วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

คุณแม่ฝันร้ายประจำ ห่วงว่าจะมีจิตเป็นอกุศล

ผู้ถาม : ตั้งแต่มี Covid 19 ก็มานอนเป็นเพื่อนคุณแม่ สังเกตได้ว่าคุณแม่จะฝันร้ายบ่อยมากค่ะ รู้สึกจิตคุณแม่มีความวิตกกังวลมาก ฝันร้ายถี่ ละเมอตะโกนเสียงดังแบบเสียงโหยหวน จนเราตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

 

รู้สึกว่าจิตคุณแม่มีความทุกข์ค่อนข้าง constant แต่คุณแม่ไม่ได้สนใจธรรมะ

 

ในฐานะที่เป็นลูก รู้สึกว่า ถ้าจิตท่านไปทางนั้นบ่อยคงไม่น่าจะดี เลยอยากหาวิธีช่วย ผ่อนให้ท่านไม่อยู่กับความวิตกกังวล ความเครียด จนเก็บไปฝันได้แบบถี่มากๆ ค่ะ

 

ดังตฤณ : คุณแม่เป็นโรค หรือมีโรคประจำตัวไหม

 

ผู้ถาม : คุณแม่อายุมาก แต่ไม่ได้เป็นโรคอะไรเลยค่ะ แข็งแรงดี แค่ฝันร้ายบ่อย เครียดค่ะ

 

ดังตฤณ : คือเท่าที่ คือผมเองก็เคยเลยใกล้ชิดกับอะไรแบบนี้มานะครับ แต่ไม่ใช่คุณแม่ผมนะ 

 

คือมีความเข้าใจอย่างหนึ่งว่า จิตของมนุษย์ ถ้าใครเผชิญกับบุคคล หรือว่าสถานการณ์อะไรแบบนี้ จะเข้าใจอย่างหนึ่งจิตมนุษย์นี่เหมือนกับ แต่ละคนนี่ มีที่คุมขังของตัวเอง มีกำแพงของตัวเองนะ

 

ซึ่งตอนยังหนุ่มยังสาวนี่ ก็มีเวลาที่จะออกมาจากกำแพงนั้น หรือว่ามีเวลาที่จะพอก ให้กำแพงหนาขึ้น สูงขึ้น แล้วแต่คน

 

และคนส่วนใหญ่เลยนะ จะพอกให้กำแพงหนาขึ้น ก่ออิฐก่อปูนให้สูงขึ้น ขังตัวเองไว้ คือตอนที่มีแรง ที่จะไปก่ออิฐ หรือจะทำลายกำแพง ก็เลือกที่จะก่ออิฐให้หนาขึ้น สูงขึ้น กระทั่งถึงจุดหนึ่ง หมดแรงไม่มีแรงแล้ว

 

ตรงนั้นนี่ คือยากแล้วที่จะไปทำลายกำแพงที่ตัวเองสร้างไว้ หรือว่า ที่จะทำให้สูงขึ้นไปกว่านั้น ได้แต่อยู่ในสภาพงอมืองอเท้า แล้วก็ต้องติดอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าหากว่า กำแพงมันสูง มันหนา

 

อันนี้ขออภัยคือไม่พูดถึงคุณแม่อย่างเดียว แต่พูดถึงทั่วไปนะครับ

 

โดยทั่วไปนี่ คนมีอยู่สองประเภทเท่านั้น ระหว่างยังหนุ่มยังสาว คือออกจากกำแพง หรือว่าสร้างให้กำแพงนี่ สูงขึ้นหนาขึ้น

 

ทีนี้ ถ้าเรามองเห็นภาพนั้นด้วยความรู้สึกทางใจ ว่าเราไม่สามารถผ่านกำแพง ทะลุกำแพงตรงนั้นไปได้ง่ายๆ สิ่งที่เราจะต้องทำไว้ในใจอันดับแรกเลย ก่อนที่จะช่วยคุณแม่ ก็คือ ต้องมองว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม จริงๆ ไม่เว้นแม้แต่บุคคลอันเป็นที่รัก

