แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฟุ้งซ่าน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ฟุ้งซ่าน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564

Q04สลัดฟุ้งไม่ได้ ต้องปรับอย่างไร

ดังตฤณ : ทำบ่อยๆ ที่คุณถามมานี่ ตัวคำถามเอง แสดงให้เห็นอยู่แล้ว สะท้อนเลยนะว่า คุณไม่ได้ทำมาตามขั้นตามตอน

 

อาจจะทำตามที่เราบอกท่าบอกทางกันมา แต่ว่าใจ คิดอยู่อย่างเดียวว่า จะสละความฟุ้งซ่าน

 

จะต่างกันมากนะ คือความใจจดใจจ่ออยู่ว่า เราเลิกฟุ้งซ่านหรือยัง หยุดคิดได้เสียทีหรือยัง

กับการมาทำตามขั้นตามตอน อย่างใจเย็นโดยไม่คาดหวังว่าจะให้ความฟุ้งซ่านหายไป ต่างกันมโหฬารเลย ผิดกันคนละทิศคนละทางเลย

 

พอเริ่มออกตัวมาด้วยการค่อยๆ ใจเย็น เห็นว่าหายใจอย่างไรอยู่ โดยอาศัยมือช่วยไกด์ คุณจะค่อยๆ เห็นเช่นกันว่าจิตเริ่มเข้าที่เข้าทาง ทีละนิดทีละหน่อย

 

จากตอนแรกไม่รู้สึกถึงลมหายใจเลย กลายเป็นรู้เพิ่มขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย แล้วก็รู้ต่อเนื่องมากขึ้นๆๆ จากนั้นพอเริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มรู้สึกว่าเราก็รู้ได้เหมือนกัน

 

อย่างใช้มือไกด์ข้างเดียวนี่ ท่าที่หนึ่งนี่ บางคนอาจต้องใช้เวลาสัก 20 นาที หรือครึ่งชั่วโมงกว่าจะเข้าที่เข้าทาง แต่ไม่สำคัญว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน สำคัญตรงที่ว่า เข้าที่เข้าทางได้เหมือนกัน ได้จุดหมายเหมือนกัน

 

เมื่อเรารู้สึกว่า รู้ลมหายใจได้ชัดแล้ว ก็มารู้สองมือต่อ เพื่อให้เกิดปีติ เกิดความผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัว

 

ตรงที่มีความรู้สึกผ่อนคลายทั้งเนื้อทั้งตัว ความฟุ้งซ่านหายไปเอง โดยไม่ต้องมาตั้งโจทย์ว่า ทำอย่างไรถึงจะหายไป

 

แล้วจากนั้น คุณสำรวจ สอดส่องในชีวิตประจำวันด้วยว่า คิดอย่างไร มองอย่างไร พูดอย่างไร หรือลงมือทำอะไรแล้วมีความใกล้เคียงกับตอนที่เราทำสมาธิได้ผล

 

คุณจะเห็นว่า ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หัดให้ทาน หัดถือศีล รักษาศีลให้สะอาด หัดคิดในแบบที่เป็นระเบียบ มีความเป็นเส้นตรง ไม่วกวนพายเรือในอ่าง ไม่เก็บอารมณ์เล็กๆ น้อยๆ มาใส่ใจ ไม่ถือสา อภัยง่าย อภัยเก่ง

 

มีส่วนทั้งหมด ที่จะช่วยให้ความปรุงแต่งทางจิตสงบระงับลง ความฟุ้งซ่านจะน้อยลงๆ

 

ไม่ใช่แค่การทำสมาธิอย่างเดียว แต่เป็นการใช้ชีวิตประจำวันด้วย

_________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน เราจะตั้งจิตมั่น

- ช่วงถาม-ตอบ

วันที่ 14 สิงหาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=CeLpDqgmhNc

 

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

05 เวอร์ชันใหม่จะแทนที่เสียงเดิม ที่ขจัดความฟุ้งซ่านไหม

ผู้ถาม : เข้ามาฟังช่วงแรกไม่ทัน แต่ฟัง  ‘เสียงสติ’ เวอร์ชันที่เป็น คลื่นพร้อมนอน ทุกวัน กับ ตัวความฟุ้งซ่าน

 

ทีนี้เวอร์ชันใหม่ที่ให้ฟังวันนี้ จะไปทดแทนตัวคลื่นขจัดความฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ

 

ดังตฤณ : พอซีรีส์ใหม่ออกมามาครบ ของเก่าจะโละทิ้งทั้งแผงเลย

 

อธิบายง่ายๆ แบบนี้ คือว่า  ‘เสียงสติ’ เป็นคอนเซปต์ แล้วก็มี .. ถ้าพูดภาษาโปรแกรมเมอร์คือมี อัลกอริทึม แบบหนึ่ง ที่พอจับทางตรงนี้ได้ จะพัฒนาต่อยอดขึ้นไปได้เรื่อยๆ และไม่มีประโยชน์ที่จะไปฟังของเก่า เพราะของเดิม จะเหมือนกับไม่ effective เท่า และไม่ได้ให้ผลลัพธ์ แบบนี้

 

คือตอนนี้ชัวร์แล้วว่า (เวอร์ชันใหม่) จะเกิดผลอย่างที่ตั้งเป้าไว้แน่ๆ คือ เกิดจิตตวิเวกนะครับ แล้วตัวเฉพาะคลื่นสมาธิ  ‘เสียงสติ’ ที่ได้ฟังกันไป นี่เพิ่งเป็นเวอร์ชัน 8 นาที

 

จริงๆ แล้วมีเวอร์ชัน ครึ่งชั่วโมง มีเวอร์ชันหนึ่งชั่วโมง มีเวอร์ชันหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

 

บางตัวที่ออกแบบไว้ จะให้คุณได้มีถึงขั้นที่ว่า สามารถมีสติขึ้นมาในฝันได้แบบแน่นอน

 

คือผมไปอ่านงานวิจัยมา มีงานวิจัยที่บอกว่า ถ้าเรารู้ว่าช่วงไหนคนกำลังฝันอยู่ แล้วไปกระซิบข้างหู พูดอะไรไปก็ตาม ถามอะไรไปก็ตาม จะเกิดปรากฏการณ์ คือจะเกิดความฝันตามเสียงพูดนั้น หรือเสียงไกด์นั้น

 

ผมเลยเอามาประยุกต์ คือทำให้มีเวอร์ชันหนึ่งที่เรียกว่า เป็นเวอร์ชัน สติในฝัน หรือเอามาจากคำฝรั่งคือ Lucid Dreaming

