วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

กรรมพยากรณ์ ตอนชนะกรรม (ตอนที่ ๓๓. คู่มือนักฆ่าตัวตาย)

ตอนที่ ๓๓. คู่มือนักฆ่าตัวตาย


“ถ้าเธอคุยกับพี่แตรก็คุยต่อไปซี”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุยมาชั่วโมงแล้ว กำลังเบื่อๆอยู่พอดี”

น้ำเสียงของลานดาวเนือยนาย พอหล่อนรู้ว่าเป็นพี่สาวโทร.มา ก็บอกเลิกสายกับแฟนหนุ่มง่ายๆทันที

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมเสียงไม่เหมือนคนเมารักอย่างเคย”

ลานดาวหัวเราะเฉื่อย

“ลักษณะเป็นยังไงคะ เสียงแบบคนเมารัก?”

“ก็สดใสปิ๊งปั๊ง เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทำให้คนฟังพลอยสำราญบานใจไปด้วย ต่อให้ใครกำลังเศร้า ก็มอมเขาให้เปลี่ยนมาหัวเราะร่าตามกันได้”

“ขนาดนั้น?”

“อือ”

ลานดาวคิดคำโต้ตอบ แต่หัวไม่แล่น จึงเงียบเสียงไปครู่จนมาวันทาต้องซักจริงจัง

“มีอะไรหรือเปล่า… จ๊ะ?”

“ป่าว…” น้องสาวลากเสียงยาว ก่อนจะหาเรื่องคุย “จ๊ะเก่งไหมล่ะ ออกกำลังจนน้ำหนักลดลงมาเท่าเดิมแล้ว หลังจากโดนพี่เอินทักแค่อาทิตย์กว่าๆ”

“นี่แหละ เขาเรียกทำดีได้ดี ทีหลังอย่าทำเรื่องชั่วร้ายด้วยการนั่งๆนอนๆ บริโภคข้าวและน้ำไปวันๆอีกล่ะ”

ลานดาวยิ้มซึม

“พี่เอินนี่เก่งเนอะ เพิ่งหย่ากับพี่อ๋องแท้ๆไม่เห็นวี่แววเศร้าซักกะติ๊ด ส่วนใหญ่เขาซมซานเหมือนอาบน้ำตาต่างน้ำก๊อกจนเปียกโชกกันนานกว่าจะฟื้นไข้หย่า อย่างน้าสาวจ๊ะเคยโทร.มาเป่าปี่ใส่หูแม่อยู่ร่วมครึ่งปีจนแม่บ่นอุบ พี่เอินไม่ยักร้องไห้ฟูมฟายเหมือนชาวบ้านเขาเลย”

“ใครบอกไม่ร้อง ก่อนนอนบางทีก็มีเหมือนกันจ้ะ แต่คุยกับเธอเรื่องอะไรจะร้องให้ได้ยิน เดี๋ยวโดนหัวเราะเยาเอา”

ลานดาวฟังเสียงอีกฝ่ายแล้วชุ่มชื่นขึ้นมาทีละน้อย จากสัมผัสทางใจ หล่อนคิดว่าคุณภาพจิตของมาวันทาสูงส่งขึ้นมาก สุ้มเสียงมีประกายสดใสของคนที่พบกับความเบิกบานอันแท้จริงในภายใน มีทั้งความเบา ความสุกสว่าง และความนิ่มนวลในกระแสจิตยิ่งกว่าสมัยรู้จักกันใหม่ๆแทบเป็นคนละคน

“ที่ว่าร้องก่อนนอนนี่ร้องไห้เสียใจหรือดีใจคะ?”

มาวันทาหัวเราะเป็นกังวาน

“ร้องไห้เสียใจซียะ คิดถึงพี่อ๋องจะตาย”

ลานดาวย่นคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงของมาวันทาปรีดิ์เปรมเกษมสานต์เหมือนคนเพิ่งถูกล็อตเตอรี่รางวัลใหญ่ ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำสารภาพแบบคนเป็นแม่ม่าย หล่อนว่ามาวันทาดีใจที่พบกับอิสรภาพมากกว่า

ดีใจที่เห็นจิตตนเองไม่ยึด ไม่ผูก ไม่เศร้า…

“ร้องไห้เสียใจ คิดถึงจะตาย แล้วทำไมเสียงเหมือนปลากระดี่ได้น้ำอย่างนั้นคะ จ๊ะขนลุกเลยนะเนี่ย ประสาทกลับหรือเปล่า?”

มาวันทาหัวเราะยาวอีก

“สงสัยเพราะมีความสุขที่ได้คุยกะเธอน่ะ อย่าคิดมาก พี่ไม่ได้โกหกหรอก บางคืนยังร้องไห้อยู่จริงๆ แบบกระซิกๆน่ะ ไม่ถึงกับร้องโฮตาบวมเหมือนคืนแรก แบบว่าพอเหงาขึ้นมาก็ลงนั่งสมาธิทันที หรือไม่ก็โทร.มาฮัลโหลเธอนี่แหละ”

ลานดาวถอนใจเฮือก

“เฮ้อ! อิจฉาจัง”

“อุ้ย! คนมีแฟนมาอิจฉาคนถูกทิ้งได้ไง”

“รูปแบบข้างนอกมันแค่เปลือกค่ะ ใครมีความสุขจริง คนนั้นแหละที่น่าอิจฉา”

“เหรอ”

ลานดาวเหมือนเห็นมาวันทาส่งยิ้มกว้างฉายออกมาทางกระบอกโทรศัพท์ หล่อนกำลังนอนนึกถึงใบหน้าพี่สาวอยู่บนเตียง เปรียบเทียบแล้วรู้สึกถึงความไม่เอาไหนของตนเองที่พูดเสียงบู้บี้ตลอด จึงปรับเสียใหม่ให้แจ่มขึ้น

“พี่อ๋องมาหาบ้างหรือเปล่าคะ?”

“ก็มา แต่พี่จะห้ามๆไว้ กลัวเดี๋ยวอีกคนรู้เข้าจะยุ่ง”

“คนสมัยนี้หน้าด้านกันจัง”

“ช่างเขาเถอะ กรรมของเขา”

ปั้นจิตปั้นใจให้ดูดีได้เดี๋ยวเดียว ลานดาวก็สลดซึมลงอีก สงสารพี่สาว แต่ฝ่ายนั้นเหมือนไม่มีความเศร้าให้ควรสงสารสักนิด เลยเปลี่ยนมาสงสารตัวเองแทน

“ชีวิตจริงนี่มันยากกว่าตอนเอามือหนุนหัวนอนฝันกลางวันเยอะเลยเนอะพี่เอิน”

มาวันทาชะงัก คราวนี้ถามแบบเก็งเหตุ

“เป็นไง ทำงานให้คุณพ่อมาครบสองอาทิตย์ สนุกไหม?”

