ดังตฤณ : โอกาสที่จะรู้ว่า เคยผูกกรรมอะไรมากับคนใกล้ตัว
ง่ายๆ เลย ถามตัวเอง อันดับแรก
อย่าไปถามถึงเหตุการณ์ แต่ถามอาการทางใจ
ว่า เรากำลังถูกบีบคั้นหนัก ด้วยความทุกข์แค่ไหน
ระดับความทุกข์นั้น หนีได้ หรือหนีไม่ได้
เลี่ยงได้หรือเลี่ยงไม่ได้
เอาแค่นี้ก่อน เอาอาการทางใจก่อน
อย่าไปเอาเหตุการณ์
ทบทวนนะ อันดับแรก ดูว่าความทุกข์นั้น
เหนียวแน่น หนาแน่นแค่ไหน
เข้มข้นแค่ไหน เบาบาง หรือว่า
บีบคั้นหัวใจแทบเป็นแทบตาย เอาตรงนี้ก่อนข้อแรก
อันดับสองคือ เลี่ยงได้ หรือเลี่ยงไม่ได้
คำว่าเลี่ยงไม่ได้ หมายความว่า
ต่อให้เราพยายามหลบ พยายามอะไรอย่างไรก็ตาม
พยายามจะดี ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย ผ่อนคลาย
แต่ไม่ดีขึ้นเลย หลบเลี่ยงไม่ได้เลย
ต้องเผชิญหน้ากันกับความทุกข์แบบนั้น
บีบคั้นอยู่จริงๆ โดยเราทำอะไรให้ดีขึ้นไปกว่านั้นไม่ได้
นี่เรียกว่า เลี่ยงไม่ได้
แต่ถ้าเลี่ยงได้ หมายความว่า
เราไม่ต้องอยู่ใกล้
แต่เราก็ยังเอาตัวเข้าไปอยู่ใกล้
เราไม่ต้องคิดถึง แต่เราก็ยังเอาใจเข้าไปคิดถึง
อย่างนี้เรียกว่า เลี่ยงได้แต่ไม่ยอมเลี่ยง
ถ้าหาก เราอยากรู้ว่า
ต้นเหตุของความทุกข์แบบนี้มาจากไหน
ให้สันนิษฐานไว้ว่า เราเคยไปบีบคั้น
ให้คนเกิดความทุกข์ระดับนั้นขึ้นมา
แล้วบีบคั้นในแบบที่ว่า
ให้โอกาสเขาที่จะเลี่ยงได้ หรือเลี่ยงไม่ได้
ถ้าหากว่า เราเคยบีบคั้นมาในแบบที่
ไม่เปิดโอกาสให้เขาเลี่ยง
เวลาที่เราจะโดน
เราก็โดนแบบที่เลี่ยงไม่ได้เหมือนกัน
ทีนี้ เพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากตรงนี้นะครับ
ก็คือ
ทำอย่างไรให้ความรู้สึกทางใจของเรา
คลี่คลายออกมาก่อน
อย่าเพิ่งไปคลายใจเขา อย่าเพิ่งไปตั้งความหวัง
ว่าจะให้เขามาดีกับเรา
หรือว่ามามีท่าทีอย่างนั้นอย่างนี้
อย่าเพิ่งไปตั้งความหวังไว้แบบนั้น
เพราะการตั้งความหวังไว้แบบนั้น
เป็นการไปพยายามควบคุมเขา
พยายามที่จะทำให้อนัตตาภายนอก เป็นดังใจเรา
ทั้งๆ ที่ขนาดอนัตตาภายใน คือกายคือใจของเรา
เรายังทำให้เป็นไปอย่างใจของเราตลอด ไม่ได้เลย
เราอยากไปทำให้อนัตตาภายนอก คือคนอื่น มาเป็นอย่างใจเรา
นั่นเป็นความคาดหวังที่เกินตัว ผิดวิสัย
ถ้าหากว่าเรามองด้วยความเชื่อแบบนี้ว่า
การเจริญสติ ให้กับตัวเอง
ทำให้ใจตัวเองคลายลงได้
วางลงได้ ทุกข์น้อยลงได้ มีความเบา
ใจของเรามีความเบาลงได้
เราตั้งความเชื่อไว้ว่า ด้วยใจที่เบาลงแบบนี้
จะสามารถช่วยผ่อนคลาย หรือว่าคลี่คลายปมกรรม
ที่ทำมากับเขาได้เช่นกัน
เพราะว่าหลักการของการให้ผล กับคู่เวร
ที่เคยทำอะไรไม่ดีต่อกันมาก็คือว่า
ถ้าหากเปรียบเทียบ คนหนึ่งเป็นขั้วหนึ่ง
อีกคนเป็นอีกขั้วหนึ่ง
แล้วมีเชือกคือ ‘เวร’ มาขึงให้ตึงอยู่ แน่นหนา
ต่างฝ่ายต่างอยู่ในอาการที่เรียกว่า ทำให้เส้นนั้น
ตึง เครียด
อยู่ในจุดเดิมของตัวเอง ก็จะเครียดอยู่อย่างนั้น
ตึงอยู่อย่างนั้น
แต่ถ้าหากว่า มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทำให้หย่อนลงได้
เปลี่ยนจุด เปลี่ยนตำแหน่งของตัวเอง วางลง
อาจทำให้ใจเรา ทิฏฐิมานะเรา เตี้ยลง
หรือความคาดหวังในตัวเราน้อยลง .. เชือกก็หย่อนได้
นี่แหละ พูดง่ายๆ ทำที่ตัวเรา
ให้เปลี่ยนจุด เปลี่ยนตำแหน่ง ลดระดับความตึง
ความเครียดลง
ทำใจให้มีธรรมะ แล้วทำใจให้เบาลงได้
ไม่ได้ทำด้วยศีลแปดนะ ทำด้วยการเจริญสติ
ทำด้วยการเห็นว่าใจของเราไม่เที่ยง
พอใจรู้ว่าภาวะของตัวเองไม่เที่ยง
ก็จะเลิกยึดมั่นถือมั่น
ว่านี่เป็นตัวของเรา เป็นตนของเรา
เกิดปัญญาขึ้นมาทันที ก็เบาลงทันทีเช่นกัน
ส่วนการถือศีล คือการควบคุมตัวเอง บังคับตัวเอง
ไม่ให้ทำอะไรตามใจชอบ
ตรงนั้นอาจดีตรงที่ ทำให้ใจของเราพร้อมจะเป็นสมาธิ
แต่ไม่ได้ช่วยให้ใจของเราเบาลงทันที
เหมือนกับการเจริญสติอย่างถูกวิธีนะครับ
________________
คำถาม : ปฏิบัติธรรมถือศีล ๘ ที่บ้าน รู้สึกเหมือนมีกรรมพัวพันกับบางคนหนักหน่วง พยายามแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลให้เขาทุกครั้ง ทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ว่าเราทำกรรมอะไรกับเขาไว้ และจะมีวิธีลด ตัดกรรมนั้นให้หมดสิ้นไปในชาตินี้ไหมคะ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีใช้เงินบริจาคของบูรณพุทธ
วันที่ 24 เมษายน 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=K4eC9iEywjo
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น