วันพุธที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2564

ปฏิบัติธรรมมานาน ทำไมถึงยังรู้สึกไม่ก้าวหน้า?

 ผู้ร่วมรายการ : บางทีเราปฏิบัติมานานแล้วก็จะรู้ว่าเหมือนไม่ไปไหนสักที

ดังตฤณ : หมายความว่าเราทำมานานแล้วรู้สึกว่ามาไม่ถึงไหนอย่างนั้นใช่มั้ย

ผู้ร่วมรายการ : ใช่ค่ะ เราก็รู้หลักว่าทำอะไรบ้าง แต่ว่าเราก็ไม่รู้ว่าที่เราทำๆอยู่เนี่ยมันก้าวหน้ามั้ย มันจะมีคำถามมาตลอดเวลา บางทีมันก็สงสัยว่าที่ทำๆอยู่เนี่ยมันก้าวหน้าไปถึงไหน มันยังอยู่กับที่หรือว่ามันดีขึ้นมั้ย

ดังตฤณ : โอเค คำว่าก้าวหน้าเนี่ยในความสงสัยของเรา มองว่าอะไรคือความก้าวหน้า เอาตัวนี้ก่อน คือต้องมีภาพที่ชัดเจนนะครับ อย่างเราจะพูดถึงทอปปิค(topic)ที่ว่ามุมมองที่เปลี่ยนไป มุมมองที่แตกต่างนะครับ

ทีนี้ถ้าเราเหมือนกับมีแค่คำถามเฉยๆว่า ที่ปฏิบัติมานานเป็นสิบๆปี ทำไมมันไปไม่ถึงไหนสักที ภาพตรงนี้เนี่ยมันเลือนลาง พี่ถามชัดๆเลยนะว่า คำว่าก้าวหน้าของเรานั้น อะไรคือความก้าวหน้า

ผู้ร่วมรายการ : คำถามนี้ ณ ปัจจุบันแล้วสำหรับตัวเองค่อนข้างเคลียร์ชัดแล้ว แต่บางทีบางคนที่ปฏิบัติมานานๆ อาจจะมีคำถามนี้

ดังตฤณ : ในใจเราคำว่า ไม่ก้าวหน้าเลย มันหมายถึงอะไร ภาวะแบบไหน เราเอาตัวนี้เป็นตัวตั้งกันก่อน

ผู้ร่วมรายการ : ถ้าตอนนี้ความก้าวหน้าเท่าที่ตัวเองรู้สึก ก็รู้สึกว่ามีฉันทะในการภาวนา มันไม่เหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนอาจจะจำใจทำ ต้องทำมีหน้าที่ทำ แต่ ณ ปัจจุบันเหมือนเราทานข้าว มันเป็นความสม่ำเสมอ ความรู้สึกมันไม่เหมือนปีเก่าๆที่ผ่านมาค่ะ

ดังตฤณ : โอเค เพราะฉะนั้นมันมีอะไรบางอย่างที่มันแตกต่างไป อย่างบางคนก็มองว่า การมีสมาธิคือการก้าวหน้า หรือการที่เราเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่าง แล้วมันมีความเปลี่ยนแปลงมันมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเช่นว่า เจอคนด่าให้โกรธ แล้วมันมีมุมมองที่มาจากข้างในเริ่มต้นมาจากข้างในว่าเรามีปฏิกิริยาทางใจแบบไหน เป็นแบบร้อน เป็นมีความรู้สึกกระสับกระส่าย เป็นความรู้สึกเหมือนจิตเนี่ยถูกแผดเผา เสร็จแล้วตรงที่เห็นว่าจิตถูกแผดเผา หรือว่าจิตร้อนขึ้นมาเนี่ย มันก็หยุดอยู่แค่ตรงนั้น แล้วก็รู้สึกเหมือนว่าไปไหนไม่ได้ก็เห็นแค่โกรธ

ในขณะที่บางคนจับจุดถูก อย่างเช่นอาศัยลมหายใจเป็นเครื่องตั้งว่า ที่กำลังหายใจเข้าหายใจออกเป็นจิตร้อนๆแบบนี้ มันร้อนได้กี่ลมหายใจ แล้วก็เห็นว่าภายในสองสามลมหายใจความร้อนมันต่างไป นี่ก็คือมุมมองที่แตกต่าง นี่ก็จัดเป็นความก้าวหน้าที่เห็นได้ในสถานการณ์ปัจจุบันของชีวิตประจำวัน

