วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2562

ช่วยแนะนำการอโหสิกรรมอย่างแท้จริง ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ


ช่วยแนะนำการอโหสิกรรมอย่างแท้จริง ได้อย่างบริสุทธิ์ใจ เพราะในบางครั้งในใจจะมีการชะงัก ที่จะละความอภัยไม่คิดติดใจลงได้จริงๆ

ดังตฤณ : คือพูดง่ายๆ อยากจะอภัยให้ได้แบบบริสุทธิ์ใจนะครับ
วิธีลัดๆ ไม่มีนะ จำไว้ว่า ความแค้นสร้างขึ้นด้วยเวลาที่ยาวนาน การอภัย ก็ต้องละวางด้วยการใช้เวลาที่ยาวพอๆ กัน หรือมากกว่านั้น

อย่าใจร้อน อย่าคิดว่า อภัยทีเดียว แล้วถ้าทำไม่ได้แปลว่าไม่เก่ง ไม่ใช่นะ การอภัย ต้องทำซ้ำๆ ต้องใส่ความตั้งใจเข้าไปแบบเดิมๆ นั่นแหละ เหมือนกับเราทำกรรมฐาน ดูลมหายใจก็ดูลมหายใจอันเดิมนั่นแหละ เดี๋ยวก็เข้าเดี๋ยวก็ออก เดี๋ยวบางทีก็ยาว เดี๋ยวบางทีก็สั้น รู้ซ้ำๆ ไป แต่ที่ไม่ซ้ำก็คือคุณภาพของจิต จะค่อยๆ นิ่ง จะค่อยๆ เห็นลมหายใจชัดขึ้นๆ แล้วยิ่งตั้งได้นานขึ้นเท่าไหร่ยิ่งเห็นคมชัดขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเกิดปัญญา รู้ว่า ลมหายใจไม่เที่ยงจริงๆ
เช่นกัน การอภัยนี่ ถ้าหากเราพิจารณาว่า ความแค้นก็เป็นการปรุงแต่งจิตชนิดหนึ่ง การอภัยก็เป็นการปรุงแต่งจิตอีกชนิดหนึ่งนะ สวนกันมาสวนกันไป ผลัดกันเข้าผลัดกันออก เหมือนกับจิตของเราเป็นสนามรบ ให้ตัวแค้น กับตัวอภัย ได้มาชิงชัยกัน หลายๆ เกม

คือไม่ใช่เล่นเกมเดียวแล้วจบ ไม่ใช่ว่าเราจะเก่งกาจมาจากไหน เป็นแชมเปี้ยนมาจากไหน ชกปุ้งเดียวเอาลงเลย ไม่ใช่นะ การอภัย ที่จะทำให้เกิดความบริสุทธิ์ขึ้นมาของจิต ต้องอภัยบ่อยๆ ทุกครั้งที่รู้ตัวว่า ความแค้นกลับมา เราต้องเอาอภัยเข้ามาสู้ แล้วไม่ต้องไปเป็นทุกข์ว่า มันอภัยไม่หมดเสียที ไม่หมดจดเสียที ยังมีความแค้นอยู่ รู้ตัวอยู่ว่า ยังพยาบาท ยังคิดไม่ดี ยังโน่น นี่ นั่น ไม่ต้องไปตกใจ ไม่ต้องไปว่าตัวเอง ไม่ต้องไปด่าตัวเองว่าไม่เก่ง ขอให้คิดว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของจิต เป็นเรื่องธรรมชาติของอนัตตา ที่เขาต้องการการชะล้างหลายๆ ครั้ง

ซักผ้าเรายังต้องบิด ยังต้องขยี้หลายๆ ครั้ง จะต้องล้างหลายๆ น้ำ ใจก็ยิ่งกว่านั้น จะให้สะอาด จะให้บริสุทธิ์ จะให้ตัดจากพยาบาทได้เด็ดขาด ก็ต้องมีการซักฟอกกันหลายหนเหมือนกันนะครับ!

_______________

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เจริญวิปัสสนาอุทิศให้สัตว์เลี้ยงได้ไหม?
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀
19 มกราคม พ.ศ. 2562

** IG **

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2562

อยากนอนหลับสนิท ต้องทำอย่างไร


ดังตฤณ : ถ้าเอาแบบตามสูตรของพระพุทธเจ้า ท่านให้แผ่เมตตาบ่อยๆ ณ ขณะก่อนจะหลับ
คนที่แผ่เมตตาก่อนนอน ใจจะเบา ใจจะแผ่ออก คือ คำว่าแผ่เมตตา ต้นทุนต้องมีความสุข ความสุขมาจากไหน ความสุขมาจากการที่ใจคิดไม่อยากเบียดเบียนคนอื่น ไม่อยากเบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง แต่ตรงข้าม อยากจะให้ตัวเองมีความสุขอย่างไร ก็เผื่อแผ่ความสุขแบบนั้นไปให้คนอื่น มีความสุขจากการไม่เบียดเบียน มีความสุขจากการรินน้ำใจให้คนอื่นอย่างไร ก็อยากให้คนอื่นได้รับความสุข ได้รับความเบาของจิต กระแสใจของเรา

เราทำตัวเป็นเขตปลอดภัยด้วยการรักษาศีล ทำตัวเป็นทานน้ำใจ รินไปให้ท่วมโลก ให้โลกนี้เต็มไปด้วยความชุ่มฉ่ำ ความรู้สึกอยากแบบนั้น ความรู้สึกปรารถนาแบบนั้นนั่นแหละ เรียกว่า
#แผ่เมตตา

แผ่เมตตา แผ่กรุณา เมตตาคืออยากให้คนอื่นมีความสุข มีความปลอดภัย แผ่กรุณาหมายความว่า อยากลงมือช่วย อย่างถ้ากระแสใจของเราอิ่ม เต็ม ท่วมท้นด้วยความสุขแล้ว ก็อยากให้กระแสที่แจ่มชัดนี่แผ่ออกไปจริงๆ แล้วก็ทำให้โลกรอบๆ ตัวเต็มไปด้วยคลื่นความสุข ซึ่งจะไม่ใช่แค่คิดๆ นะ จะรู้สึกจริงๆ เลย รู้สึกสัมผัสได้จริงๆจังๆ

