วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ฝันถึงคุณดังตฤณ คุณดังตฤณมาเข้าฝันหรือเปล่า?

ถาม : ฝันว่าคุณดังตฤณมาถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ เป็นฝันที่แจ่มชัดมาก อยากทราบว่าที่เห็นนั้นเป็นคุณดังตฤณ หรือภาคหนึ่งของจิตคุณดังตฤณจริงๆหรือเปล่า?

> จากหนังสือ เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๙

ดังตฤณ: 
ดังตฤณ: ยิ่งผมเขียนหนังสือและบทความมากขึ้น ช่วงหลังก็ยิ่งได้รับคำถามทำนองนี้จากคุณๆมากขึ้นเช่นกัน ก็ขอให้คำตอบพร้อมข้อเท็จจริงไว้ ณ ที่นี้ในคราวเดียวนะครับ

ปรากฏการณ์ทางฝันนับเป็นเรื่องลึกลับชนิดหนึ่ง ที่พวกเราเผชิญกันอยู่ทุกคืน ประสบการณ์ ‘ฝันทั่วไป’ที่เกิดจากการก้าวลงสู่ความหลับแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้น ทำให้คนส่วนใหญ่ตัดสินว่าความฝันเป็นคลื่นลมในหัวที่เหลวไหลไร้สาระ ไม่แตกต่างจากความฟุ้งซ่านไร้สติทั่วไป ขณะที่ยังมีคนอีกส่วนหนึ่งเห็นความฝันเป็นช่องทางเชื่อมต่อกับต่างมิติ เช่น ขอดูเลขหวยงวดที่กำลังจะออก หรือติดต่อกับญาติที่เพิ่งตาย

แต่บางคนก็มีความสามารถพิเศษยิ่งกว่านั้น เช่น นักพยากรณ์ระดับโลกอย่างเอ็ดการ์ เคย์ (Edcar Cayce) ฝึกหลับเพื่อรู้นิมิตเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งหลายคำทำนายของเขาก็ถูกต้องตรงจริง มิฉะนั้นคงไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักประมาณน้องๆนอสตราดามุส

นอกจากนั้น ความฝันเป็นทางมาของผลงานแปลกใหม่ เช่น นักประพันธ์ขายดีข้ามชาติอย่างสตีเฟ่น คิง (Stephen King) ได้พล็อตเรื่องจากฝันระทึกในบางคืนของเขา คีตกวีนามอุโฆษอย่างนิโคโล แพกานีนี่ (Nicolo Paganini) ก็ได้งานเพลงชิ้นสำคัญมาจากการฝันว่าปีศาจสีไวโอลินให้ฟัง

ทุกวันนี้ฝรั่งนักเล่นฝันก็มีเทคนิควิธีใหม่ๆในการใช้ฝันให้เป็นประโยชน์ตามประสงค์ เช่น การฝึกมีสติรู้ตัวในฝันที่สมจริง (Lucid Dreaming) การฝันร่วมกัน (Mutual Dreaming) การใช้ฝันเพื่อเยียวยารักษา (Healing Dreaming) ฯลฯ จริงจังขนาดตั้งเป็นสถาบันวิจัยพัฒนากันใหญ่โตทีเดียว

สรุปว่าความฝันก็สำคัญไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ไม่ต้องเอาอะไรที่กล่าวมาข้างต้นเลยก็ได้ อย่างน้อยคุณคงเคยได้ยินข่าวโจรกลับใจมอบตัว เพียงเพราะฝันร้ายเห็นผีเหยื่อมาทวงแค้นทุกคืน หรือคุณอาจเจอมากับตัวเอง ประเภทต้องย้อนกลับไปหาคนรักเก่า เพียงเพราะทนอารมณ์พิศวาสแทบขาดใจในฝันหวานไม่ไหว หลายครั้งความฝันอาจเปลี่ยนวิธีที่คุณใช้ชีวิต หรือเปลี่ยนการตัดสินใจของคุณได้ จึงไม่ควรดูแคลน หรือมองว่าเป็นเรื่องเล็กที่สักแต่ผ่านไปชั่วคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝันเดิมๆที่เกิดขึ้นบ่อยๆ และจูงจิตให้ปักใจเชื่อว่านั่นเป็นโลกที่สองของคุณ