หรืออย่างบางคนมองว่าความก้าวหน้า หมายถึงการที่เข้าห้องพระแล้วนั่งสวดมนต์ทำสมาธิ แล้วจิตรวมเป็นสมาธิขึ้นมา นี่อันนี้ก็เป็นอีกมุมมองนึง .. เดี๋ยวเรายกมุมมองเหล่านี้เอาไว้ก่อนว่าอันไหนผิดอันไหนถูกนะ

แต่เรามาพูดกันเรื่องมุมมองเรื่องว่าแต่ละคนเนี่ย ตั้งความเห็นไว้ว่าความก้าวหน้าหน้าตามันเป็นยังไง บางคนตั้งมุมมองไว้ที่ชีวิตประจำวัน บางคนไว้ที่การเข้าห้องพระนั่งสมาธิแล้วทำได้หรือทำไม่ได้

พี่ถามก่อนว่าทุกวันนี้มองว่าเราก้าวหน้าตัดสินจากตรงไหน จากชีวิตประจำหรือการนั่งสมาธิ

ผู้ร่วมรายการ : ณ ตอนนี้เป็นชีวิตประจำวันค่ะ รู้สึกว่ามันมีความสุขกับการทำ มันไม่เหมือนกับต้องฝืนทำเหมือนกับสมัยก่อน

ดังตฤณ : คือความฝืนพอหายไป ก็จัดเป็นความก้าวหน้าได้อันนี้ถูกต้องนะ เพราะเรื่องของการปฏิบัติเนี่ย สิ่งหนึ่งที่มันจะประจักษ์กับใจก็คือความรู้ว่าที่ปฏิบัติธรรมเนี่ย ตกลงเรามีความทุกข์หรือมีความสุข มีความทุกข์มากขึ้น หรือมีความสุขกว่าเดิมนะครับ

ยกตัวอย่าง ผมเคยเขียนไว้ว่าการถือศีลไม่ใช่การที่จะทำให้คนๆหนึ่งมีความสุขขึ้นมาได้ทันที ตรงกันข้ามในช่วงแรกของการถือศีล มันอาจจะเป็นช่วยของความทุกข์ในชีวิตมากขึ้นก็ได้ เพราะว่ามันไม่ได้สิ่งที่ต้องการ อะไรที่เคยทำได้มันกลายเป็นทำไม่ได้

ผมเคยได้ยินบ่อยมากว่า ถ้าไม่โกหกมันไม่ได้สิ่งที่อยากได้ แล้วมันจะเป็นสุขไปได้ยังไง และหลายคนก็บอกว่าที่เขาโกหกมาเนี่ย ก็ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ก็แค่ทำให้เขามีความสุขมากขึ้น เนี่ยมุมมองแบบนี้จะทำให้เกิดความรู้สึกว่า การถือศีลมันเป็นทุกข์ไม่ใช่เป็นสุข

แต่ต่อมาพอเข้าใจจริงๆว่าการปรุงแต่งทางจิต ที่มันตรงที่มันไม่เพี้ยนที่มันเย็นที่มันไม่ร้อน อันนั้นแหละคือความสุขหรือใกล้เคียงกับความสุขที่แท้จริง

ความสุขที่แท้จริงทางพุทธก็คือเราบรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ ไม่เกิดความรู้สึกมีความทุกข์หรือว่ามีความร้อนทางจิตขึ้นมาอีกเลยชั่วชีวิตต้องตายเสียก่อน เราสามารถพิสูจน์นิพพานได้ในป้จจุบัน ที่เรียกว่านิพพานในปัจจุบันก่อนนิพพานหลังตายที่มันเกิดขึ้นประจักษ์กับคนที่เป็นพระอรหันต์

ทีนี้ถ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังมีกิเลสแบบเราๆท่านๆอยู่ สิ่งที่พิสูจน์ความสุขคืออะไร มันเริ่มนับมาจากการให้ทาน การรู้จักให้ พอมันไม่มีความตระหนี่ก็ไม่มีความอึดอัด

