วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562

บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดมาด้วยความบังเอิญ หมายความว่าอย่างไร

รบกวนอธิบายคำว่า บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดมาด้วยความบังเอิญหน่อยครับ?


ดังตฤณ : จริงๆแล้วต้องย้อนกลับไปถึงกำเนิดโลก กำเนิดจักรวาลเลย ว่าที่เราเห็นว่ามีโลกอยู่อย่างนี้ได้ จริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีอยู่นะ ถ้าหากว่าไม่มีจิต ไม่มีใจของเรามารับรู้ โลกที่กำลังปรากฏอยู่นี่มันของหลอกหมดเลยนะ
อย่างตอนนี้เขาพิสูจน์กันได้ในระดับควอนตัมฟิสิกส์ว่า ไม่มีอะไรเป็นของแข็งนะ มีแต่การสั่นสะเทือนของอะตอมที่มาผูกพันธะกันอยู่ ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นกลุ่มก้อนของแข็งชั่วคราว จริงๆแล้ว ส่วนใหญ่ของของแข็งที่เราเห็นอยู่รอบๆ ตัว เนื้อหนังมังสาอะไรต่างๆ ประกอบด้วยช่องว่างเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ของแข็งตันนะ ไม่มีอะไรสักอย่างที่เป็นของแข็งๆ ตันๆ เป็นก้อนอย่างที่เราถูกหลอกด้วยตาเปล่า หรือว่าด้วยสัมผัสง่ายๆ แบบนี้

ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งจักรวาลนี้เลย มันเกิดขึ้นเพื่อเป็นที่รองรับ เป็นเวทีปรากฏของกรรม และวิบาก คือวิทยาศาสตร์ไม่มีทางไปถึงข้อสรุปนี้ได้ เพราะว่าวิทยาศาสตร์จะเอาแค่เรื่องของการพิสูจน์ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และกาย เรื่องใจนี่ไม่ยอมรับ และถ้าไม่ยอมรับนี่ ก็จะไม่มีทางเข้าถึง ว่าที่เห็นๆ กัน หรือแม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งพิสูจน์ได้แล้วว่า มันไม่มีอยู่จริงนะ ตอนนี้มีทฤษฎีอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาเยอะแยะ บอกว่าจักรวาลทั้งจักรวาลเป็นฮาโลแกรมที่ส่องขึ้นมาจากอีกมิติหนึ่งอะไรแบบนี้ ก็คิดกันไปฟุ้งซ่านสารพัด

แต่อย่างพระพุทธเจ้าเรา ค้นพบมานานแล้วว่า ที่เรานึกว่าเห็นๆ กันอยู่ หรือว่าได้ยินกันอยู่ จริงๆแล้ว เป็นของหลอก เป็นของที่เนรมิตขึ้นมา ถูกเสกขึ้นมาจากกรรม ที่มารวมกันเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันอย่างนี้ อยู่ในโลกเดียวกันนี้นี่ ชมพูทวีปนี้ ก็เพราะว่ามี กรรม ที่ใกล้เคียงกัน แล้วก็ที่ใกล้เคียง แบ่งแยกไปอีก อย่างที่เขาค้นพบว่า DNA ของคน แล้วก็สัตว์ต่างกันแค่นิดเดียว ที่ยกให้เรากลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา แค่นิดเดียว ต่างกันกับสัตว์อื่นแค่นิดเดียว กลายเป็นมนุษย์แบบนี้เลย

ถ้าเรามองอย่างนี้ว่า ทั้งจักรวาล ไม่ได้เกิดขึ้นจากความบังเอิญ แต่เกิดขึ้นเพื่อที่จะเป็นเวทีกรรม เพื่อที่จะดึงดูดให้คนมาเจอกัน เสวยกรรม แล้วก็ทำกรรมกันใหม่ร่วมกันต่ออีก อย่างนี้ เราก็จะเริ่มมองทุกอย่างต่างไป แม้กระทั่ง มีทะเลทรายอยู่ เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งได้ไปใช้ชีวิตแบบร้อนๆ อยู่ที่นั่น แล้วตกกลางคืนก็เห็นดวงดาวพร่างพราวราวกับสวรรค์ หรือมีเขตที่ทอร์นาโดถล่มได้ทุกปี หรือทุกวี่ทุกวัน หรือมีเขตที่มีสามฤดู ร้อน หนาว แล้วก็ฝน หรือปัจจุบัน อย่างที่บางคนบอกว่า ประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ได้มีสามฤดู มีแค่สองฤดู คือฤดูร้อน และ ฤดูร้อนมาก อะไรแบบนี้ แล้วแต่จะตั้งข้อสังเกตว่า เรากำลังอยู่ในเขตพื้นที่แบบไหน

