วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ฟุ้งซ่านจัด ปฏิบัติอย่างไรให้สงบได้เร็ว?

ดังตฤณ  :   สวัสดีครับทุกท่านพบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนนี้มาคุยกันหัวข้อที่หลายคนที่อาจจะเพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมหรือว่า ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลยเนี่ยนะ จะมีข้อสงสัยคล้ายๆกันคือ เป็นคนฟุ้งซ่านเหลือเกิน เหตุผลที่อยากปฏิบัติธรรมก็เพราะว่า ตรงนี้แหละจุดนี้เลย คือฟุ้งซ่านจัดแล้วก็เกิดความรู้สึกว่า รำคาญความคิดของตัวเองจนจะทนไม่ไหวแล้ว

อยากจะหาอุบายวิธียังไงก็ได้ ที่ประเภทเสกปุ๊บ ได้ความฟุ้งซ่านสงบระงับลงปั๊บ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของความต้องการของมนุษย์

คนเราพอยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุ ก็มักจะนี่แหละเนี่ยตั้งคำถามอย่างนี้เลยนะ ฟุ้งซ่านจัดปฏิบัติยังไงจะสงบได้เร็วๆ มีบังคับด้วยนะว่าต้องเอาเร็วๆ ตัวนี้มันแสดงถึงสภาพของใจที่ยังมีความร้อนรน คือฟุ้งซ่านจัด มันบอกอยู่ในตัวเองอยู่แล้วว่า เป็นคนที่พร้อมจะใจร้อน พร้อมจะมีโทสะ พร้อมจะหงุดหงิดตัวเอง พร้อมจะรำคาญตัวเอง

ทีนี้พอมาตั้งโจทย์ประเภทที่ว่า ปฏิบัติแนวไหน ทำยังไงใช้อุบายวิธีใด แล้วความฟุ้งซ่านมันจะหายไปได้ มันจะระงับลงทันที มันจะกลายเป็นคนที่มีสติสตังเหมือนมนุษย์มนาเขา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยุคปัจจุบันของเรา จะมีปัญหากันมากช่วงตอนกำลังจะต้องทำงาน จำเป็นจะต้องคิดอย่างมีสติ และก็ตอนกำลังจะต้องนอน นอนหลับพักผ่อน มันเป็นช่วงที่เราเห็นอย่างที่สุดเลยว่า ถ้ายังถูกความฟุ้งซ่านรบกวนจิตใจอยู่ มันจะไปต่อไม่ได้ คิดงานก็จะคิดได้แบบมั่วซั่วเละเทะ

หรือตอนนอน ก็จะฟุ้งกระเจิดกระเจิง จนกระทั่งรู้สึกทรมานหลับไม่ได้ หลายคนบอกเนี่ยมันต้องหลับเดี๋ยวนี้ ต้องหลับให้ได้ภายในห้านาทีสิบนาที ไม่งั้นกลัวว่าตื่นเช้าไม่ได้ พรุ่งนี้ต้องมีธุระปะปัง หรือว่ามีงานสำคัญ มีของใหญ่ถ้าขืนไปแบบสะลึมสะลือแย่เลย หรือว่าตื่นขึ้นมายุ่งๆฟุ้งๆ และก็เพลียๆ อันนี้ก็หนักเข้าไปอีก ตอนกำลังจะนอน ถ้าเรามีอาการคิดมาก ด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ แม้แต่กระทั่งอยากนอนหลับเร็วๆ มันจะยิ่งฟุ้งกระเจิดกระเจิงเข้าไป

