชิงวิชาการ หรือหนังสือที่ให้สติปัญญา เท่าทันความจริงอันเป็นสัจจะพาตัวรอดปลอดภัยจากทุกข์โศก บริจาคหนังสือประเภทใดแบบเจาะจงก็ย่อมได้ผลเป็นเช่นนั้นเข้าตัว และเนื่องจากหนังสืออยู่ได้นาน แจกจ่ายให้อ่านต่อกันได้หลายคน ผลกรรมย่อมมีความตั้งมั่นสูงไปด้วย ขอให้พิจารณาว่าตัวหนังสือผูกเป็นประโยคอย่างไร ระบบความคิดของมนุษย์ก็ถูกจัดระเบียบตามนั้น และความคิดของมนุษย์ส่วนใหญ่เป็นอย่างไร โลกนี้ก็ปรากฏไปตามนั้น น้อยคนที่อ่านหนังสือไม่ออกแล้วทำประโยชน์อย่างใหญ่ได้ หากเป็นผู้มีโอกาสจัดทำหนังสือแบบใดกระจายสู่มหาชนกว้างขวาง ก็นับว่ามีส่วนสร้างโลกแบบนั้นๆขึ้นมา และจะต้องเสวยภพแบบนั้นๆในกาลต่อไป
๖) ประเภทบุคคลที่ได้รับผลดีร้าย
มนุษย์คนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ แต่อย่างน้อยช่วงหนึ่งๆต้องมีนิสัยที่ตั้งมั่นอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ การวัดว่าใครดีหรือใครร้าย ก็พิจารณาได้จากทานและศีลของแต่ละคน
หากจิตมีเมตตา ชอบสละออก ชอบให้ส่วนเกินของตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น นั่นจัดเป็นพื้นฐานความดีงามอย่างสำคัญ แต่หากจิตคิดแต่จะเอา มักโลภเห็นแก่ตัว คนอื่นไม่ให้ก็จดจ้องเพ่งเล็งจะเอา นั่นจัดเป็นพื้นฐานความเลวร้ายอย่างสำคัญ
หากจิตมีความละอายต่อบาป ไม่อยากฆ่าสัตว์ ไม่อยากลักทรัพย์ ไม่อยากเป็นชู้ ไม่อยากโกหก ไม่อยากกินเหล้า เพียงเพราะเห็นโทษเห็นภัยในพฤติกรรมเหล่านั้น นั่นจัดว่าเป็นกรอบรักษาความดีงามอันมั่นคง แต่หากจิตไม่ละอาย ชอบฆ่าทั้งที่ไม่จำเป็นต้องฆ่า ชอบขโมยทั้งที่ไม่จำเป็นต้องขโมย คบชู้ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องคบ โกหกทั้งที่ไม่จำเป็นต้องโกหก กินเหล้าทั้งที่ไม่จำเป็นต้องกิน นั่นจัดว่าเป็นกรอบกักขังความเลวร้ายอันแข็งแรง
เมื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงตั้งมั่นดีงาม ก็เหมือนหว่านเมล็ดพันธุ์ลงบนดินดีมีคุณภาพ ย่อมขยายผลไพบูลย์ เห็นผลงอกงามรวดเร็วในกาลปัจจุบัน ถ้าคิดถึงการทำบุญด้วยเงินกันอย่างเดียว คุณให้คนดีที่กำลังลำบากเพียงร้อยเดียว ยังได้ผลมากกว่าให้คนเลวที่ลำบากเท่ากันหนึ่งแสนเสียอีก
อย่างไรก็ตาม การช่วยคนที่ดีที่สุดไม่ใช่ด้วยเงิน แต่เป็นด้วยธรรมะ เพราะกฎหนึ่งของเกมกรรมก็คือการให้ธรรมะจะชนะการให้ทั้งปวง หากคุณสามารถเปลี่ยนคนเลวเป็นคนดีได้ด้วยการให้ธรรมะ ผลย่อมวิเศษมหัศจรรย์กว่าการให้ธรรมะแก่คนที่ดีอยู่แล้วหลายร้อยหลายพันเท่า เหมือนคุณช่วยให้คนสะอาดดูดีขึ้นไม่ได้มากกว่าที่สะอาดอยู่แล้วสักเท่าไร แต่ถ้าช่วยคนสกปรกได้สะอาดขึ้น เขาจะสบาย คนรอบตัวเขาก็ไม่ต้องทนกลิ่นเหม็นเน่าอีกต่อไป
ดังนั้นถามว่าการเข้าไปช่วยสอนคนคุก หรือการให้สื่อธรรมะกับคนคุกที่พวกเขาถูกจำกัดสิทธิ์ไม่ให้ออกมาหาธรรมะเอง จะเป็นบุญมากหรือบุญน้อย ต้องตอบว่าถ้าด้วยเจตนาตั้งต้นที่จะเปลี่ยนผิดให้เป็นถูก ปรับดำให้เป็นขาว เพียงเท่านั้นคนคุกที่อาจยังมีใจเป็นทุศีลก็จะเป็นที่ตั้งของบุญใหญ่ให้กับคุณทันที ยิ่งถ้าคุณสามารถเปลี่ยนความเห็นผิดของพวกเขามาเป็นความเห็นถูกได้ ก็แปลว่าคุณเอาเพชรขึ้นมาจากตม สร้างคนดีขึ้นมาจากศูนย์ ผลที่คุณจะได้รับย่อมเหนือกว่าสร้างเจดีย์ทองคำที่เปลี่ยนคนเลวเป็นคนดีไม่ได้เสียอีก
สำหรับพ่อแม่เป็นข้อยกเว้นพิเศษ ไม่ว่าจะดีเลวอย่างไร
ถ้าทำคุณกับพวกท่านก็ได้ผลเป็นความสุขความเจริญ เพราะได้ชื่อว่ารู้คุณคน