พอถูกจี้ตรงจุด ลานดาวเลยยอมคายความในใจ

“กำลังจะต้องขอยาคลายเครียดจากพี่แตรมากินน่ะพี่เอิน ทำไมโลกมันน่าเบื่ออย่างนี้ก็ไม่รู้”

“เถอะน่า เดี๋ยวก็ชิน”

ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ของบิดาลานดาวนับว่าเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ นับเริ่มตั้งแต่ก่อตั้งเมื่อ ๒๐ ปีก่อนด้วยแนวคิดของผู้บริหารที่มีหัวก้าวหน้า ทำของสไตล์หรูแปลก ดูมีระดับทุกชิ้น กระทั่งสามารถส่งออกนอกได้ สามารถยืนหยัดท้ามรสุมอย่างสบายแม้ในช่วงเศรษฐกิจขาลงของไทย

มาวันทารับรู้การตัดสินใจไม่เข้าเส้นทางสู่ดวงดาวของน้องสาวท่ามกลางความฉงนฉงายของใครต่อใคร คนที่ค่ายเพลงหัวเสียกันอย่างหนักเพราะมั่นใจว่าแม่คนเก่งจะต้องมาแน่ จึงเตรียมฟอร์มงานไว้แต่เนิ่นๆ ทว่าเมื่อเจ้าตัวเลือกอย่างนั้นใครเล่าจะห้ามได้ โวยวายอย่างไรก็ไร้ผลในเมื่อยังไม่เซ็นสัญญากัน อันที่จริงคุณพ่อของลานดาวก็ยินดีมิใช่น้อยเมื่อจู่ๆลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนแจ้งความจำนงจะมาช่วยงาน เพราะไม่เคยมีลางบอกเหตุมาก่อนเลย

“จ๊ะคงทนได้อีกไม่นาน”

ลานดาวเปรย ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแต่อย่างใดสำหรับคนรับฟัง

“ไหน… คุณพ่อให้ทำอะไรบ้าง?”

ชวนคุยอย่างยอมเป็นที่ระบายของน้อง

“ก็… เดินไปมั่วๆแหละพี่เอิน เกิดเป็นลูกพ่อยี่สิบเอ็ดปี จ๊ะไม่เคยซึมซับงานเฟอร์นิเจอร์มาซักนิด มันไม่มีหัว เห็นอะไรก็ไม่เก็ต ไม่อยากจับต้องไปหมด จะเป็นงานดีไซน์ จะเป็นผู้ช่วยพ่อ จะเป็นคนคุมออฟฟิศ แค่ศึกษางานอย่างเดียว ดูเอกสารเป็นปึกๆก็แทบตาปลิ้นลิ้นจุกปากแล้ว”

แพทย์หญิงหัวเราะหึหึก่อนผ่อนลมหายใจยืดยาว

“พี่เห็นที่จ๊ะเขียนตอบน้องโบเอ้เมื่อคืนแล้วล่ะ ขอบอกว่าประทับใจมากนะ… ทำไมไม่เห็นเคยเล่าให้พี่ฟังเลยว่าอาจารย์ทำนายว่ายังไงมั่ง”

“เล่าแล้ว… ในห้องกระจกไง ที่พี่เอินหาว่าหลงตัวน่ะ”

“จำได้ แต่เธอไม่บอกนี่ว่าถ้าดัง… จะต้องเสียพี่แตรไป”

“ก็วันนั้นพี่เอินเอาแต่ว่าๆๆ เลยลืม หรือหมดอารมณ์บอก”

“อือ… แสดงว่าเก็บกดอยู่คนเดียวมานาน”

“นั่นแหละ เมื่อคืนพอเจอคำถามของยายโบเอ้เลยหลุดปากเล่าไปหมด ไม่รู้เป็นไง ปกติไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวเลยนะ ถึงในบอร์ดจะไม่มีใครรู้จักเราก็เถอะ พักนี้เผลอๆทำอะไรที่ไม่เคยทำไปเยอะ”

“เขียนแล้วสบายใจขึ้นไหมล่ะ?”

“ยิ่งกลุ้มน่ะสิพี่เอิน… ความรู้สึกมันครึ่งๆ เหมือนหลอกตัวเอง เหมือนหลอกคนอื่น เนี่ย… ถามตัวเองเลยว่าตกลงเรายอมแลกอนาคตกับผู้ชายคนหนึ่งเพราะอะไรกันแน่ ระหว่างรักเขามากเกินทนกับการสูญเสีย หรือว่าเพราะกลัวกับการอยู่อย่างเงียบเหงาโดยไม่เจอใครถูกใจไปจนกว่าจะถึงอายุ ๔๐”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน พอมาวันทาเห็นหล่อนเกิดปัญหา ลานดาวจะสัมผัสได้ถึงกระแสความห่วงใย และพลอยเคร่งเครียดเป็นเดือดเป็นร้อนตามไปด้วย แต่มาบัดนี้เห็นชัดว่าจิตของพี่สาวยังสว่างแพรวดังเดิม นี่เป็นอีกการเปลี่ยนแปลงหนึ่งของมาวันทา

“เท่าที่เห็นจ๊ะกับพี่แตรอย่างใกล้ชิดมาระยะหนึ่ง พี่ว่าเธอรักเขาจริงนะ อันนี้เป็นความจริงข้อหนึ่ง… แต่การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตคนเรา มักไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเดี่ยวๆ บางทีที่เราตัดสินใจไป มันอาจเพราะมีตัวแปรมากมายรุมล้อม และในที่สุดก็บีบคั้นให้เกิดการเลือกอย่างที่เลือก”

ลานดาวเงียบไปพักใหญ่ ก่อนถามเหม่อๆ

“จ๊ะรักพี่แตรเหรอ?”

“เอ๊า! อะไรกันเธอนี่ อุตส่าห์ตั้งตนเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิยามความรัก ทำให้ใครต่อใครเขาติดใจคารมกันตรึม ไหงมาสงสัยตัวเองอย่างนี้ล่ะ?”

“เขาเรียกเก่งแต่ปากไง…” ลานดาวตอบเสียงอ่อย “ที่จ๊ะสงสัยตัวเอง อาจเป็นเพราะจ๊ะเกร็งเกินไปก็ได้ อยากได้ชื่อว่ารักเขาสุดจิตสุดใจ เลยทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง รู้ไหม จ๊ะพยายามจูนจิตให้เสมอเขา จะได้อยู่ด้วยกันยืดๆ ถึงขนาดเก็บมโนภาพเขาไว้ในหัว นึกว่าสถานการณ์อย่างนี้เขาจะพูดโต้ตอบยังไง จะเลือกหันซ้ายหรือหันขวา จนชักเสียความเป็นตัวของตัวเองเข้าไปทุกที”

มาวันทาฟังแล้วถึงกับส่ายหน้าพึมพำ

“เป็นเอามาก… อย่างนี้เกินไปจริงๆแหละจ๊ะ ในที่สุดเธออาจต้องทิ้งเขาเพราะอ่อนล้าจากความบ้ารักจนผิดธรรมชาติของตัวนี่เอง”

คนบ้ารักนิ่งเงียบ ไม่เถียงสักแอะ

“ยังอยู่หรือเปล่า?”

ลานดาวเงียบนานจนมาวันทาต้องถามหา

“ค่ะ” ตอบแล้วถามด้วยเสียงเป็นกังวล “จะทำยังไงดีล่ะพี่เอิน?”