ถ้าหากเคยมีประสบการณ์อยู่กับคนที่เขาได้ถึงอัปปมัญญาสมาบัติ หรือว่าแผ่กระแสเมตตา กระแสสุขไปได้กว้างๆ จะรู้สึกเลยนะว่า อากาศรอบตัวต่างไป สว่าง เย็น มีความสบาย มีความรู้สึกที่แสนดี อย่างที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสบอกว่า พระอรหันต์อยู่ที่ไหน ที่นั่นก็เป็นสวรรค์

เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะว่ากระแสใจของท่านมีแต่ความรู้สึกเป็นสุข โล่ง ไม่มีความทุกข์อยู่เลย แล้วก็มีแต่ความปรารถนาที่จะให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้มีความสุขแบบเดียวกับท่านบ้าง อันนั้นเป็นเมตตาของแท้ เมตตาที่บริสุทธิ์มากๆ แล้วก็ไม่มีตัวตนเจือปนอยู่เลยนะครับ

นี่แหละที่เป็นที่มาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าแผ่เมตตาเป็นประจำจนกระทั่งใจมีความสุข แล้วก็ปรารถนาการไม่เบียดเบียน อย่างก่อนนอน คน มนุษย์เมืองนี่ คิดอยู่ไม่กี่เรื่อง คิดถึงคนที่อยากได้ กับคิดถึงคนที่อยากให้มีอันเป็นไป สองอย่างนี่แหละ แล้วถ้ามีหลายๆ คืนที่คนที่เราอยากให้มีอันเป็นไป มาอยู่ในใจเราบ่อยๆ ก็หลับไปพร้อมกับนรกทางใจ มีแต่ความอยากให้คนอื่นเป็นทุกข์ ความอยากให้คนอื่นเป็นทุกข์นั่นแหละ คือทุกข์ในอกของเราอย่างแท้จริง เป็นทุกข์ที่ใกล้ตัวที่สุด เป็นอาวุธที่เราใช้ทิ่มแทงตัวเองได้หนักหน่วงกว่าศัตรูมาทำร้ายเราเสียอีกนะ

แต่ถ้าหากว่าใจของเราเต็มไปด้วยความไม่เอาบาป เต็มไปด้วยความไม่เอาความอาฆาตพยาบาท อย่างนี้คนที่มีความสุขเป็นคนแรกก็คือ ตัวเราเอง ใจของเราที่ปลอดโปร่ง ใจของเราที่ยิ้มอยู่ข้างใน ใจของเราที่รู้สึกสบายอยู่ข้างใน ใจของเราที่มีความรู้สึกอยากจะให้คนอื่นมีความรู้สึกไปเท่ากับเรา มีความสุขไปพร้อมๆกับเรา ใจแบบนั้นแหละ ถ้าก่อนนอนเกิดใจแบบนั้นขึ้นได้ ก็หลับอย่างมีความสุข ก็หลับแบบที่คุณคาดหวังนั่นแหละ คือหลับสนิท

หลายคนมีความสามารถแผ่เมตตาก่อนนอน แล้วใจไม่มีอะไร มีแต่ความว่างจากอกุศล มีแต่ความว่างจากการพยาบาท มีแต่ยิ้มน่ะ ยิ้มอย่างเป็นสุขอยู่ พอหลับไปจิตก็รวม เหมือนเป็นสมาธิอ่อนๆ หรือเป็นสมาธิขั้นดีๆ เลยที่แผ่ออกไป สรุปเหมือนคล้ายๆอุปจาระสมาธิแบบนั้น แต่เป็นความสุขอย่างใหญ่ เป็นปีติอย่างใหญ่ในแบบที่ไม่ได้ตื่นอยู่ แต่ว่ามีความรู้ตัว  ตัวนี้ที่จะหลับสนิทของจริง คือเราจะรู้ตัวเองเลยนะ ตาไม่กลอก ตราบเท่าที่มันอยู่ในห้วงความสุขอย่างใหญ่แบบนั้น จะไม่ฝัน จะหลับสนิท

หลับสนิทมีหลายแบบ หลับสนิทแบบบไม่รู้เรื่องรู้ราว แบบนั้นคือเข้าภวังค์เต็มๆ แต่หลับสนิทในแบบที่จิตมีความสุข มีความเบา มีความสบาย ไม่มีภาพนิมิตอะไรรบกวนจิตใจ มีแต่ความรู้สึกอยากยิ้มอยู่ตลอดเวลา นานเท่าขณะที่เราหลับอยู่ ตัวนี้แหละที่เป็นหลับสนิทแบบพุทธนะครับ
!

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ผิดศีลในฝันบาปไหม?
5 มกราคม 2562


วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2562

ชอบดื่มเหล้าแต่นานๆ ที มีผลกับการปฏิบัติเพียงใด?


ถาม : ยังชอบดื่มเหล้าอยู่ครับ นานๆดื่มที แต่ไม่เมามาย จะส่งผลกับการปฏิบัติมากน้อยเพียงใด?

ดังตฤณ : เวลามีคำถามทำนองนี้ ผมชอบตอบนะ สำหรับคนที่เจริญสติ อยากจะทราบว่าผิดศีลไป ด่างพร้อยไปบ้างนี่ หนักหนาสาหัสขนาดขวางทางนิพพานเลยหรือเปล่า ผมให้จุดสังเกตง่ายๆ แต่เรื่องนี้คุณต้องทำได้พอสมควรนะ

อย่างสวดมนต์ อย่างน้อยคุณต้องสวดแบบมีความสุขเป็น  สวดแบบไม่หวังอะไร ไม่อยากขอพร สวดแบบอยากจะถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชาอย่างเดียว สวดไปอยากให้พระพุทธรูปมีความสุข อยากสรรเสริญท่านอย่างเดียว จนกระทั่ง การสวดของคุณทำให้รู้สึกจิตมีความสุขแผ่ออกไป มีความขาวรอบ มีความรู้สึกเป็นสมาธิจากการสวดมนต์ได้ จิตเป็นมหากุศลจากการสวดมนต์ได้

ถ้าคุณมีจิตแบบนี้เป็นตัวตั้ง คุณเอามาวัดเลย ถ้ากินเหล้า อย่างของคุณบอกว่านานๆ ที นานทีของคุณไม่รู้ว่า นานกี่ชั่วโมง หรือว่านานกี่วันกี่สัปดาห์ คุณบอกว่านานๆ ทีเฉยๆ