ได้ชื่อว่าตอบแทนผู้ควรตอบแทน ได้ชื่อว่าใช้หนี้อันควรใช้
ตราบใดไม่ใช้หนี้ตามสมควร ตราบนั้นชีวิตย่อมเต็มไปด้วยแรงกดดัน
เมื่อใช้หนี้พ่อแม่ด้วยความสุข มีความปลาบปลื้มยินดี
แรงกดดันย่อมแปรเป็นขั้วตรงข้าม คือกลายเป็นแรงหนุนส่งให้ขึ้นสูงได้ยิ่งๆขึ้น
ในแง่มุมที่ผู้รับผลเป็นพ่อแม่นี้ อาจทดลองได้ง่ายๆ
ถ้าไม่คิดว่าจะลงทุนทำธุรกิจเพื่อเลี้ยงตัวอย่างเดียว
แต่คิดว่าจะทำเพื่อให้พ่อแม่ได้สบายขึ้น หรือเพื่อให้ได้มีโอกาสตอบแทนพ่อแม่
คุณจะพบว่าอุปสรรคและความลำบากในเส้นทางทำเงินลดลง มีความราบรื่น
มีช่องทำกำไรมากขึ้นค่อนข้างทันตาเห็น และขอเพียงรักษาความตั้งใจกับตนเอง
เมื่อเกิดรายได้แล้วนำมาสมนาคุณพ่อแม่ตามสัตย์
คุณจะรู้สึกเหมือนมีแรงส่งอีกแรงหนึ่ง ให้ได้ดีมีสุขในกาลปัจจุบัน แม้ไม่ร่ำรวยมาก
คุณก็จะไม่อยู่ในสภาพอัตคัดขัดสนเกินทนอย่างแน่นอน เพราะความสว่างอันเกิดจากแรงกตัญญูกตเวทีนั้น
จะทำให้คนเมตตา และดึงดูดสิ่งดีมาช่วยอุดหนุนเอง
ความเป็นสงฆ์ก็จัดเป็นอีกหนึ่งในข้อยกเว้นพิเศษ
เพราะหากถวายทานแด่สงฆ์ที่ประพฤติธรรมและอยู่ในกรอบวินัยอันดีแล้ว
ผลจะขยายผลออกไปอย่างไม่มีประมาณ คือไม่มีวันสิ้นสุดต่อให้เกิดอีกกี่ชาติกี่ภพก็ตาม
ทั้งนี้ขอให้เข้าใจด้วยว่าการให้ผลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของสังฆทานนั้น
หาใช่มาในรูปของการตกแต่งภพชาติให้คุณอยู่ในฐานะร่ำรวยล้นฟ้าตลอดไป
แต่อาจหมายถึงการเป็นตัวช่วยหนุนให้รุ่งเรืองบ้างตามเหตุปัจจัยประกอบอื่นๆ
หรือถ้าคุณพลาดพลั้งทำชั่วต้องตกระกำลำบาก
บุญก็จะช่วยพยุงประคองไม่ให้โซซัดโซเซล้มตึงคลุกฝุ่นทั้งตัว
๗) จำนวนบุคคลที่จะได้รับผลดีร้าย
กลุ่มน้ำรวมกันทั้งถังมีพลังมากกว่าน้ำแก้วเดียวอย่างไร
คนเรือนพันย่อมมีพลังมากกว่าคนๆเดียวอย่างนั้น ใครสาดน้ำใส่คุณแก้วเดียว
ย่อมไม่หนักเหมือนเอาน้ำสาดคุณทั้งถัง
ซึ่งก็เช่นเดียวกับการที่คุณใส่แรงกระทำเข้าไปในกลุ่มคนกลุ่มใหญ่
คลื่นกระทบที่เป็นปฏิกิริยากลับมาย่อมรุนแรงกว่าที่คุณใส่แรงกระทำเข้าไปกับคนๆเดียวมากนัก
การอุปมาอุปไมยเปรียบเทียบคลื่นพลังสะท้อนของกลุ่มคนเข้ากับคลื่นสะท้อนของน้ำนั้น
ได้แค่ใกล้เคียง ความจริงไม่ถูกต้องนัก เพราะเมื่อคุณก่อกรรมกับกลุ่มคน
ต้องดูด้วยว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีสัดส่วนของพาลหรือบัณฑิตมากกว่ากัน
ถ้ารอบบ้านคุณเป็นครอบครัวคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำ
แล้วคุณเปิดเพลงรบกวนโสตประสาทพวกเขาทุกวัน รู้ทั้งรู้ว่าชาวบ้านรำคาญหูก็ไม่สน
เมื่อกรรมเผล็ดผลคุณอาจต้องเผชิญกับเรื่องจุกจิกรำคาญใจไป ๓ ปี
แต่หากเพียงทิศเดียวของบ้านคุณติดกับกุฏิพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพียงสองสามหลัง
และคุณเปิดเพลงรบกวนโสตประสาทพวกท่านเหมือนกัน
รู้ทั้งรู้ว่าพวกท่านคงไม่เป็นอันปฏิบัติสมณธรรม
เมื่อกรรมเผล็ดผลคุณอาจต้องเดือดเนื้อร้อนใจอย่างสาหัสไป ๓๐ ปีหรือกว่านั้น
(จำนวนปีของการให้ผลกรรมเกี่ยวกับหมู่สงฆ์ดีๆนั้นมากอย่างเหลือเชื่อ
เพราะฉะนั้นกล่าวเพียงประมาณให้พอรับรู้ได้ถูกว่าเกินธรรมดาไปมากก็พอ)
กรรมที่ทำกับมหาชนเรือนแสนเรือนล้านนั้น
เปรียบเหมือนการเล่นกับน้ำทะเลหรือมหาสมุทร ทุกคนมีสิทธิ์เล่นน้ำมหาสมุทร
แต่จะอยู่ดีหรือตายร้ายก็ขึ้นอยู่กับเล่นท่าไหน มีสติและวิธีการอย่างไร
เมื่อกล้าหวังดีหรือหวังร้ายกับมหาชน
เส้นทางกรรมของคุณก็มักผูกโยงกับมหาชน
ความหวังดีจะทำให้คุณเป็นคนมีชื่อเสียงในด้านดี
