วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิทยาศาสตร์ของความสงบแบบตื่นรู้


ดังตฤณ: สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันนี้เป็นคืนวันอาทิตย์สามทุ่ม ก็จะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องที่ผมคิดว่าทิ้งท้ายปลายปีน่าสนใจมากๆ เพราะว่าเกี่ยวเนื่องกับมูลนิธิบูรณพุทธนะครับ

ซึ่งเดิมเริ่มต้นเลย อย่างที่หลายๆท่านที่ตามกันมานานหลายปี จริงๆก็อาจจะทราบนะครับว่า ตั้งต้นเลยเราสร้างโรงพยาบาลด้วยกัน ตอนนั้นยังไม่ได้คิดจะทำเป็นมูลนิธินะครับ เหมือนกับช่วยๆกันน่ะ เราก็สร้างโรงพยาบาลสำเร็จขึ้นมาหนึ่งโรงพยาบาล ที่จังหวัดสุรินทร์

แต่ “มูลนิธิบูรณพุทธ” เริ่มเป็นที่รู้จักกันจริงๆก็จากงาน “พระประธานทั่วหล้า” ซึ่งมีจุดหมายที่จะสร้างพระประธานถวายแด่วัดที่ยังขาดอยู่ในต่างจังหวัด

ปกติคนไม่รู้หรอกว่า วัดยังขาดกันมากนะครับ ยังไม่มีที่พึ่งทางใจที่เป็นรูปธรรมที่มีความใหญ่พอ ที่จะจับตาจับใจให้ก้มลงกราบ แล้วเกิดความศรัทธาปสาทะขึ้นมา พวกเราก็ทำให้เกิดขึ้นกัน 

งานพระประธานทั่วหล้านี่ถือว่า ช่วยให้คนเป็นแสนๆคนเลยทีเดียวนะครับ ที่ไม่มีโอกาสได้กราบพระประธานแบบใกล้หมู่บ้านของตัวเอง ใกล้ถิ่นฐานของตัวเอง ได้มีขึ้นมา แล้วก็เป็นที่ฝากจิตฝากใจไปจนกระทั่งเวลาตายเลยทีเดียว ก็ถือว่าอันนั้นเป็นส่วนของการทำทานนะครับ สร้างศรัทธาให้เกิดขึ้น สร้างที่ตั้งของศรัทธา ให้คนฝากจิตฝากใจทั้งยามอยู่และยามไป

ในปีต่อๆไป ทิศทางของมูลนิธิบูรณพุทธก็จะเกี่ยวข้องกับศรัทธาด้วย เกี่ยวข้องกับการทำทานด้วย แล้วก็มาเริ่มเน้นเกี่ยวกับเรื่องปัญญาด้วย

จุดมุ่งหมายสูงสุดก็คือ ได้ช่วยให้ชาวพุทธร่วมสมัยอย่างพวกเราได้เข้าใจวิธีการเจริญสติในระดับของประสบการณ์เลยว่า ความรู้สึกนึกคิดหรือว่า ภาพของจิต อาการของใจที่เจริญสติถูกทาง หน้าตาเป็นอย่างไร โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ

เราก็ไปเป็นขั้นๆนะครับ คือเอาให้เหมาะกับยุคสมัยด้วย เพราะว่า ยุคเราโรคเครียด โรคนอนไม่หลับ โรคซึมเศร้า โรคปวดหัวข้างเดียว อะไรต่างๆกำลังรุมเร้าแล้วก็ทำร้ายคน เรียกว่าทั้งโลกเลยนะครับ

ถ้าแก้ปัญหาพวกนี้ไม่ได้ ที่พัฒนาขึ้นเป็นสติที่เจริญ หรือว่าเกิดวิปัสสนา หรือกระทั่งเกิดมรรคผลอะไรต่างๆเนี่ย ริบหรี่เต็มทีนะครับ ความหวังแทบจะเป็นไปไม่ได้บนพื้นฐาน พื้นจิตพื้นใจคนเมื่องยุคปัจจุบันของเรา

(หาก)โรคพวกนี้ไม่หาย เราก็ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการจริงๆแบบพุทธกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะทำไปด้วยกัน พร้อมๆกัน ทั้งในแง่ของการเยียวยาให้ผู้คนร่วมสมัยได้มีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น แล้วก็ได้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆว่า การเจริญสติแบบที่พระพุทธเจ้าสอน การที่มีผลลัพธ์ทางการเจริญสติเป็น ความเบาของใจ ความปล่อยวางของจิต จนกระทั่ง ได้เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอยากให้เห็นจริงๆ ก็อยากจะทำให้เกิดขึ้น โดยทิศทางนี้นะครับ

