ตอนที่
๒๔. คำสาป
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ ขอสายหมออุปการะค่ะ”
“กำลังพูดครับ”
“พี่คะ หนูอยากนัดดูหมอ
สะดวกวันนี้ไหมคะ?”
“ขอชื่อและนามสกุลด้วยครับ”
“ลานดาว ลีลากีรติ…
หนูเคยดูกับพี่สมัยพี่ยังนั่งโต๊ะในห้าง”
“เห็นหน้าคงจำได้ครับ เอ้อ…
เผอิญคนเพิ่งขอถอนนัดไป เป็นช่วงบ่ายสองโมงถึงบ่ายสามโมงนะครับ”
“ดีค่ะ!
หนูจะไปถึงที่นั่นบ่ายสองโมงตรงนะคะ”
“ครับ ตกลง”
“ค่าดูเท่าไหร่คะ?”
“สามพันครับ”
“โห! ทำไมแพงนัก?”
“ก็จำเป็นต้องตั้งกำแพงราคากันลูกค้าไว้บ้าง
ไม่งั้นแห่มาดูกันจนผมป่วย… ความจริงถ้าผมทราบว่ายากจน เห็นเขาเดือดร้อนจริงๆ
คิดค่าแอร์แค่ยี่สิบบาทยังเคย”
“แล้วพี่รู้ได้ยังไงว่าหนูรวย? หนูยังขอตังค์พ่อแม่ใช้อยู่เลย”
“ไม่ต้องขอก็ได้เดือนละสองหมื่นเป็นประจำ
แต่ถ้าขอซื้อของพิเศษก็อาจได้เป็นแสนนี่ครับ”
“โอเค… ยังเก่งอยู่เหมือนเดิม
สามพันก็สามพันค่ะ!”
ระหว่างวันในเวลาทำการ
ประตูรั้วบ้านหมอดูอุปการะจะเปิดกว้างอยู่แล้ว เมื่อลานดาวมาถึงในเวลาเกือบบ่ายสอง
จึงนำรถคลานเข้าไปจอดในส่วนที่จัดไว้ให้ลูกค้าโดยเฉพาะได้โดยไม่ต้องเรียกใคร
หญิงสาวลงจากรถก็พบหมอดูใหญ่ยืนต้อนรับอยู่ที่ประตูเข้าเรือน
“สวัสดีค่ะพี่”
หญิงสาวลงจากรถ ยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
“ครับ สวัสดี”
“จำหนูได้ไหมคะ?”
“นึกๆอยู่ตั้งแต่ได้ยินเสียงทางโทรศัพท์แล้วว่าน่าจะเป็นหนู
เชิญครับ”
“เสียงเข้ากับใบหน้าเหรอคะ?”
อุปการะหัวเราะแผ่ว ไม่ตอบว่ากระไร
เดินนำลูกค้าสาวมาสู่ห้องรับแขกซึ่งเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ
ลานดาวตามมานั่งแล้วเหลือบซ้ายชำเลืองขวาสำรวจสภาพความเป็นอยู่ที่ดูดีของหมออุปการะเงียบๆ
ขณะนั้นมีเด็กสาวลูกอีสานคนหนึ่งนำน้ำอัดลมพร้อมแก้วน้ำแข็งเปล่ามาวางบนโต๊ะแล้วจากไป
ลานดาวจึงทัก
“สิ่งที่อยู่รอบตัวเราบอกความสำเร็จได้ดีนะคะ”
“บางทีก็แค่ชี้ว่าบุญเก่าตามมาช่วยเท่านั้นแหละ”
“รู้สึกพี่เอินมาที่นี่บ่อย
เล่าให้หนูฟังอยู่เรื่อย”
“เดือนละสองสามครั้ง
ไม่ถือว่าบ่อยหรอก ตอนนี้หมอเอินเหมือนญาติของทุกคนในบ้านไปแล้ว
ช่วยดูแลใครต่อใครไปหมด”
“เขาบอกว่าพี่ปิดตัวเองแล้วก็เลือกลูกค้า
หนูโทร.มายังกลัวอยู่เลยว่าจะเข้าข่ายลูกค้าที่พี่เอ็นดูหรือเปล่า”
“ก็ไม่ถึงขนาดปิดตัวเองหรอก
แค่คุยกันทางโทรศัพท์แล้วผมเล็งดูเสียก่อนว่าอาจนำความเดือดร้อนมาให้หรือเปล่า
เช่นทำนายแล้วเขาตีกัน หรือต้องตามล่าล้างผลาญแก้แค้นทีหลัง อย่างนี้ผมไม่เอา”
“แล้วสมัยนั่งโต๊ะในห้างจะบ่ายเบี่ยงยังไงคะ?”
“ผมก็บอกไปดื้อๆอย่างนั้นแหละว่าดูให้ไม่ได้
อาจมีข้อแนะนำเล็กน้อยแล้วไม่คิดเงิน แต่ประเภทนี้นานทีมีครั้ง ใช่ว่าเจอบ่อย
เกือบทุกคนที่ดูหมอก็เพราะเจอปัญหาคับอกมากกว่าตั้งท่ามาหาเรื่องกัน”
ลานดาวส่งยิ้มให้ แต่นัยน์ตาเศร้า
“พี่คะ… จำที่เคยทำนายให้หนูได้ไหม?”
“ก็พอได้บ้าง รออยู่เหมือนกันว่าเมื่อไหร่หนูจะกลับมาบอกดังๆว่าที่ผมทายไปนั้นผิด
หรือไม่ก็มาขอวิชาแทรกแผ่นดินหนีจากผม”
ลูกค้าสาวหัวเราะนิ่มๆในลำคออย่างรู้ตัวว่าโดนหยิกแกมหยอก
“หนูไม่มีอะไรจะคัดง้างพี่อีกแล้วค่ะ
มีใครบางคนทำให้หนูเจ็บได้จริงๆ เกิดมาหนูไม่เคยทุกข์ขนาดนี้มาก่อนเลย”
อุปการะยิ้มปลอบ ไม่มีวี่แววคิดซ้ำเติมแม้แต่น้อย
“ปัจจัยที่ทำให้หนูเคยทุกข์หนัก
ไม่ใช่เพราะรักมากหรืออยากมาก แต่เพราะมีความรู้สึกว่า
เป็นไปไม่ได้ที่จะสมหวังในรัก ซึ่งอันนี้หนูทำคนอื่นไว้เยอะ
คิดเสียว่าเรามีโอกาสลองรสขมเสียบ้าง เพื่อความยับยั้งชั่งใจ ไม่หลงก่อบาปก่อกรรมต่อด้วยความไม่รู้แบบเก่าๆอีก”
อันเนื่องจากตัดใจจากมาวันทาขาดสนิทแล้ว
จึงฟังถ้อยคำอันเป็นคติของหมออุปการะได้อย่างเข้าถึง
ลองย้อนทบทวนความทุกข์ร้อนสาหัสดู
ก็พบว่าตัวแปรสำคัญที่จิกกัดหัวใจหนักหน่วงเจียนคลั่ง
ก็ด้วยความรู้สึกเป็นไปไม่ได้ที่จะสมหวังในรักกับมาวันทาจริงๆ
แม้แต่คำปฏิเสธของมาวันทายังมีน้ำหนักน้อยกว่าหลายเท่าตัว
“วันนี้หนูมาขอความช่วยเหลือจากพี่อีกครั้ง”
“ครับ บอกมาเถอะว่าจะให้ช่วยอะไร?”
“พี่เคยบอกว่าหนูจะต้องเจ็บสองหน
หนแรกผ่านไปแล้ว รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องหลอก เพียงแต่…
หนูไม่อยากให้หนที่สองเป็นความจริง”
หางเสียงเหือดแห้ง ใบหน้าหมองลงถนัด
อุปการะหัวเราะหึๆ
"หนูเข้าใจว่าที่ผมพูดๆไปคือคำทำนายหรือคำสาปกันแน่?”
“ถ้านี่เป็นคำสาป หนูขอให้พี่ถอนได้ไหมคะ?"
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบงัน
ลานดาวส่งตาวิงวอนเป็นนานกว่าจะรวบรวมความกล้าจนสามารถเอ่ยเต็มปากเต็มคำ
“หนูไม่ต้องการคู่แท้ในอีกยี่สิบปีข้างหน้า
หนูต้องการผู้ชายคนนี้… หนูรักเขา"
ใช่แล้ว หล่อนรักเขา ยอมรับกับตนเอง
และกล้าสารภาพกับผู้ที่อ่านทุกคนออกจนหมดไส้หมดพุงอย่างอุปการะ
อมฤตทำให้หล่อนอ่อนโยนลง เป็นผู้หญิงมากขึ้น
และที่สำคัญคืออยากทำตัวเองให้น่ารักกว่าแต่ก่อน
ทว่าก็หวาดวิตกสุดหัวใจแทบทุกขณะจิต
เครียดแทบประสาทกินเมื่อนึกว่าสวนสวรรค์ตรงหน้าอาจมลายกลายเป็นอากาศธาตุให้เก้องงได้ทุกเมื่อ
อุปการะระบายลมหายใจยาว
ส่ายหน้าอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกระอา เขาพบเจอปัญหาของผู้คนร้อยพ่อพันแม่จนชาชิน
ทุกคนเหมือนกันหมด คือเอาความเศร้าของตัวเองมายัดเยียดให้เขารับผิดชอบ
ฝากความหวังไว้กับเขา และถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องช่วยจนกว่าจะสัมฤทธิ์ผล
“ก่อนอื่นหนูต้องเข้าใจให้ดี
ว่ากรรมนั่นเองคือพร กรรมนั่นเองคือคำสาป กรรม… ทำเอง รับเอง
แต่ละคนมอบพรและคำสาปให้ตัวเอง การพยากรณ์ในแบบของผมนั้น
แค่บอกว่าใครมีกรรมอย่างไรแล้วจะได้รับผลแบบไหน
ผมไม่มีหน้าที่พูดด้วยอคติเพราะชอบหรืออคติเพราะชัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่ผู้วิเศษที่สามารถบันดาลให้ใครเจริญขึ้นหรือเสื่อมลง
คิดเสียว่าถ้าหนูอยากให้กฎแห่งกรรมมีตัวตนพูดกับมนุษย์ได้
ก็คงพูดอย่างที่ผมพูดนั่นเอง”
“แล้วกรรมเก่าแต่ปางไหนที่จะทำให้หนูต้องสูญเสียเขาไป
หนูต้องทำกรรมใหม่ยังไงถึงมีน้ำหนักพอจะมารั้งเขาไว้ได้คะ? หนูยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาเขาไว้”
อุปการะถอนใจอีกหน
แต่คราวนี้ปิดเปลือกตาไปครู่ใหญ่เพื่อหยั่งสำรวจปัจจัยต่างๆจริงจัง
ก่อนเปิดขึ้นมองลูกค้าสาวนิ่ง
เป็นสายตาที่ทำให้ลานดาวนึกเกรงคล้ายจำเลยเห็นผู้พิพากษาบนบัลลังก์ตัดสินโทษ
“มีทางไหมคะ?”
“ก็มีอยู่”
ราวกับบังเกิดแสงสว่างวาบจากปากของหมออุปการะ
ลานดาวทำท่าเหมือนจะกระโจนเข้าไปเขย่าคอเขา
“ทำยังไงคะ?”
