ดังตฤณ : ทุกครั้งที่เราทำบุญกับพุทธศาสนา
คือทุกครั้งที่เราเพิ่มความหนักแน่น เพิ่มสิทธิ เพิ่มโอกาส
เพิ่มน้ำหนักให้เราได้อยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของพุทธศาสนาไปเรื่อยๆ นะครับ
ทีนี้ จริงๆแล้วพุทธศาสนาไม่ได้เกิดขึ้นมาบ่อยๆ นานๆที
มาที แล้วก็จะมีช่วงว่างจากศาสนา เราท่องเที่ยวโต๋เต๋ไปโน่นไปนี่เป๋ไปเข้ารกเข้าพงบ้าง
อะไรบ้าง แต่ทุกครั้งที่พุทธศาสนาอุบัติ ก็จะมีแรงดึงดูดโดยกรรมที่เราเคยทำไว้ ให้ได้มาอยู่ใต้ต้นโพธิ์ร่มไทรของพุทธศาสนาอีก
ทีนี้ ถามว่าบุญแบบไหน ที่จะผูกเราไว้กับพุทธศาสนา
ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงการทำบุญทำทาน การใส่บาตรพระ ซึ่งนั่นก็ใช่นะ
แต่ว่าการใส่บาตรพระ จะเป็นระดับของการให้ทาน ซึ่งมีอยู่ทุกศาสนา
หรือว่าการศรัทธา รู้ว่าครูบาอาจารย์เป็นพระอรหันต์
เป็นดุจเทพเจ้าอะไรต่างๆ นั่นก็เรียกว่าเป็นบุญในระดับศรัทธา ซึ่งไม่แตกต่างจากศาสนาอื่นๆ
ที่อาจมีตัวตั้งอะไรสักอย่างหนึ่ง ขึ้นมายึดเหนี่ยวจิตใจ เหนือกว่ามนุษย์
ประดุจเทพ
ที่นี้ถ้าจะมองว่า ศรัทธานี่เป็นของที่เปลี่ยนง่าย
พระสารีบุตรเคยบอกไว้เลยนะครับว่า ศรัทธาของปุถุชนนี่ท่านไม่สามารถรับประกันได้แม้แต่วันเดียว
เหมือนกันทุกชาติทุกภพ ที่เราเกิดมาไม่ว่าเราจะตั้งความศรัทธาในพุทธศาสนาไว้ขนาดไหน
ศรัทธาก็คือสิ่งที่เป็นอารมณ์ ใกล้เคียงกับอารมณ์ชไม่ได้มีความตั้งมั่น ปักหลักอยู่ได้ตลอดไป
สิ่งที่จะทำให้ใจของเรา ปักมั่นอยู่กับพุทธศาสนาได้แบบแน่วแน่
คือปัญญาซึ่งเป็นเหมือนกับเหรียญด้านกลับกับศรัทธานั่นแหละ คือเป็นเหรียญเดียวกัน แต่ว่าเป็นคนละด้านกัน
ถ้าหากว่า เรามีศรัทธาแบบพุทธจริง ต้องมีปัญญาประกอบด้วย
แล้วบุญที่เกี่ยวกับปัญญา ไม่ใช่บุญที่เราบอกว่า ฉันทำตู้พระไตรปิฎกถวายวัดแล้ว
คือฉันทำปัญญาแล้ว
ไม่ใช่นะ นั่นคือการให้ธรรมทาน มีส่วนเสริมให้เราเกิดใหม่
ได้ปัญญาชั้นสูงจริง แต่ว่าปัญญาในแบบที่จะผูกอยู่กับพุทธศาสนา คือปัญญาในแบบที่มีความเข้าใจว่าสัมมาทิฏฐิคืออะไร
ถ้าเรามาถึงจุดที่ทำบุญขนาดได้สัมมาทิฏฐิ ตรงนี้เป็นบุญในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
สัมมาทิฏฐิคืออะไร คือความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า พุทธศาสนามีขึ้นมาเพื่อให้เราเห็นว่า
อะไรเป็นทุกข์ สิ่งที่เป็นทุกข์ก็คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือกายใจนี้ สภาพกายใจนี้เป็นห่วงโซ่หนึ่ง
ของการเกิดแก่เจ็บตาย
แล้วถ้าหากว่าเราสามารถตัดโซ่ข้อนี้ทิ้งได้ ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่ยืดยาวเป็นอนันตชาติก็จะพลอยขาดสะบั้นไปด้วย
