วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2564

ได้ยินเสียงในหู พยายามเจริญสติแต่ก็ยังไม่หาย

 ผู้ร่วมรายการครั้งก่อนเคยสอบถามเรื่องเสียงในหู และได้รับคำแนะนำให้ไปดูความกังวลที่มันหนักเบาไม่เท่ากันครับ ไปดูแล้วก็ยังทำไม่ค่อยได้ เสียงมันยังดังอย่างต่อเนื่องอยู่ครับ มันค่อยข้างจะดึงสมาธิอยู่พอสมควรครับ อยากขอแนวทางการทำต่อครับ เวลาอ่านหนังสือหรือทำงานมันยังดังต่อเนื่อง มันรบกวนอยู่พอสมควรครับ ยังดูไม่ค่อยได้ครับ

ดังตฤณ : คือไม่ว่าจะมีอะไรรบกวนจิตใจเรา ถ้าเรายิ่งไปโฟกัสมัน มันก็จะยิ่งหนักขึ้น อันนี้เป็นเรื่องปกติ ถึงแม้ว่าเราจะบอกว่าเราดูแล้วก็ตามเนี่ย แต่ขอให้สังเกตว่าอาการโฟกัสของเรา โฟกัสไปในลักษณะที่มีความกังวล หรือว่ามีความคาดหวังว่ามันจะหายไป ตัวนี้เป็นการโฟกัสในแบบที่จะทำให้มันเกิดขึ้น พูดง่ายๆคือให้อาหารหล่อเลี้ยงมัน

แต่ถ้าหากว่าเราโฟกัสในแบบที่จะเห็นความไม่เท่าเดิมของมัน มันจะไม่มีความคาดหมาย มันจะไม่มีความกังวลว่าเมื่อไหร่จะหายไปสักทีนะครับ มันจะมีแต่ความรู้สึกว่า มันมาเราก็เห็น มันหายไปเราก็เห็น มันกลับมาอีกเราก็ไม่กังวลเราก็เห็นอีก

ถ้าสามารถแยกแยะได้นะครับว่าอาการของจิตที่มันเพียวจริงๆกับการเห็น กับจิตอีกแบบหนึ่งที่มันเห็นไปด้วยกังวลไปด้วยรำคาญไปด้วย ถ้าเห็นอาการของจิตที่มันต่างกันได้ ตรงนี้แหละที่มันจะเป็นจุดหักเหจุดเปลี่ยนแปลงของอาการที่มันเกิดขึ้นกับเรานะครับ

ยังไงเราก็เป็นหมออยู่แล้วนะ ลองไปเช็คดูเกี่ยวกับประสาทเกี่ยวกับอะไรด้วย

ผู้ร่วมรายการไปฉีดยามาเพิ่มครับ ปรากฏว่าพอฉีดแล้วเสียงมันกลับดังมากกว่าเดิม

ดังตฤณ : ถ้าตีความทางการเจริญสติเนี่ย จิตของแก้วเวลาโฟกัสกับอะไรด้วยความกังวล มันจะมีลักษณะย้ำคิดย้ำทำ มันจะมีลักษณะความกังวลที่มันหนักขึ้นหนักขึ้น แล้วจิตของเรามีกำลังเยอะด้วย โดยที่มันเยอะเอียงข้างมาทางฟุ้งซ่าน

ถ้าสามารถที่จะทำให้กำลังที่เยอะมันเอียงข้างไปในทางที่เป็นสมาธิไปในทางที่มันเป็นอุเบกขา มันก็จะมีกำลังในอีกแบบหนึ่ง ที่จะช่วยแยกภาวะที่ผิดปกติอะไรทั้งหลายให้มันค่อยๆห่างหายไป อย่าหวังว่ามันจะหายไปเลย เพราะมันรบกวนเรามาเป็นปีๆ แต่หวังว่าถ้าเรามีสติรู้ในแบบพุทธ จิตของเราเป็นอุเบกขามากขึ้นมากขึ้น มีแต่อาการรู้ที่เพียวที่มันบริสุทธิ์มากขึ้นมากขึ้น อาการเหล่านี้มันจะห่างหายไป

แล้ววิธีที่จะกรองจิตของเรากลั่นจิตของเราให้บริสุทธิ์มากขึ้นไม่ใช้ไปพยายาม แต่ตรงกันข้ามแค่สังเกตเฉยๆว่า ขณะนี้เรากำลังโฟกัสด้วยอาการกังวลหรือด้วยอาการคาดหวังมั้ย ถ้าเห็นแม้แต่นิดเดียวว่ามีความคาดหวังมีความกังวลเคลือบอยู่ นั่นแหละบอกตัวเองเลยว่าเป็นการโฟกัสเพื่อหล่อเลี้ยง เพื่อให้อาหารกับอาการผิดปกติของมัน

แต่ถ้าหากว่าอาการที่เราโฟกัสนั้น มันรู้อยู่เฉยๆเพียวๆ ไม่มีความกังวล ไม่มีความคาดหวังอยู่เลยนะครับ มันจะเป็นไปนานแค่ไหนก็ปล่อยมัน เรามีหน้าที่แค่รู้

ที่ผ่านมาแก้วอาจจะเคยฝึกที่จะพยายามที่จะรู้เพียว แต่ที่พยายามที่จะรู้เพียวๆนั่นแหละที่มันไม่เพียว แค่เราสังเกตให้ออกว่าตอนนี้เราโฟกัสอยู่ด้วยความกังวลอยู่ด้วยความคาดหวัง หรือใจมันเฉยๆเป็นอุเบกขาอยู่ เห็นความแตกต่างไปเรื่อยๆแค่นี้แหละ ในที่สุดมันกรองเองได้แล้ว จิตที่ฉลาดคือจิตที่สามารถเห็นความต่าง

จิตที่ฉลาดไม่ใช่จิตที่ไอคิวสูง ตรงกันข้ามเลยเท่าที่เจอมานะ คนที่ยิ่งไอคิวสูงมากขึ้นเท่าไหร่ มันจะยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นแรง แล้วเวลาสังเกตอะไรดูกายใจเข้ามาเนี่ย มันจะดูเข้ามาแบบจับยึดเหนียวแน่น ไม่ได้ดูเข้ามาด้วยอาการที่ไร้ความคาดหวัง

ต่อเมื่อเราฝึกให้มันเกิดความฉลาดทางจิต ด้วยการสังเกตเห็นความต่าง สังเกตอย่างเดียวว่าตอนที่คาดหวัง ตอนที่มีความกังวล ตอนที่มีความฟุ้งซ่าน อาการของใจเนี่ยมันโฟกัสแบบนี้ มันจะเพ่งๆเข้าไปบีบๆเข้าไป มันจะหนักๆหน่วงๆเข้าไป แต่พอมันรู้สึกว่าเฉยๆไม่คาดหวังไม่ฟุ้งซ่านไม่คิดอะไรไม่กังวลอะไร ใจมันจะเดินเรียบ มันจะมีความนิ่ง มันจะมีความปล่อย มันจะมีความเบา สังเกตอย่างนี้เห็นความต่างอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ในที่สุดเนี่ยมันเข้าจุดเองนะครับ โอเคเข้าใจนะครับ

................................................

๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอนไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค

คำถาม : ได้ยินเสียงในหู พยายามเจริญสติแต่ก็ยังไม่หาย

ระยะเวลาคลิป    ๕.๔๑  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=WgkAyJKrk4Y&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=56

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น