ยิ่งถ้าเป็นความฝันที่เกี่ยวกับการพัฒนาจิตวิญญาณ อันนั้นยิ่งต้องถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เพราะหมายถึงว่าคุณจะได้ใช้ชีวิตนี้เป็นประตูสู่ความพ้นทุกข์ หรือหลงวนติดกับอยู่กับวงจรลวงใจเดิมๆ เท่าที่ผมฟังมา นักปฏิบัติธรรมมากรายเล่าว่าตนเองได้วิธีฝึกจิตมาจากพระพุทธองค์หรือเทพพรหมที่มาสอนในฝัน ชาวบ้านธรรมดาหลายรายเปลี่ยนเป็นคนทรงเจ้าเพียงชั่วข้ามคืน โดยอ้างว่า ‘นายเก่า’ มาตามตัว และขอใช้ร่างเพื่อเป็นช่องทางให้ช่วยเหลือมนุษย์เพิ่มบารมี (หรือแปลอีกทีคือหาบริวารเพิ่ม)

ฟันธงกันแบบตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ของพวกนี้มีครับ ที่เป็นเรื่องจริง ไม่ได้อุปาทานไปเอง แต่ส่วนใหญ่โดนสะกดจิตหมู่ ช่วยกันสร้างอาณาจักรในฝันตามรูปแบบที่พากันปักใจเชื่อ แล้วก็เลยพากันฝันเห็นอะไรเหมือนๆกัน หรือคล้ายๆกัน หรือกระทั่งเหมือนได้ไปเจอและพูดคุยกันในอีกโลกหนึ่ง ทั้งที่จริงเป็นโทรจิตผ่านฝัน หรือผ่านภาวะสมาธิที่เชื่อมถึงกัน ซึ่งล้ำสมัยเหนือเทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไร้สายที่ว่าเร็วสุดขีดในปัจจุบัน เพราะในการสื่อสารทางจิตขณะฝันนั้นคุณจะเห็นภาพและเสียงเป็นสามมิติคมชัดไร้ที่ติ ในขณะที่เทคโนโลยีโลกเสมือนผ่านการสื่อสารไร้สาย ยังห่างไกลจาก พ.ศ. ๒๕๔๙ ไปหลายสิบปี

ฝันอันน่าติดใจบางเรื่องอาจดึงดูดให้หลายคนติดอยู่ใน ‘โลกใบที่สอง’ ซึ่งจิตสร้างขึ้นมาเองขณะหลับ พวกนี้อาจเกิดขึ้นได้น้อย เพราะอย่างที่บอกว่าคนเราไม่ค่อยเชื่อความฝันชั่วครู่ชั่วคราว แต่บางคนบทจะเชื่อขึ้นมาก็ถึงขั้นที่จิตสร้างฝันแบบเดิมให้เสพได้เกือบทุกคืนเลยทีเดียว พวกอารมณ์รุนแรง ความตั้งใจเด็ดเดี่ยวมากๆมักทำกันได้ครับ

เกริ่นเสียยาว ไม่ใช่อะไร อยากปูพื้นเสียก่อนว่าจิตขณะฝันไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอย่างที่คิด แต่ก็ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นจนเกินเลย เอาล่ะ! วกกลับมาตอบให้ตรงคำถามเสียที ขอแจงเป็นข้อๆนะครับ

๑) ความแจ่มชัดสมจริงของฝันไม่ได้แปลว่าฝันเป็นความจริงเสมอไป มันอาจหมายความว่าจิตของคุณนิ่ง มีคุณภาพ มีความสว่างเป็นกุศล เช่นบางคนอ่านหนังสือธรรมะเสร็จแล้วหลับทันที ก็อาจเกิดปรากฏการณ์ทางจิตได้หลากหลาย ขอให้ทำความเข้าใจว่า ‘เรื่องจริง’ ที่เกิดขึ้นแน่ๆคือจิตดีๆนั่นเอง ส่วนเหตุการณ์ในฝันไม่ต้องไปนับก็ได้ว่าจริงเท็จอย่างไร เพราะแก่นสารของชีวิตคุณอยู่ที่จิตเป็นกุศลหรืออกุศล เมื่อหลับด้วยกุศลจิตได้ก็น่าดีใจเหนือสิ่งอื่นใดแล้ว

