ผู้ถาม : อยากจะถามเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งในปัจจุบัน
คือปกติผมก็ไม่ได้สนใจการเมืองเท่าไร แต่ว่า ปัจจุบันก็คือได้มาเรียนแล้วทำงานเกี่ยวกับด้านกฎหมาย ซึ่งก็มาพบทีหลังว่าจะเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐ แล้วการเมืองอย่างแยกไม่ออก ก็เลยต้องหันมาสนใจบ้าง
ทีนี้ในปัจจุบันนะครับ อย่างที่ทุกคนรู้ ก็คือมีการแบ่งฝ่าย
แล้วก็อย่างฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐ ก็จะอธิบายว่าสิ่งที่อำนาจรัฐทำ จะขัดกับหลักกฎหมายซึ่งผมก็ลองพิจารณาตามดู
ก็จริงครับ อย่างกฎหมายที่สอนกันมาตามตำรา ก็มีการไม่ทำตามกฏหมาย
ทีนี้ปัญหาก็คือ ผมไม่แน่ใจว่า อย่างที่อำนาจรัฐทำไป
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเจตนาดี หรือเจตนาไม่ดี แต่ว่าสิ่งที่ผมเรียนและทำงานก็คือมีหน้าที่ที่จะต้องเขียน
ให้ความเห็นวิพากษ์วิจารณ์ การใช้อำนาจกฎหมาย
ก็เลยไม่แน่ใจว่า จะวางตัวอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สุดครับ
อย่างปัจจุบันผมก็ลองใช้ที่พี่ตุลย์เคยสอน เกี่ยวกับเลือกตั้งอย่างไรให้ถูกคน
ว่าถ้าเกิดเราเจตนาดีแล้วศึกษาเพียงพอแล้วนี่ ก็จะเป็นบุญเฉพาะตนครับ
ดังตฤณ : คือตัวโจทย์จริงๆ คือว่าจะวางตัวอย่างไร จะวางใจให้เป็นกลางอย่างไร
พี่เข้าใจคำถามถูกไหม
คือเราจะวางใจให้ถูกจุด ให้รู้สึกว่าอยู่ถูกข้างถูกไหม
ก่อนอื่นนะ เราจะไม่พูดรายละเอียด เราจะไม่ลงรายละเอียดเรื่องการเมืองนะ
แต่เราจะลงรายละเอียดเรื่องธรรมะเกี่ยวกับ สิ่งที่เป็นอยู่ในโลก เอาความจริงมาว่ากัน
มีคนเคยทูลถามพระพุทธเจ้าว่า อะไรเป็นใหญ่ในโลก อันนี้เทวดาเป็นคนถามเลยนะ
เทวดาทูลถามพระพุทธเจ้า .. อะไรเป็นใหญ่ในโลกนี้พระพุทธเจ้าตรัสตอบตามตรง ทายซิว่าท่านตอบว่าอะไร
คือคนส่วนใหญ่นะเห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้าตอบนี่ ก็น่าจะตอบว่า
ธรรมะเป็นใหญ่ เข้าใจอย่างนั้นกันใช่ไหม
แต่จริงๆ ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าตอบตรัสตามจริง พระพุทธเจ้านี่ท่านไม่พูดแบบเอาใจใคร
ท่านพูดโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอบคำถามนี่ ท่านตอบตามที่เป็นอยู่จริงๆ มีอยู่จริงๆ ปรากฏอยู่จริงๆ
แล้วก็ไม่เป็นอื่นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน
เมื่อมีผู้ทูลถามว่าอะไรเป็นใหญ่ในโลก พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า
อำนาจเป็นใหญ่ในโลก
