วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คุณดังตฤณนำสวดมนต์ก่อนจบรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน

ดังตฤณ     :  เอาล่ะก่อนจากกัน ก่อนไปนอนต่างคนต่างแยกย้าย เราก็มาฟังเสียงสติเวอร์ชั่นช่วยสวดมนต์นะครับ 

ฟังไปด้วยต้องใช้หูฟังนะครับ ฟังไปด้วยแล้วก็เราสวดอิติปิโสไปด้วยกันนะครับ เหตุผลเพราะว่า ผมออกแบบเสียงนี้มา เพื่อช่วยจังหวะแล้วก็การเปล่งเสียง แล้วก็การมีจิตอาศัยพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้งเป็นสรณะนะครับ 

พอสวดแล้วเนี่ย จะพบกับความสงบอย่างรวดเร็ว แค่ตั้งใจสวดด้วยอาการที่อยากจะถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชา ไม่ได้มีความคาดหวัง ไม่ได้จะขอพร ไม่ได้จะสวดให้เกิดอะไรขึ้นมามากไปกว่าถวายการบูชานะครับ เอาล่ะมาเริ่มกันเลย

คุณดังตฤณนำสวดมนต์โดยใช้ ))เสียงสติ(( เวอร์ชั่นช่วยสวดมนต์

ก็ผ่านไปนะครับ ย้ำอีกทีว่า วันที่ ๓๑ ธันวาคม เรามาสวดมนต์กันแบบนี้แหละ แต่ว่าเป็นการสวดมนต์ข้ามคืน เอาสักเจ็ดรอบนะครับ 

หรือถ้ามีเสียงเรียกร้องอาจจะ ณ วันนั้น ณ คืนนั้น ถ้าอยากสวดต่ออีกก็อาจจะตามใจกันนะครับ (ยิ้ม) ถ้ามีความสุขในวันขึ้นปีใหม่ด้วยกัน ด้วยบุญด้วยกุศลอย่างใหญ่นะครับ มันก็คงจะเป็นความผูกพัน 

หรือว่าความรู้สึกที่ดีต่อกันไปอีกนานนะครับ มันไม่ใช่แค่ปีเดียวหรอก แต่ว่าอาจจะได้รู้สึกว่า เออเนี่ยยังมีชาวพุทธที่นับถือพระพุทธเจ้า นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ 

แล้วก็มีใจที่สว่างร่วมกัน รู้สึกดีต่อกัน แล้วก็ไม่ต้องมีพันธะเงื่อนไขอะไรที่มันผูกมัด ที่จะต้องทำโน่นทำนี่ให้กันนะครับ 

แต่เป็นพันธะที่มีกับกุศลความสว่าง แล้วก็ความเป็นพุทธในตัวเอง ช่วยกันสืบทอดความเป็นพุทธให้ยังยั่งยืนสืบไปในโลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับจะทำให้แสงสว่างมันหรี่น้อยลงเต็มทีเหลือน้อยลงเต็มที 

เรายังมีความสว่างอยู่ด้วยกันด้วยใจ ด้วยธรรมะที่เราเข้าถึงแล้วก็เข้าใจไปด้วยกันนะครับ

เอาล่ะครับคืนนี้ขอล่ำลากันที่ตรงนี้ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ช่วง                              คุณดังตฤณนำสวดมนต์ก่อนจบรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ระยะเวลาคลิป          ๕.๓๑ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=Jl1H7PugUK8&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=1


สามีภรรยาไปปฏิบัติธรรมสมาทานศีล ๘ แล้ว เดินไปไหนมาไหนกันได้ไหม นั่งทานข้าว นั่งสมาธิ ติดกันได้ไหม?

ดังตฤณ     :  คิดว่าคงเป็นคำถามสุดท้ายก่อนแล้วจะได้สวดมนต์ด้วยกันนะครับ นี่แหละที่เมื่อกี้ ผมพูดถึงนะว่าเป็นเสียงสติเวอร์ชั่นที่ช่วยสวดมนต์โดยเฉพาะนะครับ เดี๋ยวจะเปิดให้ฟังแล้วทดลองดูนะ สวดไปด้วยกัน แล้วลองขึ้นต้นรู้อิริยาบทนั่งนะครับ แล้วก็สวดอิติปิโสไปด้วยกัน แล้วก็ฟังเสียงสติไปด้วยนะครับ ลองดูว่ามันจะสงบนิ่งได้ไหมในระหว่างสวด

 

คำถามสุดท้ายนะครับบอกว่า สามีภรรยาไปปฏิบัติธรรมสมาทานศีลแปด แล้วเดินไปไหนมาไหนกันได้ไหม นั่งทานข้าวินั่งสมาธิติดกันได้ไหม?

 

ได้ครับ เพราะว่า คือคุณต้องดูในตัวเองด้วยนะว่า พออยู่ใกล้ๆกันแล้ว มีความรู้สึกพิศวาส มีความรู้สึกหวานซึ้ง มีความรู้สึกเหมือนอาลัยอาวรณ์อะไรกันไหม

 

ถ้าหากว่าอยู่ใกล้กันแล้วมีความคิดในทางหวานแหวว หรือว่าในทางที่มันจะเป็นกิเลสๆขึ้นมาก็ไม่ควรนะครับ

 

แต่ถ้าถามว่า มันได้ไหม คือศีลแปดเนี่ยแค่บอกว่า ไม่มีเพศสัมพันธ์ แล้วก็ไม่นอนที่นอนสูง ไม่ไปกินข้าวปลาอาหารหลังเที่ยง คือไม่กินในยามวิกาลเนี่ย ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่า มันหมายถึงช่วงเวลาไหนกันแน่ แต่เอาเป็นว่าถ้าหากเราตั้งใจแค่จะทำให้ตัวเบาจิตเบา เพื่อที่จะเอื้ออำนวยให้ได้นั่งสมาธิ เพื่อที่จะให้ได้เดินจงกรม แล้วก็ปฏิบัติธรรมเจริญสติได้ อันนี้ก็ตรงตามที่สมัยพุทธกาลนะครับคือ มีการให้ฆราวาสไปถือศีลอุโบสถที่วัดบ้างในวันข้างขึ้นข้างแรม พูดง่ายๆว่า เดือนละสี่ครั้ง เพื่อที่จะให้ความเป็นฆราวาสในชาตินั้น ไม่เสียเปล่าไปกับการกินอยู่บริโภคกามนะครับ

 

แต่ว่าได้ถางทางให้ตัวเองได้รู้จักทางสว่าง ทางที่จะปฏิบัติธรรมเหมือนกับพระท่านบ้าง เนี่ยอย่างบางทีก็มีการถกเถียงกันว่า คนสมัยพุทธกาลเขาปฏิบัติธรรมกันหรือเปล่า

 

เป็นฆราวาสสามารถปฏิบัติธรรมได้ไหม ก็ดูจากตรงนี้แหละ มีธรรมเนียมที่ว่า ถ้าใครสะดวกก็ให้ไปปฏิบัติธรรมที่วัด ไปนอนค้างเลยนะครับ แล้วก็ถือศีลแปด

 

ทีนี้ถือศีลแปด ก็ไม่ได้กำหนดนะว่า จะต้องอยู่กับผัวเมีย หรือว่าแยกกันไปต่างหาก มันขึ้นอยู่กับว่า ใจของคุณเข้าใจไหมว่าปฏิบัติธรรมไปเพื่ออะไร เพื่อความมีตัวเบาใจเบา

 

แล้วก็ที่ถือศีลแปดไป จะไปปฏิบัติยังไงต่อ นั่งสมาธิทำยังไง เดินจงกรมทำยังไง เพราะสมัยนี้เนี่ย คือผมเห็นเยอะมากเลยนะ ที่บอกว่าถือศีลแปด แต่ไม่เข้าใจอะไรเลยนะครับ ไปอดข้าว แล้วนึกว่าได้บุญแล้วเนี่ยมันไม่ใช่แบบนั้นนะครับ

 

ต้องดูดีๆนะ ลองหาดูในพระไตรปิฎกนะครับ คำว่า “ศีลอุโบสถ” ความหมายก็คือ ไปถือศีลแปดที่วัด แล้วก็มีวัตรปฏิบัติ มีการปฏิบัติตนให้สอดคล้องไปในทางที่จะช่วยให้เห็นกายใจโดยความเป็นสภาวธรรมนะครับ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ถอดถอนอุปาทานออกไป