“ในเมื่อเพลียเพราะทุ่มเกินตัวอย่างนี้ ถามใจอีกที เธอรักพี่แตรน้อยลงไหม?”

คนถูกถามเม้มปาก เป็นวินาทีที่รู้สึกว่าตัวเองเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต เข้าใจความรัก และเข้าใจตนเองมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาเป็นกอง ขนาดกล้ายอมรับว่า

“น้อยลง…”

คราวนี้มาวันทาเป็นฝ่ายเงียบบ้าง เงียบนานจนลานดาวต้องเป็นฝ่ายพูดต่อ

“ใจจริงจ๊ะอยากตอบยายโบเอ้ว่าไงรู้ไหมพี่เอิน จ๊ะนึกถึงคำของพระพุทธองค์ ที่ท่านตรัสว่าคนเรามีรักร้อยก็นับว่าทุกข์ร้อย มีรักสิบก็นับว่าทุกข์สิบ มีรักหนึ่งก็นับว่าทุกข์หนึ่ง หากไม่มีรักเลย ก็แปลว่าไม่ต้องมีทุกข์เพราะรักเลยเช่นกัน… สรุปคือ ความรักเป็นแค่รูปแบบหนึ่งของความทุกข์เท่านั้น ต่อให้รักกันยืดยาวจนแก่เฒ่า วันหนึ่งก็ต้องทุกข์ใหญ่หลวงเพราะความพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ดี”

มาวันทาอึ้งอยู่พักหนึ่งด้วยความคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินลานดาวกล่าวเช่นนั้น

“เดี๋ยวนี้หันมาสนใจด้วยเหรอว่าพระพุทธเจ้าตรัสอย่างไรบ้าง?”

“อ่านหนังสือที่พี่เอินให้มานั่นแหละ”

“อ่านด้วย? นึกว่าเอาไปดองไว้เฉยๆเสียอีก”

“จ๊ะก็ใฝ่ดีเป็นเหมือนกันแหละน่า… เหนื่อยจัง ทำไงดีล่ะพี่เอิน?”

ลานดาวย้ำคำถามเดิม แสดงว่าต้องการคำแนะนำจริงๆ

“งั้นขอถามอีกคำ เธอยังกลัวจะเสียเขาไปมากเหมือนเก่าอีกไหม?”

คนเป็นน้องส่ายหน้ากับโทรศัพท์อย่างอัดอั้น

“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ รู้แต่ทุกวันนี้จ๊ะกำลังสู้กับอะไรบางอย่างที่ใหญ่โตเหลือเกิน ทุกคนเหมือนมีแผนผังของตัวเองอยู่จริงๆ เราอาจฝืนทนพากเพียรปรับรื้อโครงสร้างผังนั้นได้ แต่… ใครจะใจแข็งสู้จนถึงที่สุดเท่านั้น”

“เอาอย่างนี้ซี่ เธอทำใจสบายๆดีไหม เลิกเกร็ง เลิกฝืนตัวเอง เลิกกลัวเสียเขาไป หันมาทำในสิ่งที่ถนัด ปล่อยๆวางๆบ้าง คิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เธอเป็นของเธออย่างนี้ เขาเป็นของเขาอย่างนั้น ถ้ายังรักกันอยู่ก็จะได้มีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย แต่นี่เห็นชัดๆว่าถ้าเธอฝืนแทบเหมือนต้องกลืนเลือดตัวเอง ต่อให้ได้เขาไว้จนตาย ระหว่างนั้นก็คงไม่เป็นสุขเอาเลย”

เมื่อมีคนอื่นมาเขี่ยผงในตาให้ ลานดาวก็ตาสว่างขึ้นเล็กน้อย น่าอนาถที่คนเราไม่อาจเห็นว่าผงในตัวเองคาอยู่ตรงไหน รู้แต่แสบคันเหลือจะกล่าวแล้ว

“ทำตามถนัดของจ๊ะ แปลว่าจ๊ะควรยอมเป็นนักร้อง ปลุกระดมมวลชนให้เย้วกันสุดฤทธิ์ ทำให้พวกเขามาหลงใหลคลั่งไคล้จ๊ะจนโงหัวไม่ขึ้นใช่ไหมคะ?”

“ก็… อย่าไปตั้งความคิดไว้อย่างนั้นซิ” มาวันทาตอบอ้อมแอ้ม “ดนตรีและการบันเทิงเป็นอาชีพสุจริตที่ทุกคนยอมรับ ถ้าเธอทำแนวเพลงสร้างสรรค์ แต่งเนื้อแต่งตัวดีหน่อย คนเขาคงคิดกันในทางมงคลได้”

ลานดาวยิ้มเบะ

“คงมีคนสนใจซื้อกันน่าดูล่ะ… จะให้จ๊ะออกเทปธรรมะเหรอพี่เอิน? โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ถ้าคิดจะทำงานมงคลให้ได้บุญได้กุศล จ๊ะไปช่วยปอเต็กตึ๊งเก็บศพเลยดีกว่า”

“แล้วจะทำหรือไม่ทำ ดนตรีน่ะ สรุปคือถึงต้องเลิกกับพี่แตร ยังไงก็ไม่เป็นศิลปินแล้ว?”

คนเอาใจยากหัวเราะแหะๆ

“เจ๊…” น้องสาวลากเสียงยาว “หนูสารภาพตามตรงนะ ยังไม่ค่อยรู้จักตัวเองหรอก ถ้าต้องห่าง… ห่างจนกระทั่งพี่แตรหายจากชีวิตตลอดไป วันนั้นจะทำใจได้แค่ไหนยังไม่รู้เลย ขอเป็นว่าอย่าเสี่ยงดีกว่า”

“ว้า! แล้วที่จ๊ะเก่งสารพัดนี่เอามาใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างหา? เล่นเปียโนสร้างชื่อเสียงเป็นเรื่องเป็นราวก็กลัวการไปอยู่ต่างประเทศ เป็นครูสอนเปียโนก็กลัวอุดอู้ ครั้นซ้อมอยู่กับบ้านเปล่าๆก็พานจะกลายเป็นยายอ้วนขี้เบื่อเข้าให้อีก”

“ค่ะ ยอมรับ… จ๊ะหมดไฟแล้ว อย่าว่าแต่ซ้อมเล่นหรือสอนคนเลย แค่เห็นเฉยๆก็จะอ้วกแล้ว”

“เวรกรรม!”

มาวันทาบ่นดังๆ ลานดาวยิ้มมุมปาก ในที่สุดก็จับได้ว่ากระแสจิตของพี่สาวขุ่นมัวลง แปลว่าถ้าขัดใจอะไรนานๆยังโมโหเป็นอยู่ แต่พอจับกระแสขุ่นมัวนั้นได้เพียงสองสามวินาที ก็พบว่ามันจางหายสลายตัวอย่างรวดเร็วเหมือนสายหมอกต้องแสงอรุณ สัมผัสทางจิตทำให้ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บางคนแม้ขุ่นเคืองก็ไร้แรงอัดของความโกรธ ไร้ความน่าระคายของความเกลียด คล้ายสายน้ำใสที่ถูกเจือสีโคลนตมเพียงชั่วครู่หนึ่งแล้วกลับใสสนิทดังเดิม โดยกระแสน้ำยังไหลนิ่งอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความกระเพื่อมวูบเป็นคลื่นลูกโตด้วยแรงดันจากใต้น้ำแต่อย่างใด

“ใครอิจฉาเธอก็อิจฉาไปเถอะ พี่คนหนึ่งล่ะ เห็นชีวิตเธอแล้วกลุ้มแทน ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย พูดจากลับไปกลับมาเหมือนคนไข้จิตเวช!”

