วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2564

คิดว่าเข้าใจธรรมะดี แต่พอสูญเสีย รู้สึกเหมือนจมน้ำ

ผู้ถาม : เคยเข้าใจมาตลอดว่าตัวเอง ว่ายน้ำได้ แล้วก็มีโอกาสได้ฝึกว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กๆ

 

คำว่า ว่ายน้ำในที่นี้ คือหมายถึง การได้เข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนาค่ะ

เข้าใจมาตลอดว่าตัวเอง เป็นคนว่ายน้ำได้ในระดับหนึ่ง 

จนกระทั่งเมื่อ สองปีกว่าที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์ที่มากระทบใจตัวเองก็คือ ... (ร้องไห้)

 

ดังตฤณ : ไม่เป็นไร สบายๆนะ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เล่าได้ เเล้วก็สิ่งที่อยู่ในใจเรา พอได้ออกมาในท่ามกลางหมู่กัลยาณมิตรนี่ จะทำให้เราขึ้นบกได้ จะทำให้เรา หายใจหายคอในที่แห้งได้ แล้วเลิกจมน้ำ 

 

ผู้ถาม : ค่ะ พอดีเมื่อ สองปีกว่าที่ผ่านมา สามีเสียชีวิตกะทันหัน ตอนที่เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้น ก็คิดว่าตัวเองประคองสติได้เป็นอย่างดี ทำทุกอย่างไปได้ด้วยความเรียบร้อย จนกระทั่งมีบางคนพูดว่า ดูเหมือนไม่เสียใจเลย ทั้งๆ ที่ลึกๆ ตัวเองเสียใจมาก แต่ว่าเรามีลูกที่จะต้องคอยดูแล แล้วมีแม่ที่ต้องคอยดูแล เราต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง 

 

ระหว่างนั้น ก็พยายามใช้วิชาความรู้ ที่เคยเรียนมาตั้งแต่เด็กๆ ประคองตัวมาได้เรื่อยๆ พยายามหาครูบาอาจารย์ที่คิดว่าถูกจริตกับตัวเอง  

เพื่อที่จะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจตัวเอง ให้มากขึ้นกว่าเดิม

 

จนกระทั่งเกือบปีที่ผ่านมาก็ได้พบกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่รู้สึกว่าตัวเองถูกจริต แล้วพระอาจารย์ท่านก็มีเมตตา ในการที่จะไลฟ์ธรรมะทุกๆ 3 ทุ่มครึ่งทุกวัน ทำให้ตัวเองรู้สึกว่ามีที่พึ่ง ทำให้จิตเรานิ่ง เราก็ฟังพระอาจารย์มาเรื่อยๆ 

 

กระทั่งช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา พระอาจารย์ท่านมรณะกระทันหัน ก็เลยรู้เลยว่า ตัวเองที่เหมือนพยายามว่ายน้ำมาตลอด เหมือนหมดแรง หมดใจ ไม่อยากจะว่ายต่อไปแล้ว เหมือนจะทิ้งดิ่ง รู้สึกว่าเละเทะมาก

 

พอเละเทะปุ๊บก็จะเกิดสภาวะ .. อยู่ดีๆ อารมณ์เสีย คอนโทรลตัวเองไม่ได้ แต่เราก็พยายามดึงสติกลับมาเรื่อยๆ กระทั่งเรารู้สึกว่า ไม่ได้แล้ว ถ้าปล่อยตัวเองไปอย่างนี้ ถ้าอยู่ดีๆ เราเกิดดับไปอย่างนี้ เราก็ต้องไปอบายแน่นอน เพราะจิตเราไม่นิ่งมากๆ

 

คำถาม อาจดูค่อนข้างไร้สาระนิดหนึ่ง แต่ตอนนี้ รู้สึกเหมือนตัวเองลืมไปแล้วว่า ว่ายน้ำอย่างไร ว่ายน้ำไม่เป็น เริ่มต้นไม่ถูกว่า เราควรที่จะเริ่มต้นกลับมาว่ายน้ำได้อย่างไร

 

ดังตฤณ : นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมเจอมาเยอะนะ แม้แต่คนใกล้ตัวบางคน

คือ ศึกษาธรรมะ ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมะขั้นสูงมาตั้งแต่หนุ่มๆ

แต่พอวันหนึ่ง คู่ชีวิตจากไป พูดออกมาเองเลยว่า

ที่เข้าใจมาว่าศึกษาธรรมะ แล้วก็มีธรรมะมาตลอด

แล้วก็ภูมิใจในธรรมะของตัวเองมาตลอดนี่ .. จริงๆไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

 