ตัวนี้คือสัมมาทิฏฐิ ที่พุทธศาสนาสอนนี้ก็คือว่า ถ้าเราเห็นกายใจนี้ด้วยความเป็นรูปนาม
ที่มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ที่หายไป แล้วน้อมเอาสัมมาทิฏฐินี้ มาทำให้เกิดสติอยู่กับภาวะที่เป็นปัจจุบันนี้เลย
ทีละนิดทีละหน่อยก็ยังดี เห็นว่าที่นั่งอยู่นี่ไม่มีตัวเรานั่ง มีแต่กายนั่งอยู่ มีแต่ท่านั่ง
นั่งอยู่
ที่ใจเราล่องลอยไปนี่เรียกว่าเป็นจิตฟุ้งซ่าน ใจเรามีความสงบ
มีความตั้งมั่น เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ จะต่างไปเรื่อยๆ
ค่อยๆ เห็นไปทีละนิดละหน่อยไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง
ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตนสักอย่าง ตัวนี้แหละที่จะทำให้ เขาเรียกว่าเกิดเชื้อแห่งความเป็นพุทธที่แท้จริงขึ้นมา
บนเส้นทางกรรมของเรา
หมายความว่าถ้าเรายังไม่หลุดพ้นในชาตินี้ เส้นทางกรรมของเรานี่
ก็จะพาเรา เข้าสู่ลู่ เข้าสู่ทางที่ถูกที่ชอบแบบพุทธได้อีก
ถึงแม้ว่าไม่มีพุทธศาสนาปรากฏขึ้นมา แล้วเราจะต้องโต๋เต๋ไปอยู่ในภพภูมิอะไรที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาชี้นำนี่
เราก็จะไปมีครูบาอาจารย์ที่อย่างน้อยสอนเป็นเหตุเป็นผล อย่างน้อยสอนให้เชื่อว่าที่ทำๆ
ไปนี่ ไม่ใช่ไร้ผล เดี๋ยวก็ต้องย้อนกลับมาสู่ตัวตนเราอีก
แบบนี้ ก็จะต่อยอด รักษาเราให้อยู่ในเส้นทางของภพชาติที่จะถูกตะล่อมมาพบพุทธศาสนาต่อไปนะครับ
แล้วเวลาที่ในชาตินี้เรามีโอกาสแล้ว แล้วก็มีสติ มีสภาพอุปกรณ์คือกายใจนี้
พร้อมแล้วนี่นะ แล้วเราไม่ปล่อยให้เสียโอกาสไปเฉยๆ ทำให้สติเจริญขึ้น รู้กายรู้ใจมากเข้าๆ
ทีละนิดทีละหน่อย เหมือนหยอดกระปุก
นี่ก็นับว่าสะสมบุญในแบบที่ จะทำให้มีความเที่ยง ที่จะได้พบพระพุทธศาสนาอีกเรื่อยๆ
ที่บอกว่าทุกชาติเป็นไปไม่ได้นะ เพราะพุทธศาสนาไม่ได้มีมาบ่อยๆนะ
อันนี้เรื่องจริงนะครับ
คืออย่างหนึ่งกัป หนึ่งกัลป์
มีพุทธศาสนาบางทีแค่หนึ่งครั้ง บางกัป บางกัลป์ มีพุทธศาสนาแค่สอง บางกัป บางกัลป์
มีแค่ห้าอะไรแบบนี้
ถามว่าหนึ่งกัป หนึ่งกัลป์นานแค่ไหน
ก็นานขนาดที่ว่าเราเกิด-ตาย ถ้าสมมติว่าเกิดตายเป็นมนุษย์อย่างเดียว
เอากองกระดูกของเราไปกองรวมกันได้เท่าภูเขา พูดง่ายๆว่าเป็นล้านชาติ หนึ่งกัป
หนึ่งกัลป์นะครับ
แล้วเป็นล้านชาติ พุทธศาสนาอุบัติได้แค่ไม่เกินห้าครั้ง
คุณก็คิดดูละกันเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ โอกาสที่จะเจอพุทธศาสนายากขนาดไหน
แอดมิน : มีฟีดแบคเกี่ยวกับบทความค่ะ (หมายเหตุ: บทความอานาปานสติ รู้ลมก่อน หรือ รู้อิริยาบถก่อน https://www.facebook.com/photo?fbid=287763116046329&set=pb.100044379278114.-2207520000)