 

ต้องทำไว้ใจตรงนี้ให้ได้ก่อน เป็นอันดับแรกเลย ว่าถ้ากำแพงสูงหนาจริงๆ บางทีเราต้องอุเบกขานะครับ

 

เมื่อใจของเราเป็นอุเบกขามากพอ ทำไว้ในใจว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ใจของเรา จะเบาพอที่จะไปช่วยเขาได้ ถ้าหากมีสิทธิ์ช่วยยังมีช่องทาง ยังมีประตู ยังมีหน้าต่าง ที่เราจะเข้าไปในกำแพง ไปหาแม่ได้

 

ถ้าใจเราเบาพอ เราจะเห็นช่องทาง แต่ถ้าใจเราไม่เบา ใจเราจะเหมือนกับความกังวล ความรู้สึกทุรนทุราย กระวนกระวายอยากช่วยแม่มากๆนี่ จะพลอยเป็นกำแพงที่ทำให้เรา เข้าไม่ถึงแม่หนักเข้าไปอีก

 

เพราะอะไร เพราะว่าคนที่เป็นห่วงบุคคลอันเป็นที่รักมากๆ นี่ มักจะมีปฏิกิริยา มีอาการที่ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นนะครับ

 

อย่างเช่นพอเราเสียใจ เราเศร้าโศก เราไม่มีความสุขมากพอที่จะทำให้ บุคคลอันเป็นที่รักนี่ เกิดความรู้สึกว่าเราดีกว่าเขานะ หรืออย่างบางที เราไม่เข้าใจว่า ธรรมะข้อนี้ หรือว่าครูบาอาจารย์ เสียงดีๆ แบบนี้ ทำไมถึงไม่รับ ทำไมถึงไม่ฟัง บอกบุญทำไมถึงไม่รับ

 

ด้วยอาการคาดคั้นแบบของเรา แทนที่จะช่วยให้เขาอยากมาฟัง ท่านอยากจะมารับรู้อะไรที่เราต้องการ กลับกลายเป็นยิ่งผลักออกห่าง เหมือนกับเอาทิฏฐิไปสู้กัน

 

อันนี้ คือด่านแรกที่ผมถึงบอกว่า ทำไมใจเราถึงควรเบาก่อน เราควรทำใจไว้ที่จุดเริ่มต้นเลย เพราะใจเรานี่แหละจะเป็นผู้ช่วยที่แท้จริง ใจเรานี่แหละจะเป็นเหมือนกับประตูทางออกจากกำแพง ที่คุณแม่สร้างไว้

 

ทีนี้พอใจเราเบาแล้ว เราเริ่มอย่างไรต่อ เราต้องเห็นว่า คนๆหนึ่ง จะออกจากความเครียด ก็ต่อเมื่อมีคนที่ไม่เครียดมาอยู่ใกล้ๆ แล้วแผ่เมตตาให้

 

คำว่าแผ่เมตตานี่ ตรงนี้เราจะเข้าใจอย่างชัดเจนขึ้นมานะครับว่า เราเอาความสุข ความเบา ความเย็นความสว่าง ที่เรามีอยู่จริงแล้ว เอาธรรมะมาประดิษฐานไว้ใจเราจริงๆ แล้ว ไปเผื่อแผ่ให้

 

อาจจะเป็นการพูดดีๆ พูดเรื่องความหลัง หรือว่าพูดเรื่องที่คุณแม่อยากจะฟัง คุณแม่ต้องการจะฟัง

 

ถ้ายังไม่ฟังเรื่องธรรมะไม่เป็นไร เอาเรื่องที่ทำให้เบาใจ เย็นใจหรือว่าคิดอะไรดีๆได้ก่อน หายเครียดลงได้ก่อน อย่างน้อยสักพักหนึ่ง