ทีนี้คำถามก็เลยประมาณว่า ทำอย่างไรอุบายวิธีไหนไป ไปเข้าสู่สำนักใดหรือว่า ครูบาอาจารย์ท่านใด ที่จะมาช่วยตรงนี้ได้
อันดับแรกให้เข้าใจก่อน สำคัญที่สุดก็คือว่า การปฏิบัติธรรมนะครับ การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องไม่ได้ช่วยให้ความฟุ้งซ่านสงบลงทันทีทันใด แม้แต่สิ่งที่ถูกต้อง แม้แต่วิธีที่ใช่เลย
พูดง่ายๆ คนที่เหมาะจะปฏิบัติธรรมกลับขั้วเลยนะต้องสงบมาซะก่อน มันถึงจะมีความพร้อมปฏิบัติธรรมได้ ไม่ใช่ไปตั้งโจทย์ว่า ปฏิบัติธรรมแนวไหนแล้วจะเกิดความสงบเกิดความระงับอาการฟุ้งซ่านลงได้

อย่างนี้นะคือการปฏิบัติธรรมที่แท้จริงแบบที่พระพุทธเจ้าสอน คือการรู้กายใจเพื่อที่จะถอนความยึดติดถือมั่น แล้วก็ถอนอุปาทานทั้งหลาย ซึ่งต้องอาศัยจิตแบบหนึ่งที่มีคุณภาพ ต้องมีสมาธิ ต้องมีความพร้อม ที่จะเข้ามารู้เข้ามาดูในกายใจ

อันนี้ถ้าหากว่า ใครยังไม่พร้อมที่จะเข้ามาดูกายดูใจ มันก็เรียกว่าเริ่มต้นต้องไปนับหนึ่งใหม่ ก้าวที่หนึ่งกันใหม่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ที่คนเรามีความฟุ้งซ่านขึ้นมามันไม่ใช่อยู่ๆเราจะมาสั่งให้จงฟุ้งซ่านนะ มันต้องมีสาเหตุ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเภทฟุ้งซ่านแบบควบคุมตัวเองไม่ได้ อันนี้ต้องมีสาเหตุที่ชัดเจนจับต้องได้เป็นรูปธรรม เกิดขึ้นเป็นประจำสม่ำเสมอนะครับ

ถ้าจะไล่เรียงกัน มีทั้งเหตุปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ และเหตุปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้  เหตุปัจจัยที่เราสามารถควบคุมได้ แต่ไม่ยอมควบคุมก็อย่างเช่น ดูหนังดูละครประเภทที่ดูแล้วมันกรี๊ดตามตัวละคร ฟุ้งจัดตามตัวละคร

หรืออย่างประเภท เพื่อนชวนเม้าท์สามชั่งโมงวนไปเวียนมา หลีกเลี่ยงได้แต่เกรงใจ กลัวเขาจะไม่คบ กลัวเขาจะไม่มาเม้าท์อะไรสนุกๆต่อ เนี่ยอย่างนี้เรียกว่า เป็นปัจจัยความฟุ้งซ่านที่ควบคุมได้ แต่ไม่ยอมควบคุม

กับอีกประเภทหนึ่ง เหตุปัจจัยความฟุ้งซ่านที่สุดวิสัยเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น หนังสือเล่มนี้ไม่อยากอ่านเลย แต่ต้องอ่าน ขืนไม่อ่านก็สอบตก หรืองานประเภทนี้ไม่ได้อยากทำ แต่ขืนไม่ทำก็อดตาย แล้วก็ประเภทที่ออฟฟิศนี้ ที่ทำงานแห่งนี้ไม่ชอบเลยผู้คนเต็มไปด้วยความพร้อมจะด่าทอกัน ทะเลาะกัน หรือว่าแบ่งก๊กแบ่งเหล่า เกี่ยงฝักเกี่ยงฝ่ายนะว่าใครทำก่อน ใครจะต้องเป็นคนรับผิดชอบอะไรต่างๆเนี่ย ไม่อยากไปยุ่งด้วยเลย ไม่อยากเข้าไปเลยออฟฟิศแบบนี้ แต่ไม่ได้ ยังหางานใหม่ไม่ได้ มันต้องเข้านะออฟฟิศแบบนี้ แล้วก็ต้องไปเจอผู้คนกลุ่มนี้อะไรต่างๆ เนี่ยอย่างนี้เป็นตัวอย่างที่ผมยกมาเป็นอาทิว่า มันควบคุมไม่ได้เหตุของความฟุ้งซ่านเนี่ย