คุณจะมีปัญหาทางใจอะไรก็ตาม ถ้าหากว่ามีสติ รู้ว่าตัวเองกำลังฝันร้าย รู้ว่าตัวเองกำลังฝันไม่ดี แล้วก็สามารถที่จะแก้ไขภาพในฝันนั้นให้ดีขึ้นได้ อย่างมีสติรู้เลยว่า ตัวเองกำลังแก้ไขภาพฝันด้วยสติอยู่

 

ผลลัพธ์จะทำให้คุณรู้สึกว่า ตื่นขึ้นมาความรู้สึกดีขึ้นทันที และวิธีคิดในระหว่างวัน จะรู้เนื้อรู้ตัวมากขึ้น จะมีความคิดความอ่านแบบ make sense มากขึ้น มีความเกลียดตัวเองน้อยลง มีความทุรนทุรายในชีวิตน้อยลง แก้ปัญหาในชีวิตด้วยความรู้สึกว่า สบายอกสบายใจขึ้น อยู่มือมากขึ้น ไม่อยากฆ่าตัวตายอย่างที่เป็นๆ กัน

 

อย่างเรื่องความฝัน เขาเพิ่งมาวิจัยกันไม่นาน มีส่วนอย่างมากเลยกับการคิดฆ่าตัวตายนะ

 

ถ้าฝันไม่ดีซ้ำๆ ฝันร้ายซ้ำๆ โอกาสที่คนเราจะตื่นขึ้นมาแล้วเกลียดชีวิตตัวเอง อยากจะหนีให้พ้น จะมีสูง

 

แต่ถ้ามีสติในฝันขึ้นมาได้ ซึ่งซีรีส์นี้จะมีอยู่เพลงหนึ่ง ซึ่งทำงานแบบนั้น เราก็จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้นกันแน่นอนนะ

 

ตอบคำถามคือว่า ซีรีส์ก่อนยังเป็นแค่เหมือนกับขั้นต้น เมื่อปีที่แล้ว ที่เจออยู่แค่นั้น มาปีนี้ เจอเพิ่มขึ้น เข้าใจอะไรมากขึ้น จากฟีดแบคของทุกท่านนี่แหละ และจากการที่สังเกตจากตัวเองด้วย และสิ่งที่จะพัฒนาต่อๆ ไป คาดหมายได้ว่า จะมีพัฒนาการมากว่านี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องของการกำจัดความฟุ้งซ่าน

 

เรื่องกำจัดความฟุ้งซ่านนี่ เรื่องสิวๆ แล้ว แต่ผมวางเป้าหมายไว้ในขั้นต่อไปว่า .. อย่างที่ทำให้เกิดจิตตวิเวก แล้วทำได้นี่นะ อันนี้ก็จะมั่นใจมากขึ้นในขั้นต่อๆ ไป ที่จะเอามาประยุกต์ เอามาบวกกัน เอามารวมกันกับการไกด์ให้เกิดสัมมาทิฏฐิในการเจริญสติ รู้กายรู้ใจต่อไป

 

ผู้ถาม : แล้วจะมีตัวที่ไว้ฟังพร้อมนอนไหมคะ

 

ดังตฤณ : แน่นอน เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนชอบเวอร์ชันนี้กันมากที่สุดนะ เวอร์ชันนี้ถูกดาวน์โหลดมากที่สุด ตอนนี้ไม่รู้เท่าไหร่แล้วแต่เอาเป็นว่า กระโดดหนีจากเวอร์ชันอื่นๆ เยอะมาก

เพราะฉะนั้น ถึงรู้ได้ว่า คนต้องการสำหรับเอาไปช่วยนอน เป็นโรคนอนไม่หลับ เป็นโรคเครียด เป็นโรคฝันร้ายซ้ำไปซ้ำมาเป็นกันเยอะ

 

และตรงนี้เป็นผลพลอยได้ซึ่งพอเข้าใจจุดนี้ ผมก็มาเน้นกันแบบเอาจริงเอาจังทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องของการให้ ‘เสียงสติ’ มีส่วนช่วยในการนอนให้ดีขึ้น

 

ผู้ถาม : ดีใจมากค่ะ เพราะส่วนตัว บางวันก็จะมีปัญหาเรื่องนอนยาก แล้วก็ที่ผ่านมา อาศัยเสียงพร้อมนอน ฟังทุกคืน แต่ก็มีบางคืนที่ไม่สำเร็จนะคะ ประกอบกับเรา ทำคลีนิครักษาโรคนอนกรน คือคนจะเป็นโรคหยุดหายใจตอนนอนเยอะมาก และมีคนไข้หลายคนชอบมาถามว่า จะมีวิธีไหนที่ทำให้เขานอนได้ไหม เราก็แนะนำแอพ  ‘เสียงสติ’ ให้คนไข้ไปหลายคนมากเลย ซึ่งก็ไม่ได้ sync กับทุกคน บางคนก็ฟังแล้วนอนไม่ได้

 

แต่เวอร์ชันใหม่ เมื่อกี้ได้ลองทำพร้อมกับพี่ตุลย์ไป 8 นาที ก็รู้สึกว่า เมื่อกี้กำลังเครียดๆ อยู่ แต่ถึงแม้ตอนฟังจะยังฟุ้งซ่านอะไรอยู่นะคะ แต่พอเสร็จปุ๊บ ก็รู้สึกเหมือนสมองคลายลงพอสมควรเหมือนกัน

 

ดังตฤณ : ขอบคุณและอนุโมทนามากๆ เลย ที่ได้ช่วยกัน ทีนี้ เดี๋ยวพอซีรีส์ใหม่ออกมาเสร็จสมบูรณ์ จะมีตัวนี้เลย

คือ ซีรีส์สองนี่นะ จะเน้นเรื่องการใช้ดนตรี และเสียงธรรมชาติขึ้นมานำ ‘เสียงสติ’ เพราะว่ารู้ดี เข้าใจดี ฟีดแบคมาเยอะมาก บางทีฟัง ‘เสียงสติ’อย่างเดียว ไม่เวิร์คกับหลายๆ คนเนื่องจากว่า หลายๆ คนไม่ได้มีความพร้อมที่จะฟังเสียง อือๆ ออๆ ขึ้นมาเดี่ยวๆ ก็เลยได้เอาเสียงดนตรีมานำก่อน


เป็นเสียงดนตรีแบบที่จะทำให้เผลอ เพลินไป แล้วก็ลืมไปแล้วว่า กำลังจะฟังอะไรแบบที่เกี่ยวกับเรื่องของ  ‘เสียงสติ’ เกี่ยวกับเรื่องของสมาธิ จะลืมไป จะเพลินไป และถ้าฟังตอนนอน ดนตรีแต่ละเพลง จะถูกออกแบบมาให้ทำให้รู้สึกเคลิ้ม ทำให้รู้สึกว่า เคลิ้มแบบพร้อมจะมีสติ ไม่ใช่เคลิ้มแบบอ้อยอิ่ง หรือไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เป็นเคลิ้มในแบบที่พร้อมจะไปต่อติดกับ ‘เสียงสติ’ ถูกออกแบบมาไว้โดยเฉพาะเลย