“ก่อนอื่นเข้าใจเหตุ
เข้าใจผลเสียให้ดี ไม่มีเรื่องสำคัญในชีวิตเราเกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ
พระพุทธองค์ตรัสว่าความรักนั้น เกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ
ประการแรกคือเพราะอยู่ร่วมกันในอดีตชาติ ประการที่สองคือเกื้อกูลกันในปัจจุบัน
เหมือนดอกบัวที่เกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการคือน้ำและเปือกตม
ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้”
“หมายความว่าถ้าเคยเป็นคู่ผัวตัวเมียมาแต่ปางก่อน
ก็อาจทำให้รักตั้งแต่แรกพบ ส่วนจะรักแท้แน่นอน ยั่งยืนแค่ไหน
ก็ขึ้นอยู่กับวิธีอยู่ร่วมกันในปัจจุบัน อย่างนั้นใช่ไหมคะ?”
“ใช่… และกรรมที่จะทำให้หนูเสียเขาไป
ก็ไม่ใช่กรรมเลวร้ายอะไรหรอก หนูเคยเป็นคู่บุญกับเขามาก่อน
ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาก่อน เพียงแต่ในภาคอดีตนั้น
บุญระหว่างหนูกับเขายังแพ้บุญระหว่างเขากับอีกคนหนึ่งอยู่”
ลานดาวใจหล่นวูบ นี่เป็นสิ่งที่หล่อนนึกไม่ถึง
“แปลว่าเขากำลังมีใครอีกคนหรือคะ?”
“ตอนนี้ยัง”
คำตอบนั้นทำให้หญิงสาวใจชื้นขึ้น
อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสแทรกแซงอนาคตได้ทัน
“คำว่า ‘บุญ’
คำเดียวทำให้นึกไม่ออกเลยค่ะ ว่าเราทำบุญกับใครมามากน้อยแค่ไหน
จะให้ชั่งตวงวัดกันอย่างไรคะ?”
“พอจับหญิงชายมายืนคู่หรือเดินเคียง
หนูเคยเห็นด้วยตาเปล่าใช่ไหมว่าบางคู่ดูสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
แต่บางคู่ก็ดูผิดฝาผิดตัวไม่เหมาะกันเลย
อันนั้นเป็นเครื่องฟ้องแบบหยาบๆว่าบุญเสมอกันหรือเปล่า”
“แปลว่าถ้าหญิงชายมีรูปร่างหน้าตาและบุคลิกรับกันก็ถือว่าใช่จริงๆหรือคะ?”
“ก็ส่วนหนึ่งน่ะ…
กายคนเราไม่ได้ประกอบด้วยเนื้อหนัง กระดูก และเส้นเอ็นเท่านั้น
มันยังถูกคุมด้วยกรรมให้ทรงรูปหยาบละเอียด งดงามหรืออัปลักษณ์ต่างๆนานาด้วย
พระพุทธเจ้าท่านเน้นเรื่องศีลมากกว่าอย่างอื่น
คู่ไหนเคยอยู่ร่วมกันแบบส่งเสริมให้มีศีลมีสัตย์ผ่องใส ก็มักเกิดมารูปร่างหน้าตาดี
ชนิดที่หญิงชายบางคู่เข้ากันเหมาะเจาะ ราวกับถอดจากพิมพ์เดียวกัน
ผมยกส่วนนี้ก่อนเพื่อให้เห็นง่ายๆว่า ‘บุญเสมอกัน’ เป็นอย่างไร”
“แต่บางคู่
ภายนอกสมกันยิ่งกว่าทองคำกับหยกใส ข้างในกลับไปด้วยกันไม่ได้เลยนี่คะ
พูดกันคนละภาษา คิดกันคนละแบบ แต่งงานเพียงด้วยความรักท่าเดียว
อยู่ไม่ทันไรก็ทะเลาะบ๊งเบ๊ง ไม่อายชาวบ้าน หนูเคยได้ยิน”
อุปการะหัวเราะ
“อันนั้นก็ส่องว่าปัญญาไม่เสมอกัน
ถึงต้องพูดกันละเอียด แยกแยะอย่างชัดเจนเป็นเรื่องๆ
เพื่อรู้ให้จริงว่ารักแท้มีชิ้นส่วนประกอบอะไรบ้าง…
สมัยพุทธกาลมีเศรษฐีท่านหนึ่งพร้อมด้วยภรรยา
กราบทูลพระพุทธองค์ว่าเขาทั้งสองปรารถนาเคียงครองกันตลอดรอดฝั่งในปัจจุบัน รวมทั้งไปพบกันอีกในสัมปรายภพ
อย่างนี้ต้องทำอย่างไร แค่ไม่นอกใจกันจะพอไหม?”
“เดี๋ยวนะคะ”
ลานดาวยกมือขัดจังหวะ
กุลีกุจอหยิบอุปกรณ์บันทึกเสียงจากกระเป๋าถือขึ้นมาวางบนโต๊ะ
หล่อนนำมาด้วยเพราะเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอาจมีรายละเอียดที่สมควรเอากลับไปฟังซ้ำ
“โอเคค่ะ สองสามีภรรยาไม่นอกใจกัน
ทูลถามว่าเพียงพอหรือไม่ พระพุทธองค์ตรัสตอบว่าอย่างไรคะ?”
“ตรงการไม่นอกใจกันเป็นแค่ส่วนของศีล
เรียกว่าเกื้อกูลกันเฉพาะศีล พระพุทธองค์ตรัสข้ออื่นๆจนครบ
ว่าถ้าสามีภรรยาคู่ใดหวังจะอยู่ร่วมกันในปัจจุบันและพบกันในสัมปรายภพ ทั้งคู่พึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน
มีศีลเสมอกัน มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน”
“ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา…
สี่ประการนี้นะคะ ที่เสมอภาคแล้วทำให้พบกันทั้งปัจจุบันและอนาคต?”
“ใช่…
พระพุทธองค์ท่านเสริมว่าถ้าทั้งสองเป็นผู้มีศรัทธา มีความเห็นใจผู้ขอ มีความสำรวม
เป็นอยู่โดยธรรม เจรจาด้วยถ้อยคำที่น่ารักแก่กันและกัน ไม่มีใจคิดร้ายต่อกัน
ย่อมมีความเจริญรุ่งเรือง มีความผาสุก รักใคร่กันมากอยู่ในโลกนี้
และจะไปเสวยสุขเพลิดเพลินบันเทิงใจกันต่อในเทวโลก”
“เริ่มจากศรัทธาก่อนนะคะ
หมายถึงจะต้องนับถือพุทธศาสนาเหมือนๆกันหรือเปล่า?”
“ศรัทธาตามความหมายของพุทธศาสนาคือความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม
เป็นสิ่งควรเชื่อ เพราะประกอบด้วยเหตุผล
ไม่ถูกลวงให้งมงายไปกับลักษณะชวนเชื่อภายนอก
ไม่ปักใจยอมรับเพียงเพราะใครต่อใครร่ำลือสืบๆกันมาว่าน่าเชื่อ”
“แล้วสิ่งที่ควรศรัทธามีอะไรคะ?”
“ศรัทธามีหลายแบบ
แต่แบบที่จะทำให้อยู่ในเส้นทางผาสุก คือเชื่อในกรรม เชื่อในผลกรรม
เชื่อว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตัว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ความเชื่อเกี่ยวกับกรรมเหล่านี้จะทำให้เกิดความละอายต่อบาป
คุมให้เราอยู่ในลู่ทางประพฤติชอบด้วยความเต็มใจ”
ลานดาวยิ้มเจื่อน
“คิดว่าหนูเชื่อเรื่องกรรมแล้วล่ะค่ะ
เอาเป็นเริ่มเชื่อว่าเราอยู่ภายใต้อาณัติของแรงกระทำและแรงปฏิกิริยาที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
แล้วก็คิดว่า พี่แตร… เขาคนนั้นของหนูน่ะค่ะ
ก็คงแจ่มแจ้งเรื่องกรรมวิบากและการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างดี
เพราะฝักใฝ่เรื่องพรรค์นี้อยู่”
“ก็ดี… นอกจากนั้น
ศรัทธาที่สำคัญยิ่งอีกข้อหนึ่งคือเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ถ้าหากมีศรัทธาในข้อนี้ข้อเดียว ก็แปลว่าการยอมรับธรรมะดีๆมีเหตุผลจะตามมาอีกจนครบ
เหมือนมีครูดีที่สุด ก็จะรับวิชาถูกตรงที่สุดด้วย”
“หนูเชื่อพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีข้อกังขา
เพราะท่านสอนให้เป็นคนดี ไม่เบียดเบียนกัน ส่วนพี่แตร… เขาคนนั้นของหนูน่ะค่ะ
ท่าทางเขาอ้ำอึ้งลังเลอยู่ ไม่ยอมรับกระทั่งตัวเองเป็นคนของศาสนาไหน”
“เท่าที่ผมสัมผัส
เขาท่าทางจะรู้จักพระพุทธเจ้าดีกว่าหนูอีกนะ อย่างน้อยก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนแค่ให้เป็นคนดีอย่างเดียว”
“เอ่อ… ค่ะ คงจะจริง
แต่พี่กำลังพูดถึงศรัทธา หนูต้องได้คะแนนมากกว่าสิคะ หรือพี่จะกดคะแนนหนู?”
“เปล่า…
คืออยากจะชี้ให้เห็นว่าศรัทธาในแบบของหนูมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
ด้วยความเป็นตัวของตัวเองอย่างเดี๋ยวนี้
หนูจะศรัทธาคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาคิดอย่างไร พูดอะไรไว้บ้างงั้นหรือ? ลองจาระไนเกี่ยวกับแก่นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนให้ผมฟังได้ไหม?”
“เอ้อ… ฮี่ๆ”
“ศรัทธาแบบของหนูเนี่ย
อาจพลิกเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน ถ้าเกิดเหตุให้ทุกข์หนักแล้วมีใครชวนไปสัมผัสพลังชั้นสูงในศาสนาเขา
พอหนูสัมผัสว่ามีอยู่จริง
พบว่าอบอุ่นยิ่งใหญ่เหนือโลกอย่างไม่เคยพบเจอมาก่อนจากแวดวงศาสนาเรา
หนูก็คงเอียงข้างไปกับเขา… ถ้ารักจะศรัทธาในพระพุทธเจ้าจริง
หนูต้องรู้ทางที่พระองค์ท่านชี้ไว้ชัดพอ ขนาดที่ไม่มีทางอื่นมาทำให้แปรศรัทธาไปได้”
“พูดยากนะคะ สำหรับกำลังใจคนทั่วไป
คนที่หนูรู้จักหลายคนเหมือนกัน
เปลี่ยนศาสนาเพราะเขาสัมผัสรางวัลจากการปลูกศรัทธาใหม่ชนิดทันตาเห็น
ศาสนาเราน่าจะมีอย่างนั้นบ้าง”
“ปาฏิหาริย์แห่งศรัทธานั้นมีให้พบเห็นเสมอ
ไม่จำกัดศาสนา ซึ่งถ้าทันใจก็อาจจุดไฟศรัทธาให้โชติช่วงได้ปุบปับทันใด
แต่ถ้าไม่มาตามคำขอก็อาจดับไฟศรัทธาให้มอดในชั่วข้ามคืน
พระพุทธเจ้าไม่ทรงโปรดศรัทธาประเภทนี้ เพราะมาง่ายไปง่ายเหมือนไฟไหม้ฟาง
ท่านจะเน้นให้เห็นชีวิตค่อยๆรุ่งเรืองด้วยมุมมองที่ถูกและปัญญาที่ชอบของตนเอง
เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งจากรากขึ้นมาถึงยอดอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เริ่มจากการมีตนเองเป็นที่พึ่ง มีกรรมของตนเองเป็นที่เกาะ
และเพราะแนวสอนอย่างนี้ทำให้ไม่ค่อยเห็นวิธีขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกตัว
ซึ่งถือเป็นการหมักหมมเชื้อแห่งความอ่อนแอไว้ในจิตใจไปเรื่อยๆ
หาที่พึ่งแท้จริงไม่ได้”
“เอ… ขนาดพี่แตรรู้ชัดรู้ลึกทุกแง่มุมของพุทธ
เชื่อเรื่องกรรม ชอบพึ่งพาตัวเอง ก็ยังไม่เห็นเกิดศรัทธาถาวรเลย ทำไมเป็นงั้นล่ะคะ?”