 

เพราะคนสะสมวิธีคิดแบบเครียดๆ มาจนกระทั่งแก่เฒ่านะ จะเหมือนกับขันเกลียวเข้าไปแน่นมากๆ เราอย่าคาดหวังว่า เราไขก๊อกเดียวจะออก แต่ต้องค่อยๆ คลายเกลียวทีละนิดๆๆ

 

วันหนึ่งถ้าเราเข้าไปคุยกับท่านได้ ด้วยใจเย็นๆ ด้วยใจสบายๆ ด้วยใจสว่างๆ แล้วรู้สึกว่าใจของท่านคลายเกลียวมาได้นิดหนึ่ง รู้สึกได้จากที่ท่านมีสีหน้าสีตาสบายขึ้น หรือว่าเยือกเย็นขึ้น หรือว่าสว่างขึ้น

 

ตรงนี้คือการคลายเกลียว แต่ถ้าคุยในแบบที่จะทำให้ท่านตามใจตัวเองได้มากขึ้น หรือว่าเอาแต่ใจตัวเองมากขึ้น แบบนี้ไม่ช่วยแล้ว แต่เป็นการขันเกลียวให้แน่นเข้าไปอีก ยิ่งวันผ่านไป คนยิ่งเหมือนขันเกลียวให้ตัวเอง

 

แต่ว่าทำอย่างไรเราเป็นลูกนี่เราจะคลายเกลียว ถ้านึกภาพตรงนี้ออก ตรงนี้จะเป็นประตูบานหนึ่ง ที่ท่านจะมีสิทธิออกจากโลกของความเครียด กำแพงของการคุมขังตัวเองออกมาได้นะครับ

 

พอเราเข้าใจจริงๆ จากตรงนี้ ผ่านวันผ่านเดือน เราจะพบว่า สิ่งที่เราพูดแล้ว ทำให้ท่านคลายเกลียวได้ จะเชื่อมโยงกับธรรมะได้หมด ค่อยๆ ป้อนธรรมะเข้าไปนี่นะ ค่อยๆ ป้อนความรู้ความเข้าใจทางศาสนาเข้าไป ผ่านอะไรที่ไม่ต้องเป็นคำศัพท์ ผ่านอะไรที่ไม่จำเป็นต้องมีคำว่าศาสนา หรือว่าคำว่าพุทธเข้ามา

 

จนกระทั่งเราเห็นถึงจุดหนึ่งว่า ท่านคลายเกลียวออกมามากพอแล้ว แล้วเปิดใจพอนะครับ ที่จะรับฟัง

 

ตรงนั้น ค่อยเอาธรรมะที่เป็นแบบ hard core เข้าไปป้อนให้ทาน แล้วถึงจะ เกิดการรับขึ้นมาได้จริง

 

คือตัวเรานี่เป็นประตูได้เต็มๆบานแล้ว ถึงจะเอาตัวท่านออกมาจากหลังกำแพงนั้นได้

 

แต่อันนี้พูดง่ายๆ นะเป็นคอนเซปต์นะ ไม่มีวิธีตายตัว ต้องแอพพลาย (apply) เอาจากคนที่ใกล้ชิด คนใกล้ตัวที่จะรู้ ว่าคุยอะไรด้วยได้ แล้วท่านเกิดความคลาย นึกภาพตรงนี้ให้ออก

 

ตอนนี้เหมือนกับ เกลียวน็อตของท่านนี่แน่นมาก ทำอย่างไรเราถามตัวเองนะ ว่าคุยอะไร แล้วคลายออกมาได้

____________________

สรุปคำถาม : คุณแม่ฝันร้าย ละเมอเสียงดังบ่อยมาก เป็นกังวลที่ท่านอายุมากแล้ว แต่จิตท่านเป็นอกุศลประจำ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีใช้เงินบริจาคของบูรณพุทธ

วันที่ 24 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=YMiuiPjvc80

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น