 

จะได้มากได้น้อยขึ้นอยู่กับว่า ใครจะมีวาสนามีปัญญามีอินทรีย์แก่กล้าเพียงใด แต่ว่าการถือศีลแปด เป็นแค่ตัวฐานการรองรับที่จะเกื้อกูลนะ พอมีเนื้อตัวเบาแล้วก็จะอยากนั่งสมาธิ นั่งได้นาน นั่งได้แบบมีสติตื่นนะครับ อันนี้ก็เป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการถือศีลแปดนะครับ

 

บางคนก็มาพะวงอยู่แค่ตรงที่ว่า ทำยังไงจะถือศีลแปดให้ถูกเป๊ะ ไอ้นั้นได้ไหม ไอ้นี่ได้ไหม แต่เสร็จแล้วเนี่ยไม่ได้ถามเลย คือคนยุคเรานะอันนี้ไม่ได้บอกถึงเจ้าของคำถามนะครับ คนยุคเราเนี่ยถามแค่ว่า ถือศีลไปข้อนั้นข้อนี้เนี่ยถูกรึเปล่า มันเป๊ะรึยัง แต่ไม่มีคำถามเลยว่า พอถือศีลแปดไปแล้วควรไปทำอะไรต่อ ตรงนี้จะถือว่าพลาดหัวใจสำคัญของการถือศีลแปดกันเลยทีเดียว นะครับ

 

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         สามีภรรยาไปปฏิบัติธรรมสมาทานศีล ๘ แล้วเดินไปไหนมาไหนกันได้ไหม
                              นั่งทานข้าว นั่งสมาธิ ติดกันได้ไหม?
ระยะเวลาคลิป          ๕.๑๙ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=x3m1KcsanD0&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=5


อยากใช้การสวดมนต์เป็นเครื่องฝึกสติ ควรกำหนดจิตอย่างไร ควรวางใจไว้ที่เสียงที่เปล่งหรือที่ริมฝีปากขยับได้ไหม?

ดังตฤณ     :  ถ้าจากประสบการณ์นะครับคือ เราจะมีสติรู้การสวดมนต์ได้ เมื่อมีการรู้ท่านั่ง หรือว่ารู้อิริยาบทปัจจุบันก่อน

ถ้าหากว่ารู้อิริยาบทปัจจุบันได้ชัดนะครับ แล้วก็เห็นว่า อิริยาบทนี้กำลังเปล่งเสียงสวด มีการขยับปากมันจะมีสติที่ตั้งอยู่บนจิตที่มันใหญ่

แต่ถ้าหากว่า เราจี้เข้าไปเพ่งว่าจะสวดอิติปิโสหรือว่าอะไร แล้วมีแต่การอยู่กับถ้อยคำ หรือว่าอยู่กับที่ริมฝีปาก มันจะทำให้จิตมีความค้บแคบ มีความเล็กนะครับ

ผมออกแบบเสียงสติเวอร์ชั่นนึง เป็นเวอร์ชั่นช่วยสวดมนต์ ลองเอามาฟังดูไปด้วยแล้วก็สวดไปด้วย จะพบว่าฟุ้งซ่านน้อยลง หลายคนยืนยันนะครับว่า มันทำให้ใจไม่วอกแวกขณะสวดมนต์ คือเวอร์ชั่นนั้น(เสียวสติเวอร์ชั่นสวดมนต์) ฟังอย่างเดียวไม่ได้นะครับ ต้องฟังไปด้วยแล้วก็สวดไปด้วย ไม่งั้นจะปวดหัว แต่ถ้าฟังไปด้วยสวดไปด้วย มันจะเป็นเย็น แล้วก็มีความสงบพอดีอยู่ในสมดุลพอดี

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         อยากใช้การสวดมนต์เป็นเครื่องมือในการฝึกสติ
                              เวลาสวดมนต์ควรวาง/กำหนดจิตอย่างไร หากเปิดหนังสือท่องบทสวด
                              ควรวางใจไว้ที่เสียงที่เปล่งหรือที่ริมฝีปากขยับได้ไหม?
ระยะเวลาคลิป          ๑.๓๖ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=HbhPrIgoerY&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=6

ช่วยแนะนำวิธีที่จะทำให้หายหงุดหงิด เช่นเห็นบ้านรก ลูกไม่เก็บของ ตัวเองจะบ่นยาวและนาน สติหลุดควรมีมุมมองอย่างไร?

ดังตฤณ     :  อันนี้คือตัววิธีการที่จะได้ผลทันที มันอาจจะไม่ได้มีอุบายแบบใดแบบหนึ่งอยู่นะครับ แต่มีสิ่งที่เราจะสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ พิสูจน์ได้ว่า เออมันเป็นไปในทางที่ดีขึ้น

นั่นคือ ทุกครั้งก่อนที่จะกลับมาบ้าน เราเตือนตัวเองก่อนว่า เดี๋ยวกำลังจะไปเจออะไร นึกขึ้นมามีสติขึ้นมาว่า เออเนี่ยเรากำลังจะเข้าบ้าน เรากำลังจะเข้าใกล้หนามแหลมๆ ทิ่มแล้วตำแล้วเนี่ย เราจะเกิดอาการโว๊กว๊ากขึ้นมา เราจะเกิดอาการเหมือนกับจิตดิ้นรนกระสับกระส่ายขึ้นมา ให้เตรียม ถ้าไม่เตรียมมันก็จะเข้าสู่ความเคยชินแบบเดิม แล้วสมองมันก็จะเข้าโหมดเดิมนะครับ

แต่ถ้าเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า มันจะมีความรู้สึกว่า เออนี่เดี๋ยวกำลังจะต้องไปเจอกับอะไร พอเตรียมไว้อย่างนี้แล้ว คุณจะพบว่าตัวเองเนี่ย เจอของจริงด้วยอาการของคนที่ระวังตัวไว้ก่อน ซึ่งโอเคอันนั้นน่ะคุณอาจจะบอกว่า เออมันก็ไม่ใช่สติของจริงนะสิ ก็ยังไม่ใช่นะครับ แต่คุณต้องรู้ตัวไงว่า สติของคุณยังมีกำลังไม่พอกับการเจอของจริง

แต่สติของคุณ จะมีความพรักพร้อมมากขั้น ถ้าหากว่าเตรียมไว้ล่วงหน้า บอกมันไว้ล่วงหน้า บอกจิตไว้ล่วงหน้าว่า กำลังจะเจอกับอะไร แล้วพอเจอกับสิ่งนั้นจริงๆ เหมือนกับคนที่จะไปโดนหนามแหลม ถ้าอยู่ๆไม่เตรียมตัวเลย โดยเข้านี่มันจ๊ากทันที

มันรู้สึกโอ้โห มันโวยวายขึ้นมาโลกจะแตก แต่ถ้าหากว่า เรานึกไว้ก่อน เออเข้าที่แบบนี้เนี่ยมีสิทธิ์ได้นะเจอหนามแหลมๆ ต้องระวังตัวไว้ มันจะมีอาการเตรียมตัวนะครับ

มันจะมีอาการที่พร้อมจะรับกับความเจ็บปวด พร้อมจะรับกับความเจ็บปวดหมายความว่ายังไง? หมายความว่า พอโดยขึ้นมาจริงๆจะไม่ตกใจมาก จะไม่เกิดอาการสวนเป็นปฏิกิริยาอะไรที่มันสติหลุดนะครับ ยังเจ็บเหมือนเดิม แต่ว่าควบคุมอาการได้ดีขึ้นนะครับ แทนที่จะตกใจ แล้วก็เป๋ไปเป๋มา ยิ่งไปโดนหนามหนักขึ้นหรือว่า จะไปทำให้เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาได้มากกว่าเจอหนามเนี่ย มันก็กลายเป็นว่าคุมสติไว้ได้ แล้วก็มีอาการที่สงบนิ่ง

ตัวนี้พูดง่ายๆว่า คุณเตรียมใจไว้ก่อนเข้าบ้านว่า จะต้องเจอกับอะไรนะครับ แล้วเจอเข้าจริงๆเนี่ย คุณจะเห็นว่าสติของคุณดีขึ้นได้เรื่อยๆ