อุปการะเงยหน้า
ปิดตาลงเข้าสู่ภาวะนิ่งสงัดสว่างโพลน กระทำจิตให้อยู่ในสภาพรู้แจ้ง
แล้วน้อมไปแตะชายคนรักของลูกค้าสาว เพียงอึดใจเดียวก็ลืมตาขึ้น
“ที่เขาไม่เชื่อเพราะในสายตานักศึกษาผู้รู้รอบแบบเขานั้น
เหมือนไม่ได้มีศาสดาเพียงองค์เดียวที่รู้จริง เขายังเข้าใจอยู่ว่าธรรมชาติเป็นสากล
สามารถเข้าถึงได้จากทุกทาง คนที่ฟังมามากเกินไป ลองมามากเกินตัว ก็เลยติดกับดัก
คือตัวรู้มากเห็นมากอย่างนี้แหละ”
“อิอิ ฟังไม่รู้เรื่องเลยค่ะ
เอาเป็นว่าศรัทธาระหว่างหนูกับเขาเจ๊ากันได้ไหมคะ?”
“เอาเป็นว่ามี ‘ศรัทธาในรักใหม่’
เสมอกันก็ได้ ถ้าอยากคิดให้เสมอน่ะนะ”
ลานดาวหัวเราะเพราะรู้ว่าอุปการะสรรหาช่องทางช่วยเต็มที่
“ถ้าเปลี่ยนคำว่า ‘รักใหม่’ เป็น
‘รักแท้’ จะฟังเก๋กว่าเยอะเลยค่ะ หนูเบื่อรักใหม่ แต่ศรัทธาในรักแท้เสมอ
และหนูกับพี่แตรน่าจะพอดีกันในด้านนี้ได้ เพราะต่างก็ไม่ฉาบฉวย
ยินยอมรอคนที่ใช่เพียงหนึ่งเดียว
มากกว่าด่วนรับรักคนที่ทำให้รู้สึกแค่ตื่นเต้นวูบวาบเป็นร้อยเป็นพัน”
อุปการะเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อซ่อนแววหมั่นไส้
การล่วงรู้ทุกสิ่งทะลุปรุโปร่งทำให้เขาเอือมกับความเป็นมนุษย์เกินใคร
แต่ละคนงมงายอยู่กับมายาที่ราคะสร้างขึ้นเฉพาะตัว
บางคนจริงจังรอรักแท้จนแก่ก็ไม่เจอสิ่งที่ราคะหลอกให้หลงรอ
บางคนเจอใครที่นึกว่าใช่ก็ตาลีตาเหลือกจัดงานแต่งอย่างรีบด่วน
เพื่อพบในภายหลังว่าคู่แต่งกลายเป็นคู่เวร
บาปกรรมที่เคยทำร่วมกันไว้แต่ปางก่อนเหนี่ยวนำให้มาร่วมชายคาเพื่อจองเวรกันต่อต่างหาก
ทว่าเมื่อพิจารณาด้วยใจที่รู้จักโลก
รู้จักเหตุผลของโลก ก็เห็นช่องทางเชื่อมโยงศรัทธาในแบบของลานดาวเข้ากับการอธิบายเรื่องของศีล
จึงหันกลับมาเอ่ยด้วยน้ำเสียงการุณย์
“การมีศรัทธาในรักแท้
รวมทั้งมีวาสนาได้พบรักแท้ก็นับว่าดี
เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญให้คิดซื่อกับคู่ครองของตน
เรียกว่าได้รักษาศีลข้อกาเมฯอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะมีใจจริงคอยช่วยค้ำจุนอยู่แล้ว”
“ค่ะ”
นัยน์ตาลานดาวฉายแววเข้าใจและเชื่อมั่นในรักแท้ยิ่งขึ้น
ซึ่งคราวนี้เมื่ออุปการะเห็นอีกครั้งก็วางใจเป็นอุเบกขาเสียได้
“แต่ถ้าให้ดีศรัทธาในรักแท้
การมีศรัทธาเรื่องกรรมและผลกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
จะก่อให้เกิดความละอายต่อบาป ส่งใจให้คิดรักษาศีลยั่งยืนกว่ากัน
เพราะรักในคู่ครองอาจโรยราเมื่อวันคืนผ่านไป
แต่รักในศีลนั้นจะทำให้เบากายเบาใจไปจนชั่วชีวิต”
“หนูมีความบกพร่องในศีลข้อไหน
หรือเราสองคนไม่เสมอกันอย่างไรบ้างหรือเปล่า พี่ชี้เป็นจุดๆเลยได้ไหมคะ?”
“ผมถามกลับก็แล้วกัน
หนูคิดว่ามีศีลข้อไหนอยู่กับตัวบ้าง?”
“หนูยังตบยุงอยู่ ศีลข้อแรกคงขาด
หนูไม่เคยขโมยของใคร ศีลข้อสองคงผ่าน หนูเคยคิดเลอะเทอะหาทางแย่งคู่ครองคนอื่นบ้าง
ศีลข้อสามคงพร่องแต่ยังไม่ถึงกับขาดทะลุ หนูยังโกหกเก่งในบางสถานการณ์
ศีลข้อสี่คงขาด หนูไม่ดื่มเหล้าเลยเพราะเกลียดรสของมันมาแต่เด็ก ศีลข้อห้าคงโอเค”
อุปการะยิ้มนิดหนึ่ง
“สรุปแล้วตามความคิดของหนู
หนูมีข้อสองกับข้อห้าอยู่กับตัว… ผมขอบอกอย่างนี้นะ ที่หนูไม่เคยคิดฉ้อโกง
เพ่งเล็งยักยอกเอาของคนอื่นมาเป็นของตน ก็เพราะคุณพ่อของหนูมีฐานะร่ำรวย
หนูอยากได้อะไรก็ซื้อเอา ไม่มีเหตุบังคับให้ต้องฉกฉวยของใครเขามา
แต่วันหนึ่งถ้าเกิดสถานการณ์บีบคั้นก็ไม่แน่นัก
ทำนองเดียวกับที่ปกติหนูไม่เคยคิดแย่งแฟนใครเพราะหนุ่มๆวิ่งเข้ามาเสนอตัวกันจ้าละหวั่นอยู่แล้ว
แต่วันหนึ่งพอเจอคนที่หนูรัก หนูก็คิดแหกกฎ ประพฤติผิดกติกาสังคมเข้าได้เหมือนกัน”
ลานดาวอึ้ง
“แปลว่าแท้จริงหนูยังไม่มีศีลข้อสอง?”
“หนูแค่ยังไม่ละเมิดศีล
ยังไม่เคยมีความตั้งใจเป็นพิเศษที่จะรักษาศีลข้อนี้
ไม่เคยคิดว่าเป็นตายร้ายดีอย่าฝันว่าฉันจะขโมยของ อย่างศีลข้อห้าก็เหมือนกัน
หนูว่าหนูไม่กินเหล้าเพราะเกลียดรส นั่นก็เป็นตัวสะท้อนว่าถ้าวันหนึ่งหนูนึกครึ้ม
เลิกเกลียดรสเหล้าขึ้นมาเฉยๆ หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่กดดันให้เอากับเขา
ก็อาจกระดกแก้วได้โดยไม่มีความจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจ”
หญิงสาวเม้มปากแน่น
“ละเอียดอ่อนจังนะคะ
แปลว่าตอนนี้หนูไม่มีศีลเป็นสมบัติติดตัวซักข้อ?”
“ถือว่าข้อสองกับข้อห้าหนูมีก็แล้วกัน
เพียงแต่มีโดยธรรมชาติ ไม่ใช่มีโดยความตั้งใจ
จึงไม่อาจเป็นเครื่องประกันความบริสุทธิ์ว่าหนูจะมีศีลอยู่เสมอ”
“แล้วทำไงจะถือว่ามีศีลล่ะคะ?”
“ศีลคือข้อประพฤติอันดีงามที่เราตั้งใจรักษา
หากตั้งใจเว้นจากบาป ไม่ว่าฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดกาเม มุสา และเสพของเมา
คือรับเอาศีล ๕ เป็นข้อปฏิบัติตั้งแต่บัดนี้ ก็เรียกว่าเป็น ‘ผู้สมาทานศีล’
หากออกจากบ้านนี้ไปสู่โลกภายนอก เป็นตัวของตัวเอง มีสิทธิ์คิดมีสิทธิ์เลือกอย่างเสรีโดยปราศจากใครควบคุม
เจอสิ่งล่อใจรบเร้าให้ผิดศีลก็ยังแน่วแน่เลือกที่จะไม่ทำ อย่างนี้ค่อยนับว่าเป็น
‘ผู้รักษาศีล’… และถึงที่สุดแล้วหากไม่อยากทำผิดศีลออกมาจากใจ
คือไม่เอาตั้งแต่อยู่ในมุ้ง เพราะมีความละอายต่อบาป
เพราะเห็นโทษภัยของความประพฤติผิดทั้ง ๕ อย่างนี้ ถึงควรได้รับการยกย่องว่าเป็น
‘ผู้ทรงศีล’ คือครอบครองศีลไว้เป็นสมบัติแล้วอย่างแท้จริง”
“หมายความว่าการที่สองคนมีศีลเสมอกัน
วัดคร่าวๆจากการเป็นผู้ไม่มีศีลเลย หรือเป็นผู้สมาทานศีล
หรือเป็นผู้สามารถรักษาศีล หรือยอดสุดคือเป็นผู้ทรงศีลแท้ อย่างนี้ถูกไหมคะ?”
“ถูก…
แต่ถ้าให้ถือเกณฑ์ง่ายสุดก็เลือกมีความละอายต่อบาปใกล้เคียงกันอย่างเดียวก็พอ
ถ้าสะดุ้งกลัวต่อความชั่วเหมือนๆกันก็นับว่ามีใจเสมอกันได้
ส่วนในเรื่องของศีลจะช่วยเปรียบเทียบได้อย่างเฉพาะเจาะจงว่าใครสะอาดใครแปดเปื้อนมากน้อยกว่ากันเพียงใด”
“พี่แตรยอมรับว่าเขายังกินเหล้าเพื่อเข้าสังคม
ยังโกหกเมื่อจำเป็น เช่นต้องหลอกคนไข้ให้สบายใจ
แปลว่าหนูต้องทำตามพี่เขาเพื่อให้เกิดความเสมอกันถึงจะดีหรือเปล่า?”