ความหวังร้ายจะทำให้คุณเป็นคนมีชื่อเสียงในด้านร้าย
ปัญหาคือคนเราไม่ได้หวังดีเพื่อคนอื่นอย่างเดียว
แล้วก็ไม่ได้หวังร้ายเพื่อเอาเข้าตัวอย่างเดียว
ส่วนใหญ่คุณจึงเห็นคนมีชื่อเสียงได้หน้าบ้าง เสียหน้าบ้าง ได้รับดอกไม้บ้าง
ได้รับอิฐบ้าง ชื่อหอมหวนขจรขจายบ้าง ชื่อเหม็นเน่าตลบอบอวลบ้าง
สำหรับโลกยุคปัจจุบัน สื่อมวลชนจัดเป็นอาชีพที่มีโอกาสเล่นกับมหาชนมากที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ ตลอดจนสิ่งพิมพ์ทั้งหลาย
และการถ่ายทอดระบบดิจิตอลก็สามารถบอกได้ทันทีด้วยว่ามีจำนวนผู้ชมช่องหนึ่งๆขณะหนึ่งๆมากน้อยเพียงใด
เราทราบว่าข่าวสารกำลังเข้าหูเข้าตาผู้คนกี่หมื่น กี่แสน หรือกี่ล้าน
ผู้กุมบังเหียนหรือมีอำนาจตัดสินใจให้ข้อเท็จจริงหรือบิดเบือนความจริงนั้นเอง
ได้ชื่อว่ามีโอกาสบำเพ็ญคุณงามความดีเพื่อปวงชนอย่างสูง
แต่ขณะเดียวกันก็เสี่ยงกับการแบกบาประดับประเทศหรือระดับโลกไว้บนบ่าด้วย
เรื่องของมหาชนระดับโลกจะมีผลกับอะไรหลายอย่าง เช่นโลกปัจจุบันมีคนใช้ภาษาจีนกับภาษาอังกฤษมากที่สุด
ฉะนั้นหากเล็งแลเป็นนิมิตจะเห็นว่าอักษรภาษาจีนและอังกฤษใหญ่โตกว่าอักษรของภาษาอื่น
เนื่องจากมีขนาดขยายผลบุญบาปใหญ่กว่าภาษาอื่นๆนั่นเอง
๘) การอธิษฐาน
เมื่อทำบาปด้วยความเห็นแก่ตัว หรือด้วยความผูกพยาบาทอาฆาต บาปจะไม่เป็นที่ตั้งให้ร้องขออะไรจากเกมกรรมได้
เมื่อทำบุญโดยเจืออยู่ด้วยความโลภหวังเอาผล
จิตใจเพ่งเล็งอยากได้จนเกิดโสมนัสในบุญน้อย บุญนั้นจะมีกำลังอ่อน ให้ผลดีได้จำกัด
และแม้เป็นที่ตั้งให้ร้องขออะไรจากเกมกรรมได้บ้าง ก็อยู่ในขอบเขตจำกัดเช่นกัน
เมื่อคิดหวังประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้วทำบุญ
เข้าใจว่าการทำบุญนั้นคือการสละออก
และคือการรักษาศีลเพื่อความไม่เดือดร้อนตนไม่เดือดร้อนท่าน
ประกอบกับมีความเลื่อมใสว่าบุญเป็นที่มาแห่งความสุขขณะทำ
และเป็นเหตุปัจจัยแห่งความสุขในกาลต่อไป ตลอดจนมีความเคารพในบุญ ลงมือทำบุญด้วยตนเอง
ทำบุญแล้วเกิดปีติโสมนัสอย่างแรงกล้า บุญนั้นจะมีพลกำลังมหาศาล
อาจเป็นที่ตั้งให้ปรารถนาขออะไรจากเกมกรรมได้มาก
คืออาจมากเท่าจินตนาการซึ่งเกิดขณะจิตเป็นมหากุศลเต็มรอบ
เพราะจิตที่กำลังเป็นกุศลบริสุทธิ์นั้น จะมีสัญชาตญาณทราบได้เองว่าด้วยกำลังบุญประมาณนี้
สมควรกับผลประมาณไหน
เมื่อทำบุญอย่างประเสริฐดังกล่าวข้างต้นแล้วอธิษฐานเพื่อคนอื่น
ไม่มีความคิดเอาเข้าตัว จะให้ผลยิ่งใหญ่ที่สุด ขอยกตัวอย่างนางทาสคนหนึ่ง
ถูกใช้งานตั้งแต่ค่ำยันรุ่ง เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาด หิวโหยแทบลมจับ
แต่ได้อาหารปันส่วนเป็นข้าวแค่กระแบะมือเดียว
ขณะถึงเวลากิน นางไปนั่งริมทาง
เผอิญแลเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาบิณฑบาต เห็นพุทธลีลาอันน่าเลื่อมใส
ก็บังเกิดปีติ ลืมความหิวโหยเสียสิ้น เกิดกำลังใจเกินชีวิตตน
ปรารถนาจะถวายข้าวกระแบะมือเดียวนั้นแด่พระพุทธองค์ แต่แม้ปรารถนาแล้ว
นางทาสก็ยังเกรงอยู่ เนื่องจากข้าวของตนมีปริมาณน้อย
กับทั้งสกปรกดูไม่คู่ควรกับพระลักษณะสูงส่งของพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ทรงมีญาณรู้วาระจิตมนุษย์
ทราบว่านางทาสคิดลังเลเช่นนั้น ก็ทรงปรารถนาจะให้กำลังใจนาง
โดยดำเนินตามทางมาหยุดประทับยืนนิ่งเพื่อขอบิณฑบาต นางทาสเห็นเช่นนั้นก็ดีใจเป็นล้นพ้น
รีบถวายข้าวกระแบะมือเดียวของตนทันที เพราะมั่นใจแล้วว่าพระพุทธเจ้าจะทรงรับแน่
พระพุทธองค์ยังมีพระกรุณาให้กำลังใจนางยิ่งกว่านั้นอีก