ลานดาวหัวเราะแจ่มใสเต็มเสียงออกมาเป็นครั้งแรก เพราะเห็นว่าจิตของคนที่รักกันนั้น แม้อยู่ในอารมณ์อยากบีบคออีกฝ่ายให้ลิ้นจุกปาก ก็ไร้วี่แววมุ่งร้ายหรือคิดสาปแช่งให้อับปางแม้แต่น้อย ยังมีแต่ความปรารถนาดียืนพื้นอยู่เป็นนิตย์

“พี่เอินขา… จ๊ะเป็นคนไข้ของพี่เอินมาแต่ต้นแล้วไม่รู้เหรอ ปัญหาในชีวิตจ๊ะคือเบื่อง่าย คนอื่นทำอะไรซ้ำซากแล้วค่อยเบื่อ แต่จ๊ะทำเรื่องเซ็งทีเดียวเหมือนมีไขปลาวาฬมาจุกอก อีกอย่างคือไม่มีภูมิต้านทานทุกข์ ทุกข์เท่ามดกัดของคนอื่น สำหรับจ๊ะจะราวๆช้างกระทืบ”

มาวันทาฟังคำพูดอันก่อมโนภาพแจ่มชัดนั้นแล้วอดหัวเราะไม่ได้

“รู้ตัวไว้ซะ ความขี้เบื่อของเธอน่ะ ทำให้เธอพลอยเป็นคนน่าเบื่อไปด้วย ตอนอยู่ห่างๆอาจเห็นเธอน่าพิศวาส ชวนให้หลงฝันหาเสียเหลือเกิน แต่เข้าใกล้แล้วจะรู้ความจริง”

“แล้วพี่เอินเบื่อจ๊ะด้วยเหรอค้า…”

ลานดาวทำเสียงอ้อน

“เบื่อ!”

“แต่จ๊ะยังไม่เบื่อพี่เอินหรอกนะ แสดงว่าไปๆมาๆพี่เอินอาจเป็นรักแท้เพียงหนึ่งเดียวในชีวิตจ๊ะก็ได้ เพราะเวลากับเหตุการณ์ไหนๆก็ไม่เคยเปลี่ยนความรู้สึกแสนดีต่อพี่เอินไปเลย”

แล้วคนพูดก็ทำตาลอยอยู่ฝ่ายเดียว

“พี่เอินรู้ไหม เฉพาะโรคเบื่อง่ายนี่ก็ทำให้คนเราอยากฆ่าตัวตายได้แล้ว บ่อยครั้งที่จ๊ะงงตัวเองแบบสุดๆ ตอนเจอหนุ่มบางคนที่นึกปิ๊งขึ้นมาแรงๆ เหมือนติดอยู่ในหัวใจเราแน่นหนา วันๆรู้สึกแปลบปลาบวาบหวามได้ตลอด คล้ายกับถ้าไม่ได้คนนี้มาอยู่ใกล้แล้วอดอยากปากแห้ง ไม่ทราบจะมีชีวิตต่อได้ยังไง… แต่พอเห็นคำพูด ท่าทาง หรืออะไรห่วยๆในตัวเขาที่ทำให้สะดุ้งหนเดียว ความคิดถึง ความวาบหวาม ความอาลัยไยดีทั้งหลายมันหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ พยายามเค้นให้คิดมันก็ไม่คิด ใจไม่เอาเลย เหมือนโทรศัพท์หลุดแล้วต่อใหม่ไม่ติดเพราะสายถูกตัดถาวรยังไงยังงั้น บ่อยเข้าชักท้อ ไม่อยากมีแฟนกับเขาแล้ว อยู่เป็นโสดดีกว่า”

“อือ… เบื่อง่าย ไม่อยากมี ไม่อยากเอา จะขออยู่เป็นโสด แต่วิ่งพล่านควานหาแทบพลิกแผ่นดินเนี่ยนะ? อย่าหมั่นสร้างความขัดแย้งขึ้นในตัวเองนักเลย ทุกข์ใหญ่มันจะถามหา เอาเป็นว่าพี่ตัดสินให้… พี่แตรไม่เหมือนที่ผ่านๆมาหรอก เขาสมเป็นเจ้าชายในฝันของเธอ เธอสามารถถามหาความเลิศเลอทุกแง่มุมได้จากเขา ถึงมีข้อด้อยบ้างตามธรรมดามนุษย์ที่ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ก็จะไม่ใช่ข้อด้อยประเภทที่ทำให้ต้องสะดุ้งแล้วสิ้นสวาทปุบปับอย่างคนก่อนๆ… แต่ที่ควรระวังคือกรรมวิบากจากวิธีคิดของเธอเอง”

ลานดาวรับฟังอย่างสงบ แถมรับคำโดยดีราวกับกลายเป็นคนหัวอ่อนไปได้

“ค่ะ…”

“ผู้หญิงอื่นไม่มั่นใจในความสวย รวย เด่นของตัวเอง กลัวลึกๆว่าจะมีคนเหนือกว่ามาแย่งแฟน หรือนานไปเขาจะเบื่อแล้วจากไปชิมรสใหม่ การพยายามรักษาคนรักไว้จึงมาในรูปของความหึงหวงไร้เหตุผล ทำให้ผู้ชายรู้สึกเหมือนมีมารร้ายคอยตามขี่คอไปทุกหนทุกแห่ง พอทนถูกขี่คอเอาไฟจี้หลังไม่ไหวก็ต้องขอเลิก… ส่วนเธอเป็นตรงข้าม เธอไม่มีความหึงหวงเพราะตระหนักว่าตัวเองเหนือกว่าผู้หญิงทั้งแผ่นดินอยู่แล้ว เธอรู้ ใครๆก็รู้ พอมีไอเดียที่จะรักษาเขาไว้ด้วยการทำความดีชนะใจกัน ก็ทุ่มสุดตัวไปอีกทาง… เขาอาจหลงเธอจนเสียสติ ฟั่นเฟือนเป็นบ้าเป็นหลังยิ่งกว่าโดนน้ำมันพราย แต่เธอเองนั่นแหละจะขาดใจตายกลางทางด้วยความเหนื่อยอ่อน”

ลานดาวยิ้มซึม

“สำนึกแล้วค่ะ สั่งมาเลยจะให้ทำไง”

การสนทนาวกกลับมาที่เก่า เหมือนเดินอยู่ในเขาวงกตหรือทางกลที่เหมือนก้าวไปข้างหน้า แต่กลายเป็นหวนคืนสู่จุดเริ่มต้นโดยไม่รู้ตัว วังวนแห่งรักมักทำให้คิดแบบติดวนหาทางออกยากเสมอ

มาวันทาพยายามคัดท้าย พาน้องสาวออกจากเขาวงกตเต็มกำลังสติ

“เธอต้องทำงาน มีความสุข มีความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่กลายเป็นใครอีกคนที่หลงทางอย่างนี้”

“แล้วจะให้จ๊ะทำงานอะไร?”