ทีนี้อย่างเรามาพูดกันแบบเคลียร์ๆก่อน ชัดๆก่อนว่า การที่คุณมีต้นเหตุของความฟุ้งซ่านชนิดที่ควบคุมได้แล้วไม่ยอมควบคุม ไม่ยอมละ ไม่ยอมวาง ไม่ยอมเลิก ไม่ยอมแม้กระทั่งลดระดับดีกรีมันลง ติดใจละครไหนที่มันทำให้กรี๊ดๆๆตามละครก็ดูต่อไปนั่นแหละตะบี้ตะบันดูทุกวัน บอกว่าเนี่ยฉันชอบของฉันอย่ามายุ่ง นั่นแหละไม่มีใครยุ่งกับคุณนะครับ แต่ความฟุ้งซ่านมันจัดการคุณเอง มันเล่นงานคุณเอง

แล้วอย่างประเภท เหมือนกับลดๆจำนวนชั่วโมงการคุยการเม้าท์เละเทะได้ แต่ไม่ยอมลด อันนี้ก็บอกอยู่ว่า คุณเนี่ยคือรนหาที่นะ (หัวเราะน้อยๆ) แบบความฟุ้งซ่านมันไม่ได้จะเล่นงานคุณ แต่คุณน่ะเล่นงานตัวเอง

กับอีกอันหนึ่งคือ ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ อันนี้น่าเห็นใจคือ ต้องยอมรับว่า มันมีความบีบคั้นอยู่ในชีวิตจริงๆ ประเภทที่ไม่ได้อยากทำงานนี้ ไม่ได้เต็มใจที่จะอยู่ออฟฟิศนี้ แต่ต้องรับเงินเดือนจากเขา แล้วก็ต้องเอาชีวิตของตัวเองเข้าไปผูกพัน เพื่อที่จะเลี้ยงชีพ ยังมีครอบครัวให้ต้องรับผิดชอบ ตัวนี้คือเราพอมาเห็นนะว่าปัจจัยประเภทควบคุมได้ ลดความฟุ้งซ่านลงได้ แล้วเราไม่ยอมที่จะลด อันนี้บอกได้เลยนะครับว่า คุณเป็นประเภทที่หมดหวังที่จะลดระดับความฟุ้งซ่านลง

แต่ถ้าหากว่า สามารถที่จะบอกตังเอง ตกลงกับตัวเองได้ว่า อะไรที่มันเป็นเหตุปัจจัยให้ฟุ้งซ่านหนักๆ แล้วเราควบคุมได้ เราสามารถตัด สามารถอย่างน้อยที่จะละลดค่อยๆละ ค่อยๆลดได้เนี่ย อันนี้มีสิทธิที่จะหายฟุ้งซ่านลงได้ หรือว่าทุเลาเบาบางลงได้

ส่วนตัวที่มันบีบคั้นหัวใจอยู่ มันไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยง อันนี้เราก็มีแนวทางที่เป็นไปได้ ที่จะจัดการกับจิตใจ คือมาตั้งมุมมองกันใหม่ แล้วก็ทำให้ตัวเหตุปัจจัยของความฟุ้งซ่านที่ควบคุมไม่ได้เนี่ย มันมามีอำนาจเหนือเราได้น้อยลง คือเราสามารถที่จะมีสติ แล้วก็มีฝึกที่จะเจริญสติ เพื่อที่จะมีอำนาจเหนือปัจจัยที่มันควบคุมไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น  เมื่อจำเป็นจะต้องเข้าที่ทำงาน แล้วเกิดความรู้สึกว่าอึดอัด มันมีความรู้สึกนึกคิดประมาณว่า นี่ฉันจะต้องมาแบบนี้ทุกวันไปจนตายหรือ ทันทีที่มีความรู้สึกท้อแท้หดหู่หรือว่า มีความห่อเหี่ยว แล้วเราเอาวิชาเจริญสติไปใช้ เนี่ยตัวนี้เนี่ยมันก็จะสามารถลดระดับต้นดีกรีความฟุ้งซ่านลงได้บ้าง