แล้วก็ต่อไปคือ อาจจะวาดภาพไว้ในใจล่วงหน้าไว้เลยว่า ถ้าเจอของรกในบ้านเราจะจัดการยังไง แล้วก็ลงมือจัดการตามนั้นที่วาดภาพไว้ในใจ อย่างเช่นคิดว่าจะดุลูก ก็ดุในแบบที่เตรียมคำไว้เลยว่า “เอาอีกแล้วนะ” แล้วก็คาดโทษไว้ว่า “ถ้าทำของทำบ้านรกอีกคราวนี้แม่จะไม่ซื้อไอ้นั่นไม่ซื้อไอ้นี่ให้” หรือว่าจะไม่ตามใจอย่างโน้นอย่างนี้อะไรต่างๆเนี่ยนะครับ คิดวางแผนไว้ล่วงหน้า แล้วลงมือทำตามที่วาดไว้ในใจไว้ก่อน พอบ่อยๆเข้า ม้นจะมีความรู้สึกว่า คุณมีกำลังของสติมาคอนโทรล (Control) สถานการณ์ทางใจของตัวเองก่อนที่จะไปคอนโทรล (Control) สถานการณ์ยุ่งเหยิงยุ่งยากภายนอกนะครับ

มันไม่ได้มีวิธีตายตัวนะ แต่ถ้าคุณเตรียมไว้ในใจล่วงหน้า อันนี้มันจะมีลำดับออกมาเอง ตามวิถีชีวิตของแต่ละคน นะครับ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ช่วยแนะนำวิธีที่จะทำให้หายหงุดหงิด เห็นอะไรขวางหูขวางตา 
                              อยากได้มุมมองใหม่ค่ะ เช่นกลับจากที่ทำงานมาเห็นบ้านรก
                              ลูกไม่เก็บของก็ฉุนเฉียว บ่นยาวและนานแบบจับประเด็นไม่ค่อยได้
                              สติหลุด ควรมีมุมมองอย่างไรคะ?
ระยะเวลาคลิป          ๔.๔๖ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=MiprDc-NxCU&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=7

** IG **

เวลาอ่านหนังสือเรียน ทำอย่างไรให้ฟุ้งซ่านน้อยและอยู่กับการอ่านได้นาน?

ดังตฤณ     :  ลองฟังเสียงสติเวอร์ชั่นพร้อมนอนดูนะครับ ระหว่างอ่านหนังสือไปด้วย หลายคนยืนยันว่าช่วยได้จริง นะครับ

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         เวลาอ่านหนังสือเรียน ทำอย่างไรให้ฟุ้งซ่านน้อยและอยู่กับการอ่านได้นาน?
ระยะเวลาคลิป          ๐.๑๙ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=N9oEEU-UDnU&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=8

ฝึกนั่งสมาธิใช้เสียงสติ จะมีอาการวูบตัวจะหงายหลังหรือคว่ำไปข้างหน้า รบกวนขอคำแนะนำ?

ดังตฤณ     :  รู้สึกว่าความฟุ้งซ่านมันน้อยลงไม๊ หัวโล่งขึ้นไม๊ แล้วเนื้อตัวมันเบาสบายลงบ้างไม๊ คืออาการที่จะหลับเนี่ย มันมีได้หลายเหตุผลมากๆ คือถ้าบางคนเป็นประเภทที่ภาวะทางกายภาวะทางใจมันมีความเป็นปมเป็นก้อนอะไรเยอะแยะเนี่ยนะครับ ความฟุ้งซ่านมาก หรือว่าสภาพร่างกายอาจจะสุขภาพไม่ค่อยดีนักอะไรต่างๆ มันจะไม่ได้ช่วยแบบภายในทันทีทันใดนะครับ

แต่จะค่อยๆช่วยไปทีละนิดทีละหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณรู้สึกว่า วันทั้งวันมันฟุ้งซ่านอยู่กับอะไรไม่รู้มาเป็นเวลายาวนาน อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือนที่จะรู้สึกชัดเจนว่า ความฟุ้งซ่านในหัวในชีวิตประจำวัน มันคลี่คลายหรือกระทั่งหายไปนะครับ

ทีนี้ตอนแรกๆเนี่ย ใช้หลักฐานทางร่างกาย แล้วก็ภาวะทางอารมณ์แบบง่ายๆเป็นตัวชี้ก่อนว่า คุณใช้เสียงสติมาได้ผลหรือเปล่า

นั่นก็คือว่า พอตื่นนอนขึ้นมารู้สึกเบา รู้สึกโล่งไม๊นะครับ แล้วตอนหลับไปเนี่ยรู้สึกหลับสบายหลับดี ไม่มีฝันร้ายไม๊ แล้วก็ชีวิตประจำวันมีความรู้สึกว่า มีกระจิตกระใจที่จะกระตือรือร้นอยู่กับสิ่งที่ต้องทำ หรือเป้าหมายที่เราอยากได้ เราอยากเอาเพิ่มขึ้นหรือเปล่า

ถ้าหากว่า มีร่องรอยหรือว่าสัญญาณบอก หรือหลักฐานดีๆเหล่านี้ ให้ใช้ต่อไป แล้วก็สังเกตด้วยว่า เวลาที่เราฟังเสียงสติอยู่ เรามีสติที่จะรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกด้วยไม๊ หรือว่าฟังอย่างเดียว ถ้าฟังอย่างเดียวเนี่ย มันก็จะเหมือนกับไม่มีสติของเรามาช่วยในการทำให้สมองมันเปลี่ยวิธีการทำงาน

แต่ถ้าหากว่า ฟังแล้วจิตใจสบาย เนื้อตัวผ่อนคลาย แล้วก็มีสติที่จะรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆด้วยนะครับ อันนี้มันจะมีความชัดเจนว่า สติของคุณสมองของคุณ จะมีวิธีการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิมนะครับ

มันจะรู้สึกถึงกำลังที่จะเข้าไปรู้ความจริงที่กำลังอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่เหมือนกับเลื่อนลอย แล้วก็ปล่อยให้กิเลสลากไปสู่อดีต หรือว่าฉุดไปในอนาคต พูดง่ายๆว่า สตินะครับตัวบอกเลยสัญญาณบอกเลยคือ คุณจะมีแก่ใจอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น นะครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ฝึกนั่งสมาธิฟังเสียงสติมา ๑ เดือน ๗ นาทีบ้าง ๓๐ นาทีบ้าง
                              จะวูบตลอดเวลาตัวจะหงายหลังบ้าง คว่ำไปข้างหน้าบ้าง 
                              เหมือนจะหลับหรือเปล่าไม่แน่ใจปกติจะนอนน้อย ๕ ชั่วโมง 
                              รบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ?
ระยะเวลาคลิป          ๓.๓๖ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=RgXoVm3Cvq0&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=9

ดาวโหลดแอปเสียงสติในแอนดรอยด์แล้วฟังไม่ได้ ทำอย่างไรดีคะ?

ดังตฤณ     :  ตอนนี้ยังฟังไม่ได้นะแอป (Application) เสียงสติมีปัญหานะครัย มีปัญหาทางเทคนิคมาพักนึงนะครับ เรากำลังทำเวอร์ชั่นใหม่ เป็นเวอร์ที่คราวนี้จะใช้ได้จริง แล้วก็จะต่อยอดพัฒนาไปเป็นอะไรได้อีกมากมายมหาศาล ขอให้อดใจรอ อันนี้เราจะมอบให้เป็นของขวัญปีใหม่ ทันก่อนวันขึ้นปีใหม่ค่อนข้างจะแน่นอนนะครับ

คือจะมีเวอร์ชั่นพอใช้งานได้ก่อนออกมาเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน และจากนั้นจะมีเวอร์ชั่นที่มีฟีเจอร์ (Feature) เพิ่มเข้าไปทีละนิดทีละหน่อยมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเราจะได้เห็นนะครับแอป (Application) เสียงสติปีหน้าจะแตกต่างไปแน่นอนนะครับ แล้วก็หวังว่า จะให้มีความเปลี่ยนแปลงในชาวพุทธหลายๆคนด้วย นะครับ

-------------------------------------------------------------------------------------

วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ดาวโหลดแอปเสียงสติในแอนดรอยด์แล้วฟังไม่ได้ ทำอย่างไรดีคะ?
ระยะเวลาคลิป          ๑.๑๒ นาที

ฟังเสียงสติแล้วใจสุขสบาย ต้องดูลมหายใจพร้อมกับความสุขไหม หรือทิ้งลมหายใจได้ คิดว่าความสุขมันชัดกว่า?