นี่คือไม่มีความบังเอิญมาตั้งแต่แรก แล้วอะไรสักอย่างที่ไปตั้งไว้บนถนนอย่างเช่น ของแหลมที่จะเจาะให้ยางรถยนต์ของใครบางคนแตก หรือว่าเท้าของใครบางคนไปเหยียบแล้วเกิดบาดแผลฉกรรจ์ขึ้นมาอะไรแบบนี้ คือโลกนี้ถักทอขึ้นมา ทุกตารางนิ้วไม่มีพื้นที่ของความบังเอิญ มีแต่พื้นที่ของการจัดสรรไว้ตาม ธรรม

ธรรมคือะไร ธรรมคือสิ่งที่ทำให้จักรวาลปรากฏขึ้นมาหลอกหูหลอกตา ธรรมคือเวทีกรรมที่ให้เหล่าสัตว์ทั้งหลาย สิงสาราสัตว์ทั้งหลาย ได้มาเวียนว่ายตายเกิด ตามเหตุปัจจัยที่ได้ทำไว้ ให้จิตของตัวเอง ให้กองบุญ กองบาปของตัวเอง อันไหนงัดข้อแล้วชนะ อันนั้นก็เอาไปกิน มีภพภูมิต่างๆ ขึ้นมา มารองรับกองบุญกองบาปของแต่ละคน แล้วก็ให้ไปรวมๆ กัน กองบุญกองบาปใกล้ๆ กัน ก็ไปอยู่ด้วยกัน กองบุญกองบาปห่างกันมากๆ ก็อยู่ต่างกัน อยู่บนพื้นดิน แล้วก็ลึกลงไปในมหาสมุทรเป็นสิบๆ กิโลเมตรอะไรแบบนี้

ถ้าหากว่าเรามองไปทุกตารางนิ้วบนโลกใบนี้ ไม่มีความบังเอิญแล้ว เราก็จะเห็นว่า ทั้งจักรวาลเช่นกัน ที่ถักทอขึ้นมา ดวงดาวปะทะกัน กาแลกซี่ชนกัน เกิดเป็นอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ไม่มีสักอย่างเดียวที่ไม่มีเหตุผล ทุกอย่างมีเหตุผลหมด เอาง่ายๆ สมัยก่อนนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ตั้งข้อสังเกตง่ายๆเลย บอกว่า ที่เชื่อๆ กันว่าดวงดาวบนท้องฟ้ากำหนดชีวิตมนุษย์ ไหนลองมาตั้งข้อสังเกตแบบเป็นวิทยาศาสตร์ซิ ว่ากลุ่มดาวมีผลกับคนแบบไหน อะไรยังไง เกิดในกลุ่มดาวแบบไหน อะไรต่างๆ อย่าง โทเลมี ก็ได้ข้อสรุปออกมาบอกว่า มีผลจริงๆ นี่เป็นการบันทึกแบบวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์คนแรกๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของดาราศาสตร์ ก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าที่เรานึกๆ ว่า มันไม่เกี่ยว จริงๆ มันเกี่ยวหมด แต่เราจะได้จุดสังเกตที่ถูกต้องในแง่ไหน เอามาอธิบายอะไรเท่านั้นเอง อย่างบอกว่า ขึ้นปีใหม่ ถ้าหากว่าคนบางคนตั้งข้อสังเกตชีวิตตัวเอง บอกว่าปีก่อน มีแต่อะไรไม่ดี พอปีใหม่ โอ้โห มีอะไรที่ดีๆ เข้ามาโหมกระหน่ำแบบว่าซัมเมอร์เซลส์เลยนะ คือถ้าตั้งข้อสังเกตเฉพาะตน แล้วเกิดความรู้สึกว่า เอ๊ย มันมีมิติเวลา มีขอบเขตของเวลาที่ให้ผลกับชีวิตของเราเองจริง นี่ก็เป็นตัวอย่างของความไม่บังเอิญ ที่ดูจะเหมือนกับอธิบายได้ยาก หรือว่าดูเหมือนกับไม่มีเหตุผล แต่จริงๆ มันมีเหตุผล มีเงื่อนของเวลา ถ้าเราไม่มาสังเกตเกี่ยวกับเงื่อนเวลา เราก็จะรู้สึกว่า เอ๊ยมันผ่านๆ ไปด้วยความบังเอิญทั้งนั้น จริงๆ ไม่มีอะไรบังเอิญนะครับ