ประเภทที่ว่า หดหู่ห่อเหี่ยว แล้วเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ความหดหู่ห่อเหี่ยวนี้ มันเป็นผลอันเกิดจากเหตุคือความคิด ตอนนั้นน่ะยังไม่มีใครมาทำอะไรคุณเลย ยังไม่มีเพื่อนร่วมงานมาด่า หรือกระแนะกระแหนมานินทาให้ได้ยินแบบผ่านหูแว่วผ่านอากาศมา  ยังไม่มีเจ้านายมาสั่งในแบบที่สีหน้าสีตาดุดัน เป็นยักษ์เป็นมาร ยังไม่มีลูกค้ามาบ่นมาให้คุณเป็นหนังหน้าไฟ เอาความผิดทั้งหลายของบริษัททั้งบริษัทมาไว้ที่ตัวคุณคนเดียวอะไรอย่างนี้เนี่ย ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากความคิดในหัวของคุณ แค่ตั้งมุมมองอย่างนี้ มันจะลดภาวะความตึงเครียด ภาวะความกดดัน ภาวะความทุกข์ ภาวะที่จะก่อให้เกิดความฟุ้งซ่านลงเนี่ย เชื่อไหมเกินครึ่ง! (เน้น)

สมมุติว่า ทั้งวันของคุณ จะต้องฟุ้งซ่านทั้งหมดแปดชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มตื่นมาด้วยอาการที่ไม่อยากไปทำงานเลย คิดถึงหน้าคนที่มันมาด่าเราเมื่อวานแล้ว แหมไม่อยากไปเจอมันเลย เพียงมีสติ แล้วก็เห็นว่า ความคิดเป็นหนามแหลมที่ทิ่มตำสมองของคุณเอง ทิ่มแทงจิตใจของตัวเอง ยังไม่ได้มีหนาม ยังไม่ได้มีมีดเล่มไหนยื่นมาจากภายนอกเลย เห็นแค่นั้นเนี่ย คุณก็จะเอ่อเกิดสติขึ้นมา แล้วรู้สึกว่า ยังไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ เดี๋ยวอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งพอถึงที่ทำงานค่อยทุกข์กัน ค่อยว่ากัน เนี่ยแค่นี้ใจคุณก็จะเหมือนกับพอเริ่มมีสติเห็นความจริงอย่างนี้นะครับ เวลาชั่วโมงครึ่งที่ยังไม่ต้องเป็นทุกข์ มันก็จะมีความปลอดโปร่ง แล้วก็จะสามารถหันไปหาสิ่งอื่นที่มันไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์

แล้วก็พอเกิดความเคยชิน พอเกิดความเป็นอัตโนมัติ เวลาที่คิดถึงหน้าใครที่ทำงานแล้วเกิดความรู้สึกไม่ดี เกิดความรู้สึกขยะแขยง เกิดความรู้สึกเหมือนกับมีอะไรแหลมๆทิ่มตำจิตใจอยู่ ทิ่มตำหัวใจอยู่มันก็จะเกิดสติ เกิดความเคยชินว่า ยังไม่ต้องเป็นทุกข์ก็ได้ ยังไม่ต้องคิดเรื่องนี้ก็ได้ ยังไม่ต้องไปมีความขมขื่นอะไรแบบนั้นก็ได้ นี่มันหายไปเป็นชั่วโมงๆนะต้นเหตุของความฟุ้งซ่านเนี่ย

“มนุษย์” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “มนุษย์เมือง” เนี่ยนะครับ คุณสำรวจตัวเองดูได้จากตัวเองเลยนะมันใช้เวลาไปกับความทุกข์ อันเกิดจากความคิดมาย่ำยีบีทาตัวเองเป็นชั่วโมงๆ ทำไมฉันต้องมีชีวิตแบบนี้ ทำไมฉันต้องไปเจอคนแบบนั้น กรรมเวรอะไรที่ทำให้ต้องมาเป็นลูกน้องหัวหน้าเลวๆแบบนี้

