ดังตฤณ : ไม่ใช่นะ เทวดามีสติดีกว่ามนุษย์นะครับ ในสมัยพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านเจริญสติด้วยการเดินจงกรม จนกระทั่งไม่กินไม่นอน อยากจะบำเพ็ญให้ถึงธรรมให้ได้ จนกระทั่งท่านขาดใจไป แล้วก็ไปอุบัติบนดาวดึงส์
บนดาวดึงส์ก็ได้รางวัลจากการปฏิบัติสมณธรรม
ก็คือ มีนางฟ้าเยอะแยะเลยห้อมล้อม แต่ท่านเกิดความสลดใจว่า เออเนี่ยท่านปฏิบัติธรรมมา
แทนที่จะได้บรรลุมรรคผล ทิ้งกามคุณ ท่านก็ติดอยู่แค่นี้เอง
แล้วกามคุณเหล่านี้ ระดับนางฟ้าระดับเทวดาเนี่ยนะครับ ยิ่งว่านางงามจักรวาลในโลกนี้
แต่ท่านยังเกิดความสลดสังเวชได้ว่า สิ่งเหล่านี้มาเพื่อล่อให้ยึด ถ้าเราอยู่ไปเรื่อยๆ ในที่สุดเราก็จะยึด และเกิดความประมาท
พูดง่ายๆว่า นางฟ้าเหล่านี้เป็นทางมาของความประมาท อย่ากระนั้นเลย ท่านก็กำหนดจิตกลั้นอัสสาสะ ปัสสาสะแบบเทวดา เพื่อที่จะกำหนดจุติจากความเป็นเทวดามาปฏิสนธิในโลกนี้ใหม่
โดยความตั้งใจว่า จะมาบำเพ็ญสมณธรรมให้ถึงที่สุดให้ได้
อันนี้คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า
การเป็นเทวดานางฟ้าก็เหมือนกับเรารวยหมื่นล้านแสนล้าน มีกินมีใช้ทุกอย่างเหลือเฟือ คุณนึกดูว่า คือคุณเองเนี่ย
ถ้าได้อย่างใจทุกอย่าง ซื้อได้อย่างใจทุกอย่าง เที่ยวได้อย่างใจทุกอย่าง แล้วก็จะมีข้าทาสบริวารแค่ไหนก็ได้ หรือว่าจะบริหารอำนาจในองค์กรของคุณที่มีลูกน้องมากมายมหาศาลยังไงก็ได้เนี่ย มันยากหรือง่ายที่เราจะสละอุปาทานว่าเนี่ยตัวเรา ว่านี่ของๆเรา
ทีนี้ถ้าไปเป็นเทวดา มันยิ่งยากกว่านั้น คูณเข้าไปพันเท่าหมื่นเท่า
เพราะอะไร? เพราะว่าขึ้นต้นมาเนี่ย เทวดาก็อยู่ในร่างอันเป็นทิพย์ ไม่ต้องอึไม่ต้องฉี่ ตื่นเช้ามาเป่าปากไปนี่ไม่ได้กลิ่นปากตัวเอง มันมีแต่ความหอม มันมีแต่ความน่าพิศวาส มันมีแต่ความน่าติดใจ
แล้วสติของเทวดา เป็นสติที่เกิดขึ้นจากการไม่ต้องฟุ้งซ่านแบบมนุษย์
คือจะฟุ้งซ่านแบบเทวดา ฟุ้งซ่านไปว่า เออเดี๋ยววันนี้เราจะไปเที่ยวเล่นที่ไหน เราจะไปพลอดรักกับใคร แบบมีหนูๆแบบว่า หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพราสวยที่สุด เอาเป็นว่าในโลกนี้ไม่มีใครสวยเท่านางฟ้า
นางฟ้าที่บุญน้อยที่สุด ก็สวยกว่ามนุษย์ที่สวยที่สุดในโลกนี้แล้ว เพราะมีโอภาสมีออร่าแบบเทวดานางฟ้าบวกเข้าไปกับรูปอันเป็นทิพย์
มันมีความติดใจในแบบที่มันไม่มีทางถอนเลยด้วยความสามารถแบบเทวดา
ยกเว้นแต่ว่า จะเจริญสติจนกระทั่งเห็นความไม่เที่ยงในระดับของนามธรรม