 

ซึ่งแต่ละคนจะมีปมปัญหาทางกายทางใจไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น บางคนเป็นโรคเครียด ไม่ได้ซึมเศร้า แต่เครียด

บางคนซึมเศร้าแต่ไม่ได้เครียด

บางคนกำลังสับสนอยู่ หรือบางคนกำลังอยู่ในอารมณ์โกรธ ที่ถอนออกมาจากความรู้สึกว่า มันร้อน มันอาฆาตพยาบาทไม่ได้

 

ไม่ได้เครียด ไม่ได้ซึมเศร้า ไม่ได้สับสนอะไรทั้งสิ้น แต่โกรธ และหาทางออกจากความโกรธนั้นไม่ได้ ก็ใช้ดนตรี มาเป็นตัวจูนอารมณ์ ซึ่งถ้าตอนนี้ คนยังไม่ได้ฟังเสียง อาจยังนึกภาพไม่ออก

 

แต่ถ้าหากว่าได้ฟังแล้ว จะเข้าใจเลย คือ ถ้าฟังในขณะโกรธ จะสามารถดับความโกรธลงได้ภายในนาทีเดียว

 

อันนี้เป็นตัวอย่างว่า ถ้าเขานอนไม่หลับด้วยเหตุผลทางอารมณ์ หรือปมอารมณ์แบบไหน ก็เลือกฟังเพลงที่เหมาะกับอารมณ์ของตัวเองแบบนั้น จะจูนให้กลายเป็นอารมณ์บวกได้ภายในเวลาแค่ไม่เกิน 3 นาทีเป็นอย่างมาก และพอ 3 นาที เริ่มเพลินๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น  ‘เสียงสติ’ดังขึ้น จะไม่มีอาการต่อต้าน ไม่มีอาการรำคาญ ไม่มีอาการเหมือนกับตาค้าง นอนไม่หลับ แต่สมองจะฟังต่อโดยที่ไม่มีอาการปฏิเสธไปเอง แล้วพอเวลาหลับ คือ ซีรีส์สอง จะมี ‘เสียงสติ’ที่ออกแบบมาให้นอนแบบสบาย และหลับสนิทโดยเฉพาะ

 

จะดีกว่าเวอร์ชันพร้อมนอนของซีรีส์แรก แบบลิบลับเลย ต่างกันมหาศาลเลย

 

ผู้ถาม : รู้สึกมีความหวังมากเลยค่ะ

 

ดังตฤณ : ขอบคุณมากที่ช่วยแนะนำคนไข้ให้นะ เพราะจริงๆ แล้วถ้าเรามองกัน ช็อตที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่อยากให้เขาฟัง ‘เสียงสติ’ แต่อยากให้เขาเข้าใจว่า เขาจะเจริญสติ เพื่อช่วยเหลือตัวเองได้อย่างไร เป็นการเจริญสติ แบบไม่ใช่แค่ช่วยให้หลุดออกจากโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในระยะสั้น แต่อยากให้เจริญสติ แล้วหลุดจากความทุกข์ ซึ่งเป็นทุกข์ระยะยาวแบบที่พุทธศาสนาต้องการเลยจริงๆ นะ

___________________

 

 ‘เสียงสติ’ ใหม่นี้จะมาแทนเสียงเดิมที่ขจัดความฟุ้งซ่านหรือเปล่าคะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ร่วมนั่งสมาธิ

วันที่ 15 พฤษภาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=I9EbtFrCR7Y

 

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

คนวิกลจริตที่พูดอยู่คนเดียว คิดอะไรอยู่ และทำกรรมอะไรมาจึงเป็นเช่นนั้น

ผู้ถาม : เป็นเรื่องที่คุยกันในรถกับแฟนค่ะ คือมีอยู่ครั้งหนึ่งขับรถ ระหว่างติดไฟแดง ก็เห็นเหมือนคนบ้าเดินมาแต่ไกล แล้วเขาก็คุยอยู่คนเดียว ทะเลาะอยู่กับใครสักคนหนึ่ง ก็เลยคุยกันในรถว่า ในหัวเขาคิดอะไร หรือว่า การที่เขาหยุดทะเลาะกับใครสักคนอยู่คนเดียวนี่ เขามองเห็นใครไหม

 

เลยอยากจะทราบว่า เขาทำกรรมแบบไหนมา หรือว่า เขามีความคิดอะไรในหัวถึงโอเคเหมือนกับว่าเขาถึงขนาดประมาณนี้ค่ะ

 

ดังตฤณ : เคยมีคนที่สงสัย แล้วก็พยายามทดลองแบบเป็นรูปธรรม จับต้องได้เลย

 

คือเขามีข้อสงสัยว่า ระหว่างคนดีๆ ที่บอกว่าเป็นคนปกติ เป็นคนที่จิตเหมือนกับ อยู่ในสภาพธรรมดาทั่วไป กับคนบ้า เวลาฝันนี่ต่างกันไหม

 

เขาพยายามค้นคว้าหาคำตอบจากจุดนี้ ปรากฏว่าความฝันของคนบ้า ที่อยู่ในโรงพยาบาล อยู่ในจิตเวช ที่ได้รับการรับประกันจากหมอว่าออกจากโรงพยาบาลไม่ได้

 

ความฝันของเขานี่ ไม่ได้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลย คือฝันแบบคนปกติ ไม่ได้ฝันว่าอาละวาดอยู่ในฝันนะ ฝันประมาณว่าเลอะๆ เลือนๆ หรือบางทีก็ฝันเป็นเรื่องเป็นราว

 

อันนี้เป็นคนไข้จิตเวช ในแบบที่ยังพอพูดรู้เรื่องนะ แล้วก็ทำแบบกลุ่มตัวอย่างขึ้นมา เวลาที่เขาสอบถามว่าเมื่อคืนฝันอะไรจำได้ไหม เวลาเล่าออกมานี่ก็เหมือนกับคนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่มีอาการอาละวาดอยู่ในความฝัน ไม่มีอาการว่าตัวเองเป็นคนบ้า ฉันเป็นคนบ้าแล้วพูดไม่รู้เรื่องนะ

 

อันนี้สะท้อนอะไร สะท้อนให้เห็นว่า ที่คนๆหนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นบ้า ก็คือสามารถพูดจารู้เรื่อง ในขณะที่คนที่เป็นบ้า มีอาการที่ไม่ปกติทางสังคม มีอาการแปลกแยก มีอาการที่อยู่ร่วมกับสังคมอื่นๆ เขา แล้วไม่สมูท (smooth) คือมีอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอาละวาด เรื่องอารมณ์ที่ผันผวน เคมีในสมองไม่สมดุลหรืออะไร แล้วก็คลุ้มคลั่งขึ้นมา ก็เลยต้องอยู่โรงพยาบาลบ้า