นานๆ ทีของคุณ กลับมาสวดมนต์แล้วรู้สึกว่าจิตมันสว่าง กว้าง จิตมีความศักดิ์สิทธิ์จากการรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาหรือเปล่า ได้เท่าเดิมไหม หรือว่าด้อยไปกว่าเดิมแค่ไหน ถ้าทำไม่ได้เลย จิตใจมืดดำ อันนี้แสดงว่าการกินเหล้าแบบของคุณหนักเกินไป แต่ถ้าหากว่าการกินเหล้าของคุณยังไม่ได้รบกวนสติ และสมาธิ คุณมาจบมือพนม แล้วสวด อิติปิโส ภควา อะระหังสัมมาสัมพุทโธ ... จิตมีความสว่างขึ้นมา ค่อยๆ สว่างขึ้นมา ตอนแรกอาจไม่เท่าเดิม แต่ค่อยๆ สว่างขึ้นมาเรื่อยๆ รอบสอง รอบสาม รอบสี่ สว่างขึ้นมาจนเต็มเท่าเดิมได้ แสดงว่าการกินเหล้าของคุณที่บอกว่า นานๆ ที มันไม่ขวางทางการเจริญสติ การเจริญสมาธิ

ถ้าคุณยังสามารถที่จะกลับมาพิจารณา นี่หายใจเข้า หายใจออก จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิ รู้สึกว่ามีแต่ลมเข้ามีแต่ลมออก แสดงความไม่เที่ยงอยู่ แสดงว่าการกินเหล้าของคุณไม่ขวางทางเจริญสติ

ส่วนจะขวางทางเข้าถึงพระนิพพานหรือเปล่า บรรลุธรรมหรือเปล่า อันนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง ขึ้นอยู่กับพละกำลังทางธรรม ของคุณ อย่างในสมัยพุทธกาล มีคนที่เป็นเศรษฐี เป็นเพลย์บอย (playboy) แต่ว่าชอบธรรมะ กลิ่นเหล้ายังคาปากอยู่เลย แต่ตอนนั้นขาดใจตาย พระพุทธเจ้ารับรองว่า นั่นเป็นโสดา (โสดาบัน) คือไปได้โสดาก่อนตาย เพราะพระโสดาบัน นี่ไม่ดื่มเหล้าแล้วนะ แต่คือชอบธรรมะมาตลอดชีวิต ชอบเรื่องการเจริญสติ ชอบทำบุญกับพระอรหันต์ ทำบุญกับพระพุทธเจ้า แต่อดเหล้าไม่ได้ ก็กินเหล้าไปด้วย แล้วก็เจริญในธรรมไปด้วย แต่ระหว่างที่มีชีวิต ธรรมก็ไม่ค่อยเจริญเท่าไหร่ เพราะกินเหล้าไปเรื่อยๆ นี่แหละ ทีนี้ตอนตาย ตอนนั้นจิตไม่เอาเหล้าแล้ว ทั้งๆที่ กลิ่นเหล้ายังคาปาก แต่ว่าจิตไม่เอาเหล้าแล้ว เหมือนกับปวารณาตัว ตั้งจิตยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ปฏิญาณตน ยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ซึ่งตรงนั้นก็แน่นอน พอจะยึดที่พึ่งเป็นความสว่าง เป็นพระรัตนตรัย ก็ต้องนึกถึง ระลึกถึงคำสอนครูบาอาจารย์ เกี่ยวกับเรื่องการเจริญสติ กายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ฉะนั้นจิตก่อนตายของท่าน ก็มีดีพอ มีกำลังมากพอที่จะรวมลงเป็นฌานได้ ก็เลยบรรลุโสดาปัตติผล

ก็จะบอกว่าศีลห้า รักษาให้บริสุทธิ์ ดีที่สุด เพราะเราจะสามารถตรวจสอบได้เลยว่า สมาธิที่เคยได้ ก็จะผ่องแผ้วสติที่รู้ความไม่เที่ยงก็จะยอมรับความจริง แล้วก็เห็นความไม่เที่ยงอย่างชัดเจน เวลาเกิดความรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวตนขึ้นมา เป็นความรู้สึกตื่นพร้อมทั่วตัว ไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งในองคาพยพ ที่ถูกสำคัญผิดว่าเป็นตัวเป็นตน ทุกส่วนทุกตารางนิ้วคืออนัตตาหมด อนัตตาทั้งภายใน อนัตตาทั้งภายนอก ลักษณะของจิตที่แผ่ออกไปรับรู้ความจริง จะบอกตัวเองว่า คุ้มสุดคุ้มที่เราสามารถรักษาศีลห้าได้บริสุทธิ์ มันเป็นฐานให้จิตมีความรู้ที่ผ่องแผ้ว ที่บริสุทธิ์

คือเจริญสติไปด้วย แล้วทำผิดศีลด้วย สำหรับคนส่วนใหญ่ จะรู้สึกถึงความมัวหมอง วันก่อนไปวัดเจริญสติมา เดินจงกรม นั่งสมาธิ แล้วเกิดความรู้สึกผ่องแผ้ว โลกทั้งโลกเต็มไปด้วย เหมือนห้องแห่งความสว่าง พอมาทำผิดศีลข้อเดียว ครั้งเดียว ในอีกวันต่อมาเกิดใจไม่สบาย แล้วความสว่างที่ครอบจักรวาล แผ่ไปทั่วจักรวาลดับหายหมด จะรู้เลยนะว่า เอาศีลไปแลกแค่ข้อเดียวกับความสว่างขนาดนั้น ไม่คุ้มเลยนะ!


รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เอาอะไรวัดว่าเจริญสติเป็น
18 สิงหาคม 2561


ทำไมบางคนกว่าจะได้อะไรสักอย่าง ถึงยากกว่าคนอื่น?