ผมตั้งชื่อโครงการว่าเป็น “โครงการเกิดสติทั่วหล้า”
เดิมเราถวายพระประธาน แล้วก็สร้างศรัทธากันมาทั่วแผ่นดิน ก็เลยเรียกเป็น “โครงการพระประธานทั่วหล้า” คือไม่ใช่เราถวายแต่วัดที่ยังขาดในประเทศไทยนะครับ ต่างประเทศ ประเทศพม่า ประเทศอเมริกา เราก็เคยถวายกันมาแล้ว เพราะฉะนั้น ก็เลยเรียกว่าเป็นโครงการ “พระประธานทั่วหล้า”

ทีนี้คำว่า “เกิดสติทั่วหล้า" ก็มีความมุ่งหมายสูงสุดอยู่ตรงที่ว่า ให้คนร่วมสมัยได้รู้จักสติแบบพุทธ ซึ่งจะมีสติแบบพุทธได้ ก่อนอื่นขอมีสติแบบมนุษย์ธรรมดาให้ได้ก่อน ไม่มีโรคเบียดเบียน ไม่มีอาการทางสมองที่มารุมเร้าให้เกิดความรู้สึกอยากหนีโลกอะไรกัน

วันนี้ผมนำตัวอย่าง เพื่อที่จะให้เห็นคร่าวๆนะครับว่า “โครงการเกิดสติทั่วหล้า” จะปรากฏเป็นหลักฐาน เป็นร่องรอย เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้อย่างไร

ก่อนอื่น ก็ขอทำความเข้าใจแบบพื้นฐานเบสิค (Basic) ง่ายๆที่สุด ทุกคนฟังแล้วเข้าใจได้คือว่า ปกติคนเราเวลาที่ฟุ้งซ่าน เวลาที่คิดมาก เวลาที่แม้แต่ทำงานอย่างมีสติ ทำงานอย่างมีสมาธิเนี่ย เราจะใช้สมองส่วนหน้าในการคิดเยอะ

พูดง่ายๆว่า ถ้าสมองส่วนหน้าทำงานมาก ทำงานหนัก ถูกแอคติเวท (Activate) ให้มีการทำงานเยอะๆ ก็จะมีความคิดมาก ซึ่งความคิดเยอะๆ ความคิดมากๆ ไม่แน่เสมอไปว่า เป็นความฟุ้งซ่านนะครับ คิดเยอะๆ คิดมากๆ ต่อเนื่องเป็นชั่วโมงก็เป็นสมาธิชนิดหนึ่งได้

แต่ถ้าสมองส่วนหลัง ถูกแอคติเวท (Activate) ขึ้นมาแทน ยิ่งมีการทำงานของสมองส่วนหลังมากขึ้นเท่าไหร่ สมองส่วนหน้าจะยิ่งลดการทำงานลง คือเป็นสัดส่วนที่อาจจะเป็นความสัมพันธ์แบบตรงนะ หรือเป็นความสัมพันธ์แบบผกผันค่อนข้างจะซับซ้อนนะครับ

แต่ทำความเข้าใจง่ายๆว่า ถ้าสมองส่วนหน้าทำงาน แปลว่าคิด ถ้าสมองส่วนหลังทำงานมากกว่า เด่นกว่า แปลว่ามีความพักผ่อน มีความสงบ มีความพร้อมรู้

ซึ่งจะวัดค่าได้ต้องอาศัยเครื่องมือที่มีราคาพอสมควร เป็นเครื่องอีอีจี (EEG) ไม่ใช่เอาแค่เห็นความสงบอะไรแบบที่ทำๆกันในปัจจุบัน มีเฮดแบน (Headband) แบบง่ายๆนะครับ ผมก็เคยเอามาใช้ให้ดูแหละว่า ถ้ามีความสงบค่ามันจะบอกแบบหนึ่ง เอาแค่ค่าอัลฟ่ากับเบต้ามาเป็นหลัก

แต่ถ้าเครื่องอีอีจี (EEG) นี่จะเห็นละเอียดเลยนะ คือคลื่นสมองคนเรา ผมอธิบายแบบง่ายที่สุดเลยนะ ถ้าช้าสุดเรียกว่าเดลต้า (Delta) ช้าสุดนี่หมายความว่า ไม่มีความคิดหรือมีความคิดน้อย ยิ่งคลื่นสมองของเดลต้า (Delta) เยอะขึ้นเท่าไหร่ คุณจะยิ่งมีความรู้สึกสงบพัก มันเป็นสงบลึกเลยทีเดียว