ข้อนี้ แค่คำตอบสั้นๆ แค่นี้นี่ กินความเยอะนะ
คือ ความถูกต้อง อยู่ที่ว่าใครมีอำนาจมากกว่ากัน
อันนี้เป็นความจริงในประวัติศาสตร์เลย เราไม่พูดถึงการเมืองในปัจจุบันนะ เราพูดถึงสิ่งที่เป็นสากล
ทีนี้ คำว่าอำนาจคำเดียวนี่ มีทั้งอำนาจฝ่ายปกครอง
มีทั้งอำนาจประชาชนอำนาจใครเหนือกว่า คนนั้นก็คือคนเป็นใหญ่ .. ใครถืออำนาจ คนนั้นเป็นใหญ่พอที่จะตัดสินว่า
จะเขียนประวัติศาสตร์อย่างไร หรือว่าจะให้ตีความสิ่งที่เกิดขึ้น ว่าอะไรถูกอะไรผิด
อยู่ที่ใครถืออำนาจ
ไม่พูดถึงข้างไหนทั้งสิ้นนะ ผมไม่ลงรายละเอียดนะ
แล้วก็ไม่อยากจะบอกด้วยว่า ความถูกความผิดอยู่ที่ตรงไหน แต่เรามาพิจารณาที่พระพุทธเจ้าตรัสตอบนะครับว่า
อำนาจนี่แหละเป็นใหญ่ในโลก
เมื่อมีความสงสัยว่าอะไรเป็นใหญ่โลก เราตอบตามพระพุทธเจ้านะว่าอำนาจเป็นใหญ่ในโลก
การวางใจให้เป็นกลาง การวางใจให้เข้าข้างที่ถูกจริงๆ
นี่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคน
คือไม่ใช่เฉพาะเหตุการณ์นี้นะ เหตุการณ์ชิงอำนาจทั่วโลกที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบัน หรือจะเลยต่อไปในอนาคตก็ตาม ผมพบจุดๆ หนึ่งคือคนนี่สามารถเปลี่ยนใจได้
มีนะ ประเภทที่อยู่ข้างหนึ่งมา บางคนนี่เคยเป็นหัวๆ
เลยด้วยซ้ำนี่ แล้วรู้ลึกรู้มากกว่าใครเพื่อน จนกระทั่งเปลี่ยนใจ บอกว่าข้างนี้ไม่เอาแล้ว
เราขอย้ายข้าง
ตอนย้ายข้างนี่ถามว่าเขาเอาอะไรมาเป็นมาตรฐานในการย้าย
.. ก็คือใจนั่นแหละ ใจที่รับรู้ รับรู้อะไรมาก็ตัดสินตามนั้น
ฉะนั้น ที่จะมาบอกว่ามีฝ่ายหนึ่งถูกแน่ๆ มีฝ่ายหนึ่งผิดแน่ๆ
เรามาชี้จากตรงนี้เลย จากคนที่รู้ลึกมากๆ เป็นอินไซเดอร์ (insider) นี่ บางทีเขาเปลี่ยนใจได้
มีมาทุกยุคทุกสมัยนะ
แล้วอย่างในพระไตรปิฏก บางทีมีเคสอย่างนี้ด้วยซ้ำ
ข้ามภพข้ามชาติเลย
ชาติหนึ่ง รบอยู่ข้างนี้ ข้างฝ่าย A เสร็จแล้วตายไปในสนามรบ ไปเกิดใหม่ปรากฏว่าไปเกิดในข้างฝ่าย
B กลายเป็นพวกของฝ่าย B แล้วก็ คือ มองว่าฝ่าย
A นี่เป็นตรงกันข้ามเป็นปฏิปักษ์ จนกระทั่งมีเหตุ มีเทวดามาบอกอะไรอย่างนี้นี้
ตรงนี้นี่คือพออ่านแล้ว คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามว่าเป็นเรื่องจริง
หรือไม่จริง แต่อย่างน้อยสะท้อนให้เห็นว่า บางทีนี่ อุตส่าห์รบจนกระทั่งตัวตายนะเผื่อข้างหนึ่ง
เสร็จแล้วโดยกรรมโดยวิบาก อาจจะส่งเราไปเกิดใหม่อีกข้างหนึ่งก็ได้ เป็นข้างตรงข้าม
เป็นอีกคนละประเทศกันที่รบกันอยู่นี่ แล้วยังรบกันไม่เลิก