ดังตฤณ : นี่ก็ต้องระบุด้วยนะครับว่า ได้อะไรที่ว่ายาก ถ้าหากว่าเป็นเรื่องแบบโลกๆ ถ้าจะพูดในแง่ของกรรมและวิบาก คนที่ได้อะไรมายาก ส่วนใหญ่ 99.99% เคยไปขวางทางคนอื่นเขาไว้ เคยไปขัดลาภ เคยไปขัดโอกาส เคยไปขัดเส้นทางเจริญของผู้อื่นไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางที่เขาจะได้บุญ ได้กุศล

คุณเคยเห็นมั้ย ประเภทชอบล้อเลียนคนจะไปวัด หรือว่าคนจะไปทำบุญ หรือว่ากำลังคิดดี อุตส่าห์มาชวน ... เธอไปกันมั้ย ฉันอยากทำ ... คนถูกชวนก็หมั่นไส้ ... โอ้โห จะไปเป็นคนดีแล้วเหรอ จะพาไปสวรรค์ใช่มั้ย จะไปนิพพานใช่มั้ย จะทิ้งฉันไว้ในนรกแล้วใช่มั้ย ... พูดจาเหน็บแนมกระทบกระเทียบ หรือไม่ก็กระทั่งกลั่นแกล้ง เอากระเป๋าไปซ่อนให้เขาออกจากบ้านช้า ไปไม่ทันรถอะไรแบบนี้

ประเภทที่ไปเตะถ่วงหรือว่าไปขัดลาภในทางกุศล ลาภในทางบุญของคนอื่นเขา ผล (คือ) ยิ่งเราไปขัดลาภในแบบที่เขาจะได้บุญยิ่งใหญ่ไพศาล บุญตรงนั้น ยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่แล้วเราไปขัด เวลาที่กรรมเผล็ดผล เวลาที่บาปเผล็ดผล จะทำให้เราเกิดในชะตาแบบหนึ่ง เกิดในฤกษ์เกิดแบบหนึ่งที่ได้อะไรมายากเย็นแสนเข็ญ กว่าจะได้นี่ โอ้โห แทบรากเลือด แทบจะกระอักเลือด หรือไม่ก็ต้องรอ บางทีรอจนแก่กว่าจะได้สิ่งที่คิด ที่ฝัน จนเลิกฝันไปแล้วถึงได้มา ตอนได้มาก็หมดอยากแล้วอะไรแบบนั้น ประเภทนี้ มักจะมาจากผลของกรรมที่เคยไปขัดลาภคนอื่นไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลาภในทางที่เป็นบุญ ทางกุศล

ฉะนั้น จริงๆแล้วนอกจากเราจะรู้ ก็สมควรที่จะจับเป็นจุดอย่างหนึ่งด้วย คือ เป็นข้อควรระวังด้วยกับคนในครอบครัว ประเภทที่ว่าเราไปอยู่ในบ้านของคนขี้แกล้ง ประเภทที่เห็นเราสวดมนต์ เห็นเรานั่งสมาธิแล้วล้อเลียน หรือว่ามาแกล้งทำเสียง รบกวนสมาธิ หรือว่าบอกว่า ไม่ต้องไปนิพพาน เดี๋ยวไปนรกด้วยกันอะไรแบบนี้ ถ้าเจอคนประเภทนี้ก็เมตตาเขานิดหนึ่ง อย่าให้เขาได้ทำกรรมสำเร็จนะ แอบได้ก็แอบซะ ถือว่ากำลังมีกรรมอยู่ว่าจะต้องมาอยู่กับคนขี้แกล้ง ก็อย่าส่งเสริม

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางคนกับพ่อแม่นี่เป็นทุกข์เหลือเกิน เรานี่ชอบธรรมะ ทำไมต้องมาเกิดกับพ่อแม่ที่เกลียดธรรมะ เกลียดพระ ชอบพูดจาบั่นทอนกำลังใจ ไม่ให้เราได้ทำบุญทำกุศล อย่าให้พวกท่านทำกรรมสำเร็จ คือหลบๆ ซ่อนๆ หรือหลีกเลี่ยงไม่ไปพูดถึง

ถ้าจะมีอุบายวิธีใดที่จะชักจูงหรือว่าเปลี่ยนใจ จากมิจฉาทิฏฐิ เป็น สัมมาทิฏฐิได้ ก็ใช้วิธีอ้อมๆ อย่าใช้วิธีชักชวนตรงๆ ประเภทว่า พ่อแม่ปฏิเสธแล้วๆ เล่าๆ หรือ ด่าซ้ำด่าซากว่า ไปทำบุญ เอาเงินไปให้พระทำไม พระไม่มีแล้ว อะไรต่างๆ อย่าไปชวนซ้ำ อย่าไปใช้วิธีทื่อๆ ทำไมล่ะ ไปเถอะ ได้บุญ อย่างนี้เท่ากับโปรยยาพิษให้พวกท่าน ไปทำให้ท่านเกิดอาการของขึ้น เกิดโทสะ แล้วก็ทำซ้ำๆ ขัดลาภไม่ให้เราได้บุญได้กุศล พยายามหน่วงเหนี่ยว พยายามกีดกันไม่ให้เราเข้าหาธรรมะ

ใช้วิธีอ้อมๆ อย่างอื่น เย็นให้เป็นก่อน แล้วเอาความเย็นนั้น มาพูดเรื่องเย็นๆ กับท่าน เห็นท่านอารมณ์ดีๆ เห็นท่านอารมณ์เย็นๆ ค่อยๆ เลียบเคียงว่า ตรงนี้ได้มาจากการมีสติ พิจารณาอย่างนี้ๆ แล้วได้ผล ไม่เป็นทุกข์นะ เห็นมั้ย เอาหลักฐานแห่งความเย็นไปให้พวกท่านได้ยลนะครับ จนกระทั่งพวกท่านเกิดความเห็นดีเห็นงามตาม แล้วก็อยากมาเอง อย่างนี้ถึงเวลาจะชักชวนจะไม่ยาก

แต่ถ้าเรายังร้อนอยู่ บอกไปทำบุญกันเถอะ ท่านถามคำเดียว ทำบุญแล้วได้อะไร ได้อาการกระโตกกระตาก ยังร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ หน้าตาบูดเบี้ยวอยู่อย่างนี้เหรอ มันชวนไม่ขึ้นหรอกนะ มีแต่จะฉุดกันลง

เลยพูดไปถึงประเด็นนี้ด้วยเพราะว่าเป็นปัญหาของหลายๆ คนเหมือนกัน บอกว่าชวนที่บ้านมาทางธรรมะด้วยกันไม่ได้ ทีนี้ถามว่า ธรรมะมาแล้วได้อะไร ต้องทำให้เห็นก่อนนะ ต้องทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีแรงบันดาลใจก่อน!



รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เอาอะไรวัดว่าเจริญสติเป็น
18 สิงหาคม 2561

เวลากระทบอารมณ์ จิตชอบนำภาพวนคิดซ้ำๆ แล้วจิตก็หม่นลง


ถาม : เวลากระทบอารมณ์ จิตชอบนำภาพวนคิดซ้ำๆ แล้วจิตก็หม่นลง เป็นด้วยอุปนิสัยหรือทุกคนเป็นเหมือนกัน อยากออกจากวังวนทุกข์?