เห็นเวทนา เห็นสัญญา เห็นสังขารไม่เที่ยง แล้วไปเจริญสติต่อ
นั่นน่ะถึงมีสิทธิ์ที่เป็นเทวดาที่บรรลุธรรมได้
นอกนั้นเนี่ยเทวดานะครับ พวกท่านเนี่ยอยากจุติ
คือหมายถึงเคลื่อนจากความเป็นเทวดามาสู่ความเป็นมนุษย์ เพื่อบำเพ็ญสมณธรรม
หรืออย่างน้อยปฏิบัติธรรมให้เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมา
เวลาเทวดาท่านมองลงมาบนโลกมนุษย์ แล้วเห็นพุทธศาสนายังอยู่
ท่านจะเห็นเป็นความสว่าง เป็นโอกาส เป็นเหมือนกับดวงอาทิตย์ที่ยังไม่อัสดงนะครับ
ท่านก็จะอยากมาเกิดกัน
จะมีช่วงที่พุทธศาสนาเจริญหรือไม่เจริญเนี่ย
ดูได้เลยนะครับ ถ้าเทวดาอยากมาเกิดกันมากๆ แล้วก็เห็นคนที่ใช้ชีวิตแบบโลกๆไปแล้ว
ก็เกิดความเบื่อหน่ายแล้วอยากหันมาปฏิบัติธรรมมากๆ นั่นน่ะให้สันนิฐานว่า มาจากที่สูง
แล้วก็ลงมาอย่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะได้มาปฏิบัติธรรมเจริญสติเห็นกายใจก่อนที่พุทธศาสนาจะดับหายไป
เพราะแสงสว่างยังอยู่ยังไม่ดับมืดลง
เทวดาจะขวนขวายกันมากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านขึ้นไปเพราะว่าท่านทำบุญกับพุทธศาสนา
ท่านเคยเจริญสติอยู่ในพุทธศาสนาได้เป็นสัมมาทิฏฐิ
ท่านจะไม่มีความสุขกับการอยู่ข้างบน
เพราะการอยู่ข้างบน ยิ่งอยู่นานมันยิ่งประมาท
ยิ่งมีความหลงไป แต่ถ้ามาทำบุญต่อกับพุทธศาสนาเนี่ยมันได้อะไรเพิ่ม มันมีความเจริญก้าวหน้า
แล้วก็คนบนโน้นเนี่ย(เทวดา)จะเห็นกันได้ชัดนะครับว่า
ใครเป็นใคร ใครสูงใครต่ำอย่างไร มีชั้นวรรณะของเทวดาในแบบที่แบ่งกันโดยบุญ
ถ้าใครที่รักษาศีลได้สะอาด แล้วก็เจริญสติได้ก้าวหน้าเนี่ยจะมีความยิ่งใหญ่
จะมีความใหญ่กว่า จะมีลักษณะที่น่าพอใจกว่าอย่างเห็นได้ชัดนะครับ
แล้วเวลาเทวดาจะอิจฉากันเนี่ย
ท่านไม่อิจฉาว่าใครมีทรัพย์สินในแบบฝากธนาคารเท่าไหร่ ท่านจะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า
โอภาสหรือว่าออร่าที่เปล่งออกมา เปล่งรัศมีออกมาจากกายอันเป็นทิพย์เนี่ย ของใครกว้างใหญ่กว่ากัน
ของใครส่องถึงความได้มีกิเลสที่เบาบางลง มีสภาพจิตที่ประณีตขึ้น ใกล้เคียงกับอริยบุคคลขึ้น
ท่านจะมองกันอย่างนั้นสำหรับเทวดาที่เป็นพุทธและก็เป็นสัมมาทิฏฐินะครับ
เพราะฉะนั้น
ไม่มีหรอกที่ท่านจะอยากอยู่บนสวรรค์ไปเรื่อยๆในเวลาที่พุทธศาสนากำลังดำรงอยู่
แต่ถ้าสิ้นพุทธศาสนาไปแล้ว อันนั้นน่ะก็อาจจะอยู่ยาว รอพุทธกาลหน้า
หรือว่ามีพระพุทธเจ้ามาตรัส มาอุบัติอีก ท่านถึงจะค่อยลงมากัน ถ้ามีบุญมากพอนะครับ