ดังตฤณ     :  ตอนนี้ไม่อยากรื้อฟื้นแต่ว่ากำลังทำคลื่นปัญญา ใกล้เสร็จแล้วนะ ใกล้จวนเจียนเข้าไปเต็มที คือมันต้องใช้เวลาทำนานนิดนึง แล้วก็นั่งแก้ไปแก้มานี่แหละ แล้วมันจะไม่มีแค่เสียงนะครับ คราวนี้มีแอนนิเมชั่นประกอบ แล้วก็เสียงผมเองเนี่ยพากย์ไปด้วยว่า จะเหนี่ยวนำว่าจะให้คนๆนึง เข้ามาดูกายใจตัวเองยังไง แล้วก็เข้าใจถึงลมหายใจโดยความเป็นภาพยังไง อันนี้ผมกำลังทำอยู่ด้วยตัวเองเลย แล้วก็ตอนนี้คิดว่า น่าจะได้อย่างที่ผมต้องการจะให้เห็น

จะสรุปง่ายๆว่า เสียงสติเนี่ยนะครับ ขั้นนี้ตอนนี้ให้ฟังอย่างเดียวเนี่ย มันเป็นการเอาพื้นฐานก่อน เอาความปลอดโปร่งโล่งใจ เอาคลื่นสมองที่มันช้าลง เอาความเข้าใจว่าประสบการณ์การมีสมาธิ การมีจิตใจที่มันเบา ร่างกายที่มันผ่อนคลายเนี่ยหน้าตาเป็นยังไง

แต่ในขั้นตอนไปนะครับ เดี๋ยวผมจะให้เห็นจริงๆเลยว่า คำว่า “สติ” โดยมีการอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องตั้ง เครื่องยกให้จิตให้สติเนี่ย มันเข้ามารู้สภาวะทางกายทางใจตามจริง มันเป็นอย่างไรนะครับ เดี๋ยวพอคลื่นปัญญาเสร็จก็จะได้เข้าใจตรงนี้ชัด

ตรงนี้ขอตอบคำถามก่อนว่า ต้องดูลมหายใจพร้อมกับความสุขไม๊ อันนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในอานาปานสติชัดเจนนะครับ หายใจเข้าเป็นสุข หายใจออกเป็นสุข หายใจเข้ามีปีติ หายใจออกมีปีติ หายใจเข้ามีความปราโมทย์ หายใจออกมีความปราโมทย์ อย่างนี้เนี่ยรู้ไปด้วยเพื่อที่จะให้เห็นไงว่า ในแต่ละลมหายใจ มันมีความแตกต่างของสิ่งที่เกิดขึ้นภาวะที่เกิดขึ้นบ้างไม๊

ลมหายใจนี้มีสุขมาก อีกลมหายใจต่อมาเฉยๆ พอเรารู้เราเห็นว่า แต่ละลมหายใจภาวะความสุข มันไม่ใช่ตัวเดิม มันต่างไปเรื่อยๆ มันแปรปรวนไปเรื่อยๆ เราจะยึดมั่นถือมั่นว่า ความสุขเป็นของเราน้อยลงไปเรื่อยๆเช่นกัน อุปาทานเกี่ยวกับความสุขมันจะหายไป

เมื่ออุปาทานเกี่ยวกับความสุขหายไป เราจะไม่หวงความสุข เราจะไม่คิดว่าความสุขเนี่ยเราเข้าถึงแล้ว เราบรรลุแล้ว หรือว่าเราเป็นเจ้าของมันแล้ว

เราจะเห็นแค่ว่า แต่ละลมหายใจ มันมาพร้อมกับความสุขที่ไม่เท่ากัน แล้วก็ความสุข ความมีปีติอะไรเหล่านั้น ในที่สุดมันต้องแปรปรวน คลี่คลายกลายเป็นอื่น ตรงนี้คือสิ่งที่เราต้องการจริงๆ แล้วตรงนี้แหละคือสิ่งที่เรียกว่า สติแบบพุทธจริงๆ นะครับ

 -----------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ฟังเสียงสติแล้วใจสุขสบาย ต้องดูลมหายใจพร้อมกับความสุขไหม
                              หรือทิ้งลมหายใจได้ คิดว่าความสุขมันชัดกว่า?
ระยะเวลาคลิป          ๓.๓๖ นาที

จริงไหมคนที่ซึมเศร้าไม่ควรนั่งสมาธิ?

ดังตฤณ     :  มันมีทั้งจริงและไม่จริงนะครับ คนที่นั่งสมาธิถ้าหากนั่งถูก ถ้าเข้าใจหลักการทำสมาธิจริงๆ มันก็สามารถที่จะดีขึ้นได้จากการนั่งสมาธินั่นแหละ

แต่ถ้าหากว่า เข้าใจไม่ถูก หรือว่าไปได้วิธีการที่ผิด มันก็อาจจะยิ่งซ้ำเติมให้อาการซึมเศร้าหนักขึ้นได้จริงๆ นะครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอคำ                         แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         จริงไหมคนที่ซึมเศร้าไม่ควรนั่งสมาธิ?
ระยะเวลาคลิป          0.๓๓ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=Bt0KhQNVVrw&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=12&t=0s

เพื่อนโทรมาทุกวันบอกว่าเหงาไม่อยากมีชีวิตอยู่แนะนำหลายอย่างแต่ไม่เอาอะไรเลยไม่รู้จะช่วยอยย่างไร?

คุณดังตฤณนำนั่งสมาธิแผ่เมตตาโดยใช้ ))เสียงสติ(( เวอร์ชั่นปัดเป่าความฟุ้งซ่าน ๗ นาที

ดังตฤณ  :  ก็ผ่านไปนะครับ สำหรับการนั่งสมาธิแล้วก็แผ่เมตตาร่วมกัน โดยอาศัยเสียงสติช่วยนะครับ แจ้งไว้ล่วงหน้านะครับ เดี๋ยวเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม จะไม่มีไลฟ์ แต่ไปไลฟ์คืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม นะครับ อันนี้เป็นครั้งแรกเลยนะครับ จะเป็นครั้งแรกที่ผมจัดสวดมนต์ข้ามปีร่วมกัน เพราะว่าตอนนี้เหมือนกับเป็นธรรมเนียม คือคนเนี่ยจะชอบได้รู้สึกว่าทำบุญอะไรปีใหม่โดยทำให้ปีใหม่เนี่ยเป็นอะไรที่แตกต่าง โดยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ คือ คืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ก็จะสวดมนต์กัน เอาแค่เจ็ดจบก็พอ เพราะว่าแต่ละคนก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะสวดได้แข็ง หรือว่ายืดเยื้อยาวนานนะครับ

แต่เจ็ดจบเนี่ยกำลังดีคือ ถ้าปกติคืนวันเสาร์เราก็จะมาสวดมนต์ด้วยกันหนึ่งจบตอนประมาณสี่ทุ่มเศษๆอยู่แล้ว นะครับ

แต่ว่าคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม จะเป็นครั้งแรก ที่เรามาสวดมนต์ข้ามปีด้วยกัน คืนวันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม ไม่ไลฟ์ แต่ไปไลฟ์เอาคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม แล้วจะข้ามไปวันที่ ๑ มกราคม ในช่วงเวลาประมาณกะไว้ว่าจะเริ่มไลฟ์ประมาณ เดี๋ยวผมแจ้งแน่นอนอีก น่าจะประมาณห้าทุ่มน่ะนะครับ

แล้วก็ไลฟ์สวดมนต์ด้วยกัน พอเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็อาจจะมีถามตอบอะไรอีกนิดนึงเป็นเหมือนกันคุยกันเล่นๆในช่วงปีใหม่ ได้เห็นหน้าเห็นตากัน ได้มาอยู่ด้วยกัน แล้วก็มาทำบุญใหญ่ข้ามปีด้วยกันในช่วงนั้น นะครับ

อันนี้แจ้งไว้ก่อนเดี๋ยวสัปดาห์หน้าจะแจ้งอีกครั้งนึงนะครับ แล้วคืนวันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม จะไม่ไลฟ์นะครับไปไลฟ์เอาคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคมเลย

--------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ช่วง                         คุณดังตฤณนำนั่งสมาธิแผ่เมตตาโดยใช้เสียงสติปัดเป่าความฟุ้งซ่าน
ระยะเวลาคลิป           ๑๑.๐๓ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=-pw08Ohz57c&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=4&t=0s