 

แต่โดยสภาพจิตใจแล้วถ้าเทียบกัน โดยเอาความฝันมาเป็นตัวตั้งนี่ คนธรรมดาปกติกับคนบ้า ไม่ได้แตกต่างกันเลย

 

เรามาตีความเป็นอะไรได้ มาตีความเป็นรูปแบบ หรือลักษณะของความฟุ้งซ่าน จะไม่ได้แตกต่างกัน

 

คนที่คิดอะไรยุ่งเหยิงแบบเพ้อเจ้ออยู่ในหัว ที่ท่านบอกว่า อาการเพ้อเจ้อนี่เป็นเป็นมุสาวาทชนิดหนึ่งนี่ ก็คือมีลักษณะคล้ายๆ คนบ้า คิดแบบไม่ยั้ง พล่ามอะไรอยู่ในหัว แล้วก็พยายามที่จะผลักดัน ให้สิ่งที่ในหัวพล่ามอยู่ไม่หยุดนี่ ออกมาทางปากให้คนเขาได้ยินได้ฟัง

 

ก็ไม่แตกต่าง เป็นจุดเริ่มต้น เป็นสัญญาณอ่อนๆ ของความเป็นคนพูดไม่รู้เรื่อง พูดจาแบบเหมือนคนบ้า

 

ทีนี้ ถามว่าคนที่เขาถึงขั้นหลุดไปแล้ว แล้วก็พูดกับลมๆ แล้งๆ ราวกับว่ามีใครอยู่ในอากาศจริงๆ ลักษณะความคิดของเขานี่ ก็คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ  คล้ายๆ กับคนที่พูดพล่ามเพ้อเจ้อ ไม่บันยะบันยัง ไม่หยุด ความคิดในหัวนี่จะออกแนวแบบว่า ควบคุมตัวเองไม่ได้ที่จะให้หลุดปากอะไรออกไป หรือว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ที่จะให้ทำท่าทำทางในแบบปกติ หรือไม่ปกติ

 

บางที คือแยกไม่ออก .. แยกไม่ออกว่าทำท่าทำทางแบบหนึ่งนี่ คนเขามองว่าปกติ หรือว่าเพี้ยนไป

 

ตัวเองนี่ ณ เวลาที่มีความรู้สึกนึกคิดแบบนั้นนี่นะ รู้สึกเป็นปกติ ปกติของตัวเอง แต่ไม่รู้ตัวว่า นั่นแหละเพี้ยนไปแล้ว สำหรับสายตาของคนอื่น

 

ถามว่าพวกนี้ทำกรรมอะไรมา ก็อย่างที่บอกนะ เพ้อเจ้อบ่อยจนกระทั่งเหมือนกับ เผลอไปทำบาปหนักๆ พูดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พูดลบหลู่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือว่าผู้ทรงคุณ ไปใส่ร้ายเขา คือนึกว่าเขาเป็นอย่างนั้น นึกว่าเขาเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องเอาหลักฐานอะไรทั้งสิ้น ไปพยายามพูดพล่าม ให้คนเชื่อว่าผู้ทรงศีลนี้ไม่ดีจริง

 

อย่างในสมัยที่พระพุทธเจ้าท่าน เคยเสวยพระชาติเป็นฤาษี ท่านก็บอกว่ามีอยู่ชาติหนึ่งนะ ที่ท่านใส่ร้ายฤาษีด้วยกัน แล้วก็เลยทำให้ท่านถูกใส่ร้ายคืนในชาติต่อๆ มา แม้ในชาติสุดท้าย ก็ถูกนางจิญจมาณวิกาใส่ร้าย อะไรแบบนี้นะ

 

การใส่ร้ายผู้ทรงคุณนี่มีผลหลายระดับ ไม่ใช่แค่โดนคนใส่ร้ายคืนอย่างเดียว บางทีมีผลทางจิตใจ ทำให้จิตใจนี่พล่านไป

ถ้าหากว่า ผู้ที่เราใส่ร้ายเป็นผู้ที่ทรงศีลทรงธรรมจริงๆ จะมีผลให้จิตใจฟุ้งซ่านจัด

 

อย่างจะมีข้อหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การด่าทอหรือว่าติเตียนพระอริยเจ้า ด้วยวาจาที่รุนแรง ด้วยความคิด ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยโทสะ ผลที่ทันตาคือ ทำให้ฟุ้งซ่านจัดเหมือนเป็นบ้า

 

เพราะว่าความคิด เวลาที่ไปทุ่มลง ในการประทุษร้ายต่อผู้ทรงศีล ก็ เหมือนกับ เอาโคลน เอาอะไรที่สกปรกไปแปดเปื้อน ผ้าที่สวยๆ ที่ขาวสะอาดให้มีมลทินใช่ไหม

 

โลกภายนอกเป็นอย่างนั้น จิตใจภายในก็เป็นเช่นนั้นเช่นกัน

 

คือจิตไม่สามารถสะอาดขึ้นมาได้ มีแต่ความสกปรก และหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสกปรก พอหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสกปรกมากๆ จนคุมตัวเองไม่ได้ ก็หลุดจากสภาพที่แค่พล่ามเพ้อเจ้อเฉยๆนี่ ดิ้นไปพล่ามเพ้ออยู่ข้างในหัวตลอดเวลา จนกระทั่งควบคุมตัวเองไม่ได้

 

ถ้าให้ผลในชาติอื่นๆ ก็จะมาในรูปแบบของ การที่ชีวิตบีบคั้นด้วยปัญหาหรือว่าปัจจัยประดังประเด อะไรเข้ามาในแบบที่ทำให้จิตหลุด ไม่สามารถทนต่อแรงกดดันรอบด้านได้ ก็เลยเกิดอารมณ์เหมือนกับเป็นบ้าขึ้นมา

 

นอกจากเรื่องของการประทุษร้ายด้วยวาจา ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับเรื่องของการเป็นบ้า ก็คือเสพสุรายาเมา

 

ผลของการเสพสุรายาเมา หรือเสพยาอี ยาบ้า ยาอะไรก็ตามชนิดหัวราน้ำ  ชนิดที่ไม่สนใจเรื่องสติ ก็มีผลให้ได้เป็นบ้าเหมือนกัน

 

อันนี้ อยู่ในเรื่องของผลลัพธ์การผิดศีลนะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับศีลข้อห้า เกี่ยวกับเรื่องของสุราเมรัยนะครับ ถ้ากินมากๆ แล้วถ้าไม่เป็นบ้าในชาตินี้ ก็มีสิทธิ์เป็นบ้าชาติหน้าได้นะ