“ถ้าไม่ขนาดโกหกเป็นไฟแลบ
ไม่กินเหล้าเมาหยำเปหัวราน้ำ ก็ไม่ถือว่าระดับศีลห่างกันเท่าไหร่หรอก เขาทำด้วยสภาพบังคับทั้งนั้น
ยังเป็นผู้มีความละอายต่อบาปได้ แต่ฝ่ายเราหากสามารถเลือก
ก็ควรเลือกปรับจุดยืนของตนเองให้อยู่สูงที่สุดเพื่อประโยชน์เฉพาะตนจะดีกว่า
การตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้สะอาดจะเกิดผลเป็นความปลอดโปร่งใจกับเราก่อน
แล้วเมื่อภายหลังจิตเราบริสุทธิ์เยี่ยงผู้ทรงศีลแล้ว
คนใกล้ชิดที่รักเราจะซึมซับและถูกกลืนด้วยอำนาจศีลอย่างใหญ่ของเราไปด้วย”
“ถ้ารักษาจนบริสุทธิ์ผุดผ่อง
จะมีส่วนช่วยให้ความรักยั่งยืนใช่ไหมคะ?”
“หนูลองคิดง่ายๆ ถ้าบ้านเราสะอาด
ไม่มีความหมักหมม ไม่มีร่องรอยสกปรกน่ารังเกียจ ใครเข้าไปอยู่ก็เป็นที่สบาย หากยิ่งช่วยกันคนละไม้คนละมือ
ทำบ้านให้สะอาดยิ่งๆขึ้นทุกวัน
ก็ย่อมรู้สึกถึงความสามัคคีปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจริงไหม? ใจที่ผูกสมัครรักใคร่นั่นแหละคือตัวบ้าน
ศีลนั่นแหละเป็นความสะอาดของบ้าน หากรักษาให้สะอาดร่วมกัน ก็อยู่สบายนานทั้งคู่”
ลานดาวตรองแล้วเห็นจริงตามอีก
“ค่ะ…
แต่รายละเอียดของเหตุการณ์บางทีซับซ้อนและยากจะตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด
หนูควรทำยังไงถ้าพบเรื่องลำบากใจที่ยากจะชี้ถูกชี้ผิด?”
“ใจที่ทรงศีลจะรู้เองว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร
ขั้นแรกคือหนูควรหลีกเลี่ยงอย่างสิ้นเชิง
ถ้าใจสงสัยแม้แต่นิดเดียวว่าผิดหรือไม่ผิด ให้ถือว่าผิดไว้ก่อน…
หนูเคยรักษาศีลได้สะอาดมาหลายชาติ
และผลก็คือความหมดจดสดใสของรูปร่างหน้าตาอย่างนี้แหละ คนเราเคยสั่งสมบารมีทางศีลไว้มากๆเนี่ยนะ
เวลาต่อบารมีจะง่าย รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง
เกิดความสุขกับการรักษาศีลโดยไม่ต้องฝืนเท่าไหร่
แล้วที่สุดก็เกิดความหยั่งรู้ขึ้นภายใน จากใจที่สะอาดเอี่ยม ว่าทำสิ่งใดแล้วสกปรก
สิ่งใดพอประนีประนอมครึ่งทางได้”
“ตกลงค่ะ หนูจะรักษาศีล
ว่าแต่จะต้องกล่าวคำสมาทานปาณาติปาตา เวรมณีฯ ต่อหน้าพี่หรือเปล่าคะ?”
“ผมไม่ใช่พระที่จะให้ศีลหนูอย่างเป็นพิธีรีตอง
หนูแค่กล่าวให้ผมเป็นพยานว่าจะรักษาศีล ๕ ด้วยภาษาพูดธรรมดาๆอย่างเมื่อครู่ก็ได้
หรือถ้ามีกำลังใจดีพอ ตั้งเจตนาแน่วแน่อยู่เงียบๆในใจก็สำเร็จผลเหมือนกัน”
“ค่ะพี่ หนูขอปฏิญาณต่อหน้าพี่
ว่านับแต่นี้จะรักษาศีล ๕ ให้สะอาด ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดทางกาม
ไม่พูดปด แล้วก็ไม่เสพของมึนเมาทั้งปวง แม้จะมีเหตุมาล่อใจหนักหนาเพียงใดก็ตาม”
อุปการะพยักยิ้ม
“สาธุ ขอให้มีจิตใจเข้มแข็ง
รักษาศีลได้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อความสุข
เพื่อความมีชีวิตคู่ที่สะอาดราบรื่นของเราเอง”
ลานดาวพนมมือไหว้บุรุษตรงหน้าด้วยกิริยานอบน้อม
แค่คิดรักษาศีล อานุภาพของศีลก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นปลอดภัยยิ่งนักแล้ว
“ขอบพระคุณที่ชี้ทางสว่างให้หนูนะคะ”
เงยหน้าขึ้นนิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนถามสิ่งที่ยังคาใจเกี่ยวกับศีล
“พี่คะ…
ถ้าอย่างเวลายุงกัดเราบ่อยๆแล้วเรายอมมัน ไม่กำจัดมันทิ้ง
ไม่เท่ากับให้มีพาหะนำเชื้อร้ายมาหาเราหรือ?”
“เมื่อหนูทำได้ถึงระดับทรงศีล
ก็จะเริ่มเห็น ‘ปาฏิหาริย์ของศีล’ ยุงจะไม่มารบกวน ถึงกวนก็ไม่กัด
ถึงกัดก็ไม่ลายพร้อย ถึงลายพร้อยก็ไม่เป็นไข้ ถึงเป็นไข้ก็ไม่ตาย
ถึงตายก็ได้ไปดีเพราะเหตุคือตั้งใจรักษาศีลยิ่งชีพ คิดดูนะ กำลังใจยิ่งใหญ่ขนาดไหน
กุศลจะยิ่งแกร่งกล้าเพียงใด กระทั่งแม้แต่สัตว์ตัวน้อยก็ไม่ฆ่า
อย่าต้องนับว่าเป็นไปได้ที่จะคิดฆ่าสัตว์ใหญ่หรือมนุษย์
นี่เท่ากับเราปิดทางอบายไปช่องหนึ่ง จิตเราไม่มีทางเป็นอกุศลเข้มข้นพอจะประหัตประหารหรือกระทั่งทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้เลย”
ลานดาวตรองแล้วคล้อยตามเช่นเคย
ทางมาของบุญนั้นบางครั้งต้องวัดใจ แลกเปลี่ยนกับเรื่องน่าฝืดฝืนบ้าง
ใช่ว่าโลกนี้ปูพรมให้เดินเก็บบุญเก็บกุศลโดยสะดวกโยธินแต่อย่างใด
“ค่ะ”
“มีความจริงอยู่ข้อหนึ่ง
คือเมื่อไหร่เราตั้งใจรักษาศีลให้สะอาด จะเกิดเรื่อง
เกิดเหตุการณ์ลองใจเราแทบทันที ต้องกระอักกระอ่วนหรืออยากละเมิดศีล
ถ้าหากใจแข็งทำข้อสอบให้ผ่าน เหตุพิสูจน์ใจจะอ่อนกำลัง กระทั่งรามือไปเอง
แทบเหมือนทั้งชีวิตไม่ต้องเฉียดไปใกล้เรื่องผิดชนิดนั้นอีก
นี่เป็นธรรมชาติที่อัศจรรย์ น่าพิศวงใจ แล้วหนูจะรู้”
“หนูจะแข็งใจทำข้อสอบให้ผ่านค่ะ”
ลานดาวรับปาก
และเป็นคนจริงพอจะรักษาความตั้งใจของตนเอง มิใช่สักแต่พูดส่งเดช
“ผ่านเรื่องศรัทธากับศีล ถึงคิวอะไร…
จาคะใช่ไหมคะ?”
“ใช่… จาคะหมายถึงการสละ
นับตั้งแต่การแบ่งปันภายนอก
เช่นสิ่งของและแรงงานให้เป็นทานแก่ผู้ขอหรือผู้สมควรได้รับ
ตลอดไปจนกระทั่งสละกิเลส เช่นให้อภัยเป็นทาน
หรือยอมเสียสิทธิ์ครอบครองยศฐาบรรดาศักดิ์และทรัพย์สินศฤงคารเพื่อออกบวช…
สำหรับการครองเรือนนั้น เอาแค่อยู่ร่วมกันด้วยความมีน้ำใจเสียสละสุขส่วนตัวเพื่อคู่รักของเราได้
ก็นับว่าดีพอ ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างรักกันมาก ถึงขั้นยอมสละชีวิตแทนกัน
โดยมีเหตุการณ์พิสูจน์ ได้เห็นน้ำใสใจจริงชัดเจน
ก็จะยิ่งเป็นเหตุให้เกิดความซาบซึ้ง ผูกพันเหนียวแน่นกว่าคู่อื่นๆมาก”
ลานดาวทำหน้าเหย
“ต้องถึงเลือดถึงเนื้อด้วย
แค่สละนิดสละหน่อยเช่นยอมทิ้งละครวิ่งไปซื้อก๋วยเตี๋ยวให้ไม่ได้หรือคะ?”
