วันศุกร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2564

จะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมที่ผุดออกมาเป็นของจริง

 ดังตฤณ : ต่อให้ไม่เกิดภาวะดีๆอย่างนี้ ไม่เกิดภาวะตัวเองหายไป ไม่เกิดภาวะเหมือนกับมีเอนเนอร์ยี่ (energy) มหาศาลเกิดขึ้นวิ่งรอบตัวเรา ไม่เกิดความปลื้ม ไม่เกิดความอิ่มใจ เป็นภาวะตรงข้ามหมดเลย เป็นภาวะที่ตัวตนร่างกายหนักทึบ เป็นภาวะที่ร่างกายสภาวะจิตอ่อนแอไม่มีกำลัง หรือว่ามีความรู้สึกว้าวุ่น มีความรู้สึกร้อนรน ภาวะเหล่านั้นก็สามารถที่จะบอกเราได้ว่าเรากำลังมีสติรู้อย่างถูกต้องหรือเปล่า

อย่างตรงนี้ที่คุณใช้คำว่าภาวะดีๆทั้งหลายเหล่านั้นเป็นธรรมที่ผุดขึ้นมาอย่างถูกต้องหรือเปล่าเนี่ยนะครับ ตรงนี้มันเป็นภาวะทางรูป ภาวะทางนาม ที่เป็นที่ตั้งของตัวตน

ฟังตรงนี้ดีๆ ย้ำอีกครั้งนะครับ ภาวะไม่ว่าจะเป็นตัวหาย ไม่ว่าจะมีเอนเนอร์ยี่วิ่งอยู่รอบตัว มีความรู้สึกอิ่มเย็นใจอะไรก็แล้วแต่ ภาวะเหล่านี้เป็นที่ตั้งของความรู้สึกในตัวตน เป็นที่ตั้งของอุปาทาน ทำความเข้าใจอย่างนี้ก่อนนะครับ

แล้วสิ่งที่มันจะบอกว่าเป็นธรรมที่ผุดออกมาอย่างถูกต้องหน้าตาเป็นยังไง?

หน้าตามันคือ สติเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นที่ตั้งของความรู้สึกในตัวตน

พอเห็นว่าเอนเนอร์ยี่ หรือว่าความอิ่มใจอะไรก็แล้วแต่ มันสักแต่เป็นภาวะชั่วคราวอยู่ได้ไม่กี่ลมหายใจ มันก็ค่อยๆหายไป สติที่รู้อย่างนั้นนั่นแหละ คือธรรมที่ผุดออกมาถูกต้อง

เราเจริญสติมาเนี่ยนะครับ สิ่งเดียวที่เราต้องการคือสติรู้ธรรมตามจริง รู้ว่ามันไม่เที่ยง รู้ว่าสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา มันทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้เป็นทุกข์

การที่เราจะเห็นว่าธรรมที่ถูกต้องผุดออกมาแล้วแน่ใจว่ามันยั่งยืน เรียกว่าสัมมาสมาธิ เป็นภาวะของจิตที่มันตั้งอยู่ รู้อยู่เห็นอยู่ว่าอะไรอะไรในภาวะกายในภาวะใจมันไม่เที่ยงไปหมดเลย มันไม่ใช่ของเดิมไปหมดเลย มันไม่ใช่ตัวเดิมไปหมดเลย

ภาวะที่จิตตั้งมั่นรู้อยู่เห็นอยู่นั่นน่ะ มันจะแสดงตัวของความเป็นธรรมที่แท้จริงออกมาเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆตามกำลังของจิตที่ตั้งมั่น ตามกำลังของจิตที่มันยั่งยืน

คือถ้าสัมมาสมาธิที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน เราจะมีความรู้สึกเป็นปกติ เห็นสภาวะทางกายในอิริยาบถนี้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แล้วก็เห็นสภาวะที่มันเป็นเวทนาว่า เนี่ยในกายนี้มันให้ความรู้สึกอย่างไร สบายหรือว่าอึดอัดควบคู่กันไป แล้วก็รู้สึกว่า ทั้งภาวะทางกายและภาวะของเวทนาที่มันเกิดขึ้นเนี่ย มันแปรไปเรื่อยๆตามเหตุปัจจัยที่มากระทบ