แต่ถ้าเป็นคลื่นแกมม่า (Gamma) สูงสุดเลย อันนี้จะหมายความว่า สมองทำงานเยอะ พื้นที่ของสมองหลายส่วนทำงานพร้อมกันประสานงานกัน หรือทำงานแบบยุ่งเหยิงนะครับ อย่างถ้าเป็นโรคลมชักนี่ก็มีคลื่นแกมม่าออกมาครึ่งวินาทีแล้วก็หายไป

แต่ถ้าคนที่มีความตื่นรู้ มีความพร้อมจะ พูดง่ายๆว่าเกิดวิปัสสนาญาณ หรือว่าเกิดญาณหยั่งรู้ในแบบโลกๆนะครับ คลื่นแกมม่า (Gamma) จะมีความถี่สูง แล้วก็มีความสม่ำเสมอ นี่คือหลักการง่ายๆคร่าวๆที่สุดครับ

ที่ผ่านมา มูลนิธิบูรณพุทธก็ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีอาจารย์ธารารัตน์ ซึ่งเป็นผู้มีไฟที่จะมาช่วยกันดูว่า หลังจากที่ใช้ เสียงสติ ไป เกิดอะไรขึ้นกับสมอง

อันนี้เราก็เพิ่งทำการทดลองกันแบบยังแค่ใช้เครื่องตัวอย่าง ที่ทางบริษัทให้มาทดลอง แต่เดี๋ยวจะมีเครื่องจริง ซึ่งทางมูลนิธิบูรณพุทธจะบริจาคให้กับมหาวิทยาลัยมหิดล เดี๋ยวจะเอาภาพมาให้ดู

ตอนนี้แค่จะเอาตัวอย่างมาให้ดูง่ายๆก่อนนะครับว่า มันมีความหมาย แล้วก็จะช่วยชี้ทิศทาง ให้เราเกิดความเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า สติแบบพุทธนะครับ แบบที่เรียกว่ามีความสงบ แบบพร้อมจะตื่นรู้ พร้อมจะมีความสามารถที่จะเห็นกายใจด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้อย่างไร

อย่างที่อธิบายให้ฟังคร่าวๆว่า ถ้าสมองส่วนหน้ามีการทำงานหนักมาก ก็จะหมายความว่า มีอาการคิดมาก ตัวดีเทค (Detect) นี่มันไม่รู้หรอกว่าเราคิดอะไร แต่รู้ว่าเราคิดแน่ๆ คิดมากหรือว่าคิดน้อย

แล้วถ้าหากว่า สมองส่วนหลังมีการทำงานมาก ก็หมายความว่ามีความสงบมาก มีความพร้อมจะรู้ มีความพร้อมจะเรียกว่า พักการคิดนะครับ

อันนี้เป็นตัวอย่างง่ายๆที่จะอธิบายในคืนนี้ เอามาให้ดูเป็นตัวอย่าง เป็นน้ำจิ้มก่อน หลังจากที่ใช้ เสียงสติ แบบช่วยสวดมนต์ แล้วก็สวดมนต์ไปด้วยเจ็ดจบ มีตัวอย่างหนึ่งขึ้นมาที่น่าสนใจก็คือว่า มีคลื่นแกมม่า (Gamma) สูงขึ้นมาที่สมองส่วนหลัง นั่นหมายความว่า มีความสงบ ในขณะเดียวกันก็มีความตื่นรู้ด้วย

อย่างที่ภาษานักปฏิบัติมักจะเรียกกันว่า มีความรู้ตัวทั่วพร้อม แต่นี่ยังเป็นแกมม่า (Gamma) แบบอ่อนๆ
คือจริงๆแล้ว ถ้าเป็นแกมม่า (Gamma) แบบเต็ม จะมีความรู้สึกราวกับว่า จิตของตัวเองใหญ่แล้วก็ร่างกายของตัวเองเล็กลง ดูง่ายขึ้น อย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านใช้คำว่า มีสติรู้ทั่วพร้อมนะครับ

คือมีความพร้อมจะรู้ มีความพร้อมจะเห็นภาวะที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นภาวะทางอารมณ์ ภาวะทางใจ ภาวะความคิด และอาการทางกายทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอาการที่หลักๆ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือว่ากระดุกกระดิก ซึ่งตรงนี้เมื่อเกิดผลแบบนี้ อย่างน้อยที่สุด ผมเกิดความเข้าใจขึ้นมาว่า จะพัฒนาเสียงสติต่ออย่างไร รวมทั้งเริ่มเห็นทิศทางว่า ถ้าจะทำให้เกิดความสงบแบบมีสติพร้อมรู้จริงๆ จะให้ไปทางทิศทางไหน