เนี่ยความคิดนี้ มันย้ำไปย้ำมา แล้วเกิดความเคยชินที่จะเป็นทุกข์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องทุกข์ เสร็จแล้วเราก็ไม่สำรวจ ไม่สังเกตุว่า โดยอาการที่เราทนทุกข์ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องทุกข์นี่แหละ คือมอเตอร์สำคัญ ที่มันปั่นให้ความฟุ้งซ่านมันฟุ้งๆๆ กระเจิงขึ้นมาในหัว

ทีนี้พอเราเริ่มมีสติ เนี่ยเริ่มเห็นจากอย่างนี้แหละ เหตุปัจจัยที่มันควบคุมไม่ได้ เราสามารถมาควบคุมที่อารมณ์ของตัวเองแทน แทนที่จะปล่อยให้มันเตลิด กลายเป็นมีสติ และก็เริ่มที่จะมองเห็นความจริงเกี่ยวกับภาวะความสัมพันธ์ทางกายทางใจตัวเองนะครับ โลกต่างเลยนะครับ ยกตัวอย่างเช่น พอคุณมีสติ เริ่มมีสติเห็นว่า เอ๊ะเรื่องนี้ยังไม่ต้องคิด เดี๋ยวอีกชั่งโมงครึ่งถึงที่ทำงานค่อยไปคิดใหม่

หรือบางคนสี่สิบห้านาที เดี๋ยวอีกสี่สิบห้านาที พอไปถึงที่ทำงานค่อยว่ากัน ค่อยเป็นทุกข์กัน แล้วสังเกตุตัวเองในแต่ละวันเนี่ยมันต่างไปไหม อย่างทุกวันเดิมพอนึกถึงออฟฟิศปุ๊บ นึกถึงสภาพการจราจรระหว่างบ้านไปถึงออฟฟิศ แล้วเกิดความรู้สึกห่อเหี่ยว ร่างกายมีปฏิกิริยาออกมาทันที เกร็งหรือไม่ก็มีสภาพไม่คล่องตัว มีสภาพเหมือนกับห่อเหี่ยว เหมือนกับไม่พร้อมจะขยับเคลื่อนไหว เสร็จพอแล้วเอาใหม่ แค่สังเกตสำรวจตัวเอง ตั้งแต่เช้าเลยนะครับนึกขึ้นมาถึงเรื่องที่จะทำให้เป็นทุกข์ แล้วเกิดความคิดขึ้นมาได้ เออตอนนี้ต้นเหตุความทุกข์ยังไม่ได้อยู่ตรงหน้า ยังไม่จำเป็นต้องทุกข์ก็ได้หันไปหาเรื่องอื่นก็ได้

เนี่ยพอคิดได้ปุ๊บมันรู้สึกเบาตัว มันมีความรู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ มันมีความรู้สึกว่าร่างกายมันตอบสนอง ด้วยการที่พร้อมจะไปทำอะไรอย่างอื่น ที่มันมีความสุขมากขึ้น นี่เริ่มมีสติแล้ว

อย่างนี้เริ่มมีสติเห็นเข้ามาในภาวะทางกายทางใจ ที่มีความสัมพันธ์กัน ไม่ใช่ว่าคุณคิดได้ แล้วมันจะจบแค่คิดได้ในหัว มันมีผลทันทีกับปฏิกิริยาทางกาย กล้ามเนื้อมันผ่อนคลาย

