ดังตฤณ : เราเป็นฆราวาส ไม่มีข้อห้ามในการเสพความบันเทิง แล้วก็จริงๆแล้วเนี่ยความบันเทิงเป็นสิ่งที่ติดตัวกับมนุษย์เมืองคนเมืองที่อยู่ในยุคไอทีนี้
ถ้าหากว่าอยู่ในเมืองแล้วเราไม่ได้เสพความบันเทิงเลย เหมือนกับเราแปลกแยกกับคนในสังคม คุยกับคนในสังคมเขาไม่รู้เรื่อง หรือต่อให้เราไม่เข้าหาความบันเทิง บางทีความบันเทิงก็เข้ามาหาเราเอง
อย่างเดินไปป้ายรถเมล์เจอโฆษณาเจออะไรที่มันเย้ายวน เจออะไรที่มันยั่วยุให้ตำหูตำตาให้เกิดราคะบ้าง เกิดโทสะบ้าง หรือเกิดโมหะเพิ่มขึ้นบ้าง เพราะฉะนั้นถ้าเราหลีกเลี่ยงจากความเป็นคนเมืองที่เสพความบันเทิงไม่ได้ เราหาประโยชน์จากมันก็แล้วกัน
เวลาที่เราดูซีรี่ส์ คนที่ปฏิบัติธรรมด้วยแล้วดูซีรี่ส์หรือดูหนัง จะสั้นจะยาวยังไงก็แล้วแต่ จะพบความแตกต่าง จะมีมุมมองที่แตกต่าง
อย่างตอนเด็กๆตอนที่ไม่มีสมาธิเลย ตอนที่ไม่มีพื้นฐานอะไรเกี่ยวกับการเจริญสติอยู่เลย เราจะพบว่าทุกครั้งที่ดูซีรี่ส์อะไรมันๆ ดูหนังอะไรที่มันบันเทิงมากๆเร้าใจมากๆ แล้วทำให้เราอินเข้าไปกับตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นผิดหวังสมหวัง ไม่ว่าจะเป็นเคียดแค้น หรือว่าอยากให้อภัย จิตของเราถูกจูงไปตามตัวละครหมดเลย
พูดง่ายๆ นักประพันธ์หรือผู้กำกับเขากำหนดให้ทิศทางของหนังไปแบบไหน ใจเราก็ไปแบบนั้นตามไม่ว่าจะขึ้นฟ้าหรือลงเหว เสร็จแล้วพอดูจบคุณจะสังเกตได้ ตอนที่ยังไม่ได้ทำสมาธิ ยังไม่ได้มีการเจริญสติอะไรเข้ามาช่วย ใจมันจะมีอาการหมุนๆๆๆๆ เหมือนกับว่าเราเข้าไปอยู่กลางพายุที่หาทางออกไม่เจอ
บางทีต้องหลับไป แล้วตื่นขึ้นมาใหม่มันถึงจะหาย หรือว่าทุเลาเบาบางลง หรือบางคนหนักกว่านั้น ละครบางเรื่องมันจบไปแล้วสามวัน แต่ใจเรายังเมามันอยู่มัน ยังอินมัน ยังมีความรู้สึกไม่จบตามละคร ในหัวเราปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา ในอกเนี่ยมันมีอะไรม้วนๆอยู่ไม่เลิก นี่ตรงนี้มันก็เป็นจุดสังเกต ถ้าเราทบทวนไปตอนที่เรายังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเนี่ย มันจะมีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้น
ทีนี้พอเรามาเจริญสติหรือว่ามีการทำสมาธิ สิ่งที่ต่างไปมุมมองที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่มันเกิดเนี่ยนะ มันจะบอกเราได้ว่า ตอนที่เราดูหนังจบไม่ว่าจะสนุกขนาดไหน ถ้าเรารู้สึกได้ว่ามีอะไรมันพันๆอยู่ในหัว แล้วเราไม่ปล่อยให้มันม้วนตลบ หรือว่ากลายเป็นคลื่นพายุปั่นป่วนแบบแต่ก่อนเนี่ย นี่แสดงว่าสติของเราดีขึ้น
จริงๆไม่ต้องเจริญสติก็ได้ อย่างตอนเราเด็กหรือตอนวัยรุ่นเนี่ย คนๆหนึ่งอาจจะปล่อยใจตามละครหรือหนังเต็มที่เลย แต่พอโตขึ้นทำงานทำการ ผูกใจไว้กับเงินหรือว่าตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือว่าชื่อเสียงมากกว่าสิ่งบันเทิงอะไรทั้งหลาย ดูหนังดูละครจบก็จะทำให้เหมือนกับมีความรู้สึกคล้ายกันตื่นขึ้นมาจากฝัน เมื่อกี้ฝันไปเต็มที่เต็มเหนี่ยวเลย พอตื่นจากฝันแล้ว เอ้อ ผ่านๆไปแล้ว ก็กลับมาทำงานทำการหรือว่าสนใจกับเงิน หรือว่าชื่อเสียงตำแหน่งหน้าที่กันต่อ นี่อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นสติแบบโลกๆเหมือนกันที่ทำให้เกิดมุมมองความแตกต่างภายใน