***********************************************************
หมายเหตุผู้ถอดคำ : คุณดังตฤณอธิบายเพิ่มเติมจากคำถามเดิม
***********************************************************
หมายเหตุผู้ถอดคำ : คุณดังตฤณอธิบายเพิ่มเติมจากคำถามเดิม
ดังตฤณ : จากที่ผมได้ตอบคำถามหัวข้อนี้ไปนะครับ
ที่เจ้าของคำถามบอกว่า “เข้าใจว่ามนุษย์มีสติดีกว่าเทวดา แต่เกิดปัญญายากกว่า
แล้วเทวดาเกิดปัญญาง่ายกว่า แต่มีสติน้อยกว่ามนุษย์”
คือผมก็ดูจากตัวคำถาม
ไม่ได้นึกว่าผู้ถามเนี่ยจะโยงไปเข้ากับสูตร จริงๆแล้วสูตรนี้ชื่อว่าสัตตาวาส
หรือฐานสูตร เป็นสัตตาวาสวรรคที่สามนะครับชือสูตรว่า ฐานสูตรนะครับ
คุณดุสิต คราวะพงษ์ ก็ทักท้วงมาว่า
จริงๆแล้วในพระไตรปิฎก บอกว่าเทวดาเนี่ยมีสติน้อยกว่ามนุษย์จริงๆ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้
นี่ผมยกมาให้ดูทั้งสูตรนี้เลยนะครับว่า ถ้าเทียบกับเทวดาชั้นดาวดึงส์นะครับ
อายุอันเป็นทิพย์ วรรณะอันทิพย์ แล้วก็สุขอันเป็นทิพย์ จะเหนือกว่ามนุษย์
แต่ถ้าหากว่าพูดถึงมนุษย์จะเป็นผู้กล้า เป็นผู้มีสติ
และเป็นผู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อันเยี่ยมเหนือกว่าเทวดา ประเสริฐกว่าเทวดา
อันนี้ขอชี้แจงว่า ณ เวลาที่ตอบผมดูตามตัวตัวคำถามนะครับ
บอกว่า มนุษย์เป็นมีสติดีกว่าเทวดาแต่เกิดปัญญายากกว่า อย่างนี้นะครับ
ความเป็นเทวดาเนี่ย ก็อย่างที่ผมพูดในรายการตั้งแต่ตอบคำถามครั้งนั้นนะครับว่า
เทวดามีความเพลิดเพลินในกามคุณในกามสุขมากกว่ามนุษย์แน่ๆ เพราะว่าทิพยสุขนั้น
มันเกินพรรณาว่ามหาศาลเพียงใด เหนือกว่าความเป็นมนุษย์เพียงใด
แต่ถ้าหากเราดูจากพระสูตรนี้นะครับ
ที่บอกฐานสูตรเนี่ย เราจะเห็นอย่างนึงคือ พระพุทธเจ้าท่านตรัสนะครับว่า
ถ้าหากเป็นมนุษย์แล้วเทียบกับเทวดาสามารถจะแกล้วกล้า กล้าหาญได้มากกว่าเทวดา
ซึ่งมนุษย์ทั่วไปเนี่ยไม่ใช่เป็นผู้กล้านะครับ
แต่ถ้าหากเป็นผู้กล้าจะกล้าได้ยิ่งกว่าเทวดา
มีผู้มาขยายความในภายหลังนะครับเป็นเหมือนกับตำราชั้นหลังนะครับบอกว่า
ถ้าใครก็ตามเนี่ย กล้าทำบุญทำกุศลก็จะกล้าได้มากกว่าเทวดา หรือกล้าทำบาปก็จะกล้าได้มากกว่าเทวดาด้วย
แน่นอนเทวดาไม่กล้าทำบาป แต่ว่ามนุษย์เนี่ยด้วยความไม่รู้ไง
คือไม่มีความรู้ว่าทำอะไรเป็นบุญ ทำอะไรเป็นบาป ทำอะไรไปแล้วจะต้องได้รับผลอย่างไร
เพราะฉะนั้นก็เลยกล้า มันมีความกล้าขึ้นมาจากความไม่รู้นั่นแหละ
ส่วนการเป็นผู้มีสติ อันนี้เนี่ยไม่ได้หมายถึงคนทั่วไปนะครับ
