วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

จะชักชวนชาวต่างชาติให้เลื่อมใสในศาสนาพุทธอย่างไร

ดังตฤณ : ถ้าเราจะพูดเรื่องศาสนานี่ ก่อนอื่น เราต้องมองอย่างนี้ มองด้วยความเข้าใจว่า เป็นเรื่องใหญ่เกินชีวิตของคนๆ หนึ่ง

 

ทุกคนที่นับถือศาสนา หมายความว่าเขาต้องนับถืออะไรอย่างหนึ่ง ที่เกินตัวเขา ไม่อย่างนั้น คนเราจะไม่นับถือ ไม่ให้ใจ ไม่เทใจให้

 

ถ้าหากว่า เท่าๆ ตัวเราหรือเล็กกว่าตัวเรา

 

อย่างบางทีบอกว่า เจอคนที่เป็นเพื่อนบอกว่า ไม่นับถือพระ เพราะเจอพระมาแต่ละรูป รู้สึกว่าด้อยกว่าตัวเอง

 

นี่เราพูดกันเพื่อให้เข้าใจง่ายนะ คือ เป็นคนเหมือนกัน แค่นุ่งห่มจีวร เขาก็ไม่นับถือหรอก เด็กรุ่นใหม่จะคิดแบบนี้ แล้วก็มีข้อเท็จจริงว่า วาสนาของเขา อาจขอบเขตวาสนาเขา ยังไปไม่ถึงพระ ที่เหนือกว่าเขา

 

ทีนี้ คนต่างชาติก็เหมือนกัน เวลาเราคิด เราคิดถึงคนรอบตัวเรา ที่บอก ดูถูกพระ ดูถูกเจ้า ไม่นับถือศาสนา ก็คือไม่เห็นพอยต์ ไม่รู้สึกว่า มีอะไรที่ดีไปกว่าตัวเขา หรือว่ายิ่งใหญ่ไปกว่าชีวิตเขา

 

อย่างชาวต่างชาติ ที่ประกาศตนว่า ไม่มีศาสนา ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่า มีหมดแล้ว เงินเขาก็มี วิธีหาเลี้ยงชีพเขาก็เอาตัวรอดได้ ไม่เห็นต้องไปอาศัยความช่วยเหลือจากใคร

 

จนกระทั่งสักวันหนึ่งเขาเกิดความรู้สึกตกทุกข์ได้ยากทางจิตวิญญาณ ไม่สามารถที่จะมีใครไปช่วยเขาได้ เขาก็อาจจะบอกมีทางเลือก ไปหาจิตแพทย์ ไปเอายาจากหมอ หรือไปหานักจิตวิทยา ที่ทำหน้าที่ ที่จะไขก๊อก คลายปมปัญหาให้เขาโดยตรง แล้วเขาจ่ายเงินให้ก็จบ ไม่ต้องนับถือกัน คือถือว่า คุณมีหน้าที่ ผมก็จ่ายเงินให้คุณ

 

นั่นคือวิถีของคนไม่มีศาสนานะครับ

 

แต่จะมีอีกประเภทหนึ่ง ที่หานักจิตวิทยาก็แล้ว พบจิตแพทย์ก็แล้ว ก็ไม่ได้รับคำตอบของชิต ความทุกข์ไม่ถูกไขก๊อก หรือว่า ข้อข้องใจทั้งหลาย ที่เกี่ยวกับโจทย์ชีวิต ไม่ได้รับการคลี่คลาย เพราะบางคน รวยมาก ต่างประเทศนี่ตอนนี้เยอะนะ ที่ทำเงินกันแบบอายุน้อย รวยกันเป็นร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้านกันเป็นว่าเล่น

 

ไปถึงจุดหนึ่ง บอกว่า เงินก็มีแล้ว ทรัพย์สมบัติ บ้านช่อง รถรา อะไรต่างๆ มีเยอะแยะเลย ข้าทาสบริวาร ลูกเมีย มีครบหมดทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือความพอใจที่จะมีชีวิต

 

ทำไมถึงไม่พอใจ ทำไมชีวิตถึงได้แห้งแล้งขนาดนั้น อย่างบางคนที่เพิ่งฆ่าตัวตายไปนี่ รวยมาด้วยตัวเอง สอนคนอื่นให้เข้าใจชีวิตอะไรมากมาย แต่สุดท้ายมาตายเพราะว่า ยาเกินขนาดอะไรแบบนี้ แล้วก็มีปัญหาหนักเกี่ยวกับเรื่องของการไม่ได้เจอหน้าใคร ช่วงโควิดอะไรแบบนี้ ก็สันนิษฐานกันไปว่า มีปัญหาอะไร แต่เอาเป็นว่าเขามีปัญหาทางใจแน่ๆ แล้วก็มีความหิว แล้วก็ไปพึ่งยาอะไรต่างๆ

 

ตรงจุดที่เป็นความจริง ของคนทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะชาวต่างชาติ ก็คือว่า คนเราถ้าหากไปถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกจำนน ตรงนั้น เป็นจังหวะเหมาะที่เราจะเอาเรื่องศาสนาไปให้เขา