 

จะมีคนประเภทหนึ่ง ที่ถูกชะตาขีดไว้ตั้งแต่เริ่มเลยว่า เกิดมานี่นะ รู้สึกหนักๆ หัวรู้สึกคิดอะไรดีๆไม่ออก รู้สึกเหมือนกับว่าฟุ้งซ่านจัด ควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วก็อาจจะออกแนวแบบว่า พอคิดนี่ คิดอะไรดีๆ คิดไม่ออก คิดออกแต่เรื่องชั่วๆ นะ คิดออกแต่เรื่องชั่วร้าย

 

แล้วก็บางทีไม่ใช่เกิดผล กับคนที่อยู่บนเส้นทางของความเลวอย่างเดียวบางทีคนดีๆ ที่อยู่บนเส้นทางดีๆ แต่พลาด เคยไป ..ในอดีตชาตินี่ เคยอยู่บนเส้นทางของขี้เมาหัวราน้ำ แล้วก็เคยอาละวาด เคยใช้อารมณ์แบบคนเมานะ ไปก่อความเดือดร้อนให้คนอื่น ทำให้คนอื่นเขาอยู่ไม่เป็นสุข

 

ลองนึกถึงคนขี้เมา ทำอะไรบ้าง เอะอะโวยวาย เหมือนกับพูดจากับใครไม่รู้เรื่อง รบกวนจิตใจเขา เขาบอกว่าเมาแล้วให้ไปนอน ไม่ยอมนอนนะ จะตะบี้ตะบันพูดต่อ ให้เขาเกิดความทุกข์ได้ ให้เขาเกิดความรู้สึกว่า ข้านี่เป็นใหญ่ที่สุดในโลก เป็นศูนย์กลางจักรวาลให้ได้

 

ประเภทนี้เกิดใหม่ ก็จะมีลักษณะความคิดที่ควบคุมไม่ได้เหมือนกัน หรือ อย่างในชาตินั้นเองนะ ไม่ต้องเกิดไหม บางทีพอเมาไปมากๆ เมาดิบบ้างเมาสุกบ้าง ก่อเกิดอาการที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือว่ามีโทสะรุนแรง ยิ่งแก่ตัวลง สภาพแบบนี้ ก็ยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นเรื่อยๆนะ

________________

คนวิกลจริตที่พูดอยู่คนเดียว เขาคิดอะไรอยู่คะ และทำกรรมอะไรมาจึงเป็นเช่นนั้น?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์

วันที่ 10 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=01E7JRHoWcU

 

 

วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

ภาวนาพุทโธ แต่ฝันทุกคืน จิตไม่สงบจริงใช่ไหม

ดังตฤณ : ความฝัน แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเรื่องความฝันมา 30 ปี ศึกษาจริงจัง เก็บตัวอย่างมามากเป็นพันเป็นหมื่นคน มาสร้างทฤษฎี สร้างโมเดลอะไรมากมาย

 

ในที่สุดยังบอกเลยว่า ความฝันของมนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกลับ แล้วก็ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ

 

เอาง่ายๆ อย่าว่าแต่ฝันเลย แม้กระทั่งว่า คำถามง่ายๆ ว่าทำไมคนต้องหลับ เป็นโจทย์ที่ยาก

 

ตอนที่เราเรียนหนังสือกัน สุขศึกษา ตอนเด็กๆ ก็บอกว่า การนอนหลับคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด คนที่ศึกษาเรื่องการหลับ และความฝันมามากจริงๆ กลับบอกว่า ตอนหลับ ไม่ได้พักผ่อนนะ สมองนี่ทำงานเต็มที่เลย แล้วสภาวะร่างกายโดยทั่วไปก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะผ่อนคลาย

 

สมมติว่าฝันว่าวิ่งหนี ตื่นมา ก็เหนื่อยยิ่งกว่าวิ่งหนีจริงๆ อีก เพราะมีความขวัญเสีย มีอาการตอบสนองทางกายที่ออกทางเครียด หลั่งสารแย่ๆ ออกมา สมองไม่เคยพัก

 

สมองของมนุษย์ไม่เคยพัก แม้แต่ความคิดก็ไม่เคยหยุด เป็นกระแส อย่างที่ฝรั่งเรียก มีศัพท์เฉพาะว่า Theme of consciousness ลักษณะการทำงานของสมอง มีอาการตื่นอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนที่เรารู้สึกว่าเราหลับ

 

ความคิดจะขาดหายไปจริงๆ ก็ต่อเมื่อเราสลบ หรือไม่ก็เข้าถึงสมาธิระดับฌาน

 

ถ้าถึงฌานจริง ความคิดเงียบเลยนะ เงียบกริบเลย ไม่เหลือเลย

 

ทีนี้ อย่างเราภาวนาพุทโธมา แล้วเกิดปีติ เกิดความเบา เกิดอะไรก็แล้วแต่ ตรงนั้น เป็นตอนตื่น ยังเข้าไปไม่ถึงจุดที่ลึกลับที่สุดในชีวิตของเราคือ ตอนที่เราหลับฝัน

 

ตอนนั้น จะมีอะไรออกมามากมาย ซึ่งไม่ต้องไปกังวล เราเอาแค่ จับสังเกตก็พอว่าที่เราฝัน ฝันดีหรือฝันไม่ดี

 

ถ้าฝันดี แล้วทำให้รู้สึกตื่นมา อารมณ์ดี อารมณ์เบา อารมณ์สบาย ก็ถือว่าที่ผ่านมาใช้ได้ ภาวนามาใช้ได้ อย่าไปคาดหวังว่า ภาวนาได้ดีแล้วจะไม่ฝันนะครับ เพราะว่าเป็นการที่เราไปกะเกณฑ์สิ่งที่ลักลับที่สุดในชีวิตให้เป็นไปตามใจของเรา ซึ่งทำไม่ได้นะครับ

 

เราเอาแค่ว่า เราจะฝันดีก็พอแล้ว

___________________

 

ภาวนาพุทโธพร้อมลมหายใจเข้าออกมากว่า 20ปี เกิดปีติเร็ว ลมหายใจเบาแทบไม่หายใจ ทำทุกคืนพิจารณากายเป็นบางช่วง แต่ทำไมยังฝันไปในที่ต่างๆ แสดงว่าจิตไม่ได้สงบจริงใช่ไหมคะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีใช้เงินบริจาคของบูรณพุทธ

วันที่ 24 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=r1epM-fVytc

 

คุณแม่ฝันร้ายประจำ ห่วงว่าจะมีจิตเป็นอกุศล

ผู้ถาม : ตั้งแต่มี Covid 19 ก็มานอนเป็นเพื่อนคุณแม่ สังเกตได้ว่าคุณแม่จะฝันร้ายบ่อยมากค่ะ รู้สึกจิตคุณแม่มีความวิตกกังวลมาก ฝันร้ายถี่ ละเมอตะโกนเสียงดังแบบเสียงโหยหวน จนเราตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

