วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564

อยากใช้คืนหนี้แต่หาเจ้าหนี้ไม่เจอ บาปไหม

ผู้ถาม : กรณีที่เราติดหนี้ใครเอาไว้ แต่ว่าถึงเวลาที่เราอยากจะใช้คืน เราหาเจ้าหนี้ไม่เจอแล้ว เราจะมีวิธีที่จะแก้กรรมอย่างไร หรือว่าเราจะได้รับบาปกรรมด้วยหรือเปล่าคะ

 

ดังตฤณ : ส่วนใหญ่ คือคนที่ไม่ได้มีโอกาสที่จะขออโหสิ ไม่ได้มีโอกาสที่จะชดใช้คืน ไม่ได้มีโอกาสที่จะทำอะไรดีๆ ให้กับเจ้าตัวแล้วนี่นะ

ต้องมองตามเนื้อผ้าอย่างหนึ่งว่า เราก็ติดค้าง ต้องติดค้างหนี้ตรงนั้นไว้แบบที่เราไม่สามารถที่จะใช้คืน โดยความเป็นรูปธรรม แต่ด้วยความเป็นนามธรรม ยังพอมีสิทธิ์

 

คือให้มองอย่างนี้ คนๆ หนึ่ง ส่วนใหญ่เวลาก่อนที่จะดีอะไรขึ้นมาเกินๆ ดีขึ้นมาแบบ ..ดีมากเลยนี่ มักจะมีแรงดัน

 

แรงดันที่ทรงพลังมากที่สุด ที่จะทำให้มนุษย์คนหนึ่ง ดีเกินปกติของตัวเองได้ มักจะเป็นความรู้สึกผิด

 

และความรู้สึกผิด ถ้าก่อตัวเต็มที่แล้วรู้สึกใจหนักอึ้งนะ อยากจะชดใช้ อยากจะชดเชย อยากจะทำอะไรที่เป็นการ ..เหมือนกับ ให้ได้น้ำหนัก ดีๆ มาแทนที่ความรู้สึกผิดนั้น

 

ส่วนใหญ่ ก็จะเป็นไปในทางที่ อยากจะถ่ายเทความรู้สึกผิดออก เป็นอะไรดีๆ ที่เป็นตรงกันข้ามกัน อย่างเช่นถ้ารู้สึกว่า หนี้ที่เราไม่ได้ใช้คืน หรือว่าสิ่งที่เราเคยทำให้เขาเดือดร้อนไป มีความรู้สึกเหมือนกับว่าเราเป็นคนไม่ดี เราเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เราเป็นคนที่ไม่เอาไหน เราเป็นคนที่ทำให้คนอื่นนี่ ได้รับความเดือดร้อน

 

ก็เอาตัวนี้แหละ ที่เกิดความรู้สึกขึ้นมาใหม่ มีใจใหม่ อยากมีตัวใหม่ที่ใช้ความรู้สึกผิดนี้ได้ ไปทำประโยชน์ให้คนอื่น ในแบบเดียวกัน

 

อย่างถ้าหากว่า เราติดหนี้เป็นเงิน ก็เอาเงินไปช่วย ให้คนที่เขายากลำบากหรือว่ามีความเดือดร้อน เกี่ยวกับเรื่องเงินทองได้มีชีวิตที่ดีขึ้น อาจจะให้เงินคนอื่นยืม โดยที่ไม่หวังจะเอาคืน โดยที่เราตอนช่วยนี่ เห็นจริงๆ ว่าคนๆนี้ลำบาก แล้วน่าช่วย

 

พอช่วยไปด้วยความรู้สึกว่า .. เราอาจจะไม่ได้คืน เหมือนกับที่เราก็ไม่คืนคนอื่นมาก่อนนี่ ความรู้สึกที่ได้ช่วยและช่วยสำเร็จ และเห็นกับตาว่าผู้รับ ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น ได้มีความสุข มีความสบายมากขึ้น หรือว่ามีความโล่งอกโล่งใจมากขึ้นนี่นะ

 

จะพลอยทำให้เราเกิดความรู้สึกดีกับตัวเอง แล้วก็ไปขุดเอาความรู้สึกแย่ๆ ที่เคยทำให้คนอื่นเดือดร้อนนี่ มาแทนที่กันด้วยความรู้สึกว่า เราก็มีความสามารถจะช่วยให้คนอื่น ได้ดิบได้ดี หรือว่ามีความสุข มีความสบายใจมากขึ้นเช่นกัน

 

ถ้าได้ช่วยหลายคน หรือไม่ได้ช่วยเป็นคนๆ อาจจะช่วยแบบหว่านไป ให้คนที่เขาเดือดร้อน ไม่มีจะกิน ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่มีน้ำใช้ ไม่มีพระประธานกราบอะไรอย่างนี้

 