๒) คำแนะนำดีๆ ถ้าดีจริงและสอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้มาจากฝันก็หาใช่ข้อน่ารังเกียจแต่อย่างใด หากเป็นกำลังใจให้คุณอยากบำเพ็ญทานบารมี ศีลบารมี หรือกระทั่งภาวนาบารมี ก็ถือว่าเป็นนิมิตมงคลอันประเสริฐสำหรับตัวคุณเอง ต่อให้คุณฝันว่าคุยกับม้าพูดได้ แล้วม้าให้ข้อคิดอันวิเศษ นำไปใช้ได้จริง เชื่อม้ามันเสียหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก ยิ่งถ้าฝันว่าคุยกับคน ก็คงไม่น่าประดักประเดิดที่จะนำมาพิจารณาบ้าง

๓) ผมไม่เคยส่งตัวเองเข้าไปในฝันของคนที่ไม่เคยพบหน้ากัน ฉะนั้นสิ่งที่คุณเห็นในฝันไม่ใช่ ‘ตัว’ ของผม ในขณะที่คุณเห็นผมคุยด้วย ผมอาจกำลังนอนหลับสนิท อาจกำลังนั่งสมาธิเพลินๆ หรืออาจกำลังยืนบิดเอวแก้เมื่อยจากการทำงานหลังขดหลังแข็งอยู่ก็ได้

๔) หากพบว่าสิ่งที่ผมพูด ไม่ใช่อะไรที่คุณเคยได้ยินจากใคร ไม่ใช่กระทั่งข้อเขียนต่างๆของผมในโลกความจริง อันนี้มีความเป็นไปได้หลากหลายครับ แต่ที่น่าจะเป็นมากกว่าอย่างอื่น คือจิตของคุณเองคุยกับตัวเอง โดยเอาผมไปเป็นหุ่นแทนอีกภาคหนึ่งของคุณ

ข้อสุดท้ายนี้ต้องขยายความ และถ้าจะจาระไนกันจริงๆก็คงได้เนื้อความหลายสิบหน้า เอาเป็นว่า ณ ที่นี้พูดแค่สั้นๆว่า เนื้อความทั้งหมดที่คุณอ่านจากหนังสือหรือข้อเขียนใดๆของดังตฤณ ล้วนแล้วแต่ไหลมาจากจิตของผม เมื่ออ่านบ่อยหน่อยถึงจุดหนึ่ง ก็อาจกล่าวว่าคุณสัมผัส ‘กระแสจิตของผม’ ได้

หลายคนอาจรู้สึกเหมือนคุยกับผมต่อหน้าต่อตากันมานาน สะสมแนวคิดและมุมมองของผมไว้ไม่น้อย อันนั้นก็เข้าไปเป็นข้อมูลที่จิตของคุณหยิบจับมาปรุงต่อได้พิสดารสารพัด บางคนเห็นผมตอบคำถามไขข้อข้องใจในฝันได้เป็นฉากๆ ตื่นขึ้นมายังจำได้สนิท นั่นก็เป็นความฉลาดทางจิตของคุณเอง เป็นปัญญาที่เกิดจากการสั่งสมความสว่างและแง่คิดตามจริง

เมื่อใดจิตมีคุณภาพ พร้อมจะมีเหตุผล พร้อมจะรู้เห็นโลกตามจริง เมื่อนั้นจิตย่อมมีคำตอบแก้ข้อสงสัยให้ตัวเองได้เสมอ อาจด้วยการหยั่งรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลกันตลอดสาย

ความฉลาดขณะหลับฝันนั้น เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครค้นคว้าวิจัยกัน แต่บอกได้อย่างหนึ่ง คือถ้าก่อนหลับคุณสั่งสมกุศลอันเป็นธรรมชาติสว่างไว้มาก ฝึกที่จะมองและยอมรับชีวิตตัวเองตามหลักกรรมวิบาก ตลอดจนฝึกที่จะมองและรู้เห็นกายใจตนเองโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่น่ายึดมั่นถือมั่น เมื่อลงสู่ความหลับอย่างมีสติ คุณอาจพบขุมทรัพย์ทางวิญญาณอันล้ำค่า