 

รู้สึกว่าจิตคุณแม่มีความทุกข์ค่อนข้าง constant แต่คุณแม่ไม่ได้สนใจธรรมะ

 

ในฐานะที่เป็นลูก รู้สึกว่า ถ้าจิตท่านไปทางนั้นบ่อยคงไม่น่าจะดี เลยอยากหาวิธีช่วย ผ่อนให้ท่านไม่อยู่กับความวิตกกังวล ความเครียด จนเก็บไปฝันได้แบบถี่มากๆ ค่ะ

 

ดังตฤณ : คุณแม่เป็นโรค หรือมีโรคประจำตัวไหม

 

ผู้ถาม : คุณแม่อายุมาก แต่ไม่ได้เป็นโรคอะไรเลยค่ะ แข็งแรงดี แค่ฝันร้ายบ่อย เครียดค่ะ

 

ดังตฤณ : คือเท่าที่ คือผมเองก็เคยเลยใกล้ชิดกับอะไรแบบนี้มานะครับ แต่ไม่ใช่คุณแม่ผมนะ 

 

คือมีความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า จิตของมนุษย์ ถ้าใครเผชิญกับบุคคล หรือว่าสถานการณ์อะไรแบบนี้ จะเข้าใจอย่างหนึ่งจิตมนุษย์นี่เหมือนกับ แต่ละคนนี่ มีที่คุมขังของตัวเอง มีกำแพงของตัวเองนะ

 

ซึ่งตอนยังหนุ่มยังสาวนี่ ก็มีเวลาที่จะออกมาจากกำแพงนั้น หรือว่ามีเวลาที่จะพอก ให้กำแพงหนาขึ้น สูงขึ้น แล้วแต่คน

 

และคนส่วนใหญ่เลยนะ จะพอกให้กำแพงหนาขึ้น ก่ออิฐก่อปูนให้สูงขึ้น ขังตัวเองไว้ คือตอนที่มีแรง ที่จะไปก่ออิฐ หรือจะทำลายกำแพง ก็เลือกที่จะก่ออิฐให้หนาขึ้น สูงขึ้น กระทั่งถึงจุดหนึ่ง หมดแรงไม่มีแรงแล้ว

 

ตรงนั้นนี่ คือยากแล้วที่จะไปทำลายกำแพงที่ตัวเองสร้างไว้ หรือว่า ที่จะทำให้สูงขึ้นไปกว่านั้น ได้แต่อยู่ในสภาพงอมืองอเท้า แล้วก็ต้องติดอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าหากว่า กำแพงมันสูง มันหนา

 

อันนี้ขออภัยคือไม่พูดถึงคุณแม่อย่างเดียว แต่พูดถึงทั่วไปนะครับ

 

โดยทั่วไปนี่ คนมีอยู่สองประเภทเท่านั้น ระหว่างยังหนุ่มยังสาว คือออกจากกำแพง หรือว่าสร้างให้กำแพงนี่ สูงขึ้นหนาขึ้น

 

ทีนี้ ถ้าเรามองเห็นภาพนั้นด้วยความรู้สึกทางใจ ว่าเราไม่สามารถผ่านกำแพง ทะลุกำแพงตรงนั้นไปได้ง่ายๆ สิ่งที่เราจะต้องทำไว้ในใจอันดับแรกเลย ก่อนที่จะช่วยคุณแม่ ก็คือ ต้องมองว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม จริงๆ ไม่เว้นแม้แต่บุคคลอันเป็นที่รัก

 

ต้องทำไว้ใจตรงนี้ให้ได้ก่อน เป็นอันดับแรกเลย ว่าถ้ากำแพงสูงหนาจริงๆ บางทีเราต้องอุเบกขานะครับ

 

เมื่อใจของเราเป็นอุเบกขามากพอ ทำไว้ในใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใจของเรา จะเบาพอที่จะไปช่วยเขาได้ ถ้าหากมีสิทธิ์ช่วยยังมีช่องทาง ยังมีประตู ยังมีหน้าต่าง ที่เราจะเข้าไปในกำแพง ไปหาแม่ได้

 

ถ้าใจเราเบาพอ เราจะเห็นช่องทาง แต่ถ้าใจเราไม่เบา ใจเราจะเหมือนกับความกังวล ความรู้สึกทุรนทุราย กระวนกระวายอยากช่วยแม่มากๆนี่ จะพลอยเป็นกำแพงที่ทำให้เรา เข้าไม่ถึงแม่หนักเข้าไปอีก

 

เพราะอะไร เพราะว่าคนที่เป็นห่วงบุคคลอันเป็นที่รักมากๆ นี่ มักจะมีปฏิกิริยา มีอาการที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นนะครับ

 

อย่างเช่นพอเราเสียใจ เราเศร้าโศก เราไม่มีความสุขมากพอที่จะทำให้ บุคคลอันเป็นที่รักนี่ เกิดความรู้สึกว่าเราดีกว่าเขานะ หรืออย่างบางที เราไม่เข้าใจว่า ธรรมะข้อนี้ หรือว่าครูบาอาจารย์ เสียงดีๆ แบบนี้ ทำไมถึงไม่รับ ทำไมถึงไม่ฟัง บอกบุญทำไมถึงไม่รับ

 

ด้วยอาการคาดคั้นแบบของเรา แทนที่จะช่วยให้เขาอยากมาฟัง ท่านอยากจะมารับรู้อะไรที่เราต้องการ กลับกลายเป็นยิ่งผลักออกห่าง เหมือนกับเอาทิฏฐิไปสู้กัน

 

อันนี้ คือด่านแรกที่ผมถึงบอกว่า ทำไมใจเราถึงควรเบาก่อน เราควรทำใจไว้ที่จุดเริ่มต้นเลย เพราะใจเรานี่แหละจะเป็นผู้ช่วยที่แท้จริง ใจเรานี่แหละจะเป็นเหมือนกับประตูทางออกจากกำแพง ที่คุณแม่สร้างไว้

 

ทีนี้พอใจเราเบาแล้ว เราเริ่มอย่างไรต่อ เราต้องเห็นว่า คนๆหนึ่ง จะออกจากความเครียด ก็ต่อเมื่อมีคนที่ไม่เครียดมาอยู่ใกล้ๆ แล้วแผ่เมตตาให้

 

คำว่าแผ่เมตตานี่ ตรงนี้เราจะเข้าใจอย่างชัดเจนขึ้นมานะครับว่า เราเอาความสุข ความเบา ความเย็นความสว่าง ที่เรามีอยู่จริงแล้ว เอาธรรมะมาประดิษฐานไว้ใจเราจริงๆ แล้ว ไปเผื่อแผ่ให้