วินาทีนั้นมาวันทาบังเกิดความแหนงหน่ายความเป็นเด็กเอาตัวไม่รอดของอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างแรง ในความเป็นนางฟ้าเดินดิน ลานดาวมีภาคหนึ่งที่เหมือนเด็กปัญญานิ่มอยู่จริงๆ ทำให้นึกเอือมระอาและแทบขอวางสายดื้อๆ

แต่พอถอนใจระบายความอึดอัดไปเฮือกหนึ่ง มาวันทาก็ฝืนตั้งสติใหม่ และหันมาเริ่มใช้สมองจริงจัง พยายามเค้นคิดถึงความสามารถทั้งหมดของน้องสาวมาประมวลหาความเป็นไปได้ ราวกับต้องทำหน้าที่ปรับปรุงหุ่นยนต์ คิดค้นโปรแกรมบังคับการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ออกจากจุดหยุดนิ่งให้จงได้

เสียงถอนใจของมาวันทาทำให้ลานดาวรู้สึกตัว ดึงจิตออกมาจากหล่มของภาวะออดๆแอดๆ หล่อนเป็นประเภทกลับลำหน่อยเดียวก็เปลี่ยนจากสภาพหม่นมัวซึมเซามาเป็นคมใสตื่นเต็มได้ปุบปับ จะอยากเปลี่ยนหรือไม่อยากเปลี่ยนเท่านั้น

รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังใช้ความคิด ก็จับคลื่นความคิดที่ดักรู้ได้นั้นไปเพลินๆ ชอบดูตอนมาวันทาครุ่นคิด เหมือนเกิดสนามพลังก่อตัวเข้มข้น และคงรูปสม่ำเสมอ ไม่กระจัดกระจายกระเซ็นซ่านตราบเท่าที่กระบวนการตรึกตรองยังไม่สิ้นสุด ลานดาวสังเกตพบมาระยะหนึ่งแล้วว่าเวลาแต่ละคนครุ่นคิดหรือขบปัญหาบางอย่างอยู่ ข่ายคลื่นที่แผ่ออกมาจากสมองจะผิดแผกแตกต่างกันไปตามบุคลิกและพื้นหลัง

มองย้อนไปในวันวาน เมื่อคบกันใหม่ๆมาวันทามีคลื่นสมองกับคลื่นจิตที่ผลัดกันแสดงตัวเด่น ยามเค้นความคิดคลื่นสมองจะอัดแน่น มองแล้วจะเห็นเหมือนมีกลุ่มพลังเข้มข้นซ้อนอยู่เบื้องหลังหน้าผากเคร่ง แต่ยามเล่นดนตรีหรือสงบใจพักผ่อนคลื่นจิตจะแผ่นิ่ง มองแล้วเหมือนทั้งตัวฉายรัศมีจันทร์ยามเห็นเด่นเต็มดวง

หากพื้นจิตใจเป็นคนโลเล จับจด ฟุ้งง่าย คลื่นลมในหัวจะแปรปรวนง่ายเหมือนขี้เถ้าโดนลมเป่า เอาจิตแตะเข้าไปแล้วเหมือนนั่งในเรือพายลำเล็กกลางท้องมหาสมุทรใหญ่ ไม่รู้ว่าคลื่นลมจะพัดพาไปทางใดบ้าง ล่องลอยไปเรื่อยโดยไม่มีหลักประกันความปลอดภัยใดๆ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมคุยโทรศัพท์กับพวกนักฟุ้งนานๆแล้วจึงพลอยฟุ้งตาม คนจำพวกนี้น่ารำคาญมากกว่าน่าเข้าใกล้ กับทั้งไม่ค่อยประทับอยู่ในความทรงจำของเพื่อนๆเท่าไหร่ เพราะคลื่นจิตไม่มีกำลังพอจะก่อมโนภาพขึ้นในใจใคร ขนาดคุยทางโทรศัพท์แท้ๆ พอนึกถึงใบหน้าของคนประเภทนี้แล้วจะรู้สึกโย้เย้ ซัดไปเซมาพร่าเลือน ขาดความชัดเจนใดๆ

ต่างจากคนที่มีพื้นจิตใจหนักแน่น ซึ่งสามารถรวมศูนย์ จ่ายความคิดเป็นระเบียบชัดเจนตามลำดับจากต้นชนปลาย คิดแล้วจบ คิดแล้วสำเร็จ คิดแล้วเกิดผลงานตามมา คลื่นสมองอันมีแหล่งกำเนิดอยู่ในโพรงกะโหลกจะมีความถี่สูง สัมผัสรู้สึกเหมือนกลุ่มหมอกอัดแน่นเป็นตัวเป็นตน คลื่นดังกล่าวในบางคนแผ่แรงเน้นหนักออกมาทางหน้าผาก ให้ความรู้สึกเคร่งเครียด ในบางคนกระจายตัวสม่ำเสมอรอบศีรษะ ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ และในบางคนเช่นหมอดูอุปการะจะมีสนามพลังความคิดที่สงบเป็นหนึ่งเดียวกันกับคลื่นจิตที่แผ่กว้าง ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งเบาสบาย ทุกครั้งที่คุยกับอุปการะแม้ทางโทรศัพท์ หล่อนจะแช่มชื่นเบิกบานเสมอ หล่อนไม่เคยนึกถึงใครแล้วได้มโนภาพแจ่มชัดเท่าอุปการะเลย

บางคนมีคลื่นจิตแบบเดียวก็ดูเป็นคนเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่บางคนมีคลื่นจิตหลากหลายมิติพิสดารพันลึก ก็มีกิริยาวาจาผิดแผกไปในวาระต่างๆ ทำให้คนใกล้ตัวสับสนว่าเป็นคนแบบไหนแน่ ทั้งหลายทั้งปวงก็มารวมลงที่กรรม กรรมเป็นรากของคลื่นจิตชนิดต่างๆ สนใจฝักใฝ่ทางใด ก็สั่งสมคลื่นจิตทางนั้นไว้ในตัว เหมือนเงาซ้อนๆติดตามวิญญาณไปทุกหนทุกแห่ง

หันมาสังเกตเปรียบเทียบกับตนเอง ขณะนี้จิตหล่อนอยู่ในภาวะเด็กน้อย แม้สติคิดอ่านยังสมบูรณ์ ก็มีลักษณะอ่อนแอเพราะขาดความเชื่อมั่น ขาดความรับผิดชอบ รวมทั้งขาดศรัทธาพึ่งพากรรมของตนเอง เหตุเพราะตระหนักชัดว่าตนกำลังมีลมหายใจอยู่ในเกมอะไรเกมหนึ่งที่น่าพรั่นพรึงเหลือประมาณ ไม่มีใครบอกกฎ แต่ห้ามเล่นพลาด ถ้าพลาดเมื่อไหร่จะถูกทำโทษในแบบที่ไม่อาจคาดเดา!