ไม่ต้องลงเงินเป็นหมื่นๆ เป็นแสนๆ นะ เอาแบบที่เขาทำกันจริงๆ สิบบาท ยี่สิบบาท แล้วทำเรื่อยๆ ทำเป็นประจำ จนกระทั่งเกิดความรู้สึกว่า เราเป็นผู้ช่วย เราเป็นผู้ให้ เราเป็นผู้ที่ยกระดับชีวิตของคนอื่นได้ โดยใช้ความร่วมมือกันกับคนอื่นๆ

 

อย่างนี้ ความรู้สึกเดิมที่ยังคาใจ ยังติดค้าง ก็จะได้ถ่ายถอนออกมา

 

อันนี้ ขอให้จำไว้เลยนะ เป็นคีย์เวิร์ดนะคือว่า คนๆหนึ่ง ส่วนใหญ่จะดีขึ้นมา แบบผิดหูผิดตา หรือว่าแตกต่างไปจากเดิม ตัวตนเดิมๆ ก็มักจะมาจากแรงดัน คือความรู้สึกผิด และถือเอาเป็นโอกาสว่า เรารู้สึกผิดจากเรื่องอะไร เราจะชดใช้สิ่งนั้น ด้วยการทำประโยชน์ให้กับโลกในทางนั้นๆ ในทางที่ เราเกิดความรู้สึกแย่กับตัวเองมานั่นแหละนะ

 

ผู้ร่วมสนทนา : พูดถึงเรื่องนี้แล้ว หนูมีคำถามเพิ่มเติมนิดหนึ่งค่ะ คือถ้าสมมุติว่า เขา (ลูกหนี้) คิดว่าเจ้าหนี้หายไปแล้ว คืนไม่ได้ เวลานั้นอยากจะคืนเงิน แต่ว่าหาตัวเจ้าหนี้ไม่ได้

แต่พอผ่านไปสักห้าปีสิบปี อยู่ดีๆ เจ้าหนี้ติดต่อกลับมา แล้วก็บอกว่ากำลังเดือดร้อน ขอให้ช่วยคืนเงินที่ยืมไป แล้วบังเอิญว่าเวลาผ่านไปนานมาก แล้วโทรไปเวลานั้น ลูกหนี้บอกว่าไม่มีเงินจะคืน

 

อย่างนี้ คนที่เป็นลูกหนี้ ควรที่จะสำรองเงินไว้ส่วนหนึ่ง เผื่อว่าวันหนึ่งเจ้าหนี้เขาเดือดร้อน ติดต่อกลับมาจะได้มีเงินคืน

 

ดังตฤณ : ก็เป็นไอเดียที่ถือว่าใช้ได้เลยนะ คือเราสงวนเงินก้อนหนึ่งไว้  เตรียมพร้อมที่จะใช้คืนได้ทุกเมื่อ แล้วก็เหมือนเก็บไว้ไม่ใช้ เก็บไว้ไม่ทำอะไรอย่างอื่น ถ้าเจอตัวเมื่อไหร่ เราจะคืนให้พร้อมดอกเบี้ยอะไรอย่างนี้

 

ก็เป็นเป็นอุบายที่ดี ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า ชาตินี้เราพยายามจะใช้จนนาทีสุดท้าย พยายามจะใช้คืน เมื่อไหร่ที่มีโอกาส เราจะให้คืนก่อนตายให้ได้

 

ด้วยความคิดแบบนี้ ด้วยการเตรียมไว้แบบนี้ อย่างน้อยที่สุด จะช่วยให้เกิดความรู้สึกว่า เราไม่เบี้ยว เราไม่ได้ตั้งใจที่จะทำแบบที่เคยทำ คือ มีโอกาสใช้คืนแล้วไม่ได้ใช้

 

คือตอนที่มีโอกาสใช้คืนนี่ คนส่วนใหญ่ ถ้ายังไม่รู้สึกอะไร ถ้ายังไม่รู้สึกผิดถ้ายังไม่รู้สึกมีแรงกดดัน เกี่ยวกับเรื่องของบาปของเวร ตอนมีโอกาสใช้คืนนี่อยากให้มองว่า ความรู้สึกว่าได้ใช้คืน เป็นความสุขของชีวิตชนิดหนึ่ง เป็นความสบายใจ เป็นความรู้สึก .. ตายตาหลับได้แล้วถ้าหากว่าปลดปล่อยความรู้สึกตรงนี้ไป

 

ในทางปฏิบัติ มักจะออกแนวที่ว่ามีเงินที่จะใช้คืน แล้วเกิดความรู้สึกว่า เงินก้อนนี้ เอาไว้ใช้ก่อนได้ไหม หรือว่าอดรู้สึกไม่ได้แบบประสาคนธรรมดา ที่ยังมีตัวโลภะ ตัวความตระหนี่ ว่าเงินที่อยู่ในธนาคาร เงินที่อยู่ในมือ แปลว่าเงินของเรา คนที่เป็นลูกหนี้จะอดรู้สึกแบบนี้ไม่ได้นะ