ถ้าใครให้ทานแล้วมีสติจากการให้ทานจริงๆ อย่างเช่นพอใครทำให้โกรธ แล้วเรารู้สึกว่าจิตของเราปล่อยได้เร็วขึ้นวางได้เร็วขึ้นให้อภัยได้เร็วขึ้น แล้วรู้สึกว่าการอภัยนั่นแหละคือการให้ทานที่เรียกว่าอภัยทาน

แล้วจะให้อภัยเป็นทานได้เนี่ย มันไม่ใช่อยู่ๆคนๆหนึ่งจะทำได้โดยไม่ต้องฝึกอะไรเลย มันต้องฝึกสติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสติที่มันทันกับเหตุการณ์ ณ จุดเกิดเหตุของความโกรธ ณ จุดเกิดเหตุของความพยาบาท

ถ้าหากว่าเราให้อภัยเป็นทานได้ อย่างนี้เราจะรู้สึกถึงความก้าวหน้า เราจะรู้สึกถึงการไม่ต้องฝืน อย่างที่บอกว่าเรามีความฝืนใจในการปฏิบัติธรรมน้อยลง มันก็วัดจากอะไรพวกนี้แหละ สิ่งที่อยู่ในชีวิตประจำวัน

เราให้อภัยเป็นทานได้ง่ายแค่ไหน หรือว่าเราถือศีล เช่นมีสิ่งยั่วยุมาแล้วเรารู้สึกว่าเราไม่เอาเพราะว่าเราไม่อยากให้จิตมันกระเพื่อม ไม่อยากให้จิตกระสับกระส่าย ไม่อยากให้จิตมันต้องเดือนเนื้อร้อนใจว่าเราทำผิดศีลผิดธรรมอะไรไปรึเปล่า ความรู้สึกที่มันอยู่กับตัวความรู้สึกสบายๆที่อยู่กับศีลได้นี่ก็คือความก้าวหน้า แล้วมันต้องใช้สติไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องใช้อะไรเลย

การให้ทานกับการถือศีล มันเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึกสติอยู่แล้ว แล้วถ้าหากว่าฝึกสติได้ผล เรารู้สึกถึงความก้าวหน้า เรื่องทานกับเรื่องศีลเนี่ยมันอยู่กับตัวเราก่อนเลย มันจะประจำที่อยู่ในใจของเราโดยไม่ต้องมาตระเตรียมหรือไม่ต้องมาตกลงกับตัวเองในภายหลัง ไม่ต้องสับสนไม่ต้องขัดแย้งว่าเราจะเอาดีหรือไม่เอาดี เราจะถือศีลไปทำไม เนี่ยคำถามพวกนี้มันยังเป็นคำถามในช่วงเริ่มต้นที่คนยังมีความทุกข์อยู่

ทีนี้พอพูดถึงเรื่องทานเรื่องศีลได้ ถ้าหากว่ามันอยู่กับใจเราโดยไม่ต้องฝืนแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือเราจะรู้สึกถึงจิตที่มันมีความเย็นที่มันมีความพร้อมที่จะเกิดสติ

ทีนี้เกิดสติเนี่ยใครๆมันก็เกิดสติได้ทั้งนั้นแหละ ตอนที่ตื่นนอนมาเต็มอิ่ม ตอนที่เรามีความรู้สึกว่าสุขภาพร่างกายกำลังดีมีความสมบูรณ์ อย่างนี้มันก็มีสติที่จะอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับชีวิตประจำวันได้โดยที่ดีกว่าคนที่สติอ่อนนะครับ

ทีนี้ความหมายของการที่เราทำสติแบบพุทธให้เจริญขึ้นมันคืออะไร?

มันคือการที่เราต่อยอดจากสติที่ได้จากทานที่ได้จากศีลมารู้กายรู้ใจ แล้วมาตรวัดที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเราปฏิบัติธรรมมาถูกทางแล้วก้าวหน้ามากขึ้นทุกทีก็คือ การที่มีโลภะ มีโทสะ มีโมหะน้อยลง

คนมักจะวัดกันแค่ที่ว่าโลภะกับโมหะ โลภะผิดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลภะผิดๆมันไม่เกิดขึ้นตั้งแต่เราถือศีลแล้ว เราถือศีลได้คงเส้นคงวาเมื่อไหร่ อยู่ตัวเมื่อไหร่ตัวโลภะผิดๆมันไม่เกิดแล้ว