 

อาจจะเป็นการพูดดีๆ พูดเรื่องความหลัง หรือว่าพูดเรื่องที่คุณแม่อยากจะฟัง คุณแม่ต้องการจะฟัง

 

ถ้ายังไม่ฟังเรื่องธรรมะไม่เป็นไร เอาเรื่องที่ทำให้เบาใจ เย็นใจหรือว่าคิดอะไรดีๆได้ก่อน หายเครียดลงได้ก่อน อย่างน้อยสักพักหนึ่ง

 

เพราะคนสะสมวิธีคิดแบบเครียดๆ มาจนกระทั่งแก่เฒ่านะ จะเหมือนกับขันเกลียวเข้าไปแน่นมากๆ เราอย่าคาดหวังว่า เราไขก๊อกเดียวจะออก แต่ต้องค่อยๆ คลายเกลียวทีละนิดๆๆ

 

วันหนึ่งถ้าเราเข้าไปคุยกับท่านได้ ด้วยใจเย็นๆ ด้วยใจสบายๆ ด้วยใจสว่างๆ แล้วรู้สึกว่าใจของท่านคลายเกลียวมาได้นิดหนึ่ง รู้สึกได้จากที่ท่านมีสีหน้าสีตาสบายขึ้น หรือว่าเยือกเย็นขึ้น หรือว่าสว่างขึ้น

 

ตรงนี้คือการคลายเกลียว แต่ถ้าคุยในแบบที่จะทำให้ท่านตามใจตัวเองได้มากขึ้น หรือว่าเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น แบบนี้ไม่ช่วยแล้ว แต่เป็นการขันเกลียวให้แน่นเข้าไปอีก ยิ่งวันผ่านไป คนยิ่งเหมือนขันเกลียวให้ตัวเอง

 

แต่ว่าทำอย่างไรเราเป็นลูกนี่เราจะคลายเกลียว ถ้านึกภาพตรงนี้ออก ตรงนี้จะเป็นประตูบานหนึ่ง ที่ท่านจะมีสิทธิออกจากโลกของความเครียด กำแพงของการคุมขังตัวเองออกมาได้นะครับ

 

พอเราเข้าใจจริงๆ จากตรงนี้ ผ่านวันผ่านเดือน เราจะพบว่า สิ่งที่เราพูดแล้ว ทำให้ท่านคลายเกลียวได้ จะเชื่อมโยงกับธรรมะได้หมด ค่อยๆ ป้อนธรรมะเข้าไปนี่นะ ค่อยๆ ป้อนความรู้ความเข้าใจทางศาสนาเข้าไป ผ่านอะไรที่ไม่ต้องเป็นคำศัพท์ ผ่านอะไรที่ไม่จำเป็นต้องมีคำว่าศาสนา หรือว่าคำว่าพุทธเข้ามา

 

จนกระทั่งเราเห็นถึงจุดหนึ่งว่า ท่านคลายเกลียวออกมามากพอแล้ว แล้วเปิดใจพอนะครับ ที่จะรับฟัง

 

ตรงนั้น ค่อยเอาธรรมะที่เป็นแบบ hard core เข้าไปป้อนให้ทาน แล้วถึงจะ เกิดการรับขึ้นมาได้จริง

 

คือตัวเรานี่เป็นประตูได้เต็มๆบานแล้ว ถึงจะเอาตัวท่านออกมาจากหลังกำแพงนั้นได้

 

แต่อันนี้พูดง่ายๆ นะเป็นคอนเซปต์นะ ไม่มีวิธีตายตัว ต้องแอพพลาย (apply) เอาจากคนที่ใกล้ชิด คนใกล้ตัวที่จะรู้ ว่าคุยอะไรด้วยได้ แล้วท่านเกิดความคลาย นึกภาพตรงนี้ให้ออก

 

ตอนนี้เหมือนกับ เกลียวน็อตของท่านนี่แน่นมาก ทำอย่างไรเราถามตัวเองนะ ว่าคุยอะไร แล้วคลายออกมาได้

____________________

สรุปคำถาม : คุณแม่ฝันร้าย ละเมอเสียงดังบ่อยมาก เป็นกังวลที่ท่านอายุมากแล้ว แต่จิตท่านเป็นอกุศลประจำ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีใช้เงินบริจาคของบูรณพุทธ

วันที่ 24 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=YMiuiPjvc80

 

วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2564

สวดมนต์แล้วฟุ้งซ่านทุกรอบ ทำให้เปรียบเทียบความฟุ้งซ่านไม่ถูก

 ผู้ร่วมรายการ : สิ่งที่เกิดขึ้นในการสวดมนต์ก็คือในหนึ่งรอบในบางท่อนก็รู้สึกว่าฟุ้งมากขึ้น ในบางท่อนก็รู้สึกฟุ้งน้อยลง เพราะฉะนั้นพอจบหนึ่งรอบมันกลายเป็นว่ามันเทียบกับรอบที่แล้วไม่ถูกว่ารอบนี้เราเรียกว่าฟุ้งมากขึ้นหรือฟุ้งน้อยลง เพราะเหมือนกับในแต่ละรอบมันเป็นลูกคลื่นทั้งฟุ้งมากฟุ้งน้อย ถ้าเป็นแบบนี้เราควรต้องดูแต่ละรอบอย่างไรคะ

ดังตฤณ : ตรงนี้ก็คือความคาดหวัง เพราะเรามองว่าแต่ละรอบต้องต่างกัน แต่จริงๆแล้วถ้ามันฟุ้งเท่าเดิมก็ยอมรับไปตามจริงว่าฟุ้งเท่าเดิม พอยท์(point)ก็คือว่า มันไม่มีทางเท่าเดิมไปทุกรอบ ตรงนี้ต่างหากที่มันจะทำให้เราเกิดภาพมุมมองแล้วก็ความเข้าใจที่ชัดเจน

คือถ้าหากว่ารอบต่อมามันฟุ้งเท่าเดิม ก็ยอมรับไปเลยว่าฟุ้งเท่าเดิม เพื่อที่จะได้เห็นตามจริงว่า เออ มันไม่แตกต่างกัน และจิตที่มันไม่คาดหวัง จิตที่มันเห็นตามจริงว่าเท่าเดิมนี่แหละ มันจะเป็นจิตที่พร้อมที่จะมองในรอบต่อไปว่ามันมากขึ้นหรือว่าน้อยลง

