วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564

เห็นแขนขารู้สึกไม่ใช่ของเรา เพราะอะไร

ดังตฤณ : ตอนที่ เราเห็นแขนขาแล้วเหมือนไม่ใช่ของเรานี่ ให้มองอย่างนี้ว่า ไม่ใช่แก้วตา ที่ทำให้มองเห็นแบบนั้น แต่เป็นใจของเราที่เกิดความรู้สึกไป ว่าไม่ใช่ของๆ เรานะฮะ

 

ใจที่จะรู้สึกอย่างนั้นได้มีอยู่ สองเหตุปัจจัยหลักๆ

 

หนึ่ง คือใจที่กำลังมึนๆ ใจที่กำลังเหมือนคนโดนยาสลบ จะมีความรู้สึกไปอีกแบบหนึ่ง ความรู้สึกอันเป็นตัวตั้งของชีวิตจะมาจากความรู้สึกมึนๆ ชาๆ แล้วก็เหมือนกับ แขนขานี้ไม่ใช่ของเรา

หรือตอนตื่นเช้าขึ้นมางงๆ นะ ยังตื่นไม่เต็มที่ ยังเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ครึ่งฝันเครื่องจริง ดูแขนขาก็ เอ๊ย นี่แขนขาใคร

 

อาจจะมีแบบนี้ขึ้นมาเป็นแวบๆ ในคนทั่วไปที่ไหนก็ได้ แต่แวบของความรู้สึกเหล่านี้ พอหมดเหตุปัจจัย หมดฤทธิที่จะทำให้รู้สึก ก็กลับมารู้สึกเป็นตัวเป็นตนได้ตามเดิม

 

กับเหตุปัจจัยทางความรู้สึกที่สอง คือ

เราเจริญสติมาตรงทางที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

แล้วสติของเราเริ่มออกฤทธิ์ ไปปรุงแต่งความรู้สึกออกมาจากใจกลางเลยว่า กายนี้ หรือความเป็นใจนี้นี่ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราเขา ไม่ใช่ตัวตน มีแต่ภาวะอะไรอย่างหนึ่ง เปลี่ยนแปลงไปอยู่เรื่อยๆ

 

หรือตอนที่เรามองเห็นแขนขา ความรู้สึกที่มาถึงจุดอิ่มตัวแล้วจุดหนึ่งนี่ จะรู้สึกว่า อันนี้เราไม่ได้เป็นคนสร้างนี่ เราไม่เคยมาคิดเลยนะ .. สิบนิ้วนี่ ไม่เคยออกแบบเลยนะ ว่าจะให้มีสิบนิ้ว แต่เราก็ยึดว่า สิบนิ้วเป็นสิบนิ้วของเรา

 

มีลายมืออยู่ ลายมือมาจากไหน คนส่วนใหญ่ก็บอกว่าบังเอิญ .. บังเอิญได้มาอย่างนี้ แต่นักดูลายมือบอกว่า นี่ไม่ใช่บังเอิญ นี่ถูกขีดไว้แล้วนะ

 

แล้วเดี๋ยวนี้ เขาก็มองกันข้ามขั้น นักวิทยาศาสตร์ มองไปถึงดีเอ็นเอและรหัสพันธุกรรม ว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ถูกกำหนดไว้จริงๆ ว่าชีวิตคนคนหนึ่ง จะเป็นอย่างไร

 

อย่างที่เห็นได้ชัดตอนนี้ เราไปตรวจดูได้เลยว่าจะเป็นมะเร็งไหม นั่นก็คือเขาตรวจดูดีเอ็นเอเลยนะว่า ดีเอ็นเอของคุณวางแผนไว้ไหม ว่าจะให้คุณเป็นมะเร็ง และเป็นมะเร็งในช่วงอายุเท่าไหร่ประมาณไหน

 

ตรงนี้นี่คือ เป็นความเข้าใจแบบนักวิทยาศาสตร์ ที่เริ่มมองเห็นว่า ที่นึกว่าเป็นตัวเรานี่ จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบมา โดยอะไรอย่างหนึ่ง

 

ซึ่งถ้าหากว่ามาทำความเข้าใจแบบพุทธ ก็คือถูกออกแบบมาโดยกรรมของตัวเองนั่นแหละ

 

เคยทำกรรมเก่ามาไว้อย่างไร ก็เหมือนกับจิตรกร ที่วาดภาพตัวเองในชาติต่อไปไว้อย่างนั้น ถ้าเคยทำไว้ดีนะ ก็เหมือนกับจิตรกรที่วาดไว้ดี พอถึงชาติใหม ก็ออกมาตามที่วาดไว้เป๊ะเลย

 

ทีนี้ พอเรามาเจริญสติ อาจจะยังไม่ต้องเห็นไปถึงเรื่องของ รากแห่งกรรมและวิบาก แต่อย่างน้อยเราเข้ามาค่อยๆ สำรวจว่า มีอะไรบ้างที่เที่ยง นับแต่ลมหายใจไป ไล่ไปอิริยาบถ ไล่ไป เวทนาสบายหรืออึดอัด ภาวะทั้งหลายนี่ ยิ่งสำรวจมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเป็นเหตุปัจจัย ปรุงแต่งจิตให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบหนึ่งว่า ทั้งกายทั้งใจนี้ จริงๆ ไม่ใช่เราอย่างที่คิด ที่คิดว่าเป็นเรา เป็นอุปาทานของจิต

 

ทีนี้ พออยู่ในภาวะที่จิตว่างขึ้นมา ว่างจากความปรุงแต่ง ว่างจากความยึดติด ก็เกิดผลรวมที่ได้เจริญสติมา เห็นแขนขา เห็นมือไม้ เอ๊ะ!เราไม่ได้ทำเราไม่ได้สร้าง แต่อยู่ๆ นี่มาเรียกร้องว่านี่ของเราๆ

 

ตรงที่เรียกร้องว่า ของเราๆ นี่ผิด แต่ตรงที่เห็นว่า ไม่ใช่ของเรา นี่ถูก

 

ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ตรัสไว้อย่างนี้บอกว่า กายนี่เราไม่ได้สร้างมาเลย ชีวิตทั้งชีวิต จิตทั้งดวง ไม่มีสักอย่างเดียวที่เราสร้างขึ้นมา

 

แต่เราก็ร้องว่า ของเราๆ ตรงที่เกิดความรู้สึกขึ้นมา วูบๆวาบๆ ว่า ดูไปแล้วไม่ใช่เรา ก็คือภาวะที่จิต เห็นกายสักแต่เป็นรูป เห็นใจสักแต่เป็นนาม

 

ทีนี้ เพื่อที่จะให้ตั้งมั่นได้ ก็คือ ต้องดูอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งเกิดสมาธิ เกิดความเห็นเป็นปกติ ไม่ใช่เห็นวูบหนึ่งแล้วหายไป ถ้าเห็นวูบหนึ่งแล้วหายไป อันนั้นคือความปรุงแต่ง ในทางที่จะทำให้เห็นไปชั่วคราว เป็นสมาธิชั่วคราวนะ

 

แต่ถ้าสมาธิของเราก้าวหน้า พัฒนาขึ้น จะรู้สึกอยู่อย่างนี้เป็นปกติเลย เบาเป็นปกติ รู้สึกว่าไม่ใช่ของเราเป็นปกติ ไม่ใช่ตัวเราเป็นปกติ

 

และถ้าเป็นปกติได้มากเข้า จนกระทั่งจิตร่วมเป็นสมาธิถึงขั้นฌานได้ ก็บรรลุมรรคผล

 

ผู้ร่วมสนทนา : ขออนุญาตย้อนไปที่คำถาม เรื่องของคาถาที่สวดแล้วรวย คือรู้สึกว่า คนที่เขามีกำลังใจที่อยากจะสวดคาถาอะไรแบบนี้ ก็คือเขามีศรัทธาจะเชื่อในพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอยู่แล้ว ..

 

ดังตฤณ : ขอแทรกนิดหนึ่งนะ คือจากที่รู้จักตัวจริงมา เอาเป็นว่าเป็นร้อยเป็นพันนะ พวกที่เชื่อเรื่องคาถา พวกที่เชื่อเรื่องวัตถุมงคล มีอยู่สองประเภท

 

ประเภทแรกคือแบบที่คุณบอก คือมีศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

 

แต่อีกประเภทหนึ่งคือ มองเป็นไสยศาสตร์ ไม่เชื่อเรื่องบาปเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องการตรัสรู้ของพระองค์ แต่เชื่อเรื่องพลังพิเศษ

 

มีอย่างนี้อยู่ด้วยนะ อันนี้ขอขอแทรกนิดหนึ่งเชิญต่อครับ

 

ผู้ร่วมสนทนา : ก็เลยจะขออนุญาตถามว่า จะมีคำแนะนำอย่างไรไหมคะว่า ถ้าเกิด เราบอกว่าโอเคเรามาสวดอิติปิโสฯ แล้วเราจะอธิษฐานจิตอย่างไรต่อยอด อย่างเช่นว่า ขอให้ข้าพเจ้ามีความเพียร หรือว่าขอให้ข้าพเจ้าละความหลงผิด แล้วก็จะได้มีปัญญาที่โปร่งใส มาคิดอะไรที่แบบสามารถที่จะทำมาหากินได้ ในลักษณะนี้ควรจะอธิษฐานจิตอย่างไรดี

 

ดังตฤณ : จริงๆ แล้วถ้าทำความเข้าใจถูกต้องว่า จิต ถ้ามีความสว่าง ถ้ามีความเบิกบาน ถ้ามีความโปร่งใส จะเป็นประตูทางออกให้กับทุกๆ ปัญหาอยู่แล้วนะ อันนี้ก็เป็นความการทำความเข้าใจไว้ในภาพรวม

 

ทีนี้ เพื่อที่จะสำทับเข้าไป ก็เป็นประโยชน์เหมือนกัน อย่างที่คุณว่า คือพอสวดเสร็จ หรือว่าจะอธิษฐาน

เวลาอธิษฐานอย่าอธิษฐานขอพร อย่าอธิษฐานนแบบเข้าตัว

แต่อธิษฐานว่า ขอจิตนี้ ที่เริ่มสว่างแล้ว ที่เริ่มเบิกบานแล้ว

อันนี้สำคัญนะ คือต้องมีความสว่าง มีความเบิกบาน

มีความสุขให้รู้สึกบ้าง นี่เป็นตัวตั้ง

 

ถ้าเราเอาจิตแบบนั้นเป็นตัวตั้ง ในการคิดอธิษฐานว่า

ขอให้จิต ที่มีความเปิดแล้ว ที่มีความสว่างแล้วอย่างนี้

จงอย่าได้หลงผิด จงอย่าได้กลับไปยึดมั่นอะไรผิดๆ

 

ตรงนี้ก็จะมีส่วน ที่จะทำให้ความคิดอ่านปลอดโปร่ง แล้วก็ตรงทาง

 

แต่อย่างบางที คือถ้าไปตั้งจิตไว้ว่า ขอให้เห็นทาง

ขอให้ประตูทางที่จะไปสู่ความรวย หรือว่าหมดหนี้ เปิดเลยทันที

การตั้งความคิดไว้แบบนั้น ถ้าหากว่า วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้หรือว่าอาทิตย์หน้า

ทางยังไม่เปิด ก็จะเสียกำลังใจ

 

คือถ้าอธิษฐานผิด พูดง่ายๆ ว่าอธิษฐานผิด

ก็จะทำให้บั่นทอนกำลังศรัทธานะครับ

 

แต่ถ้าหากว่า เราอธิษฐานไว้แล้วได้ผล ประจักษ์ใจจริงๆ

อย่างเช่นบอกว่า ขอให้ใจที่เปิดแล้วจงอย่าได้กลับปิด

จงอย่าได้ไปหลงผิด ไปยึดมั่นอะไรที่ผิดๆ นี่

 

แล้วก็สวดทุกวัน ย้ำเข้าไปทุกวัน แล้วก็พบว่าตัวเองนี่

มีใจแบบที่เปิดขึ้นๆ ไม่กลับปิดอีกเลย

อย่างนี้ตรงทางที่อธิษฐาน

 

พอรู้สึกว่าที่อธิษฐานได้ผล แล้วใช้ได้จริง

ก็มีกำลังใจยิ่งๆ ขึ้น และกำลังใจที่จะอยู่กับความสว่างนานๆ นั้นแหละ

ที่ในที่สุดเหมือนกับ อะไรที่บ่มในตัวจนกระทั่งสุกงอม

ทางจะเปิดเอง ทั้งลักษณะของปัญญา วิธีคิด ความมีหัวแล่น

หรือกระทั่ง ชะตาที่จะตอบรับเข้ามา

 

ประตูหลายๆ บาน ที่เป็นประตูภายนอกนี่

จะเปิดพร้อมๆ กันกับที่ ประตูทางใจของเรานี่เปิดอ้าออก

______________________

 

บางครั้งเห็นแขนขาแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่แขนเรา ไม่รู้คิดไปเองไหม อาการนี้คืออะไรครับ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์

วันที่ 3 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=73d9QP_NXoU

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น