 

และความรู้สึกนี้พอผ่านไปแล้ว พอผ่านโอกาสที่จะใช้หนี้ไปแล้วนี่ อย่างเช่นเจ้าหนี้หายหน้าไปไหนแล้วไม่ทราบ หรือว่าเป็นตายร้ายดีอยู่ที่ไหนนะ ซึ่งก็อาจเกิดขึ้นได้ แต่ผมก็ไม่ทราบนะว่า โอกาสที่เจ้าหนี้จะพลัดหายไปนี่เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนใหญ่ลูกหนี้จะเป็นคนพลัดหายนะ ไม่ใช่เจ้าหนี้พลัดหาย (หัวเราะ)

 

ก็เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาส อยากให้ทุกคนนะครับมองความรู้สึกนี้ มองความรู้สึกว่า โอกาสที่จะใช้หนี้คืน คือโอกาสที่เราจะตายตาหลับ ไม่ใช่โอกาสที่เราจะยึดไว้เป็นของเราเอง ด้วยความรู้สึกแบบ ดิบๆ ว่าเงินอยู่กับเรา แปลว่าเป็นเงินของเรา

 

ผู้ร่วมสนทนา : ที่พี่ตุลย์อาจนึกไม่ออกว่าทำไมเจ้าหนี้หายไป คือบางทีเจ้าหนี้บางคน ตอนให้ยืม เขาคิดว่าให้ไปแล้วก็เหมือนว่า ไม่ได้คิดเอาคืน

 

ทีนี้ ตัวเขาเองอาจเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ แล้วไม่ได้แจ้งลูกหนี้เพราะไม่คิดว่าลูกหนี้จะต้องมาคืน คือเหมือนให้แล้วลืมไปแล้ว อย่างนี้ อันนี้ก็จะเป็นอีกเคสค่ะ

 

ดังตฤณ : สมัยเราก็มีแบบโทรศัพท์หายอะไรแบบนี้ใช่ไหม

 

ผู้ร่วมสนทนา : บางทีเจ้าหนี้ก็ไม่ได้แจ้งลูกหนี้ด้วยว่าเปลี่ยนเบอร์ เพราะไม่คิดว่าลูกหนี้ต้องมาคืนก็ได้ แต่ว่าอยู่ดีๆ วันหนึ่งเจ้าหนี้ก็เดือดร้อนขึ้นมา แล้วก็พยายามจะหาเงินทุกทาง ก็เลยแบบโทรกลับไปหาลูกหนี้อะไรแบบนี้ค่ะ ก็เป็นไปได้ที่มีคนถามเรื่องนี้หลายคนว่าเจ้าหนี้หาย

 

ทีนี้ ที่พี่ตุลย์บอกเมื่อกี้ หนูว่าเป็นไอเดียที่ดีมากเลยนะคะ เพราะว่าไม่อย่างนั้น ถ้าวันหนึ่งเจ้าหนี้กลับมาทวงเงิน แล้วพอลูกหนี้ไม่มีเงินคืนให้ ลูกหนี้ก็เป็นทุกข์นะ

 

ดังตฤณ : เราต้องมองนะว่าใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ถ้าใจของเรามีความยึดอยู่นะว่า อย่างไรก็ต้องคืนให้ได้ แล้วก็ถ้าเจ้าหนี้หายหน้าไปจริงๆ ติดต่อไม่ได้ แต่เรารู้สึกอยู่ว่า ตอนนี้เรามีเงินแล้ว ให้เก็บเงินก้อนนั้นไว้อย่างที่บอกนี่แหละ เป็นอุบายที่ดี เพราะจะช่วยให้เรารู้สึกเลยว่า ตัวเองไม่ได้ตั้งใจจะเบี้ยว ไม่ได้ตั้งใจจะหลบหน้า ไม่ได้ตั้งใจว่าจะยักยอกเงินก้อนนี้ไว้เป็นของตัวเองตลอดชีวิต

 

แต่ที่แท้แล้ว เราเตรียมก้อนนี้ไว้แล้วสิบปี ยี่สิบปีถ้าบุญพาวาสนาส่ง มีโอกาสที่เจ้าหนี้ มาทำให้เรากลับฟื้นคืนความสบายใจขึ้นมาได้ เราจะใช้คืนทันที อันนี้ก็เป็นความตั้งใจอย่างหนึ่ง

 

คือใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธานนี่ดูว่า ใจของเราตั้งไว้ในทิศทางไหน มีเจตนาอย่างไรกับเรื่องหนี้ หรือเรื่องอื่นใดก็แล้วแต่ในชีวิตนี้ ใจนั่นแหละจะเป็นเส้นทางกรรมของเราต่อไป

_____________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮาส์

วันที่ 3 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=nbdk_XnguLU

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น