คือประทับนั่งในที่อันควรแล้วเสวยให้นางเห็นกับตาว่ามิได้ทรงรังเกียจข้าวสกปรกของนางแม้แต่น้อย
ยังความปลาบปลื้มโสมนัสอย่างใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตแก่นาง
เพราะตลอดอายุที่ผ่านมาจนถึงบัดนั้น นางไม่เคยมีโอกาสทำบุญยิ่งใหญ่มาก่อน
นางทาสทำบุญด้วยใจคิดสละออกตั้งแต่แรก
และแม้เมื่อทำบุญสำเร็จก็ยังมีแก่ใจคิดเพื่อพระศาสนาอีก
กล่าวคือนางเห็นว่าชาตินั้นนางมีวาสนาน้อย ทำนุบำรุงพระศาสนาได้เพียงด้วยข้าวกระแบะมือเดียว
แต่นางก็ทำด้วยความเต็มใจ และทำแบบทุ่มหมดตัวโดยไม่เห็นแก่ความหิวโหย
ด้วยบุญนั้นก็ขอให้เกิดใหม่ครั้งต่อๆไปจงมีสมบัติเพียงพอจะทำนุบำรุงศาสนาพุทธให้เจริญรุ่งเรืองสืบไปด้วยเถิด
ผลที่เกิดจากมหากุศลจิตในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจเสียสละทันที
ผนวกเข้ากับแรงอธิษฐานดังกล่าว ทำให้เจ้านายของนางเกิดความเอ็นดูในตัวนาง
และให้อิสระกับนางเกือบๆจะในวันนั้นเอง เมื่อตายไป
เพียงด้วยกรรมคือถวายคำข้าวแด่พระพุทธองค์เพียงกระแบะมือเดียว
นางก็ไปเกิดเป็นนางฟ้าผู้มากด้วยทิพยสมบัติ ถึงอายุขัยแล้วลงมาเกิดเป็นลูกเศรษฐีมหาศาล
นอกจากนั้นการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวด้วยกำลังใจเกินชีวิตตนซึ่งหาคนเทียบได้ยาก
ทำให้นางเกิดตายกี่ครั้งก็มีอิสริยยศ
มีความโดดเด่นและเป็นผู้นำในหมู่สตรีทั้งหลายเสมอๆ รวมทั้งมีทรัพย์มาก
คำว่าขาดทรัพย์ ขาดลาภนั้นไม่เป็นอันรู้จัก กระทั่งมีโอกาสทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสมความตั้งใจ
ขนาดนึกอยากสร้างวัดก็สร้างได้อย่างอลังการด้วยทรัพย์ส่วนตัวของนางเอง
จะเห็นว่าแม้อาหารจะเป็นวัตถุทานมีอายุสั้น
แต่ผลก็ถูกขยายออกไปเป็นอนันต์ได้ ขอเพียงสบช่อง
ได้ถวายทานแด่บุคคลที่มีจิตวิญญาณสูงส่ง มีสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดมหาโสมนัส
ตลอดจนมีคำอธิษฐานอันเป็นไปเพื่อประโยชน์ใหญ่แก่สาธารณะ ดังตัวอย่างที่ยกมา
จริงๆแล้วการทำบุญไม่จำเป็นต้องอธิษฐานหรือขออะไรเพื่อตัวเอง
เพราะบุญไม่ไปไหนอยู่แล้ว ให้ผลกับตัวเองอยู่แล้ว และเป็นเรื่องยากสำหรับคนทั่วไป
ที่จะไม่อธิษฐานขออะไรให้ตนเองด้วยความโลภ
อย่างไรก็ตาม เมื่อยังไม่เชื่อสนิทว่ากำลังเล่นเกมกรรม
หากทำบุญเกิดโสมนัสครั้งใดแล้วอธิษฐานว่า ขอบุญนี้จงบันดาลให้รู้เหตุผล
รู้กลไกกรรมวิบากอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็นับเป็นการอธิษฐานที่ฉลาด
เพราะหากอธิษฐานทุกครั้งจนกระทั่งเกิดผลเหนี่ยวนำให้เกิดเรื่องดีๆ พบครูดีๆ
ที่จะทำให้เห็นความจริงกระจ่างแจ้ง กระทั่งเกิดศรัทธาตั้งมั่น เห็นตนเองอยู่ ณ
ใจกลางวงล้อมของกับดักแห่งเกมกรรมจริงๆ คุณก็จะไม่เป็นผู้ถอยกลับอีกต่อไป
จากความจริงข้างต้น จะเห็นว่าการอธิษฐานอาจเป็นตัวเร่ง
หรือเป็นทางลัดให้เห็นผลทันตาทันใจได้ ขอเพียงไม่ขอเกินตัว
ไม่เรียกร้องเกินกำลังบุญของตนเท่านั้น
ปัจจัยในการรับผล
๑) ความจำ
เมื่อจบจากเกมกรรมในชาติหนึ่งๆ
คุณจะตัดขาดจากอุปกรณ์เล่นเกมในชาติที่ผ่านมา
หมายความว่าแม้ยังมีคนได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากกรรมของคุณอยู่
คุณก็จะไม่ได้บุญหรือบาปเพิ่มขึ้น และไม่อาจรู้สึกผิดหรือปลาบปลื้มใดๆกับตัวตนในเกมเก่าอีกแล้ว
ความข้องเกี่ยวเดียวคือคุณมีหน้าที่ต้องเป็นทายาทรับผลกรรมที่ก่อไว้ท่าเดียว
ในเกมใหม่องค์ประกอบของเกมจะถูกจัดตั้งใหม่หมดเหมือนทุกครั้ง