แล้วพอเริ่มเห็นว่า ร่างกายที่ผ่อนคลาย มันดีนะเสร็จแล้วคุณอาจจะนั่งนิ่งๆ แล้วเอาข้อมือวางอยู่บนหน้าตัก หรือว่าวางอยู่บนท้าวแขนอะไรก็แล้วแต่บนเก้าอี้ เสร็จแล้วดูว่า ที่กำลังวางข้อมือไว้บนหน้าตัก หรือว่าอยู่ที่ท้าวแขนเก้าอี้มันตรงนี้ (ชี้ให้ดูที่ข้อมือ) เรียกว่าข้อมือ ถ้าหากว่า เราไม่สนใจไม่ใส่ใจอะไรมัน มันก็เป็นข้อมือของเรา

แต่ถ้าหากว่าเราเอาวางไว้บนหน้าตัก หรือว่าที่ท้าวแขน เสร็จแล้วเรานึกๆเล่นๆว่า ที่กำลังวางอยู่เนี่ย ของจริงที่เราไม่ได้เห็นด้วยตาเปล่า แต่รู้สึกได้ด้วยใจมันเป็นกระดูก เสร็จแล้วนั่งนึก เออว่าที่วางอยู่ไม่ใช่กระดูกของเรานะ แต่มันเป็นโครงกระดูกที่เราไม่ได้ออกแบบไม่ได้สร้าง แม้แต่พ่อแม่ของเราก็ไม่ได้เป็นคนออกแบบสร้าง มันมีมาอยู่โดยเดิม เหมือนกันในทุกรูปทุกนามที่เป็นมนุษย์

พอเรานั่งๆดูๆอยู่เนี่ย เออเอ๊ะนี่มันกระดูกข้อมือ แล้วดูไปเรื่อยๆ เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า ที่มันสำคัญว่าเป็นข้อมือของเราเนี่ย แท้จริงแล้วมันเป็นแค่กระดูกข้อมือมนุษย์ ที่ไม่มีใครออกแบบสร้าง เราไม่เคยไปคิด ไม่เคยไปค้น ไม่เคยไปลงทุนลงแรง ไม่เคยแม้กระทั่งว่าอยากจะให้มันมีรูปพรรณสัณฐานแบบนี้

จริงๆกระดูกของเราเองตั้งแต่เกิดมา เรายังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำนะว่า หน้าตามันเป็นยังไง มันแยกออกเป็นสองซีกยังไง มีข้อเป็นปุ่มเป็นปมยังไง มีความเชื่อมต่อกับกระดูกมือยังไง ทำไมมือมันมีห้านิ้ว ทำไมไม่สามนิ้ว ทำไมไม่สองนิ้ว เราไม่ได้ไปควบคุมขั้นตอนการผลิตอะไรทั้งสิ้น แต่มามีแล้วก็ร้องว่าของเราๆ นี่ข้อมือเรา

พอใจของเรามีแก่ใจ คือแทนที่จะไปคิดเรื่องที่ทำงาน หรือเรื่องที่ไม่น่าพอใจอะไรทั้งหลายในชีวิต มาดูแค่นี้แหละว่า เออไอ้ข้อมือที่บอกว่าเป็นข้อมือของเราเนี่ย จริงๆแล้วมันคือกระดูกที่อยู่ข้างใน มันรู้สึกได้ชัดๆเนี่ย ใจคุณจะมีความรู้สึกว่า เออมีความสุขดีที่ได้เห็นความจริงตรงนี้ แค่รู้สึกถึงกระดูกข้อมือที่มันวางอยู่จะบนหน้าตัก หรือจะบนท้าวแขนเก้าอี้ก็ตาม มันมีความรู้สึกว่า กล้ามเนื้อทั้งตัวมันเบาลงได้ มันผ่อนคลายสบาย แล้วใจไม่ไปกระวนกระวายเกี่ยวกับเรื่องตัวตน

บางที่มนุษย์มันมีฟลุก (Fluke) แบบนี้กัน ประเภทที่ว่า นึกถึงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายในท่านิ่งสบายๆ แล้วเกิดความรู้สึกว่า ฟุ้งซ่านเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนน้อยลง