สรุปง่ายๆ ว่า เราอธิบายเรื่องความไม่บังเอิญได้ด้วยการสังเกตว่า มีรูปแบบอะไรปรากฏขึ้นในช่วงเวลาไหน แล้วก็ในเขตพื้นที่แบบใด คือเรื่องของ time and space นี่ ถ้ายิ่งพูดลึก จะยิ่งซับซ้อน บอกแค่ง่ายๆ ว่า ถ้าเราสังเกตชีวิตออกมาจากข้างใน ว่าจิตว่าใจของเรามันตอบสนอง มันมีปฏิกิริยา ไปในทางลบ หรือทางบวก โดยบังเอิญได้หรือเปล่า เราจะพบว่าจริงๆแล้ว จิตใจของเรา ในช่วงเวลาต่างๆ ไม่มีความบังเอิญนะ ถ้าเราปล่อยจิต ปล่อยใจ เมื่อไหร่ มันพร้อมที่จะไหลลงต่ำ

ถ้าเรามีสติตั้งสติขึ้นมา เป็นของใหม่ จิตใจของเรา ร้ายได้ที่สุดก็คือ หม่นหมองชั่วคราว ไม่มีความบังเอิญตั้งแต่ระดับของจิตของใจเรานะ มันมีเงื่อน มันมีเหตุ มันมีผลอยู่ แต่คนพอปล่อยจิตปล่อยใจไปหดหู่เศร้าหมองเต็มที่ เต็มเหนี่ยวแล้ว มันจะมีความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งคือชีวิตนี้ไม่มีทางดีขึ้น มีความรู้สึกเหมือนถูกกัดกินด้วยสัตว์ร้ายอะไรบางอย่างที่ทำให้เสียกำลังใจ หัวใจของตัวเองเหมือนกับถูกกัดไปทีละก้อนๆ จนไม่เหลือ แต่ไม่รู้ตัวเลยมันมีเหตุผล เริ่มมาจากตรงที่ ชอบปล่อยจิตปล่อยใจ จนกระทั่งมันสายเกินไป ไม่รู้จะแก้ยังไงแล้ว เสร็จแล้วก็บอกว่า เออ เนี่ย ชีวิตเราแย่เพราะสิ่งนั้น แย่เพราะสิ่งนี้ ไม่โทษตัวเองเลยนะ โทษสิ่งอื่นทั้งโลก แต่ไม่โทษตัวเองเลยที่ปล่อยสติให้มันเลอะเลือน

แต่ถ้าเป็นชาวพุทธแล้วสามารถสังเกตเข้ามาที่จิตที่ใจของตัวเองว่า เมื่อไหร่เราตั้งสติ แย่ที่สุดที่เป็นไปได้กับชีวิตเราคือหม่นหมองชั่วคราว แล้วเดี๋ยวมันก็จะดีขึ้น ถ้าทั้งโลกกำลังรุมทำร้ายเรา ชะตากรรมกำลังดึงเราลงตกต่ำถึงที่สุด ขอแค่มีใจดีๆ แค่ดวงเดียว ในที่สุดมันจะเกิดความสว่าง จะมีความสว่างพาเรากลับเข้าที่เข้าทางได้เองนะ

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน สวดมนต์ข้ามปี ชีวิตจะดีจริงไหม?
▶▶ คำถามช่วง ถามตอบ ◀◀
29 ธันวาคม 2561

** IG **

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น