คนทั่วไปเนี่ยถ้าเราดูกันจริงๆนะครับเป็นผู้มีความฟุ้งซ่าน
เป็นผู้มีความเหม่อลอยกันโดยมาก ซึ่งอันนี้แหละตรงจุดนี้ที่ผมไปพูดถึงนะครับว่า
เทวดามีความเหม่อลอยมีความฟุ้งซ่านน้อยกว่ามนุษย์
เพราะว่าไม่มีปัญหามากเหมือนมนุษย์ แล้วก็ไม่มีความดิ้นรน
ไม่ต้องดินรนอะไรมากเหมือนมนุษย์ มีความรู้ผิดรู้ชอบมากกว่ามนุษย์
อันนี้คือในแง่ของสติที่ผมพูดถึงว่า เทวดามีสติมากกว่ามนุษย์นะครับ
แต่ถ้าหากว่า พิจารณาความเป็นมนุษย์ผู้มีสตินะครับ
ผู้มีสติจริงๆเนี่ย อย่างเช่นที่ท่านมักจะเล็งกันก็หมายถึง ผู้ที่มีความรู้เรื่องของกุศลธรรม
เป็นผู้มีความละอายต่อบาป เป็นผู้มีความรู้ทางธรรมะ
เป็นผู้ศึกษาพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้านะครับ พวกนี้จะมีสติได้ดีกว่าเทวดา
เพราะอะไร เพราะว่ามันผ่านมาหมดแล้วทั้งกุศลและอกุศล รู้ว่าจะเลือกอะไรที่เป็นกุศล
รู้ว่าจะเลือกอะไรที่ดีที่สุด ซึ่งก็อยู่ในข้อสรุปสุดท้ายคือ
ถ้าหากจะมีความมุ่งมั่นจะพ้นทุกข์ในชาติปัจจุบัน ก็สามารถที่จะประพฤติพรหมจรรย์ได้
ซึ่งเทวดาเนี่ยเป็นไปได้ยากกว่าแบบไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนเท่านะครับ
เนื่องจากมีสิ่งสวยงามห้อมล้อมอยู่เยอะแยะไปหมด ผมยกตัวอย่าง
ซึ่งตอนนั้นก็เคยยกตัวอย่างไปอยู่แล้วน่ะนะครับ
อย่างคนที่บวชแล้วก็มีความมุ่งมั่นจะเอาความพ้นทุกข์
เอามรรคผลนิพานให้ได้เนี่ย บางท่านมรณภาพคาทางจงกรมแล้วก็ไปเกิดเป็นเทวดาชั้นดาวดึงส์
ซึ่งก็ได้รางวัลเป็นนางฟ้าเยอะแยะมากมายมหาศาล
ชวนท่านเล่นสนุกแล้วท่านก็เกิดความสลดสังเวช คือท่านติดความเป็นพระมา เพิ่งเดินจงกรม
เพิ่งเห็นรูปนามมา ก็เกิดความรู้สึกว่า เออนี่เองที่เป็นเครื่องล่อของสังสารวัฏ
อะไรดีๆเนี่ยมันมาปรากฏในสวรรค์นี่แหละ
อะไรที่มันน่าติดใจมันมาปรากฏในสวรรค์นี่แหละ
อะไรที่มันเป็นเหตุแห่งความประมาทเนี่ยมาปรากฏในสวรรค์หมดนี่แหละ
ท่านก็เลยเกิดความรู้สึกว่า ไม่อยากได้
ไม่อยากเอา เพราะว่ารู้ตัวขืนอยู่ไปนานๆเนี่ย เกิดความประมาท เกิดความชะล่าเกิดความติดใจในกามคุณแน่นอน
ก็เลยกลั้นอัสสาสะ-ปัสสาสะ (อัสสาสะ : การหายใจเข้า , ปัสสาสะ : การหายใจออก) แล้วก็จุติลงมา
อุบัติมาเกิดเป็นมนุษย์ด้วยความตั้งใจว่า จะเอาดีทางบวชแล้วก็เลยสมปราถนา
โดยชะตากรรมเนี่ยถูกขีดไว้โดยแรงอธิษฐานตอนจะจุติลงมานี่แหละนะครับ
ตั้งแต่เจ็ดขวบท่านก็บวชแล้ว บวชไม่นานก็ได้อรหันตผล
นี่คือตัวอย่างนะครับว่า ทำไมถึงกล่าวว่า เป็นมนุษย์เนี่ยมีสติดีกว่าเทวดา