ไม่ใช่นั่งนึกเอาเองนะครับ แต่ว่ามีหลักฐานแบบวิทยาศาสตร์ช่วยสนับสนุน ช่วยยืนยันว่า สิ่งที่เราเรียกกันว่าสติ สิ่งที่เราเรียกกันว่าเป็น ... ใครจะถนัดเรียกเป็น วิปัสสนาญาณ อะไรก็ตามนะครับ จะมีหน้าตาของกราฟช่วยยืนยันแบบไหน

อย่างบางคน กำลังฟุ้งอยู่เลยนะ สมองส่วนหน้าทำงานหนักมาก แต่นึกว่าตัวเองได้วิปัสสนาญาณขั้นโน้นขั้นนี้ หรือบางคนเข้าใจว่าตนเองบรรลุมรรคผล ทั้งๆที่ความสงบยังไม่มีแม้แต่นิดเดียว

ถ้าเป็นตามหลักแบบพุทธนะครับ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ ถ้าหากว่าถึงมรรคจิต ถึงผลจิต หมายความว่า ต้องเป็นฌานนะ อันนี้ก็สามารถจะเอามาทำวิจัยยืนยันต่อกันได้ในระยะยาวเลย

เพราะตอนนี้เป็นช่วงเริ่มต้นนะครับ ยังเหมือนกับตัวอย่างทดลองน้อย แล้วก็เครื่องที่จะเอามาใช้ก็มีราคาแพง ตอนนี้ซื้อได้เครื่องเดียวนะครับ แต่ต่อไปเราคุยกับทางมหาวิทยาลัยมหิดล โดยมีอาจารย์ธารารัตน์  ซึ่งเรียกว่าเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือมากๆคนหนึ่งเลยทีเดียว เรื่องของการวิจัย เรื่องของการยืนยันเกี่ยวกับคลื่นสมอง ที่มีในคนทั่วไป มีในคนไข้ มีในคนที่จะได้รับการวิจัย แบบด้วยจุดประสงค์พิเศษนะครับ

อย่างที่ผ่านมา ก็มีเรื่องของการปฏิบัติธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าจะยังไม่ได้เน้นไปโดยเฉพาะ เนื่องจากว่า เครื่องไม้เครื่องมือยังไม่พร้อม แต่พอเราร่วมมือกัน โดยที่มูลนิธิบูรณพุทธจะได้บริจาคเครื่องมือให้ ต่อไปก็จะเป็นรูปธรรมขึ้นมา แล้วก็เป็นทิศทางที่แน่นอน มีความชัดเจนว่า เราจะอยากรู้ผลแบบไหน

อย่างเช่น ตอนนี้เราเริ่มต้นแบบที่จับต้องได้ง่ายๆก่อนว่า ถ้าใช้เสียงสติช่วย ทำสมาธิได้ดีขึ้นไหม ใช้เสียงสติช่วย จะช่วยให้โรคต่างๆคลี่คลายหรือหายไปได้ไหมนะครับ

และในขั้นแอดวานซ์ (Advance) เลยคือว่า ช่วยยืนยันว่า คนที่จะเจริญสติ คนที่สวดมนต์ คนที่นั่งสมาธิแบบถูกทิศถูกทาง มีอะไรดีๆเกิดขึ้นในสมอง ที่เราสามารถแสดงเป็นกราฟ เป็นหลักฐานได้หรือเปล่า อันนี้ก็จะเป็นทิศทางในปีต่อๆไปของมูลนิธิบูรณพุทธนะครับ

คือโครงการดั้งเดิมที่เป็นออริจินอล (Original) ทั้งหลายไม่ได้ทิ้งนะครับ ก็จะยังมีต่อไปเพียงแต่ว่า ที่ผ่านมาเราเน้นกันเรื่องศรัทธา เรื่องการทำทาน
คราวนี้เราจะมาดูแบบเป็นรูปธรรม ที่บอกว่าเจริญปัญญา เจริญสติกัน มีหลักฐานอะไรไหม มีอะไรจับต้องได้ไหม

