วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564

อยากประสบความสำเร็จ แต่มีความสนใจหลายด้าน

ผู้ถาม : อยากถามว่า เป้าหมาย มีความสำคัญมากไหมคะ

คือจะคล้ายๆ เรื่องอธิษฐานในทางโลกๆ อยากประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่รู้ว่าอยากเรียนต่ออะไร เป็นคนที่เปลี่ยนความสนใจไปเรื่อยๆ สนใจหลายๆ อย่าง ไม่ได้มุ่งมั่นอยู่กับสิ่งเดียว ไม่ได้ฝึกสิ่งนั้น ให้สำเร็จเป็นอย่างๆ ไป

 

ดังตฤณ : คือพูดง่ายๆ ว่าเป้าหมายชีวิตของเรา อาจจะยังไม่ชัดเจนพอที่เราจะไปตั้งอธิษฐานว่า เราอยากได้อะไร เข้าใจถูกไหมครับ

 

ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่เราจะต้องมีเป็นอันดับแรก ก่อนที่เราจะอธิษฐานอะไร

คือความเข้าใจว่า ชีวิตที่ดีที่สุด ชีวิตที่เจริญ

ชีวิตที่เหมาะแก่การจะมีเป้าหมายในชีวิต คือ ชีวิตที่มีความสว่าง

 

ความสว่างนี่เป็นต้นทาง ของอะไรๆ ดีๆ ของเป้าหมายดีๆ ทั้งหมดเลยนะ

 

เหมือนกับ เปรียบเหมือนคนมีตาดี

ถ้าเราแค่มีตาดี ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไร

เรากำลังอยู่ที่ตรงไหน กำลังไปถึงไหนแล้ว

หรือว่าเราควรจะไปถึงที่ใด

อันนี้คือเรื่องของความสว่างทางแก้วตา ที่เราสามารถรู้ได้ชัด

 

แต่ทีนี้ ใจของคน ทุกคนเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่เกิดมานี่นะ

มีความมืดบอด เปรียบเหมือนกับเป็นจิตที่ไม่มีดวงตา

หรือว่าเป็นจิตที่มืดบอดอยู่

 

คำว่า ตาสว่าง ก็ใช้แทนจิตที่สว่างขึ้น หรือว่าจิตที่รู้นั่นเองว่า  

ตัวเองนี่ต้องการอะไร ตัวเองอยู่ตรงไหน ตัวเองควรจะไปที่ใด

 

ผมถึงบอกว่า การตั้งเป้าให้มีความสว่างทางจิต มีความสว่างใจ

สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง

 

ถึงแม้ว่าเราจะยังบอกตัวเองว่า เป้าหมายในชีวิตไม่ชัดเจน

แต่ถ้าเป้าหมายทางธรรม คือต้องการที่จะมีใจที่สว่างแล้ว

ยิ่งถ้าตั้งใจจะมีใจที่สว่างโร่ ยิ่งดีนะ อย่างนี้จะครอบจักรวาล

 

เพื่อที่จะยังจิต ให้เกิดความสว่างราวกับว่า มีดวงตาที่เปิดขึ้นแล้ว

ในทางพุทธ ก็ให้เริ่มต้นจากการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า

จนเกิดความศรัทธาในพระพุทธองค์

 

ไม่ใช่ศรัทธาแบบมืดบอด ไม่ใช่บลายด์บีลีฟ (Blind Belief)

แต่เป็นศรัทธาอันเกิดจากการเห็นว่า

พระพุทธเจ้าสอนให้เราได้ดี พระพุทธเจ้าสอนให้เราจิตสว่าง

 

จิตสว่าง ด้วยการรู้จักให้ทาน ไม่ใช่แค่ทรัพย์สินนะ

ทรัพย์สิน ความช่วยเหลือ เศษเงินอะไรต่างๆ นี่เป็นส่วนหนึ่งของทาน

 

ทานจริงๆ มีเรื่องของ การให้อภัยเป็นทาน

มีเรื่องของการให้ธรรมะเป็นทาน

 

ถ้าเรารู้จักให้ทรัพยทาน อภัยทาน และธรรมทาน

 

ธรรมะหมายความว่า ให้คำแนะนำที่ดีกับคนอื่น ให้เขารู้ทางถูกทางชอบอย่างนี้นะ ใจเราก็มีความสว่างในขั้นของทาน

 

เมื่อใจเรามีขั้นของทาน เป็นความสว่างแล้ว

เราก็ตั้งจิตให้สว่างยิ่งขึ้นไปอีก คือทำมหาทาน

 

สิ่งที่เรียกว่า มหาทาน ก็คือการถือศีล

 

เพราะว่าอะไร เพราะว่าเมื่อถือศีลแล้ว

เราจะเป็นความปลอดภัยให้กับคนทั้งโลก

เหมือนกับให้ความปลอดภัยกับคนไม่เลือกหน้านั่นเอง

 

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า การรักษาศีลคือการทำมหาทาน

 

พอมีทาน มีศีลได้ ตรงนี้เรียกว่า

มีความสว่างอย่างยิ่งยวดให้กับชีวิตของเราแล้ว

 

คือต่อให้เราไม่อธิษฐานอะไรเลย

ไม่ต้องทำบุญเพื่อที่จะหวังอะไร ความสว่างแบบนี้ก็เกิดขึ้นเอง

เกิดขึ้นจากการที่ เรารู้จักการให้ทาน เรารู้จักการรักษาศีล

ถึงแม้มีเรื่องยั่วใจ มีเรื่องยั่วยุให้ผิดศีล เราก็ไม่ทำ เราก็ไม่ผิด

นี่ อย่างนี้ เรียกว่ามีศีลจริง ถือศีลจริง รักษาศีลจริง

ความสว่างก็เกิดขึ้นจริงเช่นกัน

เราจะอธิษฐานหรือไม่อธิษฐานก็ตาม

 

แต่ทีนี้ ถ้าเราทำทาน และรักษาศีลจนกระทั่งเกิดความสว่างประจักษ์ใจ

รู้สึกใจเบา รู้สึกใจดี รู้สึกใจสบาย รู้สึกใจเปิดไฟอยู่ทั้งวันทั้งคืน ตลอดวันตลอดคืน

ไม่มีความมืดบอด ไม่มีความสับสน

อย่างนี้เราสามารถใช้ใจนั่นแหละ และอธิษฐานให้ทบขึ้นไป

บอกว่าขอให้ความสว่าง อันเกิดจากการให้ทานและรักษาศีลที่ได้ผลแล้วนี้

จงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดความสว่างยิ่งๆ ขึ้นไป บนเส้นทางแบบพุทธ

 

ตรงนี้นี่ วันดีคืนดี เราก็อาจจะเกิดความรู้สึก อยู่ๆ อยากเจริญสติ

อยากจะมีปัญญาแบบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์

ที่พวกท่านนี่ไปถึงที่สุดแล้ว

อยู่ๆเกิดความรู้สึกขึ้นมาเฉยๆ

นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลบุญ ที่เราได้สร้างความสว่างขึ้น

แล้วให้ความสว่างนะเป็นเป้าหมายนำชีวิตของเรา

________________

ถาม : อยากประสบความสำเร็จ แต่มีความสนใจหลายด้าน จึงไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนพอ แบบนี้ควรทำอย่างไรคะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์

วันที่ 3 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=7E6TwrEKGik

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น