สิ่งที่คุณจะลืมตาขึ้นมาเห็นคือพ่อแม่คู่ใหม่ เพศใหม่ รูปร่างหน้าตาใหม่
แก้วเสียงใหม่ สุขภาพใหม่ ฐานะใหม่ ที่อยู่อาศัยใหม่ ครูใหม่ ความเฉลียวฉลาดใหม่
และวิธีใช้สติคิดอ่านใหม่ๆ โดยความ ‘ใหม่’ ของสมบัติแต่ละอย่างจะถูกกรรมในเกมก่อนหน้าตกแต่งให้เป็นไป
สิ่งหนึ่งที่ใหม่แน่ๆโดยกรรมไม่ต้องตกแต่ง ได้แก่ความทรงจำ
เกือบทุกคนต้องลืมหมด และเหตุผลของการลืมก็มีหลายข้อ เช่น
ไม่ต้องสำนึกผิดกับบาปใหญ่หนหลัง
ไม่มีสิทธิ์อ้างสมบัติเก่าซึ่งหมดสิทธิ์ตามกายใจที่แตกดับไปแล้ว
ให้โอกาสจับคู่มีความสัมพันธ์กันแบบใหม่โดยไม่ต้องคำนึงว่าเคยเป็นเครือญาติ
และเหตุผลข้อสำคัญที่สุด
การลืมเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการลองใจ คือถ้าจะดูว่าใครเป็นอย่างไรจริงๆ
ก็ต้องดูวิธีเลือกตัดสินใจตอนไม่รู้ว่าจะได้รางวัลหรือโดนลงโทษอย่างไรจากการตัดสินใจนั้นๆ
เกมกรรมจับคุณเข้ากรงเพื่อเผชิญหน้ากับแรงบีบคั้นและแรงต้านต่างๆ
โดยไม่บอกคุณสักคำว่าควรหรือไม่ควรทำอย่างไร
เพราะถือว่ากรรมเก่าของคุณจัดสรรตัวช่วยในช่วงเริ่มต้นชีวิตมาให้แล้ว
และเกมกรรมก็จะไม่รับผิดชอบด้วย ถ้าตัวช่วยของคุณหลอกให้คุณหลงผิด
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เพราะตัวช่วยของคุณก็คือสิ่งที่คุณในอดีตสร้างทำไว้นั่นเอง
จึงต้องรับผิดชอบเอาเอง
การจำไม่ได้และไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลยของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
จะทำให้คุณเผชิญทุกข์ด้วยความกระวนกระวาย เหมือนถูกยั่วให้ไม่เข้าใจ
และมองไม่เห็นความยุติธรรมใดๆในโลก แต่เมื่อเสวยสุขก็ประมาท ลำพองตน
นึกว่าโลกเข้าข้าง นึกว่าเป็นเจ้าใหญ่เหนือสามัญมนุษย์ เหนือกฎเกณฑ์ใดๆ
มีแค่หนึ่งในหมื่นหรือหนึ่งในแสนเท่านั้นที่ติดความทรงจำจากเกมกรรมก่อนหน้ามาด้วย
ซึ่งก็จะเป็นที่รู้จักในนามของเด็กระลึกชาติ
เหตุที่ทำให้เกิดกรณียกเว้นพิเศษ ให้เป็นคนจำอดีตชาติของตัวเองได้นั้น
มีอยู่หลายประการ จะขอกล่าวโดยหลักเพียงสองประการ
ประการแรกคือเพิ่งตายจากความเป็นมนุษย์แล้วกลับมาสู่ความเป็นมนุษย์ทันที
รวมทั้งมาเกิดในถิ่นฐานเดิม ซึ่งยังคงมีเครื่องเตือนความจำอยู่มาก
คล้ายคนเคยฝันถึงการเดินป่า พอตื่นขึ้นลืมสนิทว่าฝันถึงการเดินป่า
แต่หนึ่งเดือนต่อมามีโอกาสเดินป่าจริงๆ ก็ระลึกได้
และรู้สึกเหมือนเคยเห็นอะไรๆแบบในฝันมาก่อน
กรณีการตายจากมนุษย์แล้วย้อนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที
แถมเกิดใกล้ถิ่นเดิมมีน้อยมาก
ส่วนใหญ่ถ้าไม่ไปทุคติภูมิก็ไปสุคติภูมิชั้นที่เหนือกว่ามนุษยภูมิ หรือแม้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ไปอยู่ถิ่นอื่น
ทั้งนี้เพราะความเป็นมนุษย์มักพาไปสู่ความเจริญขึ้นกว่าเดิม หรือเสื่อมลงกว่าเดิม
อย่างใดอย่างหนึ่ง ที่จะดีร้ายเสมอตัวเท่าทุนเดิมนั้นยาก
อีกประการที่ทำให้ระลึกชาติได้คือทำบุญจนเกิดโสมนัสแล้วอธิษฐานบ่อยๆ
ขอให้เป็นผู้จดจำอดีตชาติได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม ถ้าจะขออะไรจากบุญของตน
นักอธิษฐานมักขอให้หล่อสวยร่ำรวยเสียมาก
ที่จะหาคนตั้งใจอธิษฐานบ่อยๆให้ระลึกชาติได้นั้นยาก
ประเด็นสำคัญที่จะกล่าวถึงในหัวข้อนี้ ก็คือหากจำได้
การรับผลกรรมจะแตกต่างพิสดารไปจากคนสามัญธรรมดาทั่วไป
ข้อแรกที่เห็นได้ชัดคือไม่ต้องสงสัยว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงไหม
ข้อสองคือสามารถประจักษ์กับตนว่าสิ่งที่เคยทำไว้แล้วกับคนอื่น