ได้อะไรมาอย่างหนึ่ง จะต้องเสียอะไรไปอย่างหนึ่ง…

การรู้กฎแห่งกรรมเพียงครึ่งๆกลางๆทำให้สับสนยิ่งนัก ขืนค้างคาหาความลงตัวไม่เจอไปเรื่อยเช่นนี้ มีหวังทุกสิ่งในชีวิตคงล้มครืนอย่างต่อเนื่อง

“คิดไม่ออก”

ได้ยินเสียงมาวันทาบอกเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็แว่วเสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่เผอิญดังขึ้นทางฝั่งพี่สาว

“แค่นี้ก่อนนะ สงสัยพยาบาลตามตัว ไว้คิดออกจะโทร.มาบอกอีกที”

“ค่ะพี่เอิน ขอบคุณมาก”

มาวันทาไม่ฟังคำล่ำลาของน้องให้จบก็วางสายเพื่อรีบไปรับโทรศัพท์อีกเครื่อง ลานดาวยิ้มเหงาๆ วางกระบอกไร้สายลงกับที่นอน ลุกขึ้นเดินด้วยความว้าเหว่ ใจหนึ่งสั่งให้โทร.กลับไปหาอมฤต อีกใจหนึ่งก็ห้ามตัวเองไว้ เพราะรู้สึกถึงภาวะเดียวดาย ภาวะต้องพึ่งพา ภาวะที่จิตยื่นออกไปเกาะเกี่ยวคนอื่นไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วสังเวชในความอ่อนแอของตน คล้ายมาถึงจุดตกต่ำถึงขีดสุด นอกจากมาวันทาแล้วก็ไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าหล่อนกำลังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เลย

ยามจิตใจหดหู่ซึมเซา คลื่นความคิดที่โถมเข้ามามีแต่แย่ๆทั้งนั้น แวบหนึ่งอยากเอามีดมากรีดข้อมือเล่น อีกแวบหนึ่งนึกอยากกลับไปมีสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิงกับมาวันทาอีกครั้ง ตอนนี้มาวันทาเป็นอิสระแล้ว ออดอ้อนเสียหน่อยคงยอมอยู่กับหล่อนง่ายขึ้น

ยามจิตใจหดหู่ซึมเซา ความคิดชั่วร้ายต่างๆนานาช่างมีพลังดึงดูดมหาศาล เหมือนหล่อนพร้อมจะเชื่อทุกความรู้สึกของตนเอง คล้ายปีศาจทรงอำนาจอีกตนหนึ่งกำลังพยายามเข้าครอบงำและบงการให้หันหน้ากระโดดลงนรก ดลใจให้เห็นนรกน่าพิสมัยกว่าโลกมนุษย์

ยามจิตใจหดหู่ซึมเซา คล้ายทุกหนทางคับแคบและมืดมนลงถนัด บีบให้อึดอัดคับแน่นเคร่งเครียด ลานดาวบอกตัวเองว่าอยากกรีดร้องให้ดังที่สุด และวินาทีนั้นก็เริ่มรู้สึกกลัวภาวะที่กำลังเป็นอยู่ เพราะหากไม่ทำอะไรสักอย่าง ก็เหมือนปล่อยให้ทุกสิ่งคืบคลานเข้าใกล้จุดวิกฤตจนอาจเกิดโศกนาฏกรรมทางวิญญาณขึ้นในเร็วๆนี้

มันเกิดขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับความรู้สึกยามหนีทุกคนไปหัวหินด้วยความคิดสั้น ความพรั่งพร้อมในชีวิตทั้งหลายหายหนไปหมด เหลือแต่ความเกลียดตัวเอง เกลียดการดำรงอยู่ เกลียดทางตันรอบทิศ

เดินกลับไปกลับมาด้วยความพยายามรู้เท้ากระทบ บางครั้งก็ลงนั่งหลับตาระลึกถึงลมหายใจเข้าออก แต่ก็ไม่ช่วยให้ทะเลความคิดที่ปั่นป่วนสงบลงเลย คล้ายการทำงานของสติและปัญญากลายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ หล่อนอยากขับไล่ความรู้สึกนึกคิดที่เลวร้ายทิ้ง แต่ช่างเหมือนความรู้สึกนึกคิดเป็นศัตรูของตัวเอง ที่ไม่ยอมถอยทัพไปง่ายๆ สู้ทางไหนก็โดนตีกลับกระเจิงตลอด

กระทั่งถึงจุดหนึ่งที่ลานดาวยอมแพ้ ทอดอาลัยตายอยาก มายืนกอดอกแหงนหน้าดูดาวนอกหน้าต่าง ยอมรับว่าตนไม่มีกำลังพอจะขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านสำเร็จ จึงปล่อยเลยตามเลย สายตาทอดมองดาว ส่วนใจย้อนมองพายุความคิดในตนเอง ไม่มีแก่ใจหลบหนี แล้วก็ไม่อยากหวังอยากคว้าใครหรืออะไรไว้เป็นสมบัติอีกต่อไป

นาทีนั้นลานดาวกลับเกิดประสบการณ์แปลกประหลาด พายุความคิดฟุ้งซ่านที่พล่านระส่ำอยู่ในหัวกลายเป็นสิ่งถูกมอง ถูกรู้ ถูกยอมรับ แล้วไม่มีแรงส่งต่อ จึงแสดงความไม่เที่ยงให้เห็น คือดับเงียบหายหนไปเฉยๆ เหลือแต่อาการทอดมองดวงดาวบนฟ้าราตรีด้วยจิตใจสงบเงียบ

หญิงสาวเลิกคิ้วนิดหนึ่งอย่างฉงนอยู่กับตนเอง เริ่มเห็นสัจจะทางใจประการหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าความอยากเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ อยากได้คนรักก็เป็นทุกข์ อยากหนีความฟุ้งซ่านก็เป็นทุกข์ พอหยุดอยากเพราะเหนื่อยเกิน ผันตัวเองมาเป็นผู้ดูความรักความฟุ้งซ่านแสดงสภาพตามจริง ก็คล้ายเห็นอะไรอย่างหนึ่งปรากฏแล้วผ่านหายไปเอง

เพิ่งเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าอมฤตสอนอะไรให้กับมาวันทาในคืนทำพิธีสะกดจิต

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ลานดาวเดินไปคว้ากระบอกโทรศัพท์ขึ้นจากเตียง กดปุ่มรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปทันที

“สวัสดีค่ะ”

“พี่เอินนะ… คิดออกแล้วว่าจะให้เธอทำอะไร”

“เหรอคะ”

ลานดาวยิ้มเนือย ใจกลับหดหู่ลงอีกเมื่อคิดว่าจะงานอะไรหล่อนก็คงทำได้เดี๋ยวเดียวตามเคย

“นี่… เธอจะทดลองตามที่พี่คิดได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่จะบอกไว้เป็นแนว”

มาวันทาเผอิญพูดตรงกับใจเสียอีก แต่ลานดาวก็รับเป็นพิธี

“ทดลองสิคะ จ๊ะไม่ให้พี่เอินเสียเวลาคิดเหนื่อยเปล่าหรอก รับรอง”

“บางทีเธออาจกำลังทำสิ่งที่ตัวเองถนัด ทำได้ดี และทำให้ใครต่อใครรับประโยชน์อยู่แล้วนะ เพียงแต่ยังไม่ตั้งมุมมองว่าจะยึดเป็นอาชีพเท่านั้น”

ลานดาวก้มหน้าใช้นิ้วชี้เขี่ยๆหัวคิ้วแก้คันพลางยิ้มกว้างขึ้น

“เข้าใจพูดให้อยากรู้นะคะ… อาชีพอะไรล่ะ?”