ในอีกทางหนึ่ง เพื่อให้คำตอบครอบคลุมความจริงทั้งหมด ผมอยากช่วยยืนยันว่าบางกรณี มีครูบาอาจารย์ หรือมีเทพมาเข้าฝันได้จริงๆ กลทางจิตไม่ใช่เรื่องยากนักสำหรับผู้ทรงฌาน คือแค่กำหนดดูวาระจิตอันเป็นปัจจุบันขณะของคนที่ต้องการติดต่อ และรู้ว่าเขากำลังอยู่ในสภาพ ‘พร้อมจะเห็นนิมิต’ อย่างเช่นกำลังหลับไหล หรืออย่างเช่นกำลังเข้าสมาธิได้สว่างนิ่ง ผู้ทรงฌานก็เพียง ‘เชื่อมต่อ’ จากจิตถึงจิตด้วยการนึกว่าจะให้เขาเห็น คงคล้ายกับที่คุณแอบย่องมาข้างหลังใครแล้วเพ่งนึก เหมือนสะกิดให้เขารู้สึกถึงการมาของคุณ หันมาเห็นคุณนั่นแหละ เพียงแต่อำนาจจิตขั้นสูงจะทำได้ยิ่งกว่า ‘สะกิดให้รู้สึก’ เยอะ

เมื่อกล่าวว่าเป็นไปได้จริง ก็ขอกล่าวในอีกทางหนึ่ง คือกรณีของเรียนรู้วิธีฝึกจิตหรือปฏิบัติธรรมจากในฝัน เช่นเห็นพระพุทธเจ้าหรือพระชื่อดังรูปใดมาสอน อันนั้นผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องปลอดภัยนัก เพราะโอกาสเสี่ยงไปเข้าทางมิจฉาทิฏฐิ มีสูงกว่าเข้าทางสัมมาทิฏฐิ จากที่ฟังคำให้การของผู้เรียนกรรมฐานจากครูบาอาจารย์ในฝัน ปรากฏว่า ๙ ใน ๑๐ เป็นอุปาทานเข้าข้างตัวเองที่ไม่รู้ตัว หรือแม้จะเจอ ‘ของสูงมาจริง’ ก็หาใช่นำไปสู่ความพ้นทุกข์เด็ดขาด แต่จะมาชวนให้ไปเป็นบริวารของท่านเสียมากกว่า

ยกตัวอย่างเช่นครูบาอาจารย์ในฝันมักเริ่มต้นด้วยการแนะนำให้รู้จักกับนิพพาน ส่วนใหญ่จะเห็นเหมือนแดนสุขาวดี มีปราสาทวิมานแก้ว มีดอกบัวสะพรั่ง มีบรรยากาศสงบเยือกเย็นน่าเป็นสุขเหลือประมาณ หรืออีกทีก็เห็นว่านิพพานเป็นอวกาศ มีตัวเองลอยเท้งเต้งอยู่อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร ตื่นขึ้นมาแล้วบ่นอุบว่านิพพานไม่เห็นมีอะไร น่าเบื่อจะตาย ผมฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจครับ พวกที่เชื่อว่าตนมีเทพพรหมมาโปรดถึงในฝันนั้น พูดบอกหรือชี้แจงให้เข้าใจยาก เนื่องจากหลงนึกว่าตัวเองมีดีเหนือมนุษย์เสียแล้ว

ถ้าจะเรียนกรรมฐาน ขอแนะนำให้เรียนกับครูบาอาจารย์ที่มีชีวิต มีความสามารถแสดงเหตุผล และคุณสามารถนำไปสอบเทียบกับพระไตรปิฎกได้ ว่าถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนเพียงใด วันหนึ่งเมื่อคุณรู้จักนิพพาน คุณจะรู้ว่าไม่มีรสอะไรเหนือกว่านั้นอีกแล้วจริงๆ และนิพพานก็เป็นสิ่งที่สัมผัสรู้ได้ด้วยจิตขณะตื่นเต็ม ไม่ใช่ต้องหลับฝันหรือพึ่งบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเสียก่อน จิตอันบำเพ็ญบารมีครบพร้อมแล้วนั่นแหละ ที่จะพบว่านิพพานอยู่ใกล้แค่เอื้อม ขอแค่มองชีวิตจริงให้ถูก มองชีวิตจริงให้เป็นเท่านั้น

หลังจากอ่านคำตอบจบ คืนนี้คุณอาจฝันเห็นอะไรต่ออะไร ก็ขอแนะนำไว้ล่วงหน้า ว่าให้ถือเป็นกำลังใจ แต่อย่ายึดไว้เป็นอุปาทานนะครับ

วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

บทสวดอิติปิโส คำแปล และเสียงสวดคุณดังตฤณ


ที่มา : หนังสือ "วิปัสสนานุบาล"
เขียนโดย : ดังตฤณ

ดาวน์โหลดอีบุ๊กฟรี: http://www.dungtrin.com/resources/vipassana.pdf
สั่งซื้อออนไลน์: เล่มละ ๒๙ บาท http://bit.ly/1hgV5Ti
ดูวิธีสั่งซื้ออย่างละเอียดได้ที่ http://bit.ly/1iISnJz

บทสวดอิติปิโส




คำแปลอิติปิโส

พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น
เป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง 
เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติ 
เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง
เป็นผู้รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานด้วยธรรม
เป็นผู้มีความเจริญ สามารถจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์
เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ไม่มีใครยิ่งไปกว่า

พระธรรม
เป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
เป็นสิ่งที่ผู้ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง
เป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้จริงไม่จำกัดกาล
เป็นสิ่งที่ควรกล่าวแก่ใครๆว่า ท่านจงมาดูเถิด 
นี่คือสิ่งที่ควรน้อมเข้ามาใส่ตน
เป็นสิ่งที่รู้ได้เฉพาะตน

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติดีแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม
อันเป็นเครื่องออกจากทุกข์แล้ว
พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ปฏิบัติสมควรแล้ว
ได้แก่ อริยบุคคล ๔ คู่ นับเรียงตัวบุรุษได้ ๘ บุรุษ
พระสงฆ์เหล่านั้นแหละ 
เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา 
เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ 
เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา
เป็นผู้ควรแก่การทำอัญชลี
เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า



เสียงสวดอิติปิโส

เชิญรับฟังเสียงสวดคุณดังตฤณ ได้ที่ :
(เสียงสวดเริ่มต้นนาทีที่ ๕.๒๑)



วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อาชีพค้าขายสุรา มีวิบากกรรมอย่างไร?

ถาม : ผู้ที่ทำอาชีพค้าขายสุราจะได้รับวิบากกรรมในด้านใด? อย่างไรบ้าง? และจะมีอกุศลวิบากที่ส่งผลเฉพาะต่อการปฏิบัติธรรม หรือเข้าถึงธรรมอย่างไรบ้าง?
 
ดังตฤณ: 
อันดับแรกเลยก็อยากจะบอกว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็น "มิจฉาวณิชชา" หรือว่าการค้าขายที่ผิดที่ไม่ดี ก็มีสุรารวมอยู่ในนั้นอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการขายเนื้อ เป็นการค้ามนุษย์ เป็นการขายยาพิษ เป็นการขายสุรา เป็นการขายอาวุธ เหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นมิจฉาวณิชชาทั้งสิ้น

มิจฉาวณิชชาคือ พูดง่ายๆว่า
ค้าขายไปแล้ว มันได้กำไรทางโลกแต่ขาดทุนทางธรรม !

คิดง่ายๆเลย ทีนี้ผมก็อยากจะให้มองอย่างนี้ด้วยว่า การขายเหล้ามันมีหลายระดับ บางคนเนี่ยตั้งใจเปิดร้านเหล้าเลย ชัดๆเลย ไม่ใช่แค่ให้คนมีการกินเหล้าย้อมใจ แต่เอาผู้หญิง เอาบรรยากาศมาย้อมใจให้มึนเมา มัวเมา ลุ่มหลงไปในทางที่ต่ำ ในทางที่มืดชัดๆด้วย

แต่บางคนก็เปิดร้านเล็กๆ เป็นร้านชำแล้วขายเหล้าด้วย ตัวการคัดกรองเหล้าเข้ามาเป็นสินค้าเนี่ย ใจมันก็ค่อนข้างจะยึดพอสมควรว่า ร้านเราขายเหล้า ร้านเราทำกำไรด้วยการขายเหล้า อันนี้ก็เป็นอีกระดับหนึ่งนะ คือเบาลงมากว่าการที่ไปสร้างบรรยากาศย้อมใจเหมือนข้อแรก แต่ว่ามันก็ยังหนักอยู่ เพราะว่าจิตมันยังเล็งไปที่เหล้าอยู่ เห็นเหล้าเป็นสินค้าเด่นๆชัดๆอยู่ และเป็นตัวทำกำไรอยู่

ยกขึ้นมาอีกระดับหนึ่งอย่างพวกโรงแรม หรือว่าสถานบริการที่มีความหลากหลายอย่างเนี่ย เขาก็ให้การขายเหล้าเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ใจมันจะไม่เข้าไปเกาะอยู่มากกับกิจการค้าเหล้า คือจะดูแลให้สถานพัก สถานบริการ มันเป็นไปตามธรรมชาติของสถานที่ประเภทนั้นๆ มากกว่าที่จะคิดว่าจะให้ของๆเรามันเป็นร้านขายเหล้า นี่ก็จะเบาลงมาอีกระดับหนึ่ง

ผมอยากจะบอกว่าคือ ขายเหล้าเนี่ยยังไม่ได้ตัดสินว่าจะไปดีหรือไปไม่ดี มันขึ้นอยู่กับว่าเราเน้นแค่ไหนกับการขายเหล้า อีกอย่างหนึ่งคือ เราขายเหล้ามีการชักชวนหรือเปล่า มีการโน้มน้าวหรือเปล่าด้วย ถ้ามีการโน้มน้าวอย่างเช่นทุกวันนี้ ก็จะเห็นขบวนการเชียร์เบียร์ คนไม่อยากกินก็ไปทำให้เขาอยากกินขึ้นมา ด้วยการเอาขาอ่อนไปล่อ หรือว่าไปทำตาหวานๆ แล้วก็กินไหมคะ ถ้าไม่กินก็ทำคล้ายๆปากเบะนิดนึง ไม่กินเหรออะไรแบบนั้น ก็เป็นอะไรที่อยากจะให้เข้าใจว่า มันมีระดับของการขายเหล้าแตกต่างกัน

แล้วทีนี้เรามาเล็งว่า ผลกับผู้ที่กินเหล้าคืออะไร?

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้ากินเหล้ามากๆ ระดับที่เป็นขี้เมานะ คือแอลกอฮอล์เข้าไปในสายเลือด ขนาดว่าได้กลิ่นแอลกอฮอล์มาจากลมหายใจเลย ระดับนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า คงไม่พ้นนรก เพราะว่าจิตใจมันถูกย้อมให้ลงสู่ที่ต่ำ คนที่เป็นขี้เมาดูง่ายๆเลย พูดจามันออกทางต่ำหมดแหละ มันไม่ค่อยจะพูดจากันเรื่องสูงๆหรอก พูดกันเรื่องต่ำๆ แล้วก็ด่ากันหยาบๆคายๆ แล้วก็มีชัดเจนเลยคือว่า โมโหร้าย โมโหอาละวาดอะไรแบบนี้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า โทษสถานเบาของการเคยเป็นนักเลงสุรา ร่ำสุราไว้มากๆ โทษสถานเบาก็คือว่า ถ้ากลับมาเกิดในมนุษยโลกอีกครั้งจะเป็นบ้า คือจิตใจจะฟุ้งซ่านจัดมาก คิดอะไรมันเหมือนกับคิดไม่ออกบอกไม่ถูก พูดง่ายๆว่า โง่เพราะพิษสุราข้ามชาติ นี่ตรงนี้นะเป็นสิ่งที่นักเลงสุราเขาจะได้รับกัน

แล้วคิดดูก็แล้วกันว่า คนที่ยุยงส่งเสริม หรือว่าเอาสุรามาทำให้เขาต้องเป็นบ้า มันจะเป็นอย่างไร มันก็ออกแนวเดียวกันแหละ วันหนึ่งมันก็ต้องมีคนมายุให้เราเป็นบ้า วันหนึ่งมันก็ต้องมีคนมายุให้เราทำลายสติตัวเอง จะโดยทางใดทางหนึ่งก็ตาม วันหนึ่งก็คงมามีใครทำให้เราลุ่มหลงมัวเมา มันมาด้วยกันเลยเห็นไหม



คือเหล้ามันทำให้สติขาด แล้วก็ทำให้เกิดความมัวเมา ทำให้เกิดความมัวหมอง แล้วไอ้อะไรที่มันเป็นเครื่องประกอบของความมัวเมา ความมัวหมอง ไม่ว่าจะเป็นขาอ่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทะเลาะวิวาท มองหน้ากันนิดเดียวในร้านเหล้าสามารถฆ่ากันได้ จิ้มกันได้ ทั้งหลายทั้งปวงแล้วก็คือว่า อะไรที่มันเกี่ยวข้องกับทางต่ำ มันก็ดึงลงต่ำได้หมดแหละ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะทำหนักทำเบาแค่ไหน

________________

คลิกที่บทความเพื่ออ่านต่อ :