คุณดังตฤณนำนั่งสมาธิแผ่เมตตาโดยใช้เสียงสติปัดเป่าความฟุ้งซ่าน

คุณดังตฤณนำนั่งสมาธิแผ่เมตตาโดยใช้ ))เสียงสติ(( เวอร์ชั่นปัดเป่าความฟุ้งซ่าน ๗ นาที

ดังตฤณ  :  ก็ผ่านไปนะครับ สำหรับการนั่งสมาธิแล้วก็แผ่เมตตาร่วมกัน โดยอาศัยเสียงสติช่วยนะครับ แจ้งไว้ล่วงหน้านะครับ เดี๋ยวเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม จะไม่มีไลฟ์ แต่ไปไลฟ์คืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม นะครับ อันนี้เป็นครั้งแรกเลยนะครับ จะเป็นครั้งแรกที่ผมจัดสวดมนต์ข้ามปีร่วมกัน เพราะว่าตอนนี้เหมือนกับเป็นธรรมเนียม คือคนเนี่ยจะชอบได้รู้สึกว่าทำบุญอะไรปีใหม่โดยทำให้ปีใหม่เนี่ยเป็นอะไรที่แตกต่าง โดยช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างปีเก่ากับปีใหม่ คือ คืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ก็จะสวดมนต์กัน เอาแค่เจ็ดจบก็พอ เพราะว่าแต่ละคนก็ไม่ได้มีความสามารถที่จะสวดได้แข็ง หรือว่ายืดเยื้อยาวนานนะครับ

แต่เจ็ดจบเนี่ยกำลังดีคือ ถ้าปกติคืนวันเสาร์เราก็จะมาสวดมนต์ด้วยกันหนึ่งจบตอนประมาณสี่ทุ่มเศษๆอยู่แล้ว นะครับ

แต่ว่าคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม จะเป็นครั้งแรก ที่เรามาสวดมนต์ข้ามปีด้วยกัน คืนวันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม ไม่ไลฟ์ แต่ไปไลฟ์เอาคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม แล้วจะข้ามไปวันที่ ๑ มกราคม ในช่วงเวลาประมาณกะไว้ว่าจะเริ่มไลฟ์ประมาณ เดี๋ยวผมแจ้งแน่นอนอีก น่าจะประมาณห้าทุ่มน่ะนะครับ

แล้วก็ไลฟ์สวดมนต์ด้วยกัน พอเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็อาจจะมีถามตอบอะไรอีกนิดนึงเป็นเหมือนกันคุยกันเล่นๆในช่วงปีใหม่ ได้เห็นหน้าเห็นตากัน ได้มาอยู่ด้วยกัน แล้วก็มาทำบุญใหญ่ข้ามปีด้วยกันในช่วงนั้น นะครับ

อันนี้แจ้งไว้ก่อนเดี๋ยวสัปดาห์หน้าจะแจ้งอีกครั้งนึงนะครับ แล้วคืนวันเสาร์ที่ ๒๘ ธันวาคม จะไม่ไลฟ์นะครับไปไลฟ์เอาคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคมเลย

--------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ช่วง                         คุณดังตฤณนำนั่งสมาธิแผ่เมตตาโดยใช้เสียงสติปัดเป่าความฟุ้งซ่าน
ระยะเวลาคลิป           ๑๑.๐๓ นาที
รับชมทางยูทูป            https://www.youtube.com/watch?v=iAbY1PPYvTY&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=5&t=0s

ฟุ้งซ่านจัด ปฏิบัติอย่างไรให้สงบได้เร็ว?

ดังตฤณ  :   สวัสดีครับทุกท่านพบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนนี้มาคุยกันหัวข้อที่หลายคนที่อาจจะเพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมหรือว่า ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยเนี่ยนะ จะมีข้อสงสัยคล้ายๆกันคือ เป็นคนฟุ้งซ่านเหลือเกิน เหตุผลที่อยากปฏิบัติธรรมก็เพราะว่า ตรงนี้แหละจุดนี้เลย คือฟุ้งซ่านจัดแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า รำคาญความคิดของตัวเองจนจะทนไม่ไหวแล้ว

อยากจะหาอุบายวิธียังไงก็ได้ ที่ประเภทเสกปุ๊บ ได้ความฟุ้งซ่านสงบระงับลงปั๊บ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของความต้องการของมนุษย์

คนเราพอยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ก็มักจะนี่แหละเนี่ยตั้งคำถามอย่างนี้เลยนะ ฟุ้งซ่านจัดปฏิบัติยังไงจะสงบได้เร็วๆ มีบังคับด้วยนะว่าต้องเอาเร็วๆ ตัวนี้มันแสดงถึงสภาพของใจที่ยังมีความร้อนรน คือฟุ้งซ่านจัด มันบอกอยู่ในตัวเองอยู่แล้วว่า เป็นคนที่พร้อมจะใจร้อน พร้อมจะมีโทสะ พร้อมจะหงุดหงิดตัวเอง พร้อมจะรำคาญตัวเอง

ทีนี้พอมาตั้งโจทย์ประเภทที่ว่า ปฏิบัติแนวไหน ทำยังไงใช้อุบายวิธีใด แล้วความฟุ้งซ่านมันจะหายไปได้ มันจะระงับลงทันที มันจะกลายเป็นคนที่มีสติสตังเหมือนมนุษย์มนาเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคปัจจุบันของเรา จะมีปัญหากันมากช่วงตอนกำลังจะต้องทำงาน จำเป็นจะต้องคิดอย่างมีสติ และก็ตอนกำลังจะต้องนอน นอนหลับพักผ่อน มันเป็นช่วงที่เราเห็นอย่างที่สุดเลยว่า ถ้ายังถูกความฟุ้งซ่านรบกวนจิตใจอยู่ มันจะไปต่อไม่ได้ คิดงานก็จะคิดได้แบบมั่วซั่วเละเทะ

หรือตอนนอน ก็จะฟุ้งกระเจิดกระเจิง จนกระทั่งรู้สึกทรมานหลับไม่ได้ หลายคนบอกเนี่ยมันต้องหลับเดี๋ยวนี้ ต้องหลับให้ได้ภายในห้านาทีสิบนาที ไม่งั้นกลัวว่าตื่นเช้าไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องมีธุระปะปัง หรือว่ามีงานสำคัญ มีของใหญ่ถ้าขืนไปแบบสะลึมสะลือแย่เลย หรือว่าตื่นขึ้นมายุ่งๆฟุ้งๆ และก็เพลียๆ อันนี้ก็หนักเข้าไปอีก ตอนกำลังจะนอน ถ้าเรามีอาการคิดมาก ด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ แม้แต่กระทั่งอยากนอนหลับเร็วๆ มันจะยิ่งฟุ้งกระเจิดกระเจิงเข้าไป

ทีนี้คำถามก็เลยประมาณว่า ทำอย่างไรอุบายวิธีไหนไป ไปเข้าสู่สำนักใดหรือว่า ครูบาอาจารย์ท่านใด ที่จะมาช่วยตรงนี้ได้
อันดับแรกให้เข้าใจก่อน สำคัญที่สุดก็คือว่า การปฏิบัติธรรมนะครับ การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องไม่ได้ช่วยให้ความฟุ้งซ่านสงบลงทันทีทันใด แม้แต่สิ่งที่ถูกต้อง แม้แต่วิธีที่ใช่เลย
พูดง่ายๆ คนที่เหมาะจะปฏิบัติธรรมกลับขั้วเลยนะต้องสงบมาซะก่อน มันถึงจะมีความพร้อมปฏิบัติธรรมได้ ไม่ใช่ไปตั้งโจทย์ว่า ปฏิบัติธรรมแนวไหนแล้วจะเกิดความสงบเกิดความระงับอาการฟุ้งซ่านลงได้

อย่างนี้นะคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงแบบที่พระพุทธเจ้าสอน คือการรู้กายใจเพื่อที่จะถอนความยึดติดถือมั่น แล้วก็ถอนอุปาทานทั้งหลาย ซึ่งต้องอาศัยจิตแบบหนึ่งที่มีคุณภาพ ต้องมีสมาธิ ต้องมีความพร้อม ที่จะเข้ามารู้เข้ามาดูในกายใจ