แต่ตอนที่บอกว่ารอบต่อมามันไม่เห็นต่างกัน ตรงนี้แหละเราผิดหวังแล้ว นึกออกมั้ยคือมันมีความคาดหวังโดยไม่รู้ตัว แล้วพอเราผิดหวังว่ารอบต่อมาเนี่ยมันฟุ้งเท่าเดิม มันก็จะมีผลกับรอบต่อไป คือเราจะไปตั้งเป้าไว้ว่ารอบต่อไปเนี่ย เดี๋ยวมันต้องต่างบ้างแล้วนะ ทีนี้พอมันยังฟุ้งอยู่ เราจะมองไม่เห็นแล้วว่ามันฟุ้งเท่าเดิม มากขึ้น หรือว่าน้อยลง เราจะตัดสินตรงจุดที่ว่ามันยังฟุ้งอยู่ นี่แหละไอ้ตัวที่เรารู้สึกว่ามันยังฟุ้งอยู่เนี่ยนะครับ มันทำให้ความคาดหวังของเรามันดำเนินต่อไปแบบที่ไม่มีที่สิ้นสุด

การที่เรามีความคาดหวังไว้ล่วงหน้าในใจ ณ ขณะที่นั่งสมาธิก็ตาม เดินจงกรมก็ตาม สวดมนต์ก็ตาม ความคาดหวังนั้นจะปิดกั้นปัญญา ไม่ให้เปล่งประกายออกมา

เพราะอะไร?

เพราะว่าความคาดหวังนั้นจะรักษาความยึดติดถือมั่นว่า ภาวะในกายในใจของเราเนี่ย จะต้องเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง จะต้องเป็นอะไรขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง อันนี้เนี่ยมันไม่รู้ตัวนะ แล้วมันอยู่ติดตัวมาก มันอยู่ติดกับใจของเรามาตั้งแต่อ้อนแต่ออก เพราะฉะนั้นมันจะดูยาก

ทีนี้ถ้าเรามาเริ่มฝึกแล้วก็เริ่มเห็น แล้วก็เริ่มทำความเข้าใจ เอาง่ายๆตอนสวดมนต์เนี่ยนะ พอเรามองเห็นความคาดหวังนี้ปั๊บ เราจะเห็นทุกความคาดหวังชนิดอื่นๆที่แฝงอยู่ในจิตของเรา ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม

อย่างทางโลกนะ บางคนบอกว่า โอ้ยเนี่ยทำไปไม่คาดหวังอะไรหรอก คือพูดให้ดูดีว่าทำเต็มที่แล้ว ทำดีที่สุดแล้ว แล้วไม่คาดหวังอะไร แต่เอาเข้าจริงๆเนี่ย ใจเอาเข้าเต็มๆเลย คือมีความคาดหวังอยู่ แฝงอยู่ข้างในว่าต้องเอาให้ได้ ถ้าไม่ได้เนี่ยมันไม่ได้เตรียมใจเผื่อไว้ พอไม่ได้ขึ้นมามันก็อกหักอย่างแรง เสร็จแล้วไปบอกคนอื่นไว้แล้วว่า เนี่ยไม่ได้คาดหวัง ไม่หวังอะไรหรอก แต่แท้ๆมันคาดหวังอยู่นะครับ แล้วพออกหักเนี่ย มันก็ไม่สามารถที่จะไปบอกคนอื่นหรือไปแสดงให้คนอื่นเห็นได้ เพราะไปประกาศตนไว้แล้วว่าไม่คาดหวัง ก็เลยต้องรักษาภาพโดยการเก็บกดไว้ข้างใน เนี่ยจิตมนุษย์มันซับซ้อนอย่างนี้ มันขึ้นต้นด้วยความคาดหวังเสมอ แล้วก็ลงเอยเป็นความทุกข์ด้วยความผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นผิดหวังคนอื่นหรือว่าผิดหวังตัวเอง

ดูดีๆแล้วเนี่ย คนน่ะนะไอ้ความรู้สึกในตัวตนเนี่ยที่มันหนาแน่นที่สุดเนี่ย มันแฝงอยู่กับความคาดหวังนี่แหละ แต่เราต้องค่อยๆเห็นทีละเปลาะ บางทีเรานึกว่ามันไม่ได้มีอยู่ แต่จริงๆแล้วมันแฝงอยู่โดยเราไม่รู้ตัว โอเคมั้ยครับมีอะไรเสริมมั้ย

ผู้ร่วมรายการ : ขอบพระคุณมากเลยค่ะ ก็คิดว่าน่าจะจริงค่ะ คือปกติเนี่ยด้วยความที่ว่าเราเจอเรืองทางโลก เราก็อยากที่จะรู้ รู้ให้มันรู้ดำรู้แดงให้มันชัด เพราะฉะนั้นเวลาสวดมนต์ถ้าเราบอกว่าเราจะอยากดูความฟุ้ง มันก็เหมือนกับอยากจะเค้นคำตอบกับตัวเองให้ได้ว่า นี่เรียกว่าฟุ้งมากหรือฟุ้งน้อย แล้วพอมันไม่ชัดกับตัวเอง ก็เป็นไปได้ว่าทำให้เกิดความคาดหวังกับตัวเองโดยไม่รู้ตัวแล้วก็กลายเป็นความผิดหวัง

ดังตฤณ : คือถ้าสังเกตง่ายๆถึงความต่างนะ เอาแบบที่ชัวร์ว่าถูกต้องแน่นอนเนี่ย ดูว่าตอนเราหายใจยาวหน้าตาความฟุ้งซ่านมันเป็นยังไง แล้วตอนเราหายใจสั้นลงมันเปลี่ยนไปแค่ไหน เอาในแต่ละรอบเนี่ยบางทีเราไม่ได้สังเกตนะ ยิ่งสวดไปแล้วถ้าสวดอย่างถูกต้องสวดเต็มปากเต็มคำลมหายใจของเราจะยิ่งยาวขึ้น เวลาที่เราหายใจจะหายใจได้ลึกขึ้น ถ้าหายใจได้ลึกขึ้นให้สันนิษฐานว่าความฟุ้งซ่านมันจะเบาบางลง

หน้าตาความฟุ้งซ่านที่เบาบางลงเป็นยังไง?

มันจะรู้สึกว่าความยุ่งๆฟุ้งๆหรือว่ากระจัดกระจายในหัวมันอ่อนกำลังลง มันกลายเป็นจิตที่เรียบโล่งนิ่ง ตรงนี้ถ้ามีอยู่แค่จังหวะเดียวเนี่ย ก็บอกตัวเองเลยว่า เราเห็นแล้วว่าหน้าตาความฟุ้งซ่านที่มันน้อยลงมันเป็นแบบนี้นะครับ

...........................................................

๑๓ มีนาคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอนไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค

คำถามยูทูบ    : สวดมนต์แล้วฟุ้งซ่านทุกรอบ ทำให้เปรียบเทียบความฟุ้งซ่านไม่ถูก

ระยะเวลาคลิป      ๖.๒๙  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=W_D18Lj16Kc&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=11

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส