วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

จะรู้ได้อย่างไรว่า คนที่ตาย ไปเกิดหรือยัง

ดังตฤณ : เรื่องภพชาตินี่นะ แปลง่ายๆเลยก็คือว่า ภพชาตินี้คือกำแพง

 

ที่เราอยู่ในโลกมนุษย์อยู่นี่อยู่ในห้องๆ หนึ่ง ที่ไม่มีสิทธิ์ไปดูห้องอื่น ยกเว้นแต่ว่าจะสามารถสละความรู้สึกติดแบบโลกๆ ได้ ติดใจแบบโลกๆ แล้วสามารถทำสมาธิ มีความผ่องแผ้วมากพอ นี่ก็จะได้รับอนุญาตให้ก้าวไปดูห้องอื่นได้

 

แต่คนทั่วไป ที่ยังคิดๆ นึกๆ  ที่ยังคาดเดา ที่ยังสงสัยอยู่ว่าทำอย่างไรจะรู้ อย่างนี้ไม่มีสิทธิ์ไปห้องอื่น

 

พูดง่ายๆ ว่าทำอย่างไรคุณก็ไม่รู้จริงหรอก ว่าห้องอื่นเป็นอย่างไร อย่างบอกว่าคุณพ่อยังเวียนวนอยู่ อาจจะเป็นความรู้สึกไปเองก็ได้ หรืออาจจะจริงก็ได้

 

คือผมไม่ได้ปฏิเสธนะ เรื่องการวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวนี้ บางทีก็มีความรู้สึกขึ้นมาอย่างชัดเจน เข้มข้นว่า มีการมาปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ อะไรแบบนี้ หันไปไม่เจอ แต่รู้สึกว่านี่ใช่ชัดๆ บางทีนี่เป็นเรื่องจริง แต่บางทีนี่เป็นความนึกไป คือย้อนนึกไป คิดถึงคนๆ นั้นมาก จนกระทั่งเหตุการณ์ระหว่างมีชีวิตอยู่ด้วยกัน ย้อนกลับมาปรุงแต่งจิตอย่างเข้มข้น ราวกับว่าชีวิตเขายังอยู่

 

อย่างที่มีคำพูดหนึ่งบอกว่า คนตายบางคนนี่มีชีวิตเสียยิ่งกว่าตอนมีลมหายใจอีก เพราะอะไร เพราะว่ามาปรุงแต่งจิตของเราย้อนนึกถึงเรื่องที่ยังค้างคาใจกันอยู่ หรือว่าเรายังรู้สึกผิดอยู่แล้วไม่ทันได้ขอโทษอะไรแบบนี้ เข้มข้นจนกระทั่งจิตของเรานี่ อุปาทานไป นึกว่าเขามาอยู่ใกล้ๆที่ แท้แล้วนี่ ใจของเรานึกไปถึงเหตุการณ์ระหว่างมีชีวิต แล้วคุ้นกับสัมผัสตอนอยู่ใกล้ๆ กันจนกระทั่งเอามาปรุงแต่งให้จิตรู้สึกราวกับว่ายังมีชีวิตอยู่

 

สรุปง่ายๆ นะ ถ้าคุณไม่มีตาทิพย์ ถ้าคุณไม่มีฌาน ถ้าคุณไม่มีความสามารถที่จะออกจากกรงขัง คือห้องปัจจุบัน โลกทั้งใบนี้ ท้องฟ้าที่เราเห็นเป็นสีฟ้าอยู่นี่ คือกล่องใบหนึ่ง ที่ขังเราอยู่ คุณไม่มีสิทธิ์ไปกล่องใบอื่น หรือว่าห้องอื่น ตราบเท่าที่คุณยังไม่มีอภิญญา

 

ต่อให้คุณไปถามผู้ที่ได้ชื่อว่า รู้เอาจากทางใน ถามสิบคน จะได้คำตอบไม่เหมือนกันนะ แล้วคุณเองจะไม่สบายใจว่าคำตอบของใครกันแน่ที่ถูกต้อง

 

คือผู้ที่รู้จริง เห็นจริงอย่างพระในพุทธศาสนานี่นะครับ ที่แบบว่าไปถามร้อย คนและพูดตรงกันร้อยคนนี่ ที่ทำถึงตรงนั้นนี่ ไม่ใช่หาได้ง่ายๆ

 

เมืองไทยนี่นะ ถ้าไปถามว่าใครรู้เรื่องโลกหลังความตาย คุยกับผีได้นี่เยอะไปหมดนะ ตอนนี้ยิ่งมีสื่อ มีอะไรนี่ แต่คนที่สามารถรู้จริงเห็นจริง แล้วเจรจากับโลกวิญญาณได้จริงๆนี่ น้อยแบบนับตัวได้ นับคนได้ เอาเป็นว่าในประเทศไทยนี่สมมติมีคนอ้างว่า รู้เห็นโลกวิญญาณหลังความตายสักแสนคน แสนคนนั้น ที่บอกว่ารู้จริง รู้จริงๆ ไม่ใช่มโนไป ผมว่ากรองลงมาแล้วเหลือไม่ถึงหมื่นคน

 

และหมื่นคนนั้น ที่สามารถคุยกับวิญญาณได้ กับผีได้ ผมว่ากรองมาแล้ว  อาจไม่พันหรือหลักร้อยต้นๆ และที่จะมีความสามารถไปเจรจา ไปสอนโลกวิญญาณได้ ชนิดที่ทำให้เขาเลื่อนชั้นได้จริง กรองลงไปแล้วนี่ผมว่า ไม่ถึงสิบคน น้อยมากๆ