อันนี้ถ้าหากว่า ใครยังไม่พร้อมที่จะเข้ามาดูกายดูใจ มันก็เรียกว่าเริ่มต้นต้องไปนับหนึ่งใหม่ ก้าวที่หนึ่งกันใหม่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ที่คนเรามีความฟุ้งซ่านขึ้นมามันไม่ใช่อยู่ๆเราจะมาสั่งให้จงฟุ้งซ่านนะ มันต้องมีสาเหตุ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเภทฟุ้งซ่านแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ อันนี้ต้องมีสาเหตุที่ชัดเจนจับต้องได้เป็นรูปธรรม เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอนะครับ

ถ้าจะไล่เรียงกัน มีทั้งเหตุปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ และเหตุปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้  เหตุปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ แต่ไม่ยอมควบคุมก็อย่างเช่น ดูหนังดูละครประเภทที่ดูแล้วมันกรี๊ดตามตัวละคร ฟุ้งจัดตามตัวละคร

หรืออย่างประเภท เพื่อนชวนเม้าท์สามชั่งโมงวนไปเวียนมา หลีกเลี่ยงได้แต่เกรงใจ กลัวเขาจะไม่คบ กลัวเขาจะไม่มาเม้าท์อะไรสนุกๆต่อ เนี่ยอย่างนี้เรียกว่า เป็นปัจจัยความฟุ้งซ่านที่ควบคุมได้ แต่ไม่ยอมควบคุม

กับอีกประเภทหนึ่ง เหตุปัจจัยความฟุ้งซ่านที่สุดวิสัยเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเล่มนี้ไม่อยากอ่านเลย แต่ต้องอ่าน ขืนไม่อ่านก็สอบตก หรืองานประเภทนี้ไม่ได้อยากทำ แต่ขืนไม่ทำก็อดตาย แล้วก็ประเภทที่ออฟฟิศนี้ ที่ทำงานแห่งนี้ไม่ชอบเลยผู้คนเต็มไปด้วยความพร้อมจะด่าทอกัน ทะเลาะกัน หรือว่าแบ่งก๊กแบ่งเหล่า เกี่ยงฝักเกี่ยงฝ่ายนะว่าใครทำก่อน ใครจะต้องเป็นคนรับผิดชอบอะไรต่างๆเนี่ย ไม่อยากไปยุ่งด้วยเลย ไม่อยากเข้าไปเลยออฟฟิศแบบนี้ แต่ไม่ได้ ยังหางานใหม่ไม่ได้ มันต้องเข้านะออฟฟิศแบบนี้ แล้วก็ต้องไปเจอผู้คนกลุ่มนี้อะไรต่างๆ เนี่ยอย่างนี้เป็นตัวอย่างที่ผมยกมาเป็นอาทิว่า มันควบคุมไม่ได้เหตุของความฟุ้งซ่านเนี่ย

ทีนี้อย่างเรามาพูดกันแบบเคลียร์ๆก่อน ชัดๆก่อนว่า การที่คุณมีต้นเหตุของความฟุ้งซ่านชนิดที่ควบคุมได้แล้วไม่ยอมควบคุม ไม่ยอมละ ไม่ยอมวาง ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมแม้กระทั่งลดระดับดีกรีมันลง ติดใจละครไหนที่มันทำให้กรี๊ดๆๆตามละครก็ดูต่อไปนั่นแหละตะบี้ตะบันดูทุกวัน บอกว่าเนี่ยฉันชอบของฉันอย่ามายุ่ง นั่นแหละไม่มีใครยุ่งกับคุณนะครับ แต่ความฟุ้งซ่านมันจัดการคุณเอง มันเล่นงานคุณเอง

แล้วอย่างประเภท เหมือนกับลดๆจำนวนชั่วโมงการคุยการเม้าท์เละเทะได้ แต่ไม่ยอมลด อันนี้ก็บอกอยู่ว่า คุณเนี่ยคือรนหาที่นะ (หัวเราะน้อยๆ) แบบความฟุ้งซ่านมันไม่ได้จะเล่นงานคุณ แต่คุณน่ะเล่นงานตัวเอง

กับอีกอันหนึ่งคือ ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อันนี้น่าเห็นใจคือ ต้องยอมรับว่า มันมีความบีบคั้นอยู่ในชีวิตจริงๆ ประเภทที่ไม่ได้อยากทำงานนี้ ไม่ได้เต็มใจที่จะอยู่ออฟฟิศนี้ แต่ต้องรับเงินเดือนจากเขา แล้วก็ต้องเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปผูกพัน เพื่อที่จะเลี้ยงชีพ ยังมีครอบครัวให้ต้องรับผิดชอบ ตัวนี้คือเราพอมาเห็นนะว่าปัจจัยประเภทควบคุมได้ ลดความฟุ้งซ่านลงได้ แล้วเราไม่ยอมที่จะลด อันนี้บอกได้เลยนะครับว่า คุณเป็นประเภทที่หมดหวังที่จะลดระดับความฟุ้งซ่านลง

แต่ถ้าหากว่า สามารถที่จะบอกตังเอง ตกลงกับตัวเองได้ว่า อะไรที่มันเป็นเหตุปัจจัยให้ฟุ้งซ่านหนักๆ แล้วเราควบคุมได้ เราสามารถตัด สามารถอย่างน้อยที่จะละลดค่อยๆละ ค่อยๆลดได้เนี่ย อันนี้มีสิทธิที่จะหายฟุ้งซ่านลงได้ หรือว่าทุเลาเบาบางลงได้

ส่วนตัวที่มันบีบคั้นหัวใจอยู่ มันไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยง อันนี้เราก็มีแนวทางที่เป็นไปได้ ที่จะจัดการกับจิตใจ คือมาตั้งมุมมองกันใหม่ แล้วก็ทำให้ตัวเหตุปัจจัยของความฟุ้งซ่านที่ควบคุมไม่ได้เนี่ย มันมามีอำนาจเหนือเราได้น้อยลง คือเราสามารถที่จะมีสติ แล้วก็มีฝึกที่จะเจริญสติ เพื่อที่จะมีอำนาจเหนือปัจจัยที่มันควบคุมไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อจำเป็นจะต้องเข้าที่ทำงาน แล้วเกิดความรู้สึกว่าอึดอัด มันมีความรู้สึกนึกคิดประมาณว่า นี่ฉันจะต้องมาแบบนี้ทุกวันไปจนตายหรือ ทันทีที่มีความรู้สึกท้อแท้หดหู่หรือว่า มีความห่อเหี่ยว แล้วเราเอาวิชาเจริญสติไปใช้ เนี่ยตัวนี้เนี่ยมันก็จะสามารถลดระดับต้นดีกรีความฟุ้งซ่านลงได้บ้าง

ประเภทที่ว่า หดหู่ห่อเหี่ยว แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ความหดหู่ห่อเหี่ยวนี้ มันเป็นผลอันเกิดจากเหตุคือความคิด ตอนนั้นน่ะยังไม่มีใครมาทำอะไรคุณเลย ยังไม่มีเพื่อนร่วมงานมาด่า หรือกระแนะกระแหนมานินทาให้ได้ยินแบบผ่านหูแว่วผ่านอากาศมา  ยังไม่มีเจ้านายมาสั่งในแบบที่สีหน้าสีตาดุดัน เป็นยักษ์เป็นมาร ยังไม่มีลูกค้ามาบ่นมาให้คุณเป็นหนังหน้าไฟ เอาความผิดทั้งหลายของบริษัททั้งบริษัทมาไว้ที่ตัวคุณคนเดียวอะไรอย่างนี้เนี่ย ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากความคิดในหัวของคุณ แค่ตั้งมุมมองอย่างนี้ มันจะลดภาวะความตึงเครียด ภาวะความกดดัน ภาวะความทุกข์ ภาวะที่จะก่อให้เกิดความฟุ้งซ่านลงเนี่ย เชื่อไหมเกินครึ่ง! (เน้น)