นี่คือพอไปเกิดใหม่แล้วโตขึ้นมาแล้ว ก็กลายเป็นฝั่งตรงข้ามกับที่ตัวเองเคยต่อสู้มาจนตัวตายได้
ฉะนั้น พอเรามองในแง่ของธรรมะ มองในแง่ของกรรมและวิบากนี่
อย่าไปปลงใจ อย่าไปปักใจเรื่องความถูกความผิด ถ้าใจเราเป็นกลางได้นะหมายความว่า เรารับฟังทั้งสองฝ่ายโดยไม่มีอคติ
แล้วเรามีจิตมีเจตนาตั้งอยู่ในจุดที่จะ ไม่ไปให้ร้ายใคร ไม่ไปเป็นราวีใคร
จริงๆ นี่ พูดแบบไม่เอ่ยนาม ไม่ระบุชื่อนะ มีคนรู้จักอยู่
ที่เขาระลึกชาติได้จริงๆ เขาระลึกได้ว่าตัวเองนี่เคยเป็นพระ ที่เผาตัวตายเพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง
ต่อต้านการเมือง
ชาตินี้มาเกิดเป็นคนไทย แล้วก็ได้ข้อสรุป บอกคนใกล้ตัวโดยที่เขาไม่ได้มาโฆษณา
ป่าวประกาศว่าตัวเองระลึกชาติได้ บอกเฉพาะคนใกล้ตัว คือเตือนๆ น้องที่รอบตัวเขาว่า
ต่อให้เผาตัวตายไปเพื่ออุดมการณ์อะไรบางอย่าง โลกก็ไม่เปลี่ยนหรอก คือจะเป็นไปตามขั้วอำนาจที่เกิดขึ้น
คือไม่ได้หมายความว่า ให้เลิกต่อสู้เพื่อความถูกต้องนะครับ
ใครจะต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ตามอุดมการณ์ของตัวเอง ก็แล้วแต่ แต่ว่าเราพูดกันในแง่ที่ว่า
ในทางธรรม ถ้าเราเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราเชื่อเรื่องกรรมและวิบากนี่ กรรมและวิบากไม่มีถูกไม่มีผิด
มีแต่ว่าเราทำบุญหรือว่าทำบาป เราทำสิ่งที่เป็นกุศลหรือว่าอกุศล
ต่อให้อยู่คนละข้างกัน แต่เจตนาดี ก็ได้บุญทั้งสองฝ่ายนะ
ถึงแม้ว่าไอเดียทางการเมือง หรือไอเดียเกี่ยวกับเรื่องอำนาจนี่จะอยู่ขั้วตรงข้ามกันก็ตาม
แต่ถ้าหากปรารถนาดี ก็ได้ส่วนบุญทั้งสองข้างนั่นแหละ
อย่าให้ลงลึกมากไปกว่านี้แล้วกันนะ เอาเป็นว่าตอบพอหอมปากหอมคอทำนองนี้
ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะไม่จบ เรื่องการเมือง
ไม่ว่าเราจะเชื่ออะไรอยู่ ถ้าหากว่าเราคิดว่าความเชื่อของเราไม่มีฝักฝ่ายจริง
แล้วเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เป็นกุศล เจตนาดี หวังดีแก่ชาติบ้านเมืองหรือกับคนรอบตัวนี่
ให้เชื่อเฉพาะตัวว่าเป็นบุญของเรานะครับ
________________
สรุปคำถาม : ทำงานด้านกฏหมาย
มีหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์การใช้อำนาจของรัฐ ควรวางใจอย่างไร?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน หาชุดหมีให้ (พี่) หมอ อีกครั้ง
วันที่ 17 เมษายน 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=iUW9s6P99PY
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น