“นักเขียน!”

หญิงสาวหุบยิ้มทันที เปลี่ยนเป็นร้องดังๆ

“หวาย!”

“อย่าเพิ่งวี๊ดว้าย นี่พูดจริงๆ ถึงเธอจะไม่ใช่นักอ่านตัวยง แต่ก็ผ่านประสบการณ์สารพัดชนิดมามาก แล้วก็มีสำนวนเข้าขั้นทำให้อ่านแล้วติดใจได้ และความจริงเราก็มีงานที่พร้อมจะเป็นหนังสือเล่มแรกอยู่ในมือ ชนิดออกวางตลาดแล้วคนอ่านน่าจะตอบรับพอสมควร เป็นการดีที่จะเรียกความมั่นใจให้เกิดขึ้นตั้งแต่ก้าวแรก”

“เกี่ยวกับอะไรคะ? ตำราทำอาหารหรือตำราเล่นเปียโน?”

“ไม่ใช่! เธอจะเป็นเจ้าของหนังสือคู่มือนักฆ่าตัวตายต่างหาก”

ลานดาวลืมตาโต

“พูดเล่นอ้ะ?”

“ไม่เล่น! พูดจริงๆ เธอเป็นคนคิดเองนะชื่อเว็บของเรา คู่มือนักฆ่าตัวตาย! ทุกวันนี้วัยรุ่นหลายคนเข้าเว็บก็เพราะอยากคุยกับเธอ และเหตุจูงใจจะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่ลีลาเขียนที่เร้าใจพอ”

ว่าที่นักเขียนสาวหัวเราะกร่อยๆ

“ยังไม่มีใครมาบอกซักคนเลยพี่เอิน ว่าล้มเลิกความตั้งใจฆ่าตัวตายเพราะจ๊ะ จ๊ะว่าจ๊ะทำไม่ได้หรอกค่ะ ข้อมูลทั้งหลายแหล่ก็มาจากการค้นคว้าของพี่เอิน ประกอบกับการถามไถ่อาจารย์ของพี่เอินทั้งนั้น จ๊ะเข้ามาแจมมั่วไปเรื่อย เขียนๆอะไรไปอย่างนั้นเอง”

“ฟังพี่ก่อน พี่มีแผนการตลาดอยู่นะ รับรองว่าถ้าทำตามนี้ต้องติดอันดับขายดีแน่นอน”

ลานดาวย่นคิ้วนิดๆ ใจหนึ่งคึกตาม อีกใจนึกค้านแบบปิดประตูศรัทธา หนังสือแนวนี้ยากนักจะมีใครซื้อหาไปอ่าน โดยเฉพาะถ้าเป็นพวกอยากฆ่าตัวตายจริงๆ ต่อให้เอาข้อมูลใส่พานประเคนก็ไม่อยากรับ แต่เพื่อไม่ให้มาวันทาเสียน้ำใจ ก็จำต้องถามไถ่ตามเพลง

“บอกสิคะ แผนการตลาดยังไง”

“ก่อนอื่นเธอนึกภาพตามนะ รับฟังอย่างเดียว ห้ามค้าน ห้ามสอดแทรก ห้ามอุทานใดๆ”

เมื่อมาวันทาทำเสียงเหมือนสั่งแบบเผด็จการ ลานดาวก็เบะยิ้มแลบลิ้นหลอกใส่กระบอกโทรศัพท์เสร็จแล้วเปลี่ยนเป็นอมยิ้ม รับปากเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ค่ะพี่เอิน”

“เริ่มจากที่เว็บไซต์ของเราก่อน เราจะทำภาพรายละเอียดดีๆในชีวิตประจำวันของเธอเอาไปลงหน้าแรก ลงสัก ๒๐ รูปให้ฉ่ำใจหนุ่มๆสาวๆที่เรียกร้องอยากเห็นหน้าเธอกันมานาน”

“โอ๊ย!”

ลานดาวร้องเหมือนโดนเศษแก้วบาดเข้าที่กลางฝ่าเท้า สมาธิแตกกระจาย มาวันทาถึงกับต้องแยกโทรศัพท์ห่างหูชั่วคราว

“บอกแล้วว่าห้ามอุทาน จะฟังต่อให้จบก่อนไหม?”

“ไม่เอาอ้ะ เกิดมาไม่เคยประพฤติตนเป็นบุคคลไร้ยางอายเยี่ยงนั้น”

ยืนกรานแบบตัดสินใจหัวเด็ดตีนขาด อย่างไรก็ไม่เอาด้วยแน่นอน

“ฟังก่อนซี่ แหม…”

มาวันทาครางอย่างเริ่มอ่อนใจ ลานดาวเห็นพี่สาวเริ่มเสียน้ำใจก็สงสาร ให้โอกาสพูด

“ค่ะ… ฟังก็ได้”

“การลงรูปเนี่ย ถ้าลงเฉยๆไม่น่าสนใจหรอก แค่รูปสองรูป เดี๋ยวนี้หาดูนางแบบสวยๆระดับเธอจากไหนก็ได้ แต่ที่จะดึงดูดให้อยากรู้ คือเราถ่ายรูปเธอแบบที่เป็นตัวของตัวเองในระหว่างวัน ซึ่งบนเน็ตก็ฮิตกันพอสมควร เธอคงเคยเจอมาบ้าง เอ้อ… อาจเริ่มต้นรูปแรกด้วยท่านั่งบนเตียงในห้องนอน จากนั้นเข้าครัวปรุงอาหารสูตรเด็ด โชว์ตั้งแต่เริ่มทำจนเป็นจานแล้ว จากห้องครัวมานั่งทานจานโปรดฝีมือตัวเอง เสร็จแล้วย้ายมานั่งเล่นเปียโนเป็นการย่อยอาหาร จากนั้นอาจจัดฉากอวดช่อดอกไม้วันวาเลนไทน์เต็มห้อง แล้วแต่งชุดกีฬาทะมัดทะแมงไปนั่งชูคอในเบาะรถสปอร์ตบีเอ็มดับบลิวป้ายแดงคันใหม่ของเธอ เอาแบบเปิดประทุนหันมาหลิ่วตาให้กล้อง เห็นฉากหลังเป็นคฤหาสน์หรูของพ่อเธอด้วย”

“อื้อฮือ!” ลานดาวลากเสียงครางยาวอย่างสุดสนเท่ห์ “พี่เอินคิดได้ไง วิธีทำให้ชาวบ้านเกลียดขี้หน้าภายในเวลาอันสั้น ขนาดจ๊ะฟังยังหมั่นไส้ตัวเองเลยเนี่ย”

“ทำไมล่ะ? มันเป็นชีวิตจริงๆของเธอนี่”

“พี่เอินเคยสอนจ๊ะให้รู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตน แต่มาวันนี้ยุให้ทำอะไรแผลงๆเหมือนอวดปมเขื่องให้ชาวบ้านเขารังเกียจ ไหงทำเงี้ย?”

