ดังตฤณ : อย่าไปเจาะจง คือเวลาคนเราเห็นอะไรเด่นชัดขึ้นมาว่า ฮึ้ย!นี่มันอยู่ในใจเรา แล้วมันปรากฏราวกับว่า ไม่ใช่เรา
เสร็จแล้วก็ติดใจ แล้วก็ไปพยายามก๊อบปี้การเห็นนั้นว่า จงเกิดขึ้นประมาณอย่างนี้
ตัวนี้แหละ ที่จะทำให้สติมันเกิดขึ้นครั้งเดียว
มันเกิดขึ้นตอนที่ไม่ได้อยากเห็น แต่พอเริ่มอยากเห็นปุ๊บ นี่คราวนี้สติหายแล้ว
มันกลายเป็นกิเลสเกิดขึ้นมาแทนสตินะครับ
ต่อไปเนี่ย ถ้าเกิดความรู้สึกสงสัยว่า
เอ๊ะ!ทำไมไม่เห็นอะไรเลย ไม่มีอะไรปรากฏให้ดู ให้ถามตัวเองว่า กำลังหายใจเข้า หรือหายใจออกอยู่ในความสงสัยนั้นอยู่ในความอยากเห็นนั้น
เสร็จแล้วคุณจะได้เห็นนะครับว่า ณ
ลมหายใจนั้น มันเกิดความอยากจะเห็นภาวะขึ้นมา เห็นไม๊! มันมีสิ่งที่คุณพลาดไปโดยไม่รู้ตัว
ความอยากจะเห็นสภาวะไง มันกำลังปรากฎอยู่โต้งๆเนี่ย แต่เราไปนึกถึงภาวะความเห็นแก่ตัว
นึกว่านั่นคือ การเห็นภาวะที่แท้จริง นั่นคือการเห็นรูปเห็นนาม ตรงนี้จบเลย
มันหยุดอยู่ที่ตรงนั้น สติน่ะ มันหยุดอยู่ที่ความเข้าใจผิด
มันหยุดอยู่ที่การไม่มีสัมมาทิฏฐิมาตั้งแต่ต้น
สัมมาทิฏฐิที่ประกอบจิตตั้งแต่ต้นคือ การเห็นตามจริงว่า
ณ ขณะนี้ที่หายใจเข้า หรือหายใจออกอยู่เนี่ย มีสภาวะอะไรปรากฏให้ดูบ้าง
แล้วสภาวะนั้นตั้งอยู่ได้กี่ลมหายใจ มันถึงล่องหนหายตัวไป
ถ้ามีมุมมองที่ถูกต้อง ทิศทางที่ชัดเจนอย่างนี้
คุณจะเดินเป็นเส้นตรง และก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แบบที่ไม่มีการถอยหลังอย่างแท้จริง
เนี่ย! ตัวเดียวนะ ที่จะก้าวหน้าไปได้ จำไว้เลยนะครับ บนเส้นทางนี้คือ "สติ" นอกนั้นขึ้นแล้วก็ลง เจริญแล้วก็เสื่อมลงได้หมด
ผู้ถอดคำ ครอบครัว กิติวิริยกุล
วันที่ไลฟ์ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม ปฏิบัติแรกๆ เห็นว่าตัวเองเห็นแก่ตัว แล้วละอายใจมาก พอหลังๆ
ทำไมไม่ค่อยเห็นอะไรเด่นชัดเหมือนตอนแรกคะ?
ระยะเวลาคลิป ๒.๒๒ นาที
รับชมทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=CqxdRh4TVqA&feature=youtu.be
*** IG ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น