อุปการะหัวเราะ
“ก็นับว่าได้
เพราะการสละเล็กๆน้อยๆจะพัฒนาเป็นสละมากขึ้นเอง…
อย่างที่ผมบอกว่าจาคะเป็นแง่มุมของจิตใจที่คิดสละ คิดยอมยกให้ ถ้ามองว่าเป็นการพัฒนาจิตใจ
ก็คือละลายยางเหนียวของความตระหนี่ให้อ่อนตัวลง
ถ้ามองโดยความเป็นเครื่องวัดความสูงส่งของจิตวิญญาณ ก็คือไม่เสียดายแม้ชีวิต
ขอเพียงมีโอกาสทำดีได้ถึงใจ
อย่างเช่นเคยมีฤาษีตนหนึ่งเห็นแม่เสือกำลังจะกินลูกเสือด้วยความโมโหหิว
ก็ถึงขนาดยอมสละร่างกายตนเองเป็นอาหารแทนลูกของมัน”
“อี๋!” หญิงสาวอุทานแล้วหัวเราะกร่อย
“ใจดีผิดมนุษย์มนาจังนะคะ”
“เป็นใจของพระโพธิสัตว์น่ะ พูดตามตรง
ใจหนูยังห่างกับเขามากก็เรื่องจาคะนี่แหละ เขามีความคิดเสียสละสูงระดับโพธิสัตว์
คืออุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือคนอื่นได้ทั้งชีวิต แต่อย่างหนูจะอยากให้คนอื่นอุทิศตัวเพื่อเรามากกว่า”
“เขามาให้หนูกันเองนี่”
“นั่นเป็นบุญเก่าที่หนูเคยให้ใครต่อใครไว้มาก
และคนเราถ้าจำที่มาที่ไป จำเหตุปัจจัยของสิ่งดีๆที่กำลังปรากฏในปัจจุบันไม่ได้
บางทีก็เสียนิสัย เห็นใครต่อใครเป็นข้าทาส ต้องเป็นฝ่ายทำอะไรให้เราไปหมด
อันนี้ไม่ได้ต่อว่าอะไรหนูนะ ผมพูดตามเนื้อผ้าให้เห็นความจริง หากหนูต้องการเขาไว้
จาคะระหว่างหนูกับเขาต้องเท่าเทียม หรืออย่างน้อยไล่เลี่ยกัน ไม่ใช่ห่างขนาดนี้…
หากเขาได้พบคนมีจาคะสูงเสมอเขา จุดนี้จะจูงใจได้มาก เพราะทำให้เข้ากันสนิทได้ทันที
เนื่องจากชีวิตนี้เขาสนใจช่วยคนอื่นเป็นหลัก”
ลานดาวเริ่มเห็นรางๆ
เพราะนอกจากอมฤตจะทำงานที่โรงพยาบาลอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยแล้ว
บางเย็นบางค่ำยังอุตส่าห์ออกไปช่วยศูนย์ศึกษาธรรมชาติบำบัดแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นการรวมตัวกับหมออาสา แพทย์ทางเลือกที่นำศิลปศาสตร์ในการรักษาฟื้นฟูสุขภาพกายใจ
ทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณมาประสานกัน
มุ่งเน้นสอนคนให้สลายความเครียดและล้มเลิกความประพฤติแย่ๆอันเป็นภัยแก่สุขภาพตนเองเสีย
คืนหนึ่งเมื่อเขาบอกว่าติดธุระ
และหล่อนกำลังอยู่ในอารมณ์เอาแต่ใจ อยากพบอยากเจอให้ได้เดี๋ยวนั้น
ลานดาวยอมเป็นฝ่ายวิ่งไปหาเขาถึงที่ ซึ่งก็ทำให้รู้จักอีกตัวตนหนึ่งของอมฤต
ที่ถอดฟอร์มจิตแพทย์
กลายเป็นนักพลังจิตผู้ปราดเปรื่องเรืองวิชาในการรักษาโรคด้วยสารพัดวิธีพิสดาร
เผอิญวันนั้นหล่อนปวดตุบๆที่ขมับ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเที่ยวลานดาวจึงทดลองเป็นคนไข้ของอมฤต
ก็พบด้วยความอัศจรรย์ใจว่าเขาใช้พลังความสุขจากจิตเข้าล้างก้อนเครียดในหัว
เพียงห้านาทีอาการปวดก็หายเป็นปลิดทิ้ง
จึงเข้าใจความเป็นหมอในตัวอมฤตเพิ่มขึ้นอีกระดับ คือสามารถทำให้คนไข้หายทุกข์ได้
เพียงด้วยความรักและความกรุณาจากใจเท่านั้น
เคยนึกสนุกขอให้เขาสอนรักษาคนแบบง่ายๆ
จะได้ช่วยงานที่ศูนย์บ้าง ทว่าแค่เขาสอนให้ประคองสุข
รักษาระดับความเยือกเย็นของอารมณ์สักหนึ่งนาทีก็ท้อเสียแล้ว
เพราะถ้าไม่อยู่กลางปีระมิดในฝันของอมฤตเหมือนคืนก่อน
หล่อนก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่มีสมรรถนะทางจิตระดับปานกลาง
กระเดียดไปทางฟุ้งอยากทำโน่นทำนี่สนองกิเลสตัวเองเท่านั้น
“หมายความว่าหนูขาดจาคะอย่างแรง
และผู้หญิงอีกคนของเขาชนะหนูลิ่วด้วยจาคะทั้งอดีตและปัจจุบัน?”
“ก็ไม่เชิง…
อันที่จริงหนูมาเกิดกับพ่อแม่ที่รวยก็เพราะหนูเคยมีใจยินดีในทาน
เห็นเหมือนของเล่นสนุก เหมือนเป็นงานอดิเรก นิยมทำทานเพื่อความบันเทิง
เพื่อความยิ้มแย้มเริงรื่น ยิ่งในชาติที่ได้พบพุทธศาสนา พบพ่อแม่และสามีดีๆ
มีใจบันเทิงในทานร่วมกัน ก็ยิ่งก่อกระแสความเข้มข้นรุนแรงไว้ บันดาลให้เกิดผลติดตามตัวไปทุกภพทุกชาติ
จึงไม่น่าแปลกถ้าทุกชาติหนูมีความอุ่นใจอยู่ลึกๆตั้งแต่อ้อนแต่ออก
นี่ก็เพราะอานุภาพบุญคุ้มที่เราสำเหนียกได้นั่นเอง
อีกอย่างหนูเคยอุทิศตัวเสียสละเพื่อมวลชนมาก่อนด้วย ฉะนั้นเชื้อจาคะระดับใหญ่จึงมี
เพียงแต่ตอนนี้หลบในเพราะยังขาดปัจจัยเร่งเร้า”
“งั้นก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับพี่แตรสิคะ?”
“ลักษณะการทำงานช่วยมวลชนของหนูจะหนักไปทางใช้อิทธิพลยิ่งใหญ่ในการอุปถัมภ์คนอื่น
หรือใช้ความงาม ความน่ารัก เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ ช่วยประสานประโยชน์
ส่วนเขากับผู้หญิงอีกคนเคยเหนื่อยยากมาด้วยกัน ใจถึงชนิดเอาชีวิตเข้าเสี่ยงไปช่วยชาวบ้านป่านาเถื่อนทำนองเดียวกับพวกมิชชันนารี
นิสัยช่วยคนเป็นสิ่งย้อมติดทั้งในชาตินี้และในชาติก่อน นี่แหละ
อำนาจความเสมอด้วยจาคะจะทำให้ทั้งคู่พบแล้วรู้สึกว่าเข้ากันได้สนิททันที”
ลานดาวพยักหน้าเงียบๆ
นึกถึงภาพความเป็นนายแพทย์หนุ่มของเขาได้ชัด แต่ไม่สามารถเห็นภาพตัวเองไปยืนช่วยเป็นนางพยาบาลติดตามเขาไปต้อยๆ
หากให้หล่อนช่วยรักษาคนเป็นโรคเครียดโรคประสาทด้วยวิธีทางดนตรีก็ว่าไปอย่าง
หมออุปการะเริ่มทำให้หล่อนคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับการอยู่ร่วมเรียงเคียงครองมากขึ้น
ยิ่งแจกแจงเป็นข้อๆ ยิ่งเห็นว่าแค่แรกพบสบตาแล้วนึกรัก
แค่เดินเก๋ควงกันแล้วเหมือนกิ่งทองใบหยก เท่านั้นไม่พอเลย
ชีวิตคู่มีอะไรยิ่งกว่านั้นมาก ชั่วขณะจิตหนึ่งก็นึกท้อขึ้นมา
รักแท้ราคาแพงปานนี้เชียวหรือ?
“ของยิ่งแพงก็มักจะยิ่งมีคุณภาพควรแก่การภูมิใจที่ได้ครอบครอง”
ชายวัยกลางคนยิ้มเย็นบอก ทำเอาลานดาวสะดุ้ง
ยิ้มตอบไม่สนิทนัก ความสามารถในการอ่านใจของอุปการะเป็นสิ่งลุ่มลึก
เพราะแปลสัญญาณจากคลื่นจิตได้ชนิดเป็นคำๆ
ซึ่งปัจจุบันหล่อนพออนุมานถูกว่าที่จะสามารถทำเช่นนั้น ต้องมีจิตนิ่ง ละเอียด
และมีความเฉียบคมปานใด
“อย่าเพิ่งท้อที่จะเรียนรู้ความจริงเลย
ระหว่างเขากับอีกคน เคยขนาดสละชีวิตให้กันมาแล้ว
ส่วนหนูนั้นไม่มีเหตุบังคับให้ต้องสละเพื่อกันและกันขนาดนั้น
เนื่องจากสมัยที่อยู่กับเขา ส่วนใหญ่ร่วมแต่เสวยกุศลวิบาก พูดง่ายๆว่าร่วมสุขบ่อย
ไม่ค่อยมีเหตุปัจจัยให้ร่วมทุกข์นัก แม้รักมากแค่ไหนก็ขาดสายใยซึ้งใจเท่าคนเคยตายแทนกัน”
ลานดาวถอนใจเฮือก
“ชักริษยาแล้วสิคะ
ดักตีหัวยายนั่นดีกว่า เจอเมื่อไหร่ซัดให้หมอบ
จะได้ไม่ต้องแข่งบุญแข่งบารมีให้ยุ่งยาก”
หล่อนพูดในสิ่งที่คิดตามสบาย
เพราะอย่างไรก็ปิดหมออุปการะไม่ได้อยู่แล้ว
“เห็นไหมล่ะว่าการสั่งสมความดีนั้นยาก
ต้องใช้เวลา ต้องทุ่มกำลังใจอย่างใหญ่ แต่จะก่อบาปก่อกรรมนั้นง่าย
และอาศัยกิเลสขับดันในชั่วเวลาพริบตาเดียวพอ”
อุปการะชี้ และลานดาวก็ซึมไป
ตระหนักว่าในหัวตนยังมีความคิดชั่วร้ายอยู่มาก แม้จะแค่ออกทำนองทีเล่นทีจริงก็ตาม
คิดไปคิดมาก็เดือดปุดและเกิดความถือดีมีมานะ
“แล้วให้หนูทำไงคะ
ถึงจะชนะสาวปริศนาผู้แสนดีนั่น? ต้องให้หนูไปสอบเข้าเรียนแพทย์ เพื่อออกมาเป็นหมอใจบุญแบบพี่แตรเลยไหม?”
ลานดาวเกิดความอยากชนะมากพอจะเชื่อมั่นว่าตนยอมกัดฟันเรียนแพทย์ได้ทั้งที่ไม่มีใจรักแม้แต่นิดเดียว
ฝ่ายอุปการะหัวเราะและส่ายหน้า
“ไม่จำเป็นว่าต้อง ‘ทำให้เท่าเขา’
หรอก แค่มี ‘ใจยินดีร่วมกับเขา’
ก็เหมือนเรายกระดับจิตใจให้เสมอหรือใกล้เคียงกันแล้ว จะยกตัวอย่างให้ชัดเจน
สมมุติว่าไปเที่ยวกันแล้วเจอคนป่วยข้างทาง ใจเขามีเมตตาคิดช่วยเหลือ
ส่วนเราอยากไปข้างหน้าเร็วๆ ไม่อยากหยุดเสียเวลาเพื่อคนอื่น
อย่างนี้คือใจเขาเป็นทาน ส่วนใจเราเป็นตระหนี่ แต่หากเราลงไปช่วยเท่าที่จะสามารถ
หรืออย่างน้อยที่สุดนั่งบนรถเฉยๆด้วยความชื่นชมน้ำใจของเขา ไม่กระสับกระส่าย
ไม่คำนึงถึงอาการเบื่อของตัวเอง อย่างนี้ก็คือมีใจสละร่วมกัน ปรับจิตให้เสมอเขาแล้ว”
หญิงสาวอึ้ง ก่อนหน้ารู้จักกัน
เขาไปช่วยงานศูนย์หมออาสาเกือบทุกคืน แต่หลังจากคบกับหล่อน
เขาก็ให้เวลากับที่นั่นน้อยลง
ยอมรับว่าชื่นชมน้ำใจยิ่งใหญ่ประดุจท้องฟ้ามหาสมุทรของอมฤตในเบื้องแรก
แต่พอเห็นตามจริงว่างานอดิเรกของเขาแย่งเวลาพบเจอกัน ก็หมดความนิยมยินดีกับความเสียสละของเขาทันที
กะแค่ขั้นแรกที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องช่วยลงทุนลงแรง
ขอเพียงมีใจร่วมยินดีก็เหมือนฝืดฝืนเหลือจะกล้ำกลืนแล้ว หล่อนยังคิดแบบคนธรรมดา
ที่คู่ของตนควรขยันทำกิน สร้างเนื้อสร้างตัวเป็นปึกแผ่น
รวมทั้งให้เวลารดน้ำพรวนดิน บำรุงต้นรักให้เติบโต แตกกิ่งก้านสาขามั่นคง
ไม่ใช่เอาเวลาไปแจกจ่ายให้ชาวบ้านที่ไม่รู้จัก ไม่ให้ผลประโยชน์ตอบแทนอย่างนี้
“หนูควรทำอย่างไรให้ใจมีจาคะมากขึ้นกว่านี้คะ?”