ก็ย้อนกลับมาเกิดขึ้นกับตนบ้าง
ทำให้มีโอกาสเชื่อว่าตนอยู่ในวงเวียนเกมกรรมง่ายขึ้น
เมื่อต้องเผชิญทุกข์อันเกิดจากกรรมเก่าที่จำได้ ก็ย่อมไม่ตีโพยตีพายถามหาความยุติธรรมจากฟ้าดินเหมือนคนอื่น
อย่างไรก็ตาม
การระลึกชาติไม่ได้เป็นประกันว่าจะทำให้หันมาศรัทธากรรมวิบากเสมอไป
ต้องพบครูดีที่รู้เห็นเหนือกว่าด้วย จึงจะต่อยอดความจำที่มีแบบแหว่งๆวิ่นๆ
ให้เป็นความเข้าใจที่เข้าทางได้อย่างสมบูรณ์ เพราะคนจะเห็น
เข้าใจกฎการเวียนว่ายตายเกิดของเกมกรรมจริงๆ ก็ต้องระลึกได้หลายๆชาติ
ไม่ใช่แค่ชาติเดียว
การเห็นความเกิดตายหลายๆชาตินั้น
อย่างน้อยทำให้เห็นนิมิตว่าชาติหนึ่งทำกรรมหลักๆประการใด
อีกชาติถึงไปเสวยผลสอดคล้องตามนั้น เมื่อเห็นหลายรอบหลายภพภูมิเข้าก็หมดความสงสัย
ทราบชัดว่าเพราะบุญอันสว่างจึงนำไปสู่ภพสว่าง เพราะบาปอันมืดจึงนำไปสู่ภพมืด
๒) สถานภาพขณะเสวยผลกรรม
ถ้ารวยเป็นเศรษฐีหมื่นล้าน ถูกขโมยแจกันราคาหนึ่งล้าน
จะไม่ทำให้เดือดร้อนกาย แต่อาจเดือดร้อนใจ
ขึ้นอยู่กับว่าแจกันนั้นเป็นใบโปรดหรือไม่ หรือมีค่าทางใจในเชิงประวัติศาสตร์ขนาดไหน
พูดโดยนัยของเกมกรรม
หากกำลังเสวยผลกรรมด้านดีที่ปรุงแต่งให้ร่ำรวยระดับหมื่นล้าน
แล้วได้เวลากรรมข้อลักขโมยเผล็ดผลเช่นกัน ก็จะไม่เกิดความทุกข์ทรมานมากนัก
เนื่องจากไม่มีโจรรายใดปล้นทรัพย์สินรวดเดียวเป็นหมื่นล้านได้ อย่างน้อยต้องเหลือไว้ให้เอาตัวรอดตลอดชีวิตได้สบายๆ
กรรมที่ทำให้เจอเคราะห์ร้ายในขณะพร้อมจะรับมือ
หรือสามารถผ่านไปได้สบายๆ มาจากการเป็นคนชอบฉุดคนล้มให้ลุก
หรือเห็นใครตกทุกข์ได้ยากก็มีน้ำใจช่วยโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
และเป็นการช่วยในแบบให้ลอยพ้นปัญหาอย่างเด็ดขาด
กรรมดีนี้จะทำตัวเป็นผู้จัดการลำดับการให้ผลกรรมชั่วอื่นๆมาปรากฏขณะที่ยังมีกำลังวังชาพรักพร้อม
ต้องหมายเหตุด้วยว่ากรรมชั่วในกรณีตัวอย่างโดนขโมยแจกันแพงๆขณะเป็นเศรษฐีนั้น
มักหมายถึงกรรมชั่วเล็กน้อย เช่นเคยขโมยของคนอื่น โดยที่ใจรู้ (หรือคาดเดา)
ว่าเจ้าของจะไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ เช่นขโมยมะม่วงพวงหนึ่งจากต้นที่เจ้าของปักป้ายไว้ว่า
‘ห้ามขโมยให้เห็น’ เป็นต้น
ส่วนถ้าหากเป็นตรงข้าม ใครโดนผลกรรมกดหัวให้ตกต่ำ
มีฐานะลำบากยากแค้นอยู่แล้ว ยังโดนโจรกระหน่ำซ้ำ
ขโมยข้าวของเงินทองซึ่งมีความจำเป็นต่อการดำรงชีพเข้าไปอีก
ไม่อยู่ในจังหวะที่บุญเก่าอันใดจะช่วยพยุงให้ เช่นนี้ทุกข์ย่อมเกิดอย่างอุกฤษฏ์
ฟ้องถึงจังหวะโดนหวดกระหน่ำสุดมือจากเกมกรรม
กรรมที่ทำให้เจอเคราะห์ซ้ำกรรมซัดนั้น
มาจากการเป็นคนชอบเหยียบย่ำซ้ำเติมคนอื่น เห็นใครล้มจะชอบกระทืบซ้ำ
(อาจหมายถึงด้วยเท้าจริงๆแบบวัยรุ่นคะนอง
หรือเป็นในเชิงอุปมาอุปไมยนิยมการรุมเล่นงานคนพลาดล้ม) หากนิสัยเสียๆติดตัว
ชมชอบการซ้ำเติมจริงๆ
กรรมชั่วนี้จะทำตัวเป็นแม่เหล็กดึงดูดกรรมชั่วอื่นๆให้เรียงแถวเข้ามาโจมตีในเวลาไล่เลี่ยกัน
อีกความเป็นไปได้หนึ่งคือเคยเป็นมหาโจรใจบาป
ยกเค้าแบบไม่ให้เหลือของจำเป็นติดบ้านสักชิ้น หรือเห็นๆอยู่ว่าเจ้าของบ้านลำบากเดือดร้อน
ก็ยังสนุกกับการปล้นเป็นการซ้ำเติม
ขอให้จำง่ายๆว่ากรรมที่ทำขณะมีจิตใจเหี้ยมเกรียมนั้น
มักให้ผลเป็นเคราะห์ร้ายซ้ำซ้อน
ทรมานแทบแด่วดิ้นอยู่แล้วก็ยังดาหน้ามาหาอีกและอีกไม่รู้จบรู้สิ้น
๓) การคานกันระหว่างบุญบาปคู่ตรงข้าม
ในคนๆเดียว อาจทำบุญทำบาปเป็นตรงข้ามกันได้ราวกับเป็นคนละคน
