ดังตฤณ:
เวลามองใครสักคน จะรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่อันเดียวกับหัว แบบว่ามองหน้าก็รู้ว่าใคร
แต่ไม่มีความรู้สึกเวลามองร่างกายว่า นี่ลำตัวใคร เป็นของใคร เป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว
อันนี้เป็นอาการที่เห็นกายสักแต่เป็นรูปนะครับ
ปกติในใจเรา เวลาจับจ้องมองไปที่ใครนี่ จะมีการประมวลผลแบบหนึ่งที่เคยชินมาตั้งแต่เกิด
นั่นคือรู้สึกว่าร่างกายนี้เป็นใครคนหนึ่ง จะมีตัวสัญญาหรือว่าตัวสัญญาขันธ์นี่
ผุดขึ้นมาทันทีที่ตาไปกระทบรูปร่างหน้าตาของใครบางคนเข้า แล้วก็แปลความ ยึดเลยนะครับว่า
นี่เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นญาติ เป็นศัตรู
หรือเป็นเจ้านายเป็นลูกน้องอะไรต่างๆนี่ ชื่ออะไรจำได้ และความจำได้ชนิดนี้แหละ ที่ทำให้เกิดอาการยึดว่านั่นน่ะคือบุคคล
แต่พอเราเริ่มมีสติ
อาจจะตั้งต้นจากการเห็นว่า นี่สักแต่เป็นกายของเรานะครับ
มีการยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลัง ฉาบทาด้วยเลือดเนื้อ นี่ส่วนหัวอยู่บนสุด
ส่วนแขนนี่เป็นรยางค์ (หมายเหตุ: รยางค์ คือ ส่วนที่ยื่นออกจากส่วนหลักของอวัยวะของสิ่งมีชีวิต
เช่น ครีบปลา แขน ขา หนวดและขาของสัตว์ที่มีขาเป็นปล้อง) แยกเป็นส่วนๆ
พับเป็นท่อนๆ
แล้วไปมองคนอื่น
ก็เห็นลักษณะนั้น มีหน้าตาให้จำได้ว่าเป็นใคร ตัวเหมือนเป็นตัวถัง เป็นกระบอกอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์
ไม่เกี่ยวกันกับชื่อเสียงเรียงนาม หรือว่านามสกุลใคร ไม่ได้มองว่าเป็นชายเป็นหญิง
ไม่ได้มองเป็นสัญลักษณ์ ไม่ได้มองเพศชายเพศหญิง
แต่มองเป็นว่า
นี่ส่วนของลำตัว ไม่มีชื่อของใครอยู่ในนี้ ไม่มีบุคคลอยู่ในท้อง อยู่ในลำไส้
อยู่ในกลางอก อยู่ในกระดูกนะครับ บางที เราอาจจะไม่ได้มองเห็นเป็นแบบแหมือนกับกล้องเอกซเรย์
แต่มีความรู้สึกสัมผัสว่า ข้างในนั้น มีอะไรบางอย่างที่ไม่มีความเป็นบุคคล
ไม่บอกลักษณะของความเป็นบุคคล มีแต่อวัยวะปรากฏอยู่อย่างนั้นล้วนๆ นะครับ
ซึ่งจิตแบบนี้แหละ
ที่จะพัฒนาต่อเมื่อเห็นว่า มีแต่ความเป็นรูปธรรม ไม่ได้มีความเป็นบุคคล ไม่ต้องตกใจนะครับ
พิจารณาต่อไปว่า ตัวถังที่เราเห็นเหมือนไม่ใช่บุคคลนั้นน่ะ
ที่ส่วนบนสุดเหมือนกับมีหัวหูนี่ มีความรู้สึกอย่างไรกับใจออกมาให้เราสัมผัสได้
กำลังสบายแบบเหมือนกับผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หรือว่ามีความอึดอัด
มีความเครียดเกร็งนะครับ จะรู้สึกได้
แค่ถามใจตัวเองง่ายๆว่า
ร่างกายนั้นให้ความรู้สึกอึดอัดกับเรา หรือให้ความรู้สึกสบายกับเรา
นั่นแหละตัวนั้นเรียกว่า เราสัมผัสถึงเวทนาของของเขา
เมื่อเวทนาของเขาแสดงความไม่เที่ยงให้เราดูนะ บางทีเขาอึดอัดแป๊บนึง แล้วเขาก็ผ่อนคลายสบาย
แล้วพอเขาสบายแป๊บนึงเดี๋ยวกลับเป็นอึดอัด อย่างนี้นี่
เราก็ย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองว่า ของฝั่งเราก็เช่นนั้นเหมือนกันนะครับ
(ทุกอย่าง)
แป๊บเดียวหมด ความรู้สึกสบายบ้าง อึดอัดบ้าง จากที่เห็นเหมือนกับเป็นตัวถังมีแต่ตัวนี่
นี่ส่วนหัว จำได้ว่านี่หน้าใคร แต่ตัวนี่ไม่เห็นเกี่ยวเลย
ต่อมาก็จะพัฒนาขึ้นเป็น เห็นว่าแม้แต่ปากที่ขยับอ้าอยู่นี่ เป็นกระโหลกที่มีส่วนของกรามขยับหมับๆๆนะครับ
ไม่มีตัวใครเป็นคนพูด มีแต่กรามแล้วก็ทำงานกับแก้วเสียง ทำงานกับหัวสมอง นี่ที่คิดว่าจะพูดอะไร
ยังมีมือไม้ขยับมันสัมพันธ์กันเป็นวาจา เป็นวจีกรรม นอกจากวจีกรรมไม่มีอะไรนะครับ
มีแค่อาการขยับ ตอบสนองของร่างกายที่จะถ่ายทอดวจีกรรมออกมานะครับ
พอเห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เราจะรู้สึกว่า ที่สำคัญผิดมาตลอดว่ามีบุคคล มีชื่อของใคร มีนามสกุลของใครอยู่บนใบหน้านี่
หายไปเลยนะ จะเหลือแต่ความสำคัญว่า ที่กำลังขยับ ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่อย่างนี้
สักแต่เป็นอาการชั่วคราวของรูป เป็นรูปหนึ่งที่ไม่มีชื่อ
เป็นนามหนึ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่เคยมีรูปไหนนามไหนเป็นตัวเดิมแม้แต่นาทีเดียว แต่ที่จะเห็นเป็นนาทีๆได้นี่
จิตต้องมีความลึกซึ้งพอสมควรนะครับ
อย่างถ้าจิตมีความสว่าง
มีความใหญ่ แล้วก็มีความสามารถในการมองทะลุเนื้อหนังเข้าไป จะเห็นตับไตไส้พุงได้ทั้งยังลืมตาอยู่เลยนะครับ
ถ้าหากว่าจิตแข็งจริงนะ ถ้ามีสมาธิตั้งมั่นจริง จะมองเป็นกล้องเอกซเรย์ได้ทั้งที่ลืมตาอยู่อย่างนี้เลย!
____________________
ปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน วิทยาศาสตร์ของความสงบแบบตื่นรู้
10 พฤศจิกายน 2562
..
.. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. .. ..
▶▶ คำถามช่วง – ถามตอบ ◀◀
เวลามองใครซักคนแล้ว
จะรู้สึกว่าร่างกายไม่ใช่อันเดียวกับหัว
แบบว่ามองหน้าก็รู้ว่าใครแต่ไม่มีความรู้สึกเวลามองร่างกายว่านี่เป็นลำตัวใคร
เป็นร่างของใคร เป็นแบบนี้มาสักพักแล้วครับ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ถอดความ : แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น