แต่มันต่อยอดไม่ได้ไง ถ้าหากว่า เราไม่ขุดกันเรื่องของรายละเอียด อย่างตัวนี้ถ้าเราดูนะว่า เอ๊ะ!มันเป็นแค่กระดูก ที่ไม่มีใครออกแบบสร้าง แต่อยู่ๆเรามาตู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ ตั้งแต่เกิดมาเลย ออกจากท้องพ่อท้องแม่มาตู่ว่า เนี่ยเป็นข้อมือของเรา ความเข้าใจผิดที่มันหายไปอย่างน้อยชั่วคราวเนี่ย มันทำให้จิตใจของเรามีอัตตาที่เบาบางลง มีกำแพงทิฐิมานะที่เบาบางลง เหลือแต่การยอมรับความจริงว่า เออเนี่ยที่มันวางอยู่นิ่งๆตรงนี้ มันไม่ใช่ของเรานะ

เสร็จแล้วจะหายใจเข้า หรือหายใจออกก็ตาม ในขณะที่เนื้อตัวมันเบา เนื้อตัวมันสบาย กล้ามเนื้อไม่ตึงอะไรต่างๆเนี่ยนะครับ คุณจะรู้สึกว่า ลมหายใจของเราเป็นที่สบายไม่รู้สึกอึดอัด

นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องปฏิบัติธรรม ยังไม่ได้พูดเรื่องคอนเซ็ปต์ที่บอกว่าเป็นข้อมือของเราจริงๆ  ย(Concept) อะไรทั้งสิ้นนะว่า ทำไมปฏิบัติธรรมไปแล้ว จะพบจะเห็นจะได้อะไร จะเกิดอะไรขึ้นทั้งหลาย เอาแค่อยู่กับสภาพความจริงตรงหน้า ที่มันกำลังปรากฏต่อหน้าต่อตาอยู่อย่างนี้แหละใจมันสงบลงได้แล้ว จำไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตของคุณมีความข้อง มีความพะวงเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนน้อยลง เมื่อไหร่ก็ตามนะครับ ความฟุ้งซ่านมันลดระดับลง เบาลง จิตใจมีความปลอดโปร่งเป็นอิสระขึ้นในทันที

ทีนี้พอเห็นความจริงตรงนี้ มันไม่ใช่ว่า ทุกอย่างในชีวิตจะเปลี่ยนไปทันทีจะต่างไปทันทีเพราะว่า เมื่อไหร่ที่เราเผลอ เมื่อไหร่ที่เราหลงไปคิดเรื่องเกี่ยวกับตัวตน มันก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก ตรงนี้แหละที่มันจะเหมือนกับเริ่มเป็นจุดเปลี่ยนนะครับ

ถ้าเราเริ่มเห็นความจริงว่า เมื่อไหร่เราเผลอสติไปคิดเกี่ยวกับเรื่องของตัวตน เมื่อนั้นความฟุ้งซ่านแบบเดิมๆ มันก็กลับมามีบทบาท มีอิทธิพลกับจิตใจของเราเท่าเดิมอีก ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แล้วที่เราเห็นความจริงไปชั่วคราว เออนี่มันกระดูกข้อมือที่เราไม่ได้ออกแบบไม่ได้สร้างมา จู่ๆเรามาตู่เอาเป็นของเรา อันนั้นมันเป็นแค่การสะกิดกิเลสแบบผิวๆ ถลอกไปหน่อยๆเท่านั้น

ที่จะทำให้กิเลสลดระดับลง และทำให้คิดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องของตัวตนน้อยลงจริงๆได้ มันต้องมีความต่อเนื่อง

การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่การไปบำบัดแบบเป็นโรคผิวหนัง เป็นโรคกระดูกแล้วไปหาหมอครั้งสองครั้งแล้วหายขาดเนี่ยมันไม่ใช่