เช่นเมื่อสมัครใจเคารพรักบูชาพระอาจารย์รูปหนึ่ง
ก็ชักชวนญาติมิตรพี่น้องไปกราบไหว้ ต่อมาผิดใจกับพระอาจารย์ ก็ตั้งตนเป็นศัตรู
นินทาว่าร้ายต่างๆนานาให้สานุศิษย์ทุกคนตีตัวออกห่างและเกลียดชังพระอาจารย์ที่ตนโกรธแค้น
เมื่อทำบุญกับบาปเช่นดังตัวอย่าง
เวลาให้ผลก็มักมีเหตุการณ์อันเป็นตรงข้ามมาสู้กัน เช่นถ้าหากบุญเผล็ดผลก่อน
เหตุการณ์ดีๆเช่นมีคนแห่แหนชื่นชมก็มาก่อน แต่ไล่ๆกันนั้นเมื่อบาปเผล็ดผล
เหตุการณ์ร้ายๆเช่นมีคนด่าทอต่อต้านก็ตามมา อาจเป็นรูปแบบเดียวกับที่เคยทำไว้ก่อน
หรืออาจเพียงคล้ายกัน แต่ผลทางใจจะเหมือนกัน คือหนุนให้สุขเลิศลอยราวกับนั่งเมฆ
แล้วกลับฉุดให้ดิ่งลงราวกับหล่นกระแทกก้นเหว
บุญบาปอันเป็นตรงข้ามที่ทำควบคู่กันหรือในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น
เวลาให้ผลมักมาด้วยกัน หมายความว่าถ้าบุญยังไม่เผล็ดผล
บาปที่คู่กันก็จะไม่เผล็ดผลด้วย แต่หากสบช่องที่บุญจะเผล็ดผล
บาปก็จะต่อแถวเผล็ดผลตามด้วยเช่นกัน
๔) การคานบุญบาประหว่างบุคคล
คุณไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก
และคุณก็ไม่ได้ทำบุญทำบาปอยู่คนเดียว ทั่วโลกเต็มไปด้วยคนที่ทำแบบคุณ
และยากที่คุณจะทำบุญทำบาปได้หนักหน่วงเหนือคนเป็นล้านๆ
แต่หากคุณเป็นหนึ่งในล้าน
ประเภทลุกขึ้นมาคิดทำบุญใหญ่เองโดยไม่มีใครชักชวน โดยวิธีทำบุญนั้นคุณเป็นต้นคิด
เมื่อทำแล้วได้ประโยชน์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
คุณก็ยิ่งรุกคืบต่อไปเรื่อยๆราวกับนักธุรกิจที่พึงใจกำไรอันงอกเงยไม่หยุดหย่อน
ทว่ากำไรในที่นี้แทนที่จะเป็นเงินทอง ก็เปลี่ยนเป็นความสุข ความรู้สึกสว่างไสว
และรอยยิ้มของผู้รับผลที่ผุดให้เห็นราวกับแถวดอกไม้ในสวนใหญ่
บุญอันเกิดจากการทุ่มเทช่วยเหลือคนไม่เลือกหน้าและไม่หยุดยั้งเช่นนี้
เกมกรรมมักจัดให้ได้ไปเป็นกษัตริย์
ยิ่งระยะเวลาในการช่วยเหลือมหาชนในอดีตชาติต่อเนื่องยาวนานขึ้นเพียงใด ระยะเวลาในการครองราชย์ในชาติถัดมาก็นานขึ้นเท่านั้น
ส่วนจำนวนมหาชนที่ช่วยเหลือให้เป็นสุขได้
จะเผล็ดผลเป็นระดับความไพบูลย์แห่งราชสมบัติและข้าราชบริพาร
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีคนเคยใจบุญอย่างเหลือเชื่อเหมือนคุณ
แล้วเผอิญตกช่องเกิดใหม่ในถิ่นเดียวกับคุณ ต่างฝ่ายต่างลืมไปแล้วว่าเคยทำบุญอะไรมา
รู้แต่ว่าเกิดมาก็มีบุญยิ่งใหญ่ทัดเทียมกัน
หากเคยผูกไมตรีต่อกันไว้ก่อน ก็จะเป็นสัญญาณนำร่องที่ดี
เมื่อพบกันก็เป็นมิตรกัน ต่างฝ่ายต่างเป็นใหญ่ในเขตของตน ทุกเรื่องตกลงกันได้
โดยไม่มีใครเล็งแลอยากพิชิตเมืองใคร
แต่หากเคยผูกใจอาฆาตกันและกันไว้โดยยังไม่มีใครคิดอโหสิให้ อย่างนี้เพียงพบกัน
หรือเพียงได้ยินกิตติศัพท์ของอีกฝ่าย ก็จะอยากท้ารบ อยากรู้ว่าใครใหญ่กว่าใคร
แม้ในระดับยอดยังเขม่นกันได้
เช่นนี้จะป่วยกล่าวไปไยสำหรับการแย่งชิงอำนาจ
การชิงดีชิงเด่นระหว่างคนมีบุญบารมีสามัญ
ดังนั้นการเป็นคนแสนดีใช่หวังได้ว่าผลจะเป็นสุขล้วน
ตราบใดยังมีปัจจัยคือแรงริษยาหรือความผูกพยาบาทอาฆาตติดตัวอยู่
แต่ละคนย่อมพบคู่แข่ง คู่เทียบเคียง ที่ก่อให้เกิดความรู้สึกเขื่องหรืออ่อนด้อย
ผลบุญจึงไม่ได้ให้ความสุขที่สมบูรณ์ในตัวเอง และคุณก็อาจไม่พอใจในผลบุญอันเลิศแล้ว
ตราบใดที่ใจยังเต็มไปด้วยมานะ แข่งเขาแข่งเราอยู่
ในเวลาก่อบาป โมหะอาจทำให้คุณและคู่แข่งนึกสนุก ใครใจถึง
ใครกล้าทำบาปมากกว่ากันถึงว่าเก่งกว่า แต่เมื่อบาปเผล็ดผลแล้ว
จะไม่ทำให้คุณคิดอยากแข่งกับใคร เช่นใครเป็นง่อยมากกว่ากัน ใครหูตึงมากกว่ากัน