ตัวสติตัวของจิตที่มีสมาธิในการเห็นนั่นแหละ ตัวสมาธินั่นแหละ สมาธิจิตนั่นแหละที่เป็นธรรม แล้วตัวธรรรมที่ผุดขึ้นมาอย่างนี้เนี่ยนะ มันจะมีพัฒนาการมีความประณีตมีความใหญ่มีความยั่งยืนที่ไต่ลำดับขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวความถูกต้องมันจะมากับความรู้สึกเป็นปกติ ไม่กลับกลอกได้ง่าย

พระพุทธเจ้าถึงเน้นถึงจุดหมายปลายในแบบที่เราจะปฏิบัติก่อนที่จะได้มรรคผลเนี่ย คือสมาธิจิต

คำว่า สมาธิจิต ในที่นี้ไม่ใช่นั่งหลับตาแล้วก็ดูลมหายใจอย่างเดียว แต่เป็นสมาธิจิตในชีวิตประจำวันที่เคลื่อนไหวไปไหนจิตมันก็ยังมีความคมมีความเห็นอย่างนั้น มีความคงเส้นคงวาอย่างนั้น ที่จะรับรู้ว่าอิริยาบถที่กำลังปรากฏอยู่ในปัจจุบันเนี่ยรู้สึกยังไง แล้วมันเปลี่ยนไปยังไง เปลี่ยนไปเรื่อยๆยังไง จนกระทั่งจิตเนี่ย ตัวความเป็นสัมมาทิฏฐินะ มันคือจิตที่จะแยกออกมาเป็นผู้ดู เป็นต่างหากจากภาวะทั้งหมดที่มันปรากฏในความเป็นกายในความเป็นใจในขณะนั้น แม้กระทั่งความคิดเวลาที่มันผุดขึ้นมา ก็ถูกรวมเข้าไปในการเห็นด้วย

ปกติความคิดมันจะยึดเราไว้เป็นจุดศูนย์กลางความรู้สึกในตัวตน แต่พอเป็นสัมมาสมาธิ จิตแยกออกไปดู แม้แต่ความคิดก็จะปรากฏเป็นสิ่งที่ถูกรวมอยู่ในภาวะทางกายภาวะทางใจ ถูกเห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งเป็นภาวะหนึ่ง คล้ายๆเราเห็นวัตถุว่าวัตถุหนึ่งๆ แจกัน โต๊ เตียง จอ มอนิเตอร์อะไรต่างๆ ไม่ใช่ตัวเรา มันก็จะเห็นแบบนั้นเลยรู้สึกแบบนั้นเลยว่า ความคิดเนี่ยปรากฏเป็นสิ่งที่แยกออกเป็นต่างหากจากจิตที่กำลังเป็นสมาธิเป็นสัมมาสมาธินะครับ

....................................................

๖ มีนาคม ๒๕๖๔รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอนไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค

 

คำถามเฟสบุค : ระหว่างทำงาน เสียง สิ่งแวดล้อม และตัวเองหายไป บางครั้งสวดมนต์รู้สึกมีไฟฟ้าวิ่งที่สมองเปรี๊ยะๆ ความคิดมันโลดโผน พอถอนออกมารู้สึกปลื้ม อิ่ม เย็นใจ จะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมที่ผุดออกมา ถูกต้องคะ?

คำถามยูทูบ    : จะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมที่ผุดออกมาเป็นของจริง

ระยะเวลาคลิป  ๖.๕๕    นาที
รับชมทางยูทูบ  https://www.youtube.com/watch?v=zRLmM9zSkLA&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=12

ผู้ถอดคำ  แพร์รีส แพร์รีส


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น