การปฏิบัติธรรมคือ เปลี่ยนมุมมองของชีวิตทั้งชีวิต พูดง่ายๆว่า คุณกลับไปใช้ชีวิตหรือว่า ไปมีความคิดความเห็นแบบเดิมไม่ได้ คุณต้องเห็นตัวเองยกขึ้นสู่ทางๆหนึ่งที่มันไปแล้วไม่กลับ ถ้ายังไปๆ กลับๆอยู่บนเกาะร้างที่เต็มไปด้วยป่ารก และก็เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายต่างๆนาๆ คือความคิดในหัวของตัวเองเนี่ย

ถ้ายังมีความรักใคร่ ยังมีความผูกพันกับเกาะร้าง และป่ารกบนเกาะนั้นคือ ความฟุ้งซ่านในหัวของตัวเองเนี่ย คุณก็จะกลับมามีตัวตนแบบเดิม มีความสามารถที่จะฟุ้งซ่านเป็นทุกข์ได้เท่าเดิม หรืออาจจะยิ่งหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะว่าคนเรายิ่งอายุมากขึ้น มันยิ่งมีความเคยชินกับวิธีคิด วิธีเชื่อวิธีผูกมัดตัวเองไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่อยู่กันมานานด้วยความเคยชิน มันจะไม่ดีขึ้นนะ ไม่ใช่แก่ลงแล้วปล่อยวางได้ ที่มันปล่อยวางได้ เพราะมันเบื่อ เบื่อความยึดมั่นถือมั่นเดิมๆ

แต่วิธีคิดวิธีที่คนๆนึงฟุ้งซ่านเนี่ย มันจะพอกพูนหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ทิฐิมานะยังไม่หายไปไหนไม่ถดถอยไปนะครับ

พอเราทำความเข้าใจกันอย่างนี้ได้ว่า เส้นทางของการปฏิบัติธรรม คือเส้นทางๆเดียว ไปแล้วไม่กลับ อันนี้ก็ต้องขยายความว่า อย่างน้อยทำวันละนิด ทำวันละหน่อย ให้เห็นความจริงเกี่ยวกับเงื่อนไขของจิตใจและร่างกายของคุณเอง มันก็จะมีการเขยิบก้าวหน้าไปวันละนิด ดูหลักฐานได้จากการที่คุณรู้สึกว่า ตัวเองเนี่ยมันห่างออกจากเกาะร้างและป่ารกออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

ยิ่งดูเข้ามาในกายดูเข้ามาในใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นของที่เราไม่ได้เป็นคนออกแบบ ไม่ได้เป็นคนสร้าง ไม่ได้เป็นคนทำ แต่เป็นคนตู่ เป็นคนยึดว่ามันเป็นของเรา ดูไปอย่างนี้เรื่อยๆ วันต่อวัน มันกลายเป็นความรู้สึกขึ้นมาว่า เราห่างออกมาจากเกาะร้างและป่ารกมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ

สรุปคือ ประเภทมาถามว่า ทำอย่างไรจะหายฟุ้งซ่านได้ด้วยอุบายวิธีปฏิบัติธรรมแบบไหนเร็วๆเนี่ย มันไม่มีนะครับ

คุณต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจว่า “การปฏิบัติธรรม” คือการยกจิตขึ้นมาเดินใหม่ บนเส้นทางอีกเส้นทางหนึ่ง ที่ไม่เหมือนเดิม ที่มันออกมาถอนตัว ออกมาจากเกาะร้างและป่ารก แล้วความก้าวหน้ามันจะบอกคุณเองด้วยสภาพของจิตที่มีคุณภาพมากขึ้น ฟุ้งซ่านน้อยลง แล้วก็เศร้ายากขึ้น เป็นสุขง่ายขึ้นอะไรแบบนี้ มันจะเป็นหลักฐาน เป็นพยานการปฏิบัติโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว!

------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      โจโจ้
วันที่ไลฟ์                  ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
หัวข้อ                      ฟุ้งซ่านจัด ปฏิบัติอย่างไรให้สงบได้เร็ว?
ระยะเวลาคลิป           ๒๘.๕๕ นาที
รับชมทางยูทูป             https://www.youtube.com/watch?v=9hXyQi5a9Rg&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=3&t=235s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น