ถ้าพระประธาน จับต้องได้แน่นอน เห็นปุ๊บเกิดศรัทธาปั๊บ เกิดความเลื่อมใส เกิดความอิ่มใจ อยากกราบ แต่ถ้าเรื่องของปัญญา อันนี้พูดยาก ไม่มีสิ่งที่จะมาบอกกันง่ายๆว่า เธอเกิดปัญญา แล้วนี่เป็นปัญญาแบบโลกๆ นี่เป็นปัญญาแบบพุทธอะไรต่างๆ แม้แต่เครื่องอีอีจี (EEG) ก็ไม่ได้ช่วยบอกนะครับว่า ได้ปัญญาแล้วหรือยัง

แต่อย่างน้อยมีร่องรอยหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์บอกได้ว่า กำลังเป็นสุข หรือเป็นทุกข์ กำลังสงบ หรือว่าฟุ้งซ่าน กำลังมีภาวะที่พร้อมจะรู้เหนือกว่าธรรมดา หรือว่าเป็นแค่ความรู้แค่ธรรมดาๆทั่วไป ที่พร้อมจะกลับมาฟุ้งซ่านได้ เดี๋ยวพอเครื่องของจริงมา ผมจะถ่ายรูปมาให้ดูว่า เราส่งมอบให้ทางมหาวิทยาลัยมหิดลกันอย่างไรนะครับ

รวมทั้งจะเขียนคอนเซบ (Concept) ของ “โครงการเกิดสติทั่วหล้า” ให้ทุกท่านได้ ... คราวนี้ไม่ใช่แค่อนุโมทนานะครับ แต่อยากให้ได้มีประโยชน์ร่วมกัน ได้เข้ามามีส่วนร่วมในประโยชน์นะครับ ที่ชาตินี้ ชีวิตนี้ได้เกิดมาใต้ร่มพุทธศาสนาแล้ว เราจะได้อะไรกันต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับว่า มาช่วยกันบูรณะในขั้นไหนนะ ศรัทธาขึ้นมาถึงปัญญาได้ไหม 

เข้าสู่ช่วงของการนั่งสมาธิร่วมกันโดยอาศัย ))เสียงสติ ((

ก็อย่างที่เราได้มีประสบการณ์ร่วมกันเป็นประจำ ถ้าใครทำมาเรื่อยๆ ก็คงจะทราบนะว่า ความสงบที่เกิดขึ้น ถ้าเรานั่งสมาธิเป็นจากการช่วยในเบื้องต้นของเสียงสติ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องฟังเสียงสติตลอดไป

ถ้าเราทำเป็นจริงๆ แล้วเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในระดับของสมองของจริง เราก็จะมีความรู้สึกว่า ระหว่างวัน จิตใจของเราสงบกว่าปกติ เพราะว่าคลื่นสมองถูกดึงให้ช้าลง คลื่นย่านช้า เด่นกว่าคลื่นย่านอื่นขึ้นมา

แล้วก็จะมีสติที่จะรู้เท่าทันอารมณ์ รวมทั้งภาวะทั้งหลายได้ ซึ่งความที่ว่า สงบด้วย พร้อมรู้ด้วย หูตาตื่นด้วยนี่นะครับ ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นกับคนเมืองยุคเราเท่าไหร่ เพราะโดนเร้าทั้งวันทั้งคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคเรามีละครซึ่งจับตาจับใจ บาดจิตบาดใจได้ถึงอารมณ์แบบเรียกว่า จี้กันไปถึงไหนถึงไหน ก็ยากที่จะควบคุมอารมณ์กัน บางทีเราไปเลียนแบบอารมณ์ของดารา แล้วก็มาว้าวุ่นเอาจริงๆกับชีวิตจริง

อันนี้ก็มาช่วยกัน มูลนิธิบูรณพุทธก็เหมือนกับอยากจะให้ทิศทางแก่คนเมืองยุคใหม่เท่าที่จะเป็นไปได้นะครับ คือไม่ใช่ทั้งหมด ไม่ใช่มากแบบจำนวนมหาศาล เพราะเป็นไปได้ยาก

ตอนนี้ที่เป็นไปได้ง่ายคือ หลงเข้าพายุอารมณ์หรือว่า เข้าป่ารกของอารมณ์ มีหนามเจอหนาม เจออะไรตำ แต่ยากเหลือเกินที่จะเข้ามาบนเส้นทางของการฝึกเจริญสติ แล้วก็มีสติกันจริงๆแบบที่จับต้องได้แล้วก็รู้สึกได้ด้วยตัวเองนะครับ!
________________

ผู้ถอดคำ: แพร์รีส แพร์รีส
ตรวจทาน: เอ้

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน วิทยาศาสตร์ของความสงบแบบตื่นรู้
วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๒


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น