บางที คนเราจะรู้ว่าตัวเอง

มีธรรมะติดตั้งอยู่ในใจแข็งแรงแค่ไหน

หรือว่ามีความมั่นคง แน่นหนาแค่ไหน

มักจะพิสูจน์กันด้วยการ สูญเสียอะไรบางอย่าง

ที่เรายึดมั่นถือมั่นไปอย่างที่สุด

 

เพราะฉะนั้น จริงๆ ณ จุดนี้ อย่าไปมองว่าเราไม่เอาไหน

หรือว่าเราจะต้องไปเริ่มนับหนึ่งใหม่ ที่ตรงไหนนะ

 

อยากให้มองตรงนี้มากกว่าว่า นี่คือมาถึงจุดหนึ่ง ของชีวิต  

ที่ชีวิตบอกเราว่า ธรรมะที่แท้จริง 

ไม่ใช่ธรรมะอันเกิดจากตอนที่ เราอยู่สบาย อยู่ดี

ธรรมะที่แท้จริง จะมาทีเผลอ 

 

ธรรมะนี่นะ จะมาตอนที่เราไม่ได้นึกว่า จะต้องเสียอะไรที่มีอยู่ไป 

แล้ววันหนึ่ง เมื่อเกิดการสูญเสียขึ้นมา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สูญเสียสิ่งที่เป็นที่รักอย่างที่สุด

สิ่งที่เรายึดมั่นอย่างที่สุด

 

ตอนนั้นนะ ชีวิตจะบอกเราว่า ธรรมะ ที่เราศึกษามาตลอด

หรือว่ามีมาตลอดนี่ อยู่ตรงไหนในความเป็นเรา

 

ความเป็นเราที่ยังมีใจดิ้นได้ ยังมีอาการเสียศูนย์ได้

ตรงนั้นเป็นส่วนที่ยังมีความยึดมั่นถือมั่น

ที่แสดงตัวออกมาอย่างโจ่งแจ้ง

 

ก็เป็นธรรมะชนิดหนึ่งนะ ธรรมะที่แสดงว่า

อกุศลธรรมสามารถเกิดขึ้นได้ ณ ขณะจิตที่ยังยึดมั่นถือมั่น

 

คำว่ายึดมั่นถือมั่น ที่เราพูดมาตลอด ที่เราเข้าใจมาตลอด

ที่เป็นคำแบนๆ สองมิติ มีแต่กว้างกับยาวนี่

คราวนี้จะมี 3 มิติ มีกว้างยาวลึก จะมีของจริง

ที่ปรากฏ ประจักษ์ใจ แบบไม่ต้องควานหาที่ไหน นี่ตรงนี้ก็เป็นธรรมะ

ธรรมะแห่งการสูญเสีย ธรรมะแห่งการแสดงหลักฐาน

ว่ายังมีความยึดมั่นให้ดู

 

ซึ่งเราไม่ต้องไปนับหนึ่งใหม่ เราต่อยอดจากที่มีอยู่แล้วนั่นแหละ

ตรงความยึดมั่นถือมั่นที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

ที่แสดงตัวออกมาในรูปของความเสียใจ ในรูปของความรู้สึกเสียศูนย์

ในรูปของความรู้สึกว่า ทำอะไรไม่ถูก คิดอะไรไม่ออก 

 

ตรงนี้เรียกว่าอะไร เรียกว่าอกุศลจิต

 

เดิมทีเรารู้จักแต่คำว่า อกุศลจิต อันเกิดจากโกรธคนอื่น

หรือว่าอกุศลจิต อันเกิดจากการฟุ้งซ่านในเรื่องไม่เป็นเรื่อง

 

คราวนี้ เป็นอกุศลจิต ที่เกิดขึ้นจากการสูญเสีย บุคคลอันเป็นที่รัก

หรือ สูญเสียบุคคลอันเป็นที่ตั้งของความยึดมั่น

ว่าท่านเป็นที่พึ่ง หรือว่าเป็นเครื่องตั้งของความรู้สึกทางธรรม

ที่เรานึกว่า นั่นแหละ เป็นธรรมะแล้ว

จริงๆ แล้วเป็นบุคคล ที่เป็นเครื่องตั้งของความรู้สึกว่าเรามีที่พึ่ง ต่างหาก

 

ทีนี้พอมองออกว่า ที่ชีวิตกำลังแสดงให้เราเห็น

เรียกว่า อกุศลจิตอันเกิดจากการยึดมั่นถือมั่น แล้วเสียสิ่งที่ยึดไป

 