สมมุติว่า ทั้งวันของคุณ จะต้องฟุ้งซ่านทั้งหมดแปดชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มตื่นมาด้วยอาการที่ไม่อยากไปทำงานเลย คิดถึงหน้าคนที่มันมาด่าเราเมื่อวานแล้ว แหมไม่อยากไปเจอมันเลย เพียงมีสติ แล้วก็เห็นว่า ความคิดเป็นหนามแหลมที่ทิ่มตำสมองของคุณเอง ทิ่มแทงจิตใจของตัวเอง ยังไม่ได้มีหนาม ยังไม่ได้มีมีดเล่มไหนยื่นมาจากภายนอกเลย เห็นแค่นั้นเนี่ย คุณก็จะเอ่อเกิดสติขึ้นมา แล้วรู้สึกว่า ยังไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ เดี๋ยวอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งพอถึงที่ทำงานค่อยทุกข์กัน ค่อยว่ากัน เนี่ยแค่นี้ใจคุณก็จะเหมือนกับพอเริ่มมีสติเห็นความจริงอย่างนี้นะครับ เวลาชั่วโมงครึ่งที่ยังไม่ต้องเป็นทุกข์ มันก็จะมีความปลอดโปร่ง แล้วก็จะสามารถหันไปหาสิ่งอื่นที่มันไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์

แล้วก็พอเกิดความเคยชิน พอเกิดความเป็นอัตโนมัติ เวลาที่คิดถึงหน้าใครที่ทำงานแล้วเกิดความรู้สึกไม่ดี เกิดความรู้สึกขยะแขยง เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีอะไรแหลมๆทิ่มตำจิตใจอยู่ ทิ่มตำหัวใจอยู่มันก็จะเกิดสติ เกิดความเคยชินว่า ยังไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้ก็ได้ ยังไม่ต้องไปมีความขมขื่นอะไรแบบนั้นก็ได้ นี่มันหายไปเป็นชั่วโมงๆนะต้นเหตุของความฟุ้งซ่านเนี่ย

“มนุษย์” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มนุษย์เมือง” เนี่ยนะครับ คุณสำรวจตัวเองดูได้จากตัวเองเลยนะมันใช้เวลาไปกับความทุกข์ อันเกิดจากความคิดมาย่ำยีบีทาตัวเองเป็นชั่วโมงๆ ทำไมฉันต้องมีชีวิตแบบนี้ ทำไมฉันต้องไปเจอคนแบบนั้น กรรมเวรอะไรที่ทำให้ต้องมาเป็นลูกน้องหัวหน้าเลวๆแบบนี้

เนี่ยความคิดนี้ มันย้ำไปย้ำมา แล้วเกิดความเคยชินที่จะเป็นทุกข์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทุกข์ เสร็จแล้วเราก็ไม่สำรวจ ไม่สังเกตุว่า โดยอาการที่เราทนทุกข์ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องทุกข์นี่แหละ คือมอเตอร์สำคัญ ที่มันปั่นให้ความฟุ้งซ่านมันฟุ้งๆๆ กระเจิงขึ้นมาในหัว

ทีนี้พอเราเริ่มมีสติ เนี่ยเริ่มเห็นจากอย่างนี้แหละ เหตุปัจจัยที่มันควบคุมไม่ได้ เราสามารถมาควบคุมที่อารมณ์ของตัวเองแทน แทนที่จะปล่อยให้มันเตลิด กลายเป็นมีสติ และก็เริ่มที่จะมองเห็นความจริงเกี่ยวกับภาวะความสัมพันธ์ทางกายทางใจตัวเองนะครับ โลกต่างเลยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น พอคุณมีสติ เริ่มมีสติเห็นว่า เอ๊ะเรื่องนี้ยังไม่ต้องคิด เดี๋ยวอีกชั่งโมงครึ่งถึงที่ทำงานค่อยไปคิดใหม่

หรือบางคนสี่สิบห้านาที เดี๋ยวอีกสี่สิบห้านาที พอไปถึงที่ทำงานค่อยว่ากัน ค่อยเป็นทุกข์กัน แล้วสังเกตุตัวเองในแต่ละวันเนี่ยมันต่างไปไหม อย่างทุกวันเดิมพอนึกถึงออฟฟิศปุ๊บ นึกถึงสภาพการจราจรระหว่างบ้านไปถึงออฟฟิศ แล้วเกิดความรู้สึกห่อเหี่ยว ร่างกายมีปฏิกิริยาออกมาทันที เกร็งหรือไม่ก็มีสภาพไม่คล่องตัว มีสภาพเหมือนกับห่อเหี่ยว เหมือนกับไม่พร้อมจะขยับเคลื่อนไหว เสร็จพอแล้วเอาใหม่ แค่สังเกตสำรวจตัวเอง ตั้งแต่เช้าเลยนะครับนึกขึ้นมาถึงเรื่องที่จะทำให้เป็นทุกข์ แล้วเกิดความคิดขึ้นมาได้ เออตอนนี้ต้นเหตุความทุกข์ยังไม่ได้อยู่ตรงหน้า ยังไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้หันไปหาเรื่องอื่นก็ได้

เนี่ยพอคิดได้ปุ๊บมันรู้สึกเบาตัว มันมีความรู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ มันมีความรู้สึกว่าร่างกายมันตอบสนอง ด้วยการที่พร้อมจะไปทำอะไรอย่างอื่น ที่มันมีความสุขมากขึ้น นี่เริ่มมีสติแล้ว

อย่างนี้เริ่มมีสติเห็นเข้ามาในภาวะทางกายทางใจ ที่มีความสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าคุณคิดได้ แล้วมันจะจบแค่คิดได้ในหัว มันมีผลทันทีกับปฏิกิริยาทางกาย กล้ามเนื้อมันผ่อนคลาย

แล้วพอเริ่มเห็นว่า ร่างกายที่ผ่อนคลาย มันดีนะเสร็จแล้วคุณอาจจะนั่งนิ่งๆ แล้วเอาข้อมือวางอยู่บนหน้าตัก หรือว่าวางอยู่บนท้าวแขนอะไรก็แล้วแต่บนเก้าอี้ เสร็จแล้วดูว่า ที่กำลังวางข้อมือไว้บนหน้าตัก หรือว่าอยู่ที่ท้าวแขนเก้าอี้มันตรงนี้ (ชี้ให้ดูที่ข้อมือ) เรียกว่าข้อมือ ถ้าหากว่า เราไม่สนใจไม่ใส่ใจอะไรมัน มันก็เป็นข้อมือของเรา

แต่ถ้าหากว่าเราเอาวางไว้บนหน้าตัก หรือว่าที่ท้าวแขน เสร็จแล้วเรานึกๆเล่นๆว่า ที่กำลังวางอยู่เนี่ย ของจริงที่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า แต่รู้สึกได้ด้วยใจมันเป็นกระดูก เสร็จแล้วนั่งนึก เออว่าที่วางอยู่ไม่ใช่กระดูกของเรานะ แต่มันเป็นโครงกระดูกที่เราไม่ได้ออกแบบไม่ได้สร้าง แม้แต่พ่อแม่ของเราก็ไม่ได้เป็นคนออกแบบสร้าง มันมีมาอยู่โดยเดิม เหมือนกันในทุกรูปทุกนามที่เป็นมนุษย์

พอเรานั่งๆดูๆอยู่เนี่ย เออเอ๊ะนี่มันกระดูกข้อมือ แล้วดูไปเรื่อยๆ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ที่มันสำคัญว่าเป็นข้อมือของเราเนี่ย แท้จริงแล้วมันเป็นแค่กระดูกข้อมือมนุษย์ ที่ไม่มีใครออกแบบสร้าง เราไม่เคยไปคิด ไม่เคยไปค้น ไม่เคยไปลงทุนลงแรง ไม่เคยแม้กระทั่งว่าอยากจะให้มันมีรูปพรรณสัณฐานแบบนี้

จริงๆกระดูกของเราเองตั้งแต่เกิดมา เรายังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำนะว่า หน้าตามันเป็นยังไง มันแยกออกเป็นสองซีกยังไง มีข้อเป็นปุ่มเป็นปมยังไง มีความเชื่อมต่อกับกระดูกมือยังไง ทำไมมือมันมีห้านิ้ว ทำไมไม่สามนิ้ว ทำไมไม่สองนิ้ว เราไม่ได้ไปควบคุมขั้นตอนการผลิตอะไรทั้งสิ้น แต่มามีแล้วก็ร้องว่าของเราๆ นี่ข้อมือเรา