“จำแค่ลักษณะ ‘ใจที่ให้’ ไว้ดีๆก็พอ
พระพุทธองค์ตรัสว่าแค่สาดน้ำล้างจานลงบ่อโสโครกที่มีสัตว์อาศัย
ด้วยความคิดว่าเศษข้าวในน้ำทิ้งจะได้เป็นอาหารของสัตว์ในบ่อ เท่านั้นก็ได้บุญแล้ว
เริ่มจากการให้ที่เล็กที่สุด แต่ทำบ่อยที่สุด
เก็บเล็กประสมน้อยมากเข้าก็กลายเป็นจิตใจฝักใฝ่ชอบให้
แล้วเขยิบมาเป็นทานที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสามารถยกขึ้นสู่ระดับยินดีในความเสียสละของแฟนหนูได้”
ลานดาวตาสว่าง คิดว่าเข้าใจเรื่อง ‘จิตคิดให้’
อย่างถ่องแท้เดี๋ยวนั้นเอง เพียงพลิกกันแค่ที่มุมมองภายใน
แม้กิริยาทิ้งขว้างของคนธรรมดาทั่วไปก็กลายเป็นกิริยาแห่งบุญไปได้
“จาคะกับทานเหมือนกันไหมคะ?”
“โดยนัยหนึ่งก็คือ ‘การแบ่งปันให้’
เหมือนกัน
แต่สำหรับจาคะจะมุ่งที่ใจสละเพื่อความบริสุทธิ์เพราะเป็นการเอากิเลสออกจากกมลสันดาน
ส่วนทานนั้นมุ่งที่ใจเผื่อแผ่
ถึงซอยแบ่งได้เป็นสองอย่างหลักๆคืออามิสทานกับธรรมทาน
การให้อะไรเช่นธรรมทานไม่ใช่ด้วยจิตคิดสละ
แต่เป็นจิตคิดสงเคราะห์ให้คนอื่นรู้ดีรู้ชอบตามเหตุตามผลมากกว่า…ถ้าพูดรายละเอียดแล้วงง
หนูจะคิดว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้
ท่านบัญญัติไว้ต่างกันเพื่อจำแนกรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น”
“นึกไม่ถึงว่าวิธีคิด วิธีมอง
มีส่วนสำคัญเหลือเกินต่อการทำกรรม”
“พระพุทธองค์ตรัสชี้ลงไปทีเดียวว่าเจตนานั่นแหละกรรม
กรรมคือเจตนา”
“หนูสงสัยเกี่ยวกับความลึกลับของทานมานานแล้ว
ทานให้ผลได้อย่างไร ทานทำงานท่าไหน และเป็นเหตุแห่งความมั่งคั่งได้ยังไง?”
"ผลตามธรรมชาติของทานในทันทีคือใจเป็นสุข
เป็นความเปิดสบายของจิต ขจัดยางเหนียวออกจากใจ
ถ้าให้คนมีจิตคิดเป็นทานมาอยู่ใกล้กัน จะสัมผัสรับรู้ถึงความเป็นผู้มีใจเบา ใจเปิด
ไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเหมือนๆกัน แต่ถ้าต่างกันมากๆก็จะอึดอัดได้
นี่คือผลอันเป็นปัจจุบัน ส่วนผลในอนาคตเช่นความมั่งคั่งนั้น
ก็เพราะจิตก่อภพอันกว้างขวางของ ‘ผู้ให้’ เอาไว้
นักทำทานย่อมถือกำเนิดในแดนเกิดอันปลอดโปร่ง สมควรกันกับจิตใจที่เผื่อแผ่ออกไป
ต่างจากจิตอันก่อภพอันคับแคบของผู้ตระหนี่ถี่เหนียวและกอบโกยเข้าตัว
อันนั้นวิญญาณก็เหมาะกับดินแดนคับแคบน่าอึดอัดไป"
"ฉะนั้นแม้รูปแบบจะเหมือนให้คนอื่น
แต่สุดท้ายก็เข้าตัวเราเอง ได้กับเราเอง?"
“ตามหลักกฎแห่งกรรมอันเป็นสากล
ถ้าทำทานจนเห็น ‘ปาฏิหาริย์ของการให้’ มาก่อนก็จะไม่รู้สึกเป็นเรื่องแปลก
เช่นยิ่งให้แทนที่จะยิ่งหมด ก็กลายเป็นยิ่งได้ทันตาเห็น ไม่ต้องรอตายแล้วเสียก่อน”
“บางคนรวยตอนต้นชีวิตแล้วกลับตกต่ำยากจน
บางคนรวยแบบลุ่มๆดอนๆ บางคนรวยเอารวยเอา บางคนได้ลาภลอยตลอด
อย่างนี้ด้วยเหตุอะไรคะ?”
“ถ้าพูดถึงแรงส่งจากอดีตชาติ
ความสม่ำเสมอของการให้ทาน
อย่างเช่นคนทำบุญประจำทุกเดือนไม่ขาดก็จะมีแรงพยุงให้มีฐานะเสมอต้นเสมอปลาย
รวยระดับไหนก็มักไม่ตกไปจากนั้น แต่ถ้าทำทานด้วย โกงชาวบ้านไปด้วย
อย่างนี้ก็ให้ผลเป็นความลุ่มๆดอนๆ หรืออย่างถ้าเขาขอหนึ่งแต่ให้สอง ก็จะเป็นผู้ร่ำรวยเกินคาด
หรืออย่างถ้าทำทานไม่เลือกหน้า เจอใครขอเป็นให้ดะ อย่างนี้ก็จะรับลาภลอยบ่อย…
แต่ที่สำคัญซึ่งพระพุทธเจ้าเน้นเป็นพิเศษ ได้แก่ความบริสุทธิ์ของทาน
ของที่จะให้นั้น ควรเป็นของเราโดยชอบธรรม”
“อย่างแนวคิดโรบินฮู้ด
ปล้นคนรวยมาให้คนจนนี้คือของไม่บริสุทธิ์ใช่ไหมคะ?”
“นั่นแหละ
ตัวอย่างของทานที่ไม่เป็นธรรม”
“แล้วอะไรอีกคะที่พระพุทธเจ้าเน้น?”
“ท่านว่าถ้าปรารถนาผลของทานเป็นอสงไขยไพบูลย์ดุจเดียวกับความประมาณไม่ได้แห่งมหาสมุทร
ก็ควรมีความประเสริฐทั้งฝ่ายผู้ให้และฝ่ายผู้รับ เกณฑ์บอกความประเสริฐของผู้ให้นั้น
คือก่อนให้ทานเป็นผู้ดีใจ ขณะกำลังให้ทานอยู่เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส
และหลังให้ทานเสร็จแล้วเป็นผู้มีความปลาบปลื้มใจ
ส่วนเกณฑ์บอกความประเสริฐของผู้รับนั้น คือเป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ
หรืออย่างน้อยที่สุดก็ปฏิบัติเพื่อความเป็นผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ
หนูเคยทำทานชนิดให้ผลไพบูลย์มาก่อน ชาติปัจจุบันเลยเห็นผลอย่างที่เป็นอยู่”
“แปลว่ารู้เคล็ดลับเรื่องกรรม
ก็ลงทุนไปกับการทำทานนี่แหละดีที่สุดใช่ไหมคะ? ชาติหน้าจะได้นั่งๆนอนๆแบบนี้อีก”
“ถ้าเอาผลบุญมาต่อบุญใหม่
แล้วอธิษฐานขอให้มีใจคิดอยากต่อบุญไปเรื่อยๆก็จัดเป็นความฉลาดในการเตรียมเสบียงไว้เดินทางไกล
คนฉลาดย่อมเห็นชัดว่าแค่เลิกทำทานก็คือเตรียมความลำบากยากจนไว้ให้ตัวเองในภายภาคหน้าแล้ว
หนูเคยได้ยินคนพูดไหม ความยากจนเป็นต้นทางของความชั่วร้ายทั้งปวง”
“เห็นอยู่เหมือนกันค่ะ
ตอนคนดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ไม่มีบาปชนิดไหนที่ดูชั่วร้ายพอจะทำให้เกิดความละอายได้เลย”
“เป็นความจริงที่ชาตินี้หนูคงไม่ต้องรู้ซึ้งกับตนเองหรอก
บุญเก่าคอยประคองไปทั้งชาติ”
ลานดาวยิ้มสดชื่น
เพราะถือว่านั่นคือคำทำนายว่าตนจะได้สบายตลอดชีวิต
“อือม์…
พูดง่ายๆว่าถ้าคิดท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ แค่ไม่โกงไม่พอ
ต้องให้ทานด้วยใช่ไหมคะ? แล้วอย่างนี้มีไหมที่ไม่ทำทานไว้มากในอดีตก็รวยได้?”
“มีซี… คนเราบางทีพอศรัทธาในอดีตกรรม
ก็มักลืมมองความเป็นจริงที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า กรรมปัจจุบันที่ทำให้ร่ำรวยนั้นมีอยู่
อย่างเช่นคนเสื่อผืนหมอนใบที่เป็นใหญ่เป็นโตนั้น
ก็เพราะเขาขยันทำกินอย่างต่อเนื่อง รู้จักอดออม รู้จักศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม
รู้จักคิดอ่านหาลู่ทางขยับขยายอย่างฉลาด กรรมเหล่านี้บันดาลความมั่งมีขึ้นได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้หมด”
“ตกลงหนูจะพยายามเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้มากขึ้น…
ตกลงพี่พูดถึงอะไรแล้วบ้าง ศรัทธา ศีล จาคะ สุดท้ายคือปัญญาใช่ไหม? หนูอาจไม่ฉลาดเท่าพี่เขา
แต่ก็คุยกันได้เป็นชั่วโมงๆไม่เบื่อ ใครพูดไปถึงไหนอีกคนก็ทันๆกันหมด
อย่างนี้นับว่าปัญญาเสมอกันได้หรือเปล่า?”
“การพูดคุยกันสนุกนั้น โดยมากอาศัยการศึกษา
ความฉลาดคิดอ่าน ความฉลาดตั้งมุมมองสังเกตโลก รสนิยมในการใช้ภาษา
อัธยาศัยในการตั้งข้อสนทนา บางคนก็ชอบพูดอ้อมค้อม บางคนชอบพูดตรงไปตรงมา
บางคนขี้เกรงใจยอมเอออวยตลอด บางคนก็ช่างค้านตะบันราด
หนูกับเขาเข้ากันได้ในแง่เหล่านี้ก็นับว่าดีแล้ว เพราะแปลว่าปัญญาในการเจรจาเสมอกัน”
“เว้าซื่อๆนะคะ
ปัญญาของหนูกับยายคนที่ยังไม่โผล่ของเขา คนไหนเหนือกว่ากัน?”
“ก็ขึ้นอยู่กับจะมองมุมไหน
เพราะปัญญามีหลายแบบ แข่งดีทางใดทางหนึ่งแล้วตัดสินว่าใครด้อยใครเด่นนั้น
อาจคับแคบเกินไป สนใจอย่างนี้ดีกว่า ว่าปัญญาแบบที่ทำให้เข้ากับเขาสนิทเป็นปัญญาแบบไหน”
“ค่ะ… เป็นอย่างไหนคะ?”