ทีนี้ต่อมาเนี่ย โทสะตรงนี้นะต่อให้บอกว่าฝึกมายี่สิบสามสิบปี ถ้าหากว่าเราไม่ได้มีสติอยู่กับโทสะ ณ จุดเกิดเหตุจริงๆเนี่ย โทสะจะไม่หายไปไหนหรือไม่แสดงอาการว่ามีความคืบหน้ามีความดีขึ้นอะไรขึ้นมาแต่อย่างใดเลย

เพราะตัวโทสะมันเป็นของติดตัว มันเป็นของที่เรียกว่าเกิดขึ้นพร้อมปฏิกิริยาทางใจ มันจะไม่หายไปไหนถ้าเรายังไม่บรรลุอนาคามิผล

พอบรรลุอนาคามิผลแล้วจิตจะไม่สามารถถูกกระทบได้ด้วยกรณีใดๆทั้งสิ้น ต่อให้มีคนมาตัดแขนตัดขาตัดมือตัดเท้า พระอนาคามีท่านก็จะเห็น เออ นั่นคือตัดความเป็นทาสตัดความเป็นดิน น้ำ ไฟ ลมออกจากการคุมรูปกัน จะไม่มีการมารู้สึกว่าที่ถูกตัดไปนั้นมันน่าโมโหหรือว่าน่าเครียดแค้นน่าพยาบาทคนทำ นี่อย่างนี้คือจิตของพระอนาคามี คือไม่มีการกระทบกระทั่งทางใจแล้ว

แต่ถอยลงมาจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระสกทาคามี พระโสดาบัน หรือเป็นกัลยาณชนที่กำลังจะข้ามโครต ปฏิบัติเจริญสติมาแล้วนานแค่ไหนก็ตาม มันยังมีปฏิกิริยาทางใจเป็นความขัดเคืองได้ เนี่ยต้องทำความเข้าใจ

คือไม่ใช่ว่าไม่โกรธเลยแปลว่าเก่ง อย่างนี้ผิดมันตั้งมุมมองไว้ผิด แล้วมันไม่จริงเราอาจจะถูกจิตตัวเองหลอก หรืออาจจะโดนมายาคติอะไรต่างๆที่มันเป็นเรื่องของตัวตนมันสร้างภาพขึ้นมาหลอกตัวเอง หรือพยายามจะสร้างภาพให้ดูดีในสายตาของคนอื่น

ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุอนาคามิผล เราพยากรณ์ตัวเองได้เลยว่าปฏิกิริยาทางใจของเรา เวลาเจอเรื่องกระทบที่น่าขัดเคือง มันไม่มีหรอกที่จะเรียบนิ่งเป็นศูนย์ มันมีแต่ว่ามีปฏิกิริยาบางอย่างที่ออกมาในทางไม่ดี ออกมาในทางลบ ออกมาในทางเนกาทีฟ (negative) เสร็จแล้วเราเกิดสติแล้วก็เห็นโทสะที่เกิดขึ้นในจิตนั้น มันตั้งอยู่ได้นานแค่ไหนก่อนที่มันจะหายไปนะครับ คือเป็นการตั้งรับตั้งรู้ตามจริง ไม่ใช่ว่าเราไปกะเกณฑ์ไว้ก่อนว่าจะให้มันอยู่นานแค่นั้นแค่นี้ หรือว่ามันสมควรที่มันจะอยู่แป๊บเดียวแล้วมันก็หายไป มันไม่ใช่แบบนั้น

แต่ว่าเราต้องมีการรับรู้ตามจริงนะครับว่า โทสะที่มันเกิดขึ้นเนี่ย เวลาที่มันอยู่มันอยู่ได้นานแค่ไหน แล้วเวลามันหายไป มันหายไปเองเมื่อไหร่ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ามีสติ แล้วถ้าหากว่าเราเห็นได้เป็นปกติเนี่ย อันนี้ก็เรียกว่า ได้ชื่อว่ามีความก้าวหน้าทางธรรมแล้วนะครับ

..................................................................

๑๓ มีนาคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอนไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค

คำถามยูทูบ     : ปฏิบัติธรรมมานาน ทำไมถึงยังรู้สึกไม่ก้าวหน้า?

ระยะเวลาคลิป  ๑๔.๔๖  นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=SuUDjWaAd8w&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=17

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น