ดังตฤณ : เขาเรียกว่าเป็นคนย้ำคิดย้ำทำนะ เมื่อวันก่อนนี้เอง นั่งๆ อยู่เพิ่งได้ยินคนทะเลาะกัน คือทะเลาะอยู่ฝ่ายเดียวนะ คนหนึ่งไปด่าๆ เค้า ผมก็นั่งฟังอยู่ คือหนีไปไหนไม่ได้ ต้องนั่งฟัง มันมีแต่คำเดิมๆ ออกมา แสดงว่าสมองนี่เคยชินที่จะย้ำคิดแล้วก็ย้ำพูด ตอกย้ำอยู่แต่ในเรื่องที่ตัวเองคิดว่าเหนือกว่าคนอื่น หรือว่าคิดว่าคนอื่นเขาผิดจริงๆ แล้วตัวเองมีช่องไปว่าเขาแบบ ได้ทีขี่แพะไล่

นิสัยได้ทีขี่แพะไล่ แล้วเอาคำซ้ำๆ มาย้ำอยู่ในหัว แล้วก็พูดออกปาก ทำให้เกิดลักษณะความคิดซ้ำๆ แบบนี้ได้ ลองสำรวจตัวเองดู นี่ไม่ได้ว่า ว่าคุณเป็นแบบนั้นหรือเปล่า แต่ขอให้สังเกตว่ามันเกี่ยวข้องกับวิธีที่เราพูด

ถ้าหากว่าเราเป็นประเภทที่ชอบพูดคำซ้ำๆ อย่างคุยกับเพื่อนลองสังเกตดู เรื่องแรกผ่านไปนะ คุยเสร็จเรื่องสองแทรกเข้ามา คุยๆ เรื่องสองยังไม่ทันจบ เรื่องแรกกลับมาอีกแล้ว เอ้า ผ่านไป คุยเรื่องสอง คุยเรื่องสาม เรื่องแรกกลับมาอีก มาต่อคิว คือเรื่องแรกมันอยู่ในใจ มีอะไรติดใจก็ไม่ทราบ แล้วเวลาพูดก็พูดคำเดิมๆ ไม่ได้เปลี่ยนคำพูดเลย เหมือนกับฉายหนังซ้ำ ฉายหนังวน

คุณลองพิจารณา ถ้าหากว่าเราเป็นประเภทนี้ เป็นประเภทที่เวลาพูด ชอบพูดเรื่องเดิมๆ แล้วก็เหมือนกับมีความสนุก หรือมีความสะใจ หรือมีความรู้สึกอะไรบางอย่างที่ ถ้าฉันพูดแล้วมันดูดี มันดูเหมือนกับรู้ทันคนอื่น ดูเหมือนกับนิสัยดีกว่าคนอื่น คนอื่นแย่กว่า หรือว่าคนอื่นน่า (โดน) ว่า ส่วนฉันนี่ไม่เป็นไร อะไรแบบนี้ ทั้งๆที่ตัวเราเองก็ทำแบบเขานั่นแหละ

นิสัยในการติดใจพูด มันจะทำให้ลูป (loop) ความคิด วังวนความคิดมันหมุนอยู่ในหัว สมองจะทำงานแบบหนึ่ง คือออกจากอ่างไม่ได้ เหมือนพายเรือ ต้องพายอยู่แค่ในอ่าง จะคล้ายๆ กับอ่างนี่เป็นอ่างอาถรรพ์ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีทางออก ก็พายอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ใจนึกถึงทางออกนะ นึกถึงทางออกแต่ในทางปฏิบัติยังพายเรืออยู่ในอ่างนั่นเอง

ฉะนั้นคำแนะนำ เพื่อที่จะแก้อาการคิดวน ลองแก้ผ่านวิธีพูด มีสติ สังเกตวิธีพูดของตัวเอง ว่าเป็นประเภทชอบเอาเรื่องเดิมมาฉายซ้ำหรือเปล่า หรือว่าคำที่มันหลุดออกจากปากมาแล้ว แล้วมีความติดใจ มีความสะใจ มีความสนุก มีความคึกคะนอง หรือว่ามีความอยากจะด่า ด่าซ้ำด่าซาก ถ้ามีสติให้แก้ที่ตรงนี้ แก้ที่คำพูด

พอบอกตัวเอง เอ๊ย คำนี้เมื่อกี้พูดซ้ำไปแล้ว ให้หยุดทันที ไม่ต้องเขิน ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม ... กลัวเสียสมองดีกว่า กลัวสมองจะเสียหายดีกว่า กลัวจิตจะคิดวนไม่เลิกดีกว่า คือพอคิดได้ว่า เอ๊ะ เมื่อกี้ เรื่องนี้พูดแล้ว กำลังจะเอามาพูดซ้ำอีก หรือเผลอพูดซ้ำไปแล้ว รีบสวิตช์ (switch) ไปเรื่องอื่นทันที แล้วพอใจมันดึง อยากจะกลับมาที่คำพูดเดิมอีก ก็ให้รู้ตัวอีก รู้ไปเรื่อยๆ ซ้ำๆ จนกระทั่งเกิดความเคยชิน ที่จะเลิกสะใจกับการเอาเรื่องเก่าๆ เอาคำเดิมๆ มาฉายวน

คุณจะเห็นได้เลยว่าพอวิธีพูดของเรา พูดแบบมีสติ พูดไม่ซ้ำกับเรื่องเดิม ระบบความคิดของเราจะต่างไปทันที คือจากเดิมที่คิดวนไปวนมาอยู่นั่น จะมีเป้าหมายให้ความคิดพุ่งเป็นเส้นตรงไปหามากกว่าเดิม ความคิดที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้วรู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าจิตใจไม่วกวน ไม่เหมือนกับพายเรืออยู่ในอ่าง จะเหมือนกับให้ของขวัญตัวเองเลยนะ เพราะจะเปรียบเทียบได้ว่า ที่ผ่านมา โอ้โห จริงๆแล้วมีความทุกข์นะ ตอนที่เราคิดวนไปเวียนมา ใช้คำซ้ำๆ อยู่ในหัว แล้วก็ไปเบิ้ลเอากับคำพูดใส่หูคนอื่น คือวนเวียนอยู่ในหัวตัวเองมันเหมือนผิดปกติ เหมือนคนบ้า แต่ถ้าได้พูดนี่เหมือนคนปกติ เหมือนคนดีๆ ทั้งๆที่จริงๆ ไม่ใช่นะ พอสังเกต เราพูดซ้ำหลายรอบ เราพูดวนหลายรอบ ตรงนี้ทำให้สมองจมปลักอยู่กับอาการคิดวนนะครับ!