“ปัญญาแบบของเขาเป็นชนิดแสวงเหตุแสวงผล
ชอบคำอธิบายให้หายข้องใจ รวมทั้งแยกแยะออกว่าอะไรเป็นประโยชน์หรือเปล่าประโยชน์
อะไรมีสาระหรือไร้สาระ นี่คือปัญญาในแบบของเขา ถ้าหนูมีอยู่ก็เข้ากับเขาได้นาน
เช่นเดียวกับผู้หญิงอีกคนของเขา”
“โอ้โห่! เข่าอ่อนเลยเรา จะมาทีหลังแท้ๆ
แต่กลายเป็นเราต้องวิ่งกวดตาตั้ง” ลานดาวร้องดังๆ
ขมวดคิ้วอึดอัดแล้วโพล่งอย่างหงุดหงิด “หนูเพิ่งนึกอะไรได้
ถ้ายายคนนั้นสร้างบุญคู่กับพี่แตรมาครบพร้อมสมบูรณ์แบบขนาดนี้
แน่จริงทำไมเขาไม่มาเจอกันก่อนหนูล่ะ?”
“ความสมบูรณ์แบบเป็นสิ่งที่มีได้ในอุดมคติ
แต่ยากจะเป็นได้ในความจริง พวกเขาก็เคยทำกรรมอันเป็นเหตุแห่งการพบกันล่าช้ามาก่อน
แล้วชาตินี้พอพบกันก็ต้องเป็นทุกข์ใจพอสมควรด้วย”
ลานดาวสั่นศีรษะ
“หนูจะช่วยไม่ให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานร่วมกัน
พี่แตรจะไม่มีทางได้พบเขาเด็ดขาด!”
อุปการะยิ้มมุมปากหัวเราะหึๆ
“ทำยังไง
จะตามเอามือปิดหูปิดตาเขาตลอดไปหรือ? ถ้าหนูทำกรรมใหม่เป็นบารมีสกัดกั้นแรงพอก็อาจใช่
บอกแล้วว่าเขามีกรรมเป็นอุปสรรคขวางอยู่ก่อนด้วย…
แต่หนูจะอาศัยเพียงอำนาจความหึงหวง
ห้ามใครไม่ให้พบกันตามแรงฉุดของกรรมสัมพันธ์นั้น ไม่ใช่วิสัยที่เป็นไปได้นะ”
“ก็หนูจะทำตามคำแนะนำของพี่ไงคะ
เพิ่มพูนศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาให้มาก คงฝืนดวงได้ใช่ไหม?”
อุปการะผงกศีรษะ
“คนเราอย่างเก่งก็เต็มใจแค่
‘ปรับตัว’ เข้าหากัน แต่ที่จะปรับศรัทธา ศีล จาคะ
และปัญญาให้เสมอกันนั้นหาได้ยากแสนยาก วันนี้หนูประกาศเปรี้ยงแล้วว่าพร้อมจะลงทุนทุกอย่างเพื่อเอาเขาไว้
ก็เป็นการแสดงความจงใจทำผังกรรมเก่าให้บิดเบี้ยวด้วยแรงกรรมใหม่ ไม่ยินยอม
‘ไปตามดวง’ ฉะนั้นจึงเรียกว่า ‘ฝืนดวง’ ได้เต็มปาก
และอำนาจที่จะฝืนดวงได้ก็มีแต่ธรรมะฝ่ายสูงเท่านั้น
ธรรมะฝ่ายต่ำไม่มีกำลังพอต้านทานพลังจากผังกรรมเก่าหรอก”
“แล้วหนูมีเวลาแค่ไหน
ที่จะเร่งบุญให้ทันใครอีกคน?”
“อย่าให้ผมดูเลย
ตอนนี้ผมยังไม่กำหนดรู้เข้าไปชัดๆหรอก หากหนูรู้เวลาแบบจำเพาะเจาะจง
รับรองว่าจะต้องมีพฤติกรรมประหลาดๆ ก่อทุกข์ให้เรา เพิ่มทุกข์ให้เขาเปล่าๆ
ให้ผมบอกอย่างนี้ดีกว่า การพบใครสักคนที่เราถูกใจ และเขาก็ถูกใจเรา
โดยต่างฝ่ายต่างยังไม่มีเจ้าของ
นั่นชี้ให้เห็นชัดว่ายังเหลือเวลาสร้างบุญเพื่ออยู่ร่วมกันในชาตินี้ ด้วยศรัทธา
ศีล จาคะ และปัญญา พูดง่ายๆว่าถ้ารีบ ต้องทัน!”
ลานดาวก้มหน้าก้มตาครุ่นคิดครู่ใหญ่ นิสัยช่างท้อ
หมดความอดทนกับการคบหาเพื่อนต่างเพศง่ายๆในอดีต
เกือบทำให้เลิกล้มขวนขวายหน่วงเหนี่ยวอมฤตไว้ อนาคตจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัว
แต่พอเกิดสติคิดซ้ำ ก็นึกขึ้นได้ว่าชีวิตนี้ปรารถนาสิ่งใดสูงสุด
และเหมือนกำลังครอบครองสิ่งนั้นไว้แล้ว
ควรหรือที่จะปล่อยให้หลุดมือไปเพื่อหวังว่าบ่อน้ำข้างหน้ายังมีอีก
ด้วยสติคิดได้เช่นนั้น
จึงทำตาปรือมองหมอดูอย่างปลงใจว่าจะทำตามคำแนะนำของเขา
“พี่บอกสูตรรักษาแฟนให้หนูครบแล้วใช่ไหมคะ?”
อุปการะหัวเราะขำหน้าตาและวิธีพูดของอีกฝ่าย
“ยัง!”
หญิงสาวเกือบเอื้อมมือปิดเครื่องบันทึกเสียงเพราะนึกว่าจะได้กลับบ้าน
พอได้ยินเช่นนั้นถึงกับเลิกคิ้วสูงอ้าปากค้าง ตั้งสติเป็นครู่
ก่อนขมุบขมิบกระซิบแทบไม่เป็นเสียง
“พี่พูดเล่นหรือเปล่า?”
“เปล่า… พูดจริง!
และนี่เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดด้วย ที่พูดๆมาแล้วยังเป็นเรื่องรอง”
ลานดาวหน้าซีดเผือด เอนหลังพิงพนักคล้ายจะเป็นลม
สายตาทอดมองหมอดูอุปการะด้วยความรู้สึกเวิ้งว้างว่างเปล่า
หล่อนพบแววปรานีเห็นใจในตาอีกฝ่ายแวบหนึ่ง แต่ก็ลับหายอย่างรวดเร็ว
คล้ายประกาศว่าเขามีหน้าที่เพียงให้คำตอบที่หล่อนต้องการ
ไม่ได้มีหน้าที่เอื้ออาทรขอผัดผ่อนหรือตัดทอนบุญกรรมอันใดให้
“อาชีพที่เราจะทำเลี้ยงตัวนั้น
มีส่วนกำหนดอย่างมาก ว่าจิตเราจะสะอาด หม่นหมอง หรือมอมแมม… หนูเรียนอะไรมา
เกี่ยวกับศิลปะการบันเทิงใช่ไหม?”
“ค่ะ… เรียนดนตรี
นี่หนูก็กำลังจะเซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหญ่
หลังจากยักแย่ยักยันอยู่นานเพราะหนูเกี่ยงนู่นเกี่ยงนี่”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าหงึก
“นั่นแหละ… ฟังนะผมจะพยากรณ์ให้
ถ้าหนูเป็นศิลปินหนูจะมีชื่อเสียงหอมฟุ้งขจรขจาย
เรียกว่าโด่งดังเป็นพลุแตกยิ่งกว่านักร้องและดาราในไทยทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เพราะไม่เคยมีศิลปินคนไหนพรั่งพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกความสามารถ มันสมอง
รวมทั้งบุญญาธิการเก่าเทียบเท่าหนูมาก่อน หนูเคยเป็นคนระดับปกครอง
เคยเป็นผู้ถืออำนาจใหญ่ และใช้อำนาจในทางเป็นคุณแก่มหาชนทั้งแผ่นดินมาหลายภพหลายชาติ
กับทั้งเคยอธิษฐานขอเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งหลังจากทำบุญชนิดไม่อาจมีใครเทียบเทียมเสมอเหมือน…
บุญเก่านั้นจะบันดาลชื่อเสียงเกียรติยศใหญ่หลวง เป็นที่รักของผู้คนนับไม่ถ้วน
จากขอบเขตไทยขยายเหมือนไฟลามทุ่งไปถึงระดับนานาชาติ อีกทั้งให้ผลยั่งยืนยืดยาวไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีทีเดียว!”
ลานดาวฟังแล้วขนลุกทั่วสรรพางค์
อัตตาพองจนคล้ายปีติจะดันให้ผิวเนื้อปริแตกไปทั้งร่าง
จ้องมองโหราจารย์ผู้ทรงศาสตร์ทางจิตชั้นสูงนิ่งเป็นครู่ ไม่ทราบจะกล่าวประการใดถูก
นอกจากขมุบขมิบปากเอ่ยเบาๆ
“ขอบคุณนะคะ”
“ขอบคุณบุญเก่า ขอบคุณตัวเองในอดีตเถอะ
ผมเป็นแค่ผู้แจ้งข่าวจากมิติของกรรมเท่านั้น”
อุปการะตอบยิ้มๆ
“ตามแผนผังกรรม
ชาตินี้หนูจะต้องได้เป็นใหญ่ ต้องเป็นที่ใหลหลง ต้องทำคุณแก่คนจำนวนมาก
และในที่สุดต้องพบกับคู่ชีวิตที่แท้ในวัยกลางคนด้วยวิถีทางของการทำคุณใหญ่นั่นเอง…
คราวนี้ว่าตามแผนผังกิเลส ชาตินี้หนูมีรูปสมบัติ คุณสมบัติ และทรัพย์สมบัติครบ
กับทั้งชอบใจการบันเทิง เพราะฉะนั้นจึงตกเข้าข่ายกรอบเกณฑ์สังคมโลกปัจจุบัน
คือเป็นดารา นักร้อง ซึ่งสามารถอาศัยสื่อทั้งวิทยุ โทรทัศน์ โรงภาพยนตร์
และอินเตอร์เน็ต นำตัวตนของหนูไปเข้าถึงคนทั่วทั้งประเทศด้วยเวลาเพียงชั่วข้ามเดือน
และถึงระดับโลกในเวลาเพียง ๔ ปีเมื่อปีกกล้าขาแข็งพอ”
“เป็นเหตุเป็นผลดีจังค่ะ”
“นั่นคือข่าวดีนะ
ตานี้ฟังคำพยากรณ์ที่เป็นข่าวร้ายบ้าง”
หญิงสาวกะพริบตาปริบๆอย่างไม่ทราบจะต้องเจอความไม่คาดฝันใดจากท่านหมอดูตาทิพย์อีก
“สิ่งที่หนูต้องการเดี๋ยวนี้คือแฟนคนปัจจุบัน
ซึ่งหนูพบว่าเป็นอย่างใจทุกอย่าง เหนือกว่าชายทุกคนในอดีตที่ผ่านมา…
ข้อเท็จจริงก็คือทันทีที่หนูโด่งดัง วงจรการบันเทิงจะพรากหนูไปจากเขาทีละน้อย
จากนั้นเส้นทางดาราจะพาไปพบกับใครอีกคนหนึ่งซึ่งเข้ากันได้มากกว่าเขาคนนี้… แล้วหนูก็จะลืมเขา
ลืมอย่างเป็นธรรมชาติทีเดียว ไม่ฝืน ไม่เจ็บ ไม่ทุกข์เลยแม้แต่น้อย”
“แต่หนูไม่ใช่คนได้ใหม่ลืมเก่านะคะ”
“ไม่มีใครอยากได้ชื่อว่าเป็นอย่างนั้นหรอกหนู
แต่โดยธรรมชาติ
ทุกคนเหมือนเด็กที่ต้องการของเล่นใหม่เตะตาเตะใจกันไปเรื่อยๆทั้งนั้น”
“ไม่จริง!” หล่อนเถียงตรงๆ
“หนูหามาตั้งนานไม่เคยเจอ ทั้งชีวิตรู้จักแต่หนุ่มหล่อ รวย เก่ง
ประเสริฐเลิศเลอเป็นพันเป็นหมื่น วิ่งแถเข้ามาให้เลือกทุกวันตั้งแต่อายุ ๑๓–๑๔
จนป่านนี้เพิ่งเจอคนที่ใช่เป็นครั้งแรก แล้วเขาก็ทำให้หนูรู้สึกลึกซึ้ง
เห็นคุณค่าของการมีชีวิตระดับที่สูงขึ้น
หนูเป็นคนดีและยอมมาที่นี่ให้พี่สอนได้ก็เพราะเขาดัดนิสัย
จะให้เชื่อหรือคะว่าเขาเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง พอเจอใหม่ก็ลืมเก่าทันที…
ขออนุญาตค้านค่ะ!”