มาวันทาหัวเราะอ่อนเอื่อย

“น่า… ไว้ใจพี่ซี พี่ยังไม่ขยายไอเดียจนจบเลย”

ลานดาวถอนใจเฮือก พิศวงพี่สาวจนหัวเราะ

“เอาเลยค่ะ ยังมีทีเด็ดต่ออี๊ก! ว่ามาเลย”

“แต่ละรูปเธอต้องเขียนบรรยายอะไรสั้นๆ น่ารักๆ ทำให้คนเขารู้สึกว่าเธอมีความสุขกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ เธอมีคนรักมากมาย เป็นมิตรกับทุกคน เล่าเรื่องดีๆให้หมด เพื่อมาลงเอยที่รูปสุดท้าย ถามคนอ่านว่า เชื่อไหม… จ๊ะเคยอยากตายมาก่อน?”

ประโยคสุดท้ายสะกดให้ลานดาวสะดุดกึก หน่วยตาเบิกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มขบขันเลือนลง เพราะประโยคเด็ดนั้นมีพลังปะทะแม้กับหล่อนเองในยามนี้ ที่เพิ่งผ่านภาวะหดหู่แทบอยากดับชีพตนเองไปสดๆร้อนๆ

มาวันทาทราบว่าน้องสาวเริ่มสนใจก็พูดต่ออย่างมีสมาธิมากขึ้น

“หนึ่งในสามเพลงที่เธอแต่งให้กับเว็บฆ่าตัวตายของเรา พี่ว่าฟังเพราะและติดหูง่าย เราควรจะส่งไปให้ดีเจรายการวิทยุสักแห่ง เชื่อเถอะว่าคนฟังจะต้องร้องขอให้เปิดอีกกันเซ็งแซ่ ถ้าวานเขาช่วยโฆษณาว่าอยากฟังอีกให้มาฟังที่ไซต์ของเรา เท่านี้เธอจะมีแฟนเพิ่มอีกเยอะ พอเช็กเรตติ้งว่าถึงจุดยอดนิยมระดับหนึ่งแล้วก็ออกหนังสือพร้อมซีดีเพลงแถม”

ลานดาวกะพริบตาปริบๆ ให้ตายเถอะ! แพทย์หญิงมาวันทาเป็นนักการตลาดกับเขาได้จริงๆ

“ท่าทางไม่เลวนะคะ แต่จ๊ะอายเพื่อนอ้ะ ฮือ… ถ้าพวกมันมาดูกัน จ๊ะจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“ทำแต่เรื่องดีๆ ขายแต่รูปสวยๆ มันน่าอายตรงไหนหือ? ทีตอนคิดเป็นนักร้องไม่ยิ่งต้องโชว์ตัวกว่านี้พันเท่าหรือ? แล้วอายแค่นี้กับให้พวกเขารู้ว่าเธอไร้น้ำยา กำลังตกงาน ทอดหุ่ยอยู่กับบ้านเฉยๆ อันไหนน่าขายหน้ากว่ากัน?”

“เอ๊อ! นอกจากไอเดียโฆษณาดีแล้วยังหว่านล้อมตะล่อมหลอกเก่งอีกด้วย พี่หมอคนสวยของเรา”

“เอ๊ะ! พูดยังไงนี่ ตะล่อมหลอก? พี่อุตส่าห์คิดให้เธอ เป็นผลประโยชน์ของเธอล้วนๆนะ”

พอเห็นพี่สาวเริ่มเคือง ลานดาวก็โอ๋

“โถๆๆ อย่าใจน้อยสิคะ จ๊ะชักเริ่มเห็นดี คล้อยตามพี่เอินแล้วต่างหาก นี่ถ้าเกิดดังขึ้นมาก็ต้องขอมอบความดีทั้งหมดให้กับพี่เอินคนเดียวเลย”

พอน้องสาวแสดงท่าว่าจะรับปฏิบัติตาม มาวันทาก็ทำเสียงรื่นขึ้น เพราะเห็นประโยชน์ใหญ่ในวงกว้างที่จะตามมา

“เธอจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นภาพความจริงที่ทำให้อีกหลายต่อหลายคนสะดุดคิด ชีวิตเธอที่เขาเห็นว่ามีทุกสิ่งพรั่งพร้อมอย่างน่าอิจฉา อาจเป็นเพียงภาพลวงตาที่ซ่อนทุกข์มหันต์ไว้เช่นเดียวกับมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย หลายๆคนอาจเลิกฝันที่จะมีความสุขสำเร็จรูป เลิกอยากมีพ่อแม่อย่างนั้น เลิกอยากมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ แต่จะแสวงหาความสุขอันเกิดจากกรรมที่ประกอบไว้ดีแล้วในปัจจุบัน… ถ้าเธอเขียนตรงนี้ดีๆ สอดแทรกประสบการณ์เอาชนะทุกข์ของตัวเองไว้บ้างเป็นแนวนำ พี่เชื่อว่าหลายคนที่กำลังคิดฆ่าตัวตายน่าจะรอดได้นะ”

“อ๋าย… ต้องเล่าเรื่องส่วนตัวด้วย?”

“เอาแค่คร่าวๆไง ไม่ต้องเล่าละเอียดหรอก เพราะนั่นไม่ใช่จุดขายของหนังสือ อย่างพูดเรื่องผิดหวังจากความรัก ก็เจาะเฉพาะอารมณ์อันเนือยนายของตัวเองแบบคนอกหักทั่วไป ไม่ต้องจาระไนประวัติตัวเอง”

“เอ… พี่เอิน… จ๊ะเคยอกหักด้วยเหรอะ เสน่ห์จ๊ะหย่อนกำลังลงตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ? จำไม่ได้เลย”

มาวันทาปรายตามาทางด้านที่มือตนถือโทรศัพท์ คล้ายใช้หางตาเหล่มองตัวจริงของลานดาว

“เอาเป็นว่าเคยประสบกับความไม่สมหวังในชีวิตก็แล้วกัน… เถอะน่า… เป็นเพื่อนกับคนอ่านหน่อย เธอไม่เคยทุกข์ ไม่เคยผิดหวัง ไม่เคยต้องเสียใจกับอะไรๆในโลกแล้วจะอยากตายได้ยังไง เอาแรงดลใจที่ไหนมาเขียนคู่มือนักฆ่าตัวตาย?”

ลานดาวคิดๆแล้วยอมหยวน การอยากตายไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทุกคนเคยผ่านความรู้สึกอยากหนีหายไปพ้นๆจากโลกกันทั้งนั้น เขียนดีๆก็คงไม่เสียฟอร์มนัก

“เดี๋ยววานพี่แตรมาเป็นตากล้องดีกว่า พี่เอินคอยเป็นผู้กำกับนะคะ ไอเดียดีนักนี่!”




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น