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน นั่งสมาธิแล้วกลัวตายให้ทำอย่างไร?
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2561



วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดมาด้วยความบังเอิญ หมายความว่าอย่างไร

รบกวนอธิบายคำว่า บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดมาด้วยความบังเอิญหน่อยครับ?


ดังตฤณ : จริงๆแล้วต้องย้อนกลับไปถึงกำเนิดโลก กำเนิดจักรวาลเลย ว่าที่เราเห็นว่ามีโลกอยู่อย่างนี้ได้ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีอยู่นะ ถ้าหากว่าไม่มีจิต ไม่มีใจของเรามารับรู้ โลกที่กำลังปรากฏอยู่นี่มันของหลอกหมดเลยนะ
อย่างตอนนี้เขาพิสูจน์กันได้ในระดับควอนตัมฟิสิกส์ว่า ไม่มีอะไรเป็นของแข็งนะ มีแต่การสั่นสะเทือนของอะตอมที่มาผูกพันธะกันอยู่ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นกลุ่มก้อนของแข็งชั่วคราว จริงๆแล้ว ส่วนใหญ่ของของแข็งที่เราเห็นอยู่รอบๆ ตัว เนื้อหนังมังสาอะไรต่างๆ ประกอบด้วยช่องว่างเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ของแข็งตันนะ ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นของแข็งๆ ตันๆ เป็นก้อนอย่างที่เราถูกหลอกด้วยตาเปล่า หรือว่าด้วยสัมผัสง่ายๆ แบบนี้

ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งจักรวาลนี้เลย มันเกิดขึ้นเพื่อเป็นที่รองรับ เป็นเวทีปรากฏของกรรม และวิบาก คือวิทยาศาสตร์ไม่มีทางไปถึงข้อสรุปนี้ได้ เพราะว่าวิทยาศาสตร์จะเอาแค่เรื่องของการพิสูจน์ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และกาย เรื่องใจนี่ไม่ยอมรับ และถ้าไม่ยอมรับนี่ ก็จะไม่มีทางเข้าถึง ว่าที่เห็นๆ กัน หรือแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่า มันไม่มีอยู่จริงนะ ตอนนี้มีทฤษฎีอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเยอะแยะ บอกว่าจักรวาลทั้งจักรวาลเป็นฮาโลแกรมที่ส่องขึ้นมาจากอีกมิติหนึ่งอะไรแบบนี้ ก็คิดกันไปฟุ้งซ่านสารพัด

แต่อย่างพระพุทธเจ้าเรา ค้นพบมานานแล้วว่า ที่เรานึกว่าเห็นๆ กันอยู่ หรือว่าได้ยินกันอยู่ จริงๆแล้ว เป็นของหลอก เป็นของที่เนรมิตขึ้นมา ถูกเสกขึ้นมาจากกรรม ที่มารวมกันเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันอย่างนี้ อยู่ในโลกเดียวกันนี้นี่ ชมพูทวีปนี้ ก็เพราะว่ามี กรรม ที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็ที่ใกล้เคียง แบ่งแยกไปอีก อย่างที่เขาค้นพบว่า DNA ของคน แล้วก็สัตว์ต่างกันแค่นิดเดียว ที่ยกให้เรากลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา แค่นิดเดียว ต่างกันกับสัตว์อื่นแค่นิดเดียว กลายเป็นมนุษย์แบบนี้เลย

ถ้าเรามองอย่างนี้ว่า ทั้งจักรวาล ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดขึ้นเพื่อที่จะเป็นเวทีกรรม เพื่อที่จะดึงดูดให้คนมาเจอกัน เสวยกรรม แล้วก็ทำกรรมกันใหม่ร่วมกันต่ออีก อย่างนี้ เราก็จะเริ่มมองทุกอย่างต่างไป แม้กระทั่ง มีทะเลทรายอยู่ เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งได้ไปใช้ชีวิตแบบร้อนๆ อยู่ที่นั่น แล้วตกกลางคืนก็เห็นดวงดาวพร่างพราวราวกับสวรรค์ หรือมีเขตที่ทอร์นาโดถล่มได้ทุกปี หรือทุกวี่ทุกวัน หรือมีเขตที่มีสามฤดู ร้อน หนาว แล้วก็ฝน หรือปัจจุบัน อย่างที่บางคนบอกว่า ประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้มีสามฤดู มีแค่สองฤดู คือฤดูร้อน และ ฤดูร้อนมาก อะไรแบบนี้ แล้วแต่จะตั้งข้อสังเกตว่า เรากำลังอยู่ในเขตพื้นที่แบบไหน

นี่คือไม่มีความบังเอิญมาตั้งแต่แรก แล้วอะไรสักอย่างที่ไปตั้งไว้บนถนนอย่างเช่น ของแหลมที่จะเจาะให้ยางรถยนต์ของใครบางคนแตก หรือว่าเท้าของใครบางคนไปเหยียบแล้วเกิดบาดแผลฉกรรจ์ขึ้นมาอะไรแบบนี้ คือโลกนี้ถักทอขึ้นมา ทุกตารางนิ้วไม่มีพื้นที่ของความบังเอิญ มีแต่พื้นที่ของการจัดสรรไว้ตาม ธรรม

ธรรมคือะไร ธรรมคือสิ่งที่ทำให้จักรวาลปรากฏขึ้นมาหลอกหูหลอกตา ธรรมคือเวทีกรรมที่ให้เหล่าสัตว์ทั้งหลาย สิงสาราสัตว์ทั้งหลาย ได้มาเวียนว่ายตายเกิด ตามเหตุปัจจัยที่ได้ทำไว้ ให้จิตของตัวเอง ให้กองบุญ กองบาปของตัวเอง อันไหนงัดข้อแล้วชนะ อันนั้นก็เอาไปกิน มีภพภูมิต่างๆ ขึ้นมา มารองรับกองบุญกองบาปของแต่ละคน แล้วก็ให้ไปรวมๆ กัน กองบุญกองบาปใกล้ๆ กัน ก็ไปอยู่ด้วยกัน กองบุญกองบาปห่างกันมากๆ ก็อยู่ต่างกัน อยู่บนพื้นดิน แล้วก็ลึกลงไปในมหาสมุทรเป็นสิบๆ กิโลเมตรอะไรแบบนี้