ฉะนั้นการเทียบเคียงผลกรรมชั่วที่เผล็ดผลแล้ว
มักเป็นไปในรูปที่ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยมีเพื่อน
หรือเห็นว่ามีคนที่เขาทุกข์กว่าคุณอีกมาก
๕) ความข้องอยู่ในไมตรีและความอาฆาต
อันเนื่องจากคุณไม่ได้ทำกรรมกับตัวเองคนเดียว
โดยมากคุณจะทำกรรมกับคนรอบข้าง ซึ่งก็ก่อให้เกิดความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ
หากหนักไปในทางดีก็เรียกว่าเป็นกรรมสัมพันธ์ขาว ทำให้มีไมตรีต่อกัน
แต่หากหนักไปในทางร้ายก็เรียกว่าเป็นกรรมสัมพันธ์ดำ ทำให้เกิดความอาฆาตต่อกัน
คนมีกรรมสัมพันธ์ขาว เมื่อพบกันมักรู้สึกเย็น เข้ากันได้ดี
และไม่นึกรังเกียจกัน ยิ่งหากเคยร่วมบุญกันมาก่อน
พอมาทำธุรกิจร่วมกันก็เจริญรุ่งเรืองทันตาเห็น เป็นต้น
ความรู้สึกดีๆถ้าไม่สะดุดด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งเสียก่อน
ก็ย่อมกระชับสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
กลายเป็นแรงเหนี่ยวนำให้ได้ไปพบกันฉันมิตรอีกในเกมกรรมครั้งหน้า
คนมีกรรมสัมพันธ์ดำ เมื่อพบกันมักรู้สึกร้อน เข้ากันไม่ได้
และนึกรังเกียจกัน ยิ่งหากเคยฆ่าแกงกันด้วยใจผูกพยาบาท
พอมาสบตากันบนถนนก็อาจควักปืนมายิงกันดื้อๆ เพราะเวรเก่ากระตุ้นให้เดือดดาลวู่วามไปวูบใหญ่
สติสัมปชัญญะและความยั้งคิดหยุดชะงักหมด
กรรมใหม่ที่ทำเลวร้ายต่อกันย่อมต่ออายุให้แรงอาฆาตยืดยาวออกไปอีก
ต่อเมื่อชาติใดชาติหนึ่งมีสักฝ่ายที่อบรมจิตจนอยู่เหนือความโกรธแค้นอาฆาต
มาพบอริเก่าก็สาดเมตตาดับโทสะในจิตตนสำเร็จ ก็จะค่อยๆเป็นน้ำเย็นดับเพลิงในอีกฝ่ายได้ด้วยเช่นกัน
การผูกไมตรีและการผูกเวรมักซับซ้อน กลับไปกลับมา
แต่โดยหลักคือใครผูกกันไว้อย่างไรก็เกิดเหตุการณ์ดีร้ายระหว่างกันเช่นนั้น
และเหตุการณ์ดีร้ายระหว่างกันจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ยังไม่ตัดไมตรี
หรือไม่อาจเลิกแค้นกันได้อย่างเด็ดขาด
๖) ความศรัทธาในกรรมและผลกรรม
หากชาติใดคุณมีโอกาสพบครูดี
ช่วยชี้ให้เชื่อว่ากรรมทั้งหลายมีผล คุณจะมองสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตต่างไป
ไม่ว่าดีหรือร้าย
เมื่อเชื่อว่าสิ่งดีร้ายและเรื่องดีร้ายทั้งหลาย
มีได้ก็โดยอาศัยแรงส่งจากกรรมเก่า ทั้งที่ทำไว้เมื่อวาน ทั้งที่ทำไว้เมื่อเดือนก่อน
ทั้งที่ทำไว้ในปีก่อน และทั้งที่ทำไว้ในเกมกรรมครั้งก่อน คุณจะไม่หลงลำพอง
ไม่คิดว่ามีดีแล้วจะทำอะไรก็ได้ แต่จะอ่อนน้อมถ่อมตน คิดว่ามีดีแล้วควรต่อบุญ
เพิ่มคะแนนสะสมที่เป็นบวกยิ่งๆขึ้นไป และจะโค้งคำนับรับชะตา
ไม่คิดว่าเคราะห์ร้ายแล้วหมดทางสู้
จากการมีท่าทีกับผลกรรมแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
จะทำให้คุณเสวยสุขทุกข์ทั้งหลายด้วยสติ ไม่ฟูจนฟ่องเกินเหตุเมื่อสมหวัง
ไม่แฟบจนฟุบหมอบเมื่อผิดหวัง ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริงว่าอะไรๆต่างก็เกิดจากเหตุ
หากเหตุหมดผลก็หมด ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ถาวร
และไม่ว่าคุณจะเสวยผลกรรมดีร้ายมากน้อยเพียงใด
ในที่สุดคุณจะได้ข้อสรุปขึ้นมารางๆ ว่าควรศึกษาเกมกรรมให้ละเอียดลออยิ่งๆขึ้น
ยิ่งรู้เรื่องเกมกรรมมากเท่าไหร่ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น
บทต่อๆไปจะแสดงให้เห็นว่าคุณสามารถคุมเกมได้มากกว่าที่คิด
หลังจากเห็นรายละเอียดในเกมกรรมมากพอ
อ่านต่อบทที่ ๘ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น