พอใจของเรามีแก่ใจ คือแทนที่จะไปคิดเรื่องที่ทำงาน หรือเรื่องที่ไม่น่าพอใจอะไรทั้งหลายในชีวิต มาดูแค่นี้แหละว่า เออไอ้ข้อมือที่บอกว่าเป็นข้อมือของเราเนี่ย จริงๆแล้วมันคือกระดูกที่อยู่ข้างใน มันรู้สึกได้ชัดๆเนี่ย ใจคุณจะมีความรู้สึกว่า เออมีความสุขดีที่ได้เห็นความจริงตรงนี้ แค่รู้สึกถึงกระดูกข้อมือที่มันวางอยู่จะบนหน้าตัก หรือจะบนท้าวแขนเก้าอี้ก็ตาม มันมีความรู้สึกว่า กล้ามเนื้อทั้งตัวมันเบาลงได้ มันผ่อนคลายสบาย แล้วใจไม่ไปกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องตัวตน

บางที่มนุษย์มันมีฟลุก (Fluke) แบบนี้กัน ประเภทที่ว่า นึกถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายในท่านิ่งสบายๆ แล้วเกิดความรู้สึกว่า ฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนน้อยลง

แต่มันต่อยอดไม่ได้ไง ถ้าหากว่า เราไม่ขุดกันเรื่องของรายละเอียด อย่างตัวนี้ถ้าเราดูนะว่า เอ๊ะ!มันเป็นแค่กระดูก ที่ไม่มีใครออกแบบสร้าง แต่อยู่ๆเรามาตู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ตั้งแต่เกิดมาเลย ออกจากท้องพ่อท้องแม่มาตู่ว่า เนี่ยเป็นข้อมือของเรา ความเข้าใจผิดที่มันหายไปอย่างน้อยชั่วคราวเนี่ย มันทำให้จิตใจของเรามีอัตตาที่เบาบางลง มีกำแพงทิฐิมานะที่เบาบางลง เหลือแต่การยอมรับความจริงว่า เออเนี่ยที่มันวางอยู่นิ่งๆตรงนี้ มันไม่ใช่ของเรานะ

เสร็จแล้วจะหายใจเข้า หรือหายใจออกก็ตาม ในขณะที่เนื้อตัวมันเบา เนื้อตัวมันสบาย กล้ามเนื้อไม่ตึงอะไรต่างๆเนี่ยนะครับ คุณจะรู้สึกว่า ลมหายใจของเราเป็นที่สบายไม่รู้สึกอึดอัด

นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องปฏิบัติธรรม ยังไม่ได้พูดเรื่องคอนเซ็ปต์ที่บอกว่าเป็นข้อมือของเราจริงๆ  ย(Concept) อะไรทั้งสิ้นนะว่า ทำไมปฏิบัติธรรมไปแล้ว จะพบจะเห็นจะได้อะไร จะเกิดอะไรขึ้นทั้งหลาย เอาแค่อยู่กับสภาพความจริงตรงหน้า ที่มันกำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาอยู่อย่างนี้แหละใจมันสงบลงได้แล้ว จำไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตของคุณมีความข้อง มีความพะวงเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนน้อยลง เมื่อไหร่ก็ตามนะครับ ความฟุ้งซ่านมันลดระดับลง เบาลง จิตใจมีความปลอดโปร่งเป็นอิสระขึ้นในทันที

ทีนี้พอเห็นความจริงตรงนี้ มันไม่ใช่ว่า ทุกอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไปทันทีจะต่างไปทันทีเพราะว่า เมื่อไหร่ที่เราเผลอ เมื่อไหร่ที่เราหลงไปคิดเรื่องเกี่ยวกับตัวตน มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ตรงนี้แหละที่มันจะเหมือนกับเริ่มเป็นจุดเปลี่ยนนะครับ

ถ้าเราเริ่มเห็นความจริงว่า เมื่อไหร่เราเผลอสติไปคิดเกี่ยวกับเรื่องของตัวตน เมื่อนั้นความฟุ้งซ่านแบบเดิมๆ มันก็กลับมามีบทบาท มีอิทธิพลกับจิตใจของเราเท่าเดิมอีก ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แล้วที่เราเห็นความจริงไปชั่วคราว เออนี่มันกระดูกข้อมือที่เราไม่ได้ออกแบบไม่ได้สร้างมา จู่ๆเรามาตู่เอาเป็นของเรา อันนั้นมันเป็นแค่การสะกิดกิเลสแบบผิวๆ ถลอกไปหน่อยๆเท่านั้น

ที่จะทำให้กิเลสลดระดับลง และทำให้คิดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนน้อยลงจริงๆได้ มันต้องมีความต่อเนื่อง

การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปบำบัดแบบเป็นโรคผิวหนัง เป็นโรคกระดูกแล้วไปหาหมอครั้งสองครั้งแล้วหายขาดเนี่ยมันไม่ใช่

การปฏิบัติธรรมคือ เปลี่ยนมุมมองของชีวิตทั้งชีวิต พูดง่ายๆว่า คุณกลับไปใช้ชีวิตหรือว่า ไปมีความคิดความเห็นแบบเดิมไม่ได้ คุณต้องเห็นตัวเองยกขึ้นสู่ทางๆหนึ่งที่มันไปแล้วไม่กลับ ถ้ายังไปๆ กลับๆอยู่บนเกาะร้างที่เต็มไปด้วยป่ารก และก็เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆนาๆ คือความคิดในหัวของตัวเองเนี่ย

ถ้ายังมีความรักใคร่ ยังมีความผูกพันกับเกาะร้าง และป่ารกบนเกาะนั้นคือ ความฟุ้งซ่านในหัวของตัวเองเนี่ย คุณก็จะกลับมามีตัวตนแบบเดิม มีความสามารถที่จะฟุ้งซ่านเป็นทุกข์ได้เท่าเดิม หรืออาจจะยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าคนเรายิ่งอายุมากขึ้น มันยิ่งมีความเคยชินกับวิธีคิด วิธีเชื่อวิธีผูกมัดตัวเองไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่กันมานานด้วยความเคยชิน มันจะไม่ดีขึ้นนะ ไม่ใช่แก่ลงแล้วปล่อยวางได้ ที่มันปล่อยวางได้ เพราะมันเบื่อ เบื่อความยึดมั่นถือมั่นเดิมๆ

แต่วิธีคิดวิธีที่คนๆนึงฟุ้งซ่านเนี่ย มันจะพอกพูนหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ทิฐิมานะยังไม่หายไปไหนไม่ถดถอยไปนะครับ

พอเราทำความเข้าใจกันอย่างนี้ได้ว่า เส้นทางของการปฏิบัติธรรม คือเส้นทางๆเดียว ไปแล้วไม่กลับ อันนี้ก็ต้องขยายความว่า อย่างน้อยทำวันละนิด ทำวันละหน่อย ให้เห็นความจริงเกี่ยวกับเงื่อนไขของจิตใจและร่างกายของคุณเอง มันก็จะมีการเขยิบก้าวหน้าไปวันละนิด ดูหลักฐานได้จากการที่คุณรู้สึกว่า ตัวเองเนี่ยมันห่างออกจากเกาะร้างและป่ารกออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งดูเข้ามาในกายดูเข้ามาในใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นของที่เราไม่ได้เป็นคนออกแบบ ไม่ได้เป็นคนสร้าง ไม่ได้เป็นคนทำ แต่เป็นคนตู่ เป็นคนยึดว่ามันเป็นของเรา ดูไปอย่างนี้เรื่อยๆ วันต่อวัน มันกลายเป็นความรู้สึกขึ้นมาว่า เราห่างออกมาจากเกาะร้างและป่ารกมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ

สรุปคือ ประเภทมาถามว่า ทำอย่างไรจะหายฟุ้งซ่านได้ด้วยอุบายวิธีปฏิบัติธรรมแบบไหนเร็วๆเนี่ย มันไม่มีนะครับ

คุณต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจว่า “การปฏิบัติธรรม” คือการยกจิตขึ้นมาเดินใหม่ บนเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ไม่เหมือนเดิม ที่มันออกมาถอนตัว ออกมาจากเกาะร้างและป่ารก แล้วความก้าวหน้ามันจะบอกคุณเองด้วยสภาพของจิตที่มีคุณภาพมากขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง แล้วก็เศร้ายากขึ้น เป็นสุขง่ายขึ้นอะไรแบบนี้ มันจะเป็นหลักฐาน เป็นพยานการปฏิบัติโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว!

------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      โจโจ้
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
หัวข้อ                      ฟุ้งซ่านจัด ปฏิบัติอย่างไรให้สงบได้เร็ว?
ระยะเวลาคลิป           ๒๘.๕๕ นาที
รับชมทางยูทูป             https://www.youtube.com/watch?v=9hXyQi5a9Rg&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=3&t=235s