 

เพราะฉะนั้น เราๆ ท่านๆ ที่ยังสงสัยอยู่ว่า ไปเกิดแล้วหรือยัง ยังอยู่จริงหรือเปล่าจะใช้วิธีไหน ไม่มีทางรู้หรอก ไม่ได้ข้อสรุปหรอก เพราะว่าธรรมชาติเข้ากันไว้ กั้นห้องไว้

 

ไม่ใช่ความผิดของเราที่ไม่รู้ แต่เป็นธรรมชาติที่เขาตั้งใจให้เราไม่รู้

 

เพราะถ้ารู้ขึ้นมา ถ้าคนตายกับคนเป็นสามารถคุยกันได้ จะไม่มีคนทำบาปเลยนะโลกนี้ จะมีแต่คนทำบุญนะซึ่ งผิดธรรมชาติของสังสารวัฏอย่างยิ่ง

 

ธรรมชาติให้ความไม่รู้กับคนเรามาก็เพื่อที่ให้เสี่ยงผิดเสี่ยงถูกไปกับการเวียนว่ายตายเกิด สังสารวัฏถีงไม่มีที่สิ้นสุด

 

อย่างบางคน หาทางลัดด้วยการเล่นผีถ้วยแก้ว ชอบมีคำถามมาเรื่อยๆว่าผีถ้วยแก้วจริงหรือเปล่า มีหนังอยู่เรื่องหนึ่ง เรื่องวีจา (Ouija) เรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องแต่ง เป็น Fiction เป็นเรื่องไม่จริงนะ แต่มีอยู่พอยต์หนึ่งที่ เขาน่าจะได้รับการปรึกษา มีคอนเซาท์ (consult) เป็นคนที่รู้เรื่องจิต เรื่องวิญญาณจริงๆ มีพอยต์หนึ่งที่สตรอง (strong ) มากๆ ก็คือว่า สิ่งที่ เข้ามาอยู่ในถ้วยแก้ว ที่เคลื่อนไปตามกระดานนี่ เป็นพลังงานจริงๆ แต่อาจจะไม่ใช่คนที่เราเชิญมา ไม่ใช่อาจจะด้วย แต่เป็นไปได้สูง เป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่จะมาแบบผิดฝาผิดตัว

 

คือสมัยเด็ก ผมเคยเล่นนะแล้วรู้เลยว่านี่ไม่ใช่แน่ๆ อย่างบอกว่าอัญเชิญ เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมานี่ ระดับนั้นไม่มาหรอก แต่ว่าก็มีพลังงานเคลื่อนอยู่จริงในถ้วยแก้ว แล้วแตะกันอยู่สองคนนี่รู้เลยว่า มันลากพาเราไปได้จริงๆ ไปสู่คำอะไรต่างๆ

 

ที่เด็ดนะถามว่า ตกลงท่านเป็นใครนี่ใช่คนที่เชิญมาหรือเปล่า สะกดแบบชัดเจนเลยนะ บอกว่าเจ้าบ้าน

 

คือที่อุตส่าห์เล่ามานี่นะ เพื่อที่จะบอกว่า คุณไม่มีทางรู้หรอก คุณไม่มีทางสื่อสารกับโลกหลังความตาย โลกของจิตวิญญาณได้แบบรู้ชัวร์ๆ นะครับ

 

เอาเป็นว่าทางที่ดี เราใช้วิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศล หรือว่าจะเป็นการเหมือนกับแผ่เมตตา ให้ความสุข ให้สิ่งที่เป็นอยู่ในกุศลจิตนี่ แผ่ไปถึงเขาแค่นี้ ทำได้มากที่สุดแล้ว เท่าที่ควรจะทำ

 

แต่ประเภทคิดว่าทำอย่างไรจะมั่นใจ ทำอย่างไรจะสื่อสาร จะคุยกับคนที่ตายไปแล้วนี่อย่าคิด

 

ยกเว้น คุณสามารถฝึกสมาธิได้ระดับฌาน เป็นฌานแบบพุทธ ที่จิตมีความผ่องใส จิตมีความตรงจิตมีความรู้ชัด แล้วก็สามารถที่จะได้ตาทิพย์ เห็นว่าตัวตนของวิญญาณหลังความตาย หน้าตาเป็นอย่างไร รูปร่างเป็นอย่างไรแล้วก็บอกอะไรได้ถูก สื่อสารอะไรได้จริง ตรงตามที่เราสามารถรู้ได้ว่าไม่มีคนอื่นรู้ อย่างนั้นถึงจะโอเคได้

 

นอกนั้นอย่าไปถามใคร ไม่มีประโยชน์เลย จริงๆ

 

อันนี้พูดจากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายสิบปีนะ ไม่ใช่เรื่องที่จะได้คำตอบจากใครง่ายๆ

____________________

คำถาม : ถ้าคนที่เสียชีวิตไปแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไปเกิดหรือยัง พ่อเพื่อนเสีย เพื่อนคิดว่าพ่อเขาน่าจะเกิดแล้ว แต่อีกใจก็รู้สึกว่าพ่อเขายังวนเวียนอยู่ใกล้ๆเสมอค่ะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน หาชุดหมีให้ (พี่) หมอ อีกครั้ง

วันที่ 17 เมษายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=5OHTBusYdpc

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น