ถ้าหากว่าเรามองไปทุกตารางนิ้วบนโลกใบนี้ ไม่มีความบังเอิญแล้ว เราก็จะเห็นว่า ทั้งจักรวาลเช่นกัน ที่ถักทอขึ้นมา ดวงดาวปะทะกัน กาแลกซี่ชนกัน เกิดเป็นอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ไม่มีสักอย่างเดียวที่ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างมีเหตุผลหมด เอาง่ายๆ สมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ตั้งข้อสังเกตง่ายๆเลย บอกว่า ที่เชื่อๆ กันว่าดวงดาวบนท้องฟ้ากำหนดชีวิตมนุษย์ ไหนลองมาตั้งข้อสังเกตแบบเป็นวิทยาศาสตร์ซิ ว่ากลุ่มดาวมีผลกับคนแบบไหน อะไรยังไง เกิดในกลุ่มดาวแบบไหน อะไรต่างๆ อย่าง โทเลมี ก็ได้ข้อสรุปออกมาบอกว่า มีผลจริงๆ นี่เป็นการบันทึกแบบวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของดาราศาสตร์ ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าที่เรานึกๆ ว่า มันไม่เกี่ยว จริงๆ มันเกี่ยวหมด แต่เราจะได้จุดสังเกตที่ถูกต้องในแง่ไหน เอามาอธิบายอะไรเท่านั้นเอง อย่างบอกว่า ขึ้นปีใหม่ ถ้าหากว่าคนบางคนตั้งข้อสังเกตชีวิตตัวเอง บอกว่าปีก่อน มีแต่อะไรไม่ดี พอปีใหม่ โอ้โห มีอะไรที่ดีๆ เข้ามาโหมกระหน่ำแบบว่าซัมเมอร์เซลส์เลยนะ คือถ้าตั้งข้อสังเกตเฉพาะตน แล้วเกิดความรู้สึกว่า เอ๊ย มันมีมิติเวลา มีขอบเขตของเวลาที่ให้ผลกับชีวิตของเราเองจริง นี่ก็เป็นตัวอย่างของความไม่บังเอิญ ที่ดูจะเหมือนกับอธิบายได้ยาก หรือว่าดูเหมือนกับไม่มีเหตุผล แต่จริงๆ มันมีเหตุผล มีเงื่อนของเวลา ถ้าเราไม่มาสังเกตเกี่ยวกับเงื่อนเวลา เราก็จะรู้สึกว่า เอ๊ยมันผ่านๆ ไปด้วยความบังเอิญทั้งนั้น จริงๆ ไม่มีอะไรบังเอิญนะครับ

สรุปง่ายๆ ว่า เราอธิบายเรื่องความไม่บังเอิญได้ด้วยการสังเกตว่า มีรูปแบบอะไรปรากฏขึ้นในช่วงเวลาไหน แล้วก็ในเขตพื้นที่แบบใด คือเรื่องของ time and space นี่ ถ้ายิ่งพูดลึก จะยิ่งซับซ้อน บอกแค่ง่ายๆ ว่า ถ้าเราสังเกตชีวิตออกมาจากข้างใน ว่าจิตว่าใจของเรามันตอบสนอง มันมีปฏิกิริยา ไปในทางลบ หรือทางบวก โดยบังเอิญได้หรือเปล่า เราจะพบว่าจริงๆแล้ว จิตใจของเรา ในช่วงเวลาต่างๆ ไม่มีความบังเอิญนะ ถ้าเราปล่อยจิต ปล่อยใจ เมื่อไหร่ มันพร้อมที่จะไหลลงต่ำ

ถ้าเรามีสติตั้งสติขึ้นมา เป็นของใหม่ จิตใจของเรา ร้ายได้ที่สุดก็คือ หม่นหมองชั่วคราว ไม่มีความบังเอิญตั้งแต่ระดับของจิตของใจเรานะ มันมีเงื่อน มันมีเหตุ มันมีผลอยู่ แต่คนพอปล่อยจิตปล่อยใจไปหดหู่เศร้าหมองเต็มที่ เต็มเหนี่ยวแล้ว มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งคือชีวิตนี้ไม่มีทางดีขึ้น มีความรู้สึกเหมือนถูกกัดกินด้วยสัตว์ร้ายอะไรบางอย่างที่ทำให้เสียกำลังใจ หัวใจของตัวเองเหมือนกับถูกกัดไปทีละก้อนๆ จนไม่เหลือ แต่ไม่รู้ตัวเลยมันมีเหตุผล เริ่มมาจากตรงที่ ชอบปล่อยจิตปล่อยใจ จนกระทั่งมันสายเกินไป ไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว เสร็จแล้วก็บอกว่า เออ เนี่ย ชีวิตเราแย่เพราะสิ่งนั้น แย่เพราะสิ่งนี้ ไม่โทษตัวเองเลยนะ โทษสิ่งอื่นทั้งโลก แต่ไม่โทษตัวเองเลยที่ปล่อยสติให้มันเลอะเลือน

แต่ถ้าเป็นชาวพุทธแล้วสามารถสังเกตเข้ามาที่จิตที่ใจของตัวเองว่า เมื่อไหร่เราตั้งสติ แย่ที่สุดที่เป็นไปได้กับชีวิตเราคือหม่นหมองชั่วคราว แล้วเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น ถ้าทั้งโลกกำลังรุมทำร้ายเรา ชะตากรรมกำลังดึงเราลงตกต่ำถึงที่สุด ขอแค่มีใจดีๆ แค่ดวงเดียว ในที่สุดมันจะเกิดความสว่าง จะมีความสว่างพาเรากลับเข้าที่เข้าทางได้เองนะ

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน สวดมนต์ข้ามปี ชีวิตจะดีจริงไหม?
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀
29 ธันวาคม 2561

** IG **

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2562

ดูคลิปคนถูกเเกล้ง เเล้วจิตยินดีไปเอง มีวิบากไหม, เห็นแจ่มแจ้งว่าจิตไม่ใช่เรา มีผลอย่างไร


ดูคลิปที่คนถูกเเกล้ง เเล้วจิตมันยินดีไปของมันเอง จะมีวิบากไหมครับ? เเล้วถ้าเห็นอย่างเเจ่มเเจ้งว่าจิตไม่ใช่เราจริงๆจะเป็นไงครับ?