ยิ่งพูดยิ่งโมโห
นิสัยเด็กเจ้าอารมณ์เก่าๆกลับมาขึ้นหน้า ตาเขียวปัด แต่อุปการะไม่ถือสา
“ผมอธิบายให้หนูคิดตามอย่างนี้ก็ได้…”
อุปการะพยายามใช้น้ำเสียงเยือกเย็นสะกดให้ผู้อ่อนวัยรับฟังด้วยเหตุด้วยผล
“ต่อไปพอหนูเป็นใหญ่ในวงการบันเทิง
หนูจะมีไอเดียดีๆ ใช้ฐานของความเป็นศิลปินสร้างประโยชน์แก่ผู้ด้อยโอกาสเหลือคณานับ
ที่จุดนั้นหนูบงการได้ทุกอย่างว่าจะเอาหรือไม่เอาอะไร
เลือกได้หมดว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร… แต่ช่วงปีแรกๆ ระหว่างการสร้างชื่อเสียง
หนูต้องทำตามเกณฑ์วงการบันเทิงปัจจุบัน เช่นแต่งหน้าสวยๆ แต่งตัวหวิวๆ
เต้นแร้งเต้นกาปลุกใจเสือป่าไปเรื่อย”
ลานดาวคิดตามแล้วเริ่มเห็นเค้าความจริงรำไร
จึงสงบใจฟังด้วยสายตาที่แปรเป็นอ่อนโยนลงอีกครั้ง
“เมื่อครู่ผมเพิ่งยกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกความจริงเอาไว้
คือถ้าเราทำทานกับผู้ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ
หรือทำทานเป็นการส่งเสริมให้ภิกษุบำเพ็ญเพียรเพื่อหลุดพ้นจากกิเลสกองทุกข์
ก็จะให้ผลไพบูลย์ จิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง หรือจิตที่พัฒนาไปสู่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องนั่นเอง
คือนาบุญอันเยี่ยม หว่านข้าวหรือเมล็ดพันธุ์ใดลงไป
ก็ย่อมได้รับผลดีรวดเร็วกว่านาบุญเกรดต่ำกว่า พูดอย่างนี้รับได้ใช่ไหม?”
“ค่ะ”
หล่อนยอมรับโดยไม่ต้องฝืนใจนัก
“ทีนี้ความเป็นศิลปินของหนู
โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ด้วยเนื้อหาหน้าที่แล้ว ลองตอบผมซิว่ามันเสริมหรือลดราคะ
โทสะ โมหะให้กับผู้คนเรือนล้าน?”
“เพิ่มค่ะ…”
ลานดาวตอบแผ่วด้วยความตระหนักลึกซึ้ง
ภาพฝูงชนนับหมื่นด้านล่างเวทีคอนเสิร์ตที่แหกปากกรี๊ดกร๊าดอลหม่าน
รวมๆกันแล้วก่อกระแสชนิดหนึ่งที่หล่อนรู้สึกมานาน ทว่าจำแนกเรียกไม่ถูก
มาปัจจุบันเมื่อเริ่มรู้จักกระแสศานติล้ำลึกจากการคลุกคลีกับคนเช่นหมออุปการะและนายแพทย์อมฤต
จึงย้อนกลับไปจำแนกถูกว่ากระแสนั้นคือกลุ่มพลังแห่งอกุศลจิต…
จิตวิญญาณที่ถูกเร่งเร้าให้ตื่นเพริดลืมโลก
ถูกยั่วยวนด้วยอิตถีมายาผ่านเรือนรูปอรชรอ้อนแอ้นและแก้วเสียงเสนาะใส
ล้วนนำไปสู่ความมักง่ายทางเพศ นำไปสู่อารมณ์คลั่งหลงมัวเมาโงหัวไม่ขึ้นทั้งสิ้น
“สรุปคือวิถีทางทำบุญใหญ่ของหนูในชาตินี้
ตามแผนผังเฉพาะตัวแล้ว มันมาจากฐานของอกุศลใช่ไหม?”
“ค่ะ”
“แล้วฐานของเขาในปัจจุบันเป็นกุศลหรืออกุศล?”
“กุศลค่ะ… เป็นตรงข้ามกัน”
“เห็นไหม หนูไม่ต้องเป็นคนชั่วร้าย
ถึงเป็นคนดีก็ทำอกุศลใหญ่ได้โดยไม่รู้ตัว…
ผลอันดับแรกของการย้อมใจผู้คนให้ติดหลงอยู่ในราคะ โทสะ โมหะ
ก็คือความฟุ้งซ่านที่หยุดไม่ได้ในหัวของหนูเอง…
ผลอันดับต่อมาคือม่านมืดที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงบังมิติทางการรับรู้ระหว่างหนูกับเขา…
ผลสุดท้ายคือการเจอคนใหม่ในเส้นทางที่กลมกลืนกัน
คนที่จะทำให้หนูเจ็บปวดอย่างแท้จริงยิ่งกว่าครั้งแรกที่ผ่านมา!”
ลานดาวเบิกตาโต ชาวาบทั้งร่าง
“หนูนึกว่าเขาคนนี้เสียอีก
ที่พี่ทำนายว่า… จะทำให้หนูต้องเจ็บ”
“ตามแผนผังกรรมของหนู
หนูจะต้องเจ็บหนักสองครั้ง… สำหรับคนปัจจุบันนี้
ผมบอกแล้วกันว่าขึ้นอยู่กับตัวหนูเองว่าจะกำหนดให้ลงเอยอย่างไร”
หญิงสาวรู้สึกว่าน้ำลายเหนียวขึ้นมาในบัดดล
วงจรกรรมสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเกินกว่าจะจินตนาการถูกด้วยความเฉลียวฉลาดใดๆ
ตามคำทำนาย อำนาจใหญ่วางอยู่ตรงหน้า แค่เอื้อมไปคว้าก็จะมาอยู่ในมืออย่างง่ายดาย
ทว่าจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยน…
“แล้ว…
ถ้าสมมุติว่าหนูเป็นอาจารย์สอนดนตรี อย่างนี้เป็นอกุศล ทำให้คนย้อมติดในราคะไหม?”
“ก็มีบ้าง
แต่น้อยกว่าการไปยืนบนเวทีคอนเสิร์ตสักหนึ่งในพัน… อีกอย่างมีการหักกลบลบหนี้
คือเราไม่ได้ย้อมให้เขาเคลิ้มในดนตรีอย่างเดียว แต่ให้ปัญญา
ให้ทักษะความสามารถในเชิงสร้างสรรค์กับเขา
อีกทั้งอาจเป็นวิชาความรู้ติดตัวไปเลี้ยงชีพต่อไปด้วย”
“สรุปแล้วสอนดนตรีจะดีกว่า
แต่หนูต้องใช้ชีวิตน่าเบื่อไปจนตายใช่ไหม?”
“ก็ต้องเลือกเอา”
อุปการะบอกอย่างไม่มีความผูกพันกับคำแนะนำของตนเองนัก
เหมือนคนบอกทางว่าซ้ายขวาจะไปเจอจุดหมายปลายทางแบบใด
โดยเขาเองไม่จำเป็นต้องร่วมเดินทางไปกับหล่อน
หรือกระทั่งเดือดเนื้อร้อนใจกับความเป็นตายร้ายดีของหล่อนเลย
“อย่างนี้ลำบากแย่สิคะ
กระดิกตัวทำอะไรเป็นบาปเป็นกรรมไปหมด แม้กระทั่งการหาอาชีพสุจริตเลี้ยงตัว”
“ธรรมดาโลก
ความจริงพระพุทธเจ้าตรัสถึงอาชีพที่ไม่ควรทำเลย
เพราะจะส่งให้อยู่ในวังวนทรมานกันนาน มีอยู่แค่ ๕ อย่างคือค้าขายมนุษย์
ค้าขายสุราของมึนเมา ค้าขายยาพิษ ค้าขายอาวุธ และค้าขายสัตว์… อาชีพอื่นๆพอทำเนา
ไม่เป็นเหตุแห่งทุกข์หนักยืดเยื้อแก้ยากนัก”
ลานดาวซึมไปอีก
“หนูจะนำคำทั้งหมดของพี่ไปไตร่ตรองให้รอบคอบ
มีอะไรจะฝากฝังอีกไหมคะ?”
“วันนี้คงไม่มีมากกว่าที่ทำให้หนูเหนื่อยใจไปทั้งหมดนั่นหรอก
ความจริงนับว่าดีแล้วที่หนูพบกับคนประเสริฐ คนเราคบใครก็ต้องมีความเป็นเช่นนั้นในทางใดทางหนึ่ง
พยายามซึมซับส่วนดีของเขามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา
นี่คือประโยชน์ของการอยู่ใกล้ชิดคนดี คนเป็นบัณฑิต
เพราะจะมีส่วนดีมากมายในเขาเป็นแรงบันดาลใจแก่เรา
แม้ไม่ได้อยู่ร่วมกันตลอดไปก็ช่าง”
“ขอบคุณค่ะ
วันนี้คงขอรบกวนพี่เพียงเท่านี้ก่อน”
พูดจบก็ควักกระเป๋าสตางค์มานับธนบัตรเป็นค่าดูหมอตามที่ตกลงกันทางโทรศัพท์
“ไม่ต้องหรอก”
อุปการะโบกมือขัด ลานดาวถึงกับชะงักงง
“วันนี้ผมสอนธรรมะมากกว่าดูหมอ
ใจไม่อยากรับเงิน”
แทนที่ลานดาวจะดีใจ กลับขมวดคิ้วย่น
“ให้หนูรบกวนเวลาพี่เปล่าๆไม่ได้หรอกค่ะ”
“ธรรมะเป็นความเบิกบาน ผมไม่ลำบากอะไร
ดีใจที่มีส่วนทำให้หนูเริ่มต้นก้าวใหม่ในทางดีงาม… วิธีที่เราคิด
คือชีวิตที่เราเลือก ใช้ชีวิตมาถึงไหน ก็คือเตรียมตาย เตรียมอัตภาพใหม่ถึงตรงนั้น
จำไว้นะ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น