เป็นเทวดาเนี่ยพออยู่ไปนานๆเข้าเนี่ยสติเลอะเลือนแน่นอนนะครับ
คือไม่สามารถที่จะรู้อะไรถูกอะไรผิด หรือว่าอะไรที่เป็นทางพ้นทุกข์นะครับ มันมีความรู้สึกแต่ว่า
อยู่ไปเป็นเทวดานี่แหละมีความสุขดีอยู่แล้ว
หรืออย่างถ้าเป็นเทวดามีบุญ
สามารถบรรลุมรรคผลบนดาวดึงส์ได้เนี่ย
อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้มีความสามารถจะเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในระดับของสัญญา
สังขาร และวิญญาณนะครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากนะครับไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
อย่างพระอินทร์ในสมัยพุทธกาล
ท่านก็บรรลุโสดาปัตติผลหลังจากที่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า อันนี้แน่นอนว่า ท่านไม่ได้พิจารณาอสุภกรรมฐาน
ท่านไม่ได้พิจารณาความเป็นธาตุสี่
หรือว่าความเป็นอะไรที่อสุภกรรมฐานอะไรอย่างนี้ที่เราทำกันบนโลกมนุษย์
แต่ท่าน(พระอินทร์)ต้องมีวิสัยทัศน์ภายใน
ต้องมีปัญญาภายในของท่านอยู่แล้วนะครับที่จะเล็งเห็นได้ว่า ขันธ์ห้าในแบบของท่าน
รูปอันเป็นทิพย์ของท่าน เวทนาอันเป็นทิพย์ของท่าน หรือว่าสัญญา สังขาร
วิญญาณของท่านเนี่ยนะครับ มันก็ไม่เที่ยงเหมือนกับขันธ์ห้าในโลกมนุษย์เช่นเดียวกัน
ข้นธ์ห้าในโลกมนุษย์เนี่ยขึ้นต้นด้วยรูปอันเป็นของหยาบ
ดิน น้ำ ไฟ ลม แต่ของเทวดาเนี่ยขึ้นต้นขึ้นมาด้วยรูปอันเป็นทิพย์
ซึ่งน่าติดใจเหลือเกิน ตรงความน่าติดใจ ตรงความยากที่จะถอนความติดใจนี่แหละ
ตรงเนี้ยที่มันสามารถมาใช้อนุมานเอาได้ว่า ทำไมมนุษย์จึงมีสติได้ดีกว่าเทวดาถ้าจะตั้งใจมีนะครับ
ไม่ใช่ว่ามนุษย์ทุกคนเนี่ยมีสติดีกว่าเทวดา อันนี้คือความหมายที่ผมตอบไปนะครับ
ผู้ถอดคำ ครอบครัว กิติวิริยกุล
วันที่ไลฟ์ ๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม เข้าใจว่ามนุษย์มีสติดีกว่าเทวดา แต่เกิดปัญญายากกว่า และเทวดา
เกิดปัญญาง่ายกว่าแต่เกิดยากกว่ามนุษย์ เข้าใจถูกต้องไหมคะ?
แล้วอย่างนี้เราควรเป็นมนุษย์หรือเทวดาเพื่อจะบรรลุธรรมคะ?
ระยะเวลาคลิป ๘.๑๖ นาที
รับชมทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=MuHej9LZwKo&feature=youtu.be
ระยะเวลาคลิป ๙.๑๗ นาที
รับชมทางยูทูป https://www.youtube.com/watch?v=yYf_HBd_0Qw&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=16&t=0s
*** IG ***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น