บทความนี้มีประโยชน์มากเลยค่ะ ได้ลองทำตามแล้วสติจะชัดขึ้นอย่างมากเลย
ถ้าเริ่มสังเกตจากอิริยาบถก่อน แล้วค่อยมารู้ลมไม่ว่าจะนั่งสวดมนต์เดินจงกรม นั่งสมาธิ
ทำงานหรือทำอะไรในชีวิตประจำวัน จะชัดทั้งตัวง่ายกว่าที่จะข้ามไปรู้ลมก่อน สติจะชัดขึ้นอย่างมากแบบเปลี่ยนไปมากเลยค่ะ
ดังตฤณ : อนุโมทนาเช่นกันนะ แล้วคุณสังเกตดูนะ
ต่อให้รู้อย่างนี้แล้ว จิตก็จะคอย วกไปหาจุดผิดๆ
คือถ้าเผลอ ถ้าไม่เจริญสติสักสองวันสามวัน บางทีลืมนะ จิตคนนี่ลืมง่ายจริงๆ
แล้วอะไรที่ถูกต้อง ที่เป็นหนทางที่จะได้เจริญสติแบบที่เรียกว่าสติปัฎฐานสี่นี่นะ
ไม่ใช่ของง่าย
แล้วตรงนี้นี่ผมก็ประหลาดใจ ทั้งกับตัวเอง แล้วประหลาดใจกับคนอื่น
เพราะทำให้เห็นจริงๆว่า บุญหรือวาสนา หรือว่าความพร้อมที่จะให้เจอวิธีเจริญสติที่ถูกต้องนี่แล้วก็จะต่อยอดไปได้เห็นกายใจเป็นรูปนาม
หรือว่ารู้จริงๆว่า กายใจนี้เป็นทุกข์นี่ยากมาก ยากเย็นแสนเข็ญ
คือพุทธศาสนาจะเกิดขึ้นแล้ว อุบัติแล้วนี่ก็ยากแล้วนะ
แต่พบพุทธศาสนาด้วย แล้วก็มาถึงจุดที่สามารถเจริญสติได้ด้วยนี่
ยิ่งยากไม่รู้จะ พรรณนาคำว่ายากนี่อย่างไร เป็นโอกาสที่แบบเดิมนี่เจอพุทธศาสนาก็หนึ่งในล้าน
หนึ่งในสิบล้าน หนึ่งร้อยล้านอยู่แล้ว หนึ่งในร้อยล้านชาติอยู่แล้ว
แต่ว่าที่จะพบพุทธศาสนาด้วย แล้วก็มารู้วิธีที่จะเจริญสติถูกต้องด้วยนี่ คือ เนื่องจากเจอคนมาเยอะ
บางคนก็มาถูกทางแล้วนะ แต่บอกว่าไม่ทันใจ ไม่บรรลุธรรมสักที เลยหนีไปหาอะไรแบบที่
พวกเข้าเจ้าเข้าทรงอะไรแบบนี้แล้วบอกว่ามีฤทธิ์มีอะไรพิเศษ ที่ดลบันดาลให้บรรลุธรรมได้ต่อหน้าง่ายๆ
ถามว่าบรรลุธรรมอย่างไร ก็ตอบดื้อๆว่าฉันให้แล้ว ฉันให้เธอบรรลุแล้ว
เธอก็บรรลุแล้วแล้วกัน
แบบนี้ มีเยอะมากและเจอมาแบบได้เห็นจริงๆ คืออยู่ตรงนี้มาสามสิบกว่าปีนี่นะ
คนที่จะเข้าทาง แล้วก็แน่วไปในทางนี่ยากจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าพบแล้วว่าจะตั้งจิตไว้อย่างไร
แล้วก็รู้แล้วว่าก้าวหน้าขึ้นนี่ ก็อย่าทิ้งนะ แม้แต่วันเดียว เพราะว่าแค่วันสองวันที่เราทิ้งไป
หรือเผลอไปนี่ บางทีลืมแล้วพอจะกลับขึ้นทางใหม่ บางทีไปเจอวิธีที่ผิดได้
คือไม่จำเป็นต้องมีใครมาเกลี้ยกล่อม แต่ใจเราเองนี่แหละ
ไปเล็งอะไรผิดๆได้ มุมมองการมองแค่ผิดองศานิดเดียวลองดูเถอะ สร้างความแตกต่างได้ขนาดไหน
______________________
เราควรจะสร้างทุนที่จะพบพระพุทธศาสนาในทุกชาติอย่างไรคะ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
วิธีใช้เงินบริจาคของบูรณพุทธ
วันที่ 24 เมษายน 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=i_-mXOikf-o
** IG **
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น