ดังตฤณ : ดูคลิปแบบไหน ใจก็ปรุงแต่งแบบนั้นนะ ถ้าดูคลิปแกล้งคน ต้องถามด้วยว่าเขาเดือดร้อนหนักขนาดไหน ถ้าเดือดร้อนขนาดถึงตาย แล้วเรายินดี แบบนี้ ใกล้ๆ กันกับร่วมฆ่าเลยนะ ร่วมลงมือฆ่าเลย ใกล้เคียงนะ คือไม่ใช่ปานาติบาต แต่มีแนวโน้มที่จะทำให้วันหนึ่งเรามีจิตยินดี คิดฆ่าคนขึ้นมาได้ พูดง่ายๆ ว่าเข้าไปอยู่ในวงโคจรของพวกเพชฌฆาต

คือพอมีจิตยินดีไปกับเขา ตัวนี้นี่ เขาทำอะไร เราก็เข้าไปมีความเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าแกล้งเล็กๆ น้อยๆ ในแบบที่เอาฮา แล้วมีความรู้สึกขำขันไปด้วย นี่ก็ออกแนวแบบคึกคะนอง คือมีหลายแบบเหลือเกินนะ อย่างพวกที่แกล้งแบบสร้างสรรค์ ลงทุนให้ตัวเองเจ็บตัว แล้วให้คนอื่นอ้าปากหวอ ตกใจอะไรแบบนี้นี่ก็ระดับหนึ่ง แต่ประเภทที่ทำให้เขาเดือดร้อน ให้เขาวิ่งหนีจนจะทับกันตายอะไรแบบนี้ นั่นก็อีกระดับหนึ่ง แล้วแต่ ระดับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น

ถ้าใจเรามีความยินดีไปกับความเดือดร้อนหนักๆ อย่างนี้ มีผลตรงที่ทำให้เราไปมีส่วนกับที่จะต้องเสวยทุกข์ในแบบนั้นๆ คือไม่หนักเท่ากับคนทำ คนลงมือทำ แต่ว่าจะมีส่วนติดมาด้วย เรียกว่าเป็น กตัตตากรรม คือกรรมนั้นเราไม่ได้จงใจเจตนาด้วยตัวเอง แต่เราพลอยยินดีไปกับผู้ทำ คือพอเห็นผลว่าเกิดอะไรแบบนั้น ก็นึกสนุกไปกับเขา นึกยินดี นึกปลื้มเป็นข้างเดียวกันไปกับเขา ก็ได้ส่วนกรรมเดียวกับเขามา

เวลาที่รับผล สมมติเขาต้องรับเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เราอาจต้องรับสักสิบเปอร์เซ็นต์อะไรแบบนั้น มันไม่ใช่กรรมอันเกิดจากเราจงใจด้วยตัวเอง แล้วก็มีคนเดือดร้อนเพราะเราเอง แต่เป็นกตัตตากรรม อันเกิดจากการยินดีร่วมไปกับเขา

อีกคำถามที่บอกว่า ถ้าเห็นอย่างแจ่มแจ้งว่าจิตไม่ใช่เราจริงๆ ก็บรรลุมรรคผลเลยนะ คือถ้าหากว่าการเห็นนั้น สตินั้น มีกำลังมากพอที่จะรวมให้จิตเข้าถึงฌานได้ ฌานนั้นจะเป็นมรรคผลนะครับ เพราะว่า จิตเป็นพื้นยืนที่สำคัญของตัวตน อุปทานว่ามีตัวเราก็อยู่ตรงที่ว่าเรามีจิต เรามีความคิด เรากำลังรู้สึกนึกคิดอยู่ เรากำลังมีสภาพทางใจแบบนั้นแบบนี้ ตัวที่มันสำคัญมั่นหมายไปว่าสภาวะของจิตนั้นๆ สภาวะของจิตหนึ่งๆ เป็นตัวเรา พอมันถูกมองได้เป็นครั้งแรกว่า เอ๊ย มันไม่ใช่ มันเป็นแค่ธาตุรู้ วิญญาณธาตุ มันปรากฏขึ้นเดี๋ยวเดียว แล้วเดี๋ยวก็ดับหายไป เหมือนมายากลที่ปรากฏแค่ชั่วคราว แล้วเดี๋ยวก็แปรปรวนไป แปรไปเป็นอื่น ตัวนี้ถ้าหากว่าจิตมีสติ มีกำลังมากพอ แล้วรู้ได้ว่าจิตไม่ใช่เรา ก็โพล่งขึ้นมาเป็นการบรรลุ จะขั้นโสดา (โสดาบัน) หรืออะไรก็แล้วแต่นะครับ

แต่ถ้ายังมีกำลังอ่อน แค่เห็นแผ่วๆ ว่าจิตไม่ใช่เรา ความคิดไม่ใช่เรา มันเป็นเหมือนกับสภาวะ เป็นธาตุอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ปรากฏขึ้นมาชั่วคราวแล้วหายไป โดยไม่มีการรวมเป็นฌานอย่างนั้นก็ไม่ได้มรรคผล แต่ได้เป็นวิปัสสนานะครับ ได้เป็นปัญญาเห็นความจริง ได้เป็นสติรู้เข้าไปในภาวะภายใน แล้วก็จะเป็นบันไดขั้นต่อๆ ไปให้กับวิปัสสนาญาณที่สูงขึ้น

สำหรับคืนนี้ ก็เป็นคืนก่อนที่จะได้ถึงปีใหม่ ก็เป็นปีที่หนักหนาสำหรับหลายๆ คน ในขณะเดียวกันก็เป็นปีของโอกาสสำหรับหลายๆ คนเช่นกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ศาสนาของท่าน ไม่มีการให้พร เพราะอย่างพระองค์ก็ตรัสบอกว่า ตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว แต่คนก็ชอบเรื่องการพูดดีๆให้กัน ทีนี้ผมก็จะทิ้งท้ายนะครับว่า ก่อนสิ้นปี คือธรรมทั้งหมดที่เราได้ยินดีมาร่วมกันตลอดปี ขอให้คงอยู่ แล้วขอให้เจริญขึ้นในปีต่อๆ ไป เพราะว่า ธรรมะ หรือว่ากุศลธรรมที่พวกเราได้ร่วมทางแบบพุทธมาด้วยกัน รับประกันว่าไม่ได้พาเข้ารกเข้าพง แต่จะพาตรงไปสู่สวรรค์ แล้วก็นิพพานอันเป็นที่สุดของความเป็นชาวพุทธนะครับ

-----------------------------------------------------------------------
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน สวดมนต์ข้ามปี ชีวิตจะดีจริงไหม?
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀
29 ธันวาคม 2561