สิ่งที่เหลืออะไร คือความพัง คือความพินาศ คือความวิบัติทางอารมณ์ 

จิตพัง กลายเป็นเหมือนกับมีหลุมดำขึ้นมากลางชีวิต

แล้วก็ดูดความสว่างทั้งหมดของเรา หายเข้าไปในหลุมดำนั้น 

 

พอเห็นอย่างนี้ เห็นด้วยความรู้สึกธรรมดาๆ

เห็นด้วยความรู้สึกว่ามีสติแบบคนคนหนึ่ง ที่ยังมีแบบนี้ได้

 

ก็รู้สึกว่า นี่คืออกุศลจิต ณ ขณะหนึ่ง ซึ่งอยู่ได้นานแค่ไหน

 

นานจนกระทั่ง นี่ ... เรามาคุยกัน

อย่างตอนนี้ ถ้าคุณดูใจตัวเอง จะรู้สึกว่า

หลุมดำที่เป็นหลุมเบ้อเริ่มเลย ที่เหมือนกับหล่ม หล่มขนาดยักษ์

แรงดึงดูดจะน้อยลง เพราะมีการปรุงแต่งทางจิตใหม่

ให้เป็นกุศลขึ้นมาแทนที่

 

นี่เรากำลังเห็นภาวะที่เรียกว่า กุศลจิต

เห็นไหม ภาวะอกุศลจิตนี่หายไป หรือค่อยๆ เสื่อม ค่อยๆ ถอยลง

กลายมาเป็นภาวะอีกแบบหนึ่ง ที่เป็นขั้วตรงข้าม จากอกุศล กลายเป็นกุศล

จากคำแบนๆ ในหน้ากระดาษ ที่เราเคยได้ยินมาตลอดชีวิตว่า กุศล อกุศล

คราวนี้มาเป็นภาวะของจริง ที่เป็นชีวิตทั้งชีวิต ที่กำลังกระแทกเรา 

ให้เกิดการรับรู้ 

 

พอรู้ว่านี้เป็นกุศลแล้วเกิดอะไรต่อ?

 

เดี๋ยวพอไม่ได้คุยกัน จะกลับมาเศร้าอีกไหม ถ้ากลับมาเศร้าอีก 

ยอมรับไปว่าอกุศลมาอีกแล้ว มาแทนที่อีกแล้ว 

พอรู้ว่านั่นเป็นอกุศล มีความเศร้า จะเกิดความรู้สึกอยากร้องไห้

หรืออยากจะดิ้นรนอย่างไร แค่ไหนก็ยอมรับไป

ว่าเป็นสภาพอกุศลที่เกิดขึ้นมาอีก 

 

แล้วเดี๋ยวก็ถูกปรุงแต่งด้วยสติ ให้กลับมาเป็นกุศลขึ้นมาอีก

 

จำไว้นะ ทุกครั้งที่เกิดอกุศลจิต แล้วมีสติรู้ว่าอกุศลจิตเกิดขึ้น 

จะถูกแทนที่ด้วยกุศลจิตทันที

 

เพราะตัวสตินั่นแหละ ตัวสติที่รู้อกุศลนั่นแหละ คือกุศลที่มาแทนที่แล้ว

และยิ่งเกิดบ่อยขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเราเห็นของจริงชัดเจนขึ้นเท่าไหร่

เรายิ่งต้องขอบคุณ ที่ธรรมะมาแสดง

ที่ชีวิตมาแสดงให้ดูว่า ของจริงเป็นแบบนี้

 

เรากราบขอบพระคุณท่านทุกครั้ง ที่เราเห็นภาวะความเศร้าของตัวเอง

เปลี่ยนไปเป็นกุศลจิตขึ้นมาแทน อย่างนี้ ก็จะหลุดออกมาได้เร็ว

 

ยิ่งเราขอบคุณท่านมากเท่าไหร่ ที่ทำให้เห็นธรรมะในเราชัดเจนขึ้น

ยิ่งจะทำให้ความสูญเสียท่านไป ไม่สูญเปล่ามากขึ้นเท่านั้นนะครับ

 

กุศลจิตที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดด้วยความบังเอิญ แต่มีเหตุ

 

และถ้าเราเห็นเหตุของกุศล อกุศลทุกครั้ง ก็คือมีสติ

และสติจะเจริญขึ้นๆ จนถึงขั้นหนึ่งที่เรามองย้อนกลับมา

 

ชีวิตทั้งชีวิตคือการสูญเสียมาตลอด

แต่ที่เราเพิ่งรู้สึกว่าสูญเสีย ก็เพราะว่า

สิ่งนั้น เรายึดมั่นถือมั่นสูงมาก!

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮ้าส์

วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔ 

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=pO7fbbsV-WE

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น