 

แต่ถ้าอยู่ๆ เขามีความอิ่ม มีความเต็ม มีความรู้สึกว่า ฉันมีทุกอย่าง เราจะคิดเอาอะไรที่บอกว่า ใหญ่กว่าชีวิตเขาไปให้เขานี่ จะยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนในยุคนี้สมัยนี้

 

ฉะนั้น บางทีเราต้องรอจังหวะนิดหนึ่ง รอคำถามจากหัวใจของเขาว่า ชีวิตคืออะไร และยิ่งไปกว่าชีวิต คืออะไร

 

ที่จะมีความสุขในชีวิตคืออะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเอาเล็งตรงเป้าของพุทธศาสนา ว่าทำอย่างไร ทุกข์ที่ท่วมท้นหัวใจ ท่วมทับชีวิตเขาทั้งชีวิต ถึงจะหายไป เหมือนยกภูเขาออกจากอกได้

 

อันนี้แหละถึงเป็นจังหวะเหมาะ นอกนั้น อยู่ๆ เราไปคุยให้เขาฟัง อาจมีแต่หนึ่งในหมื่น หนึ่งในแสน คือเราไปคุยให้เขาฟังเกี่ยวกับศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนอะไร แล้วเขาเกิดคลิกขึ้นมา นั่นคือเขามีทุนเก่า เราต้องเข้าใจนะ เวลาที่เราจะช่วยเผยแผ่พุทธศาสนานี่

 

พุทธศาสนาไม่ใช่อะไรที่มาเล่าให้ฟังง่ายๆ ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นะครับ พุทธของเราพูดเรื่องยากๆ ที่เกินจินตนาการ เกินความรู้ ความเข้าใจด้วยหูตาแบบนี้หมดเลยนะ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องของวิบากแห่งกรรม หรือว่าเรื่องของนิพพาน เรื่องยากทั้งนั้นเลยนะ เรื่องลึกลับ พ้นหูพ้นตาทั้งนั้นเลย

 

ฉะนั้นถ้าเราจะคาดหวัง คาดหวังได้สองอย่าง คือ คนที่มีความทุกข์ท่วมทับหัวใจจริงๆ อยากจะหาทางออกจากทุกข์จริงๆ และไม่พอใจในชีวิต และกำลังอยากแสวงหาสิ่งที่ใหญ่กว่าชีวิตตัวเอง

 

สองก็คือว่าถ้าเราคุยๆ ไป เปรยๆ ไป โปรยๆ ไป โปรยยา โปรยกลิ่นหอมของพุทธศาสนา แล้วเขาได้กลิ่น มีทุนพอ ที่จะได้กลิ่นหอมนั้น แล้วก็มีความรู้สึกอยากตามมา อยากตามกลิ่นนั้นมา ด้วยความที่มีทุนเก่าของเขา ช่วยนำร่องให้ อันนั้นเราถึงคาดหวังได้

 

แล้วพวกนี้ พูดกันไม่กี่คำ คลิกเลยนะ แล้วเขาจะมีความสนใจยิ่งยวดขึ้นมาเองเลย โดยที่ตัวเขาเองก็อาจอธิบายตัวเองไม่ได้ รู้แต่ว่า พอได้ยิน คอนเซ็ปต์เกี่ยวกับพุทธศาสนา แล้วเกิดความสนใจอย่างยิ่งยวดขึ้นมาไม่รู้เหนือรู้ใต้

 

คุณหวังได้แค่คนสองประเภทนี้ นอกนั้น ไปบอกเถอะ เหนื่อยให้ตาย พูดให้ตายอย่างไร ตอนนี้คนก็รู้ แล้วเขาจะคิดว่าเขารู้ยิ่งกว่าเรา มีเรื่องของวิทยาศาสตร์ มีเรื่องของความรู้สมัยใหม่ เทคโนโลยี บอกว่า เขากำลังจะย้ายไปดาวอังคาร พวกเรายังมาย่ำเตาะแตะกันอยู่กับโลกยุคโบราณ ศาสนาอะไรนี่

 

เขาไม่สนใจจริงๆ แล้วไม่ต้องไปหาทางตะล่อมหรอก พวกนี้ไม่มีประโยชน์นะครับ ผมเคยพยายามแล้ว แล้วเห็นจริงๆ สามสิบกว่าปีที่ทำมาก็คือว่า ถ้าใครจะมา เขาพร้อมจะมา โดยไม่ต้องออกแรงมาก

 

ที่ออกแรงเยอะๆนี่ ส่วนใหญ่ตั้งความคาดหมายไปได้ว่า เสียแรงเปล่า เหนื่อยฟรีนะ

_________________

คำถาม : รบกวนถามถึงวิธีที่จะพูดชวนให้ชาวต่างชาติที่ไม่มีศาสนาหันมาเลื่อมใสในพุทธศาสนา ควรเริ่มที่ตรงไหนคะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีใช้เงินบริจาคของบูรณพุทธ

วันที่ 24 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=CtmCds7svVo

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น