ผู้ถาม : มีเรื่องอยากสอบถามเรื่องนั่งสมาธิครับ พอดีเมื่อวานนั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกเหมือนกายแข็ง คือร่างกายแข็ง ธรรมดาเคยเป็น แต่ก็พอเข้าใจอยู่ แต่รอบนี้จะคล้ายกับว่า ไม่แน่ใจว่าใช่ที่บอกว่า จิตกับกายแยกกันหรือเปล่า รู้สึกว่าสิ่งที่คอยรับรู้แยกออกมาด้วย ไม่ได้อยู่กับกาย กายเหมือนนั่งแข็งๆ อยู่เฉยๆ ไป
ดังตฤณ : เหมือนเห็นเป็นอีกตัวหนึ่งใช่ไหม
ผู้ถาม : ใช่ครับ
ดังตฤณ : ถ้าเห็นเป็นอีกตัว แล้วเรายังมีสติ
มีความตื่นตัวรู้พร้อมอยู่ แบบนั้นถือว่าอย่างน้อย เราได้เห็นแล้วว่า
กายสักแต่เป็นรูป เป็นสิ่งที่ถูกจิตรู้ ให้มองโดยภาพรวมเป็นอย่างนี้นะครับ
ผู้ถาม : จะถามว่า ที่แยกออกมา ใช่ที่เรียกว่า
จิตหรือเปล่าครับ หรือเป็นอะไร
ดังตฤณ : เรามองอย่างนี้ก่อน
ว่าเดิมทีเราคลุกอยู่กับความรู้สึกนึกคิด แล้วก็รู้สึกว่า กายเป็นก้อนอะไร
เป็นตัวตน ที่ดิบๆ มีความรู้สึก มีตัวตนดิบๆ อยู่ในกายนี้
พูดง่ายๆ พอกายปรากฏที่ไหน
ความรู้สึกในความเป็นตัวเรา ก็ปรากฏอยู่ที่นั่น
ทีนี้พอถึงจุดหนึ่ง ที่กายปรากฏราวกับว่า เป็นสิ่งต่างหากแยกออกมาจากจิต
ที่เป็นผู้รู้ ตรงนั้นให้ถือว่ามีประสบการณ์ ได้เห็นว่ากายเหมือนหุ่น
กายเหมือนสิ่งที่ถูกมอง สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ตัวของเรา มองอย่างนี้ก่อนเป็นภาพรวม
จากนั้นให้สังเกตว่า ด้วยการเห็นกายแยกออกไปนั้น
ให้ความรู้สึกอย่างไร
ร้อยทั้งร้อย พอเริ่มต้นมีประสบการณ์แบบนี้
สิ่งที่จะรู้สึกเป็นธรรมดาก็คือว่า ตัวเราแยกออกมาเป็นต่างหาก
จากภาวะกายที่ไม่ใช่เรา จะรู้สึกอย่างนี้ มีตัวเราออกมานั่งดู
เหมือนกายนี้เป็นของใครอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ตัวเรา
เวลาเราจะมอง มองตรงนี้ ที่จะเกิดประโยชน์จริงๆ
จากประสบการณ์แบบนี้นะครับ
เราทำไว้ในใจล่วงหน้าว่า
ความรู้สึกว่ามีเราเป็นผู้มองอยู่นั่นแหละ เรียกว่า ‘อุปาทาน’
จะได้เห็นหน้าตาของอุปาทานชัดๆ
เป็นนามธรรมเลยว่า มีความรู้สึกเป็นตัวของเราอยู่ ทั้งๆที่ แยกออกมาจากกายแล้ว