แต่ถ้าเป็นนักเจริญสติ จริงๆแล้วเราสามารถที่จะมองตัวเองได้ว่า ใจของเราเนี่ยอยู่กับการเจริญสติมากน้อยแค่ไหน ถ้าหากว่าอยู่กับการเจริญสติอยู่เรือยๆ มันจะมีอัตโนมัติขึ้นมา แม้กระทั่ง ณ เวลาที่เรากำลังดูอยู่ แล้วเกิดอาการอินในบัดนั้นเลย โอ้โหอินขนาดโมโหแทนตัวละคร อยากจะบีบคอไอ้ตัวร้าย หรือว่าบางทีเดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยมีตัวร้ายนะ พระเอกกับนางเอกเนี่ยเป็นตัวร้ายซะเอง คือเราอยากจะไปเค้นคอว่าทำไมพระเอกทำแบบนี้ ทำไมนางเอกไม่ตัดสินใจอย่างนี้นะ พออินมากเกินไปราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริงของตัวเองเนี่ย แล้วเกิดสติรู้ขึ้นมาเป็นอัตโนมัติว่า เอเนี่ยจิตมันพลาดไปแล้ว มันเป็นอุปาทานซ้อนอุปาทานแล้ว
อุปาทานในกายใจนี้ไม่พอนะ ไอ้ตัวที่มันเป็นของจริงอยู่เนี่ย เราตั้งใจจะออกจากอุปาทานนี้อยู่แล้ว ดันไปเจออุปาทานที่เกิดจากหนังละครมันยิ่งซ้อนหนักเข้าไปอีก แล้วยิ่งหลงได้เท่ากันหรือบางทีหลงหนักกว่า
บางคนแค้นตัวละครมากกว่าที่จะแค้นคนในชีวิตจริงเสียอีก บางคนอินขนาดนั้น เพราะว่าชีวิตบางคนเจอแต่คนธรรมดาๆไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แต่ตัวละครเนี่ยมันทำเดือดทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนกับพลุ่งพล่าน ไอ้ตรงนี้เราก็สามารถใช้เป็นมิเตอร์บอกได้ว่า เวลาที่จิตมันหลงไปเนี่ย หน้าตาของโมหะหน้าตาของความหลงที่มันปักดิ่งแน่วเข้าไปมันเป็นแบบนี้ เราสามารถเห็นได้ ณ เวลาที่ดูนั่นแหละ คือไม่ได้ทำให้ความสนุกมันลดลงนะ แต่เหมือนกับชีวิตประจำวันที่เราเจริญสติเนี่ย มันก็มีความอินเข้าไปกับการที่มีใครมาด่าหรือมีใครมาชมไม่แตกต่างกัน
ประเด็นของการเจริญสติคือ รู้ว่ากำลังเกิดตัวโมหะ หรือว่าตัวโลภะโทสะหรือว่าราคะที่มันเขมือบจิตไปทั้งดวงเต็มๆเนี่ย เราไม่ปล่อยให้มันเกิดนาน เรามีสติเข้ามารู้ แล้วก็เห็นว่าราคะยังมีอยู่ในจิตมั้ย โทสะยังมีอยู่ในจิตมั้ย โมหะยังห่อหุ้มจิตอยู่มั้ย
หรือว่าโมหะมันสลายตัวไปแล้ว อันนี้ถ้าเราฝึกระหว่างดูมันจะไม่ทำให้เสียอรรถรส แล้วมีผลดีคือ พอดูจบเราก็กลับมาสำรวจตัวเองซ้ำอีกครั้งนึงว่า ยังมีความปั่นป่วนมากหรือน้อยแค่ไหน เราจะพบเลยนะตอนที่เราดูไปด้วยแล้วมีสติรู้ไปด้วยเนี่ย พอดูจบมันจะไม่ถูกความฟุ้งซ่านเล่นงานหนักมากนะครับ......................................................
๑๓
มีนาคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอนไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค
คำถามเฟสบุค : ชอบดูซีรีส์ หลงใหลศิลปิน
รู้สึกมัวเมาเหมือนมีม่านหมอกฟุ้งไปหมดค่ะ เราควรฝึกกับช่วงจิตเหวี่ยงไปมาแบบนั้น
หรือเลิกดูอะไรแบบนี้ไปเลย แบบไหนดีกว่ากัน?
คำถามยูทูบ : ติดซีรีส์
หลงใหลศิลปิน รู้สึกมัวเมา ฝึกจิตอย่างไร?
ระยะเวลาคลิป ๘.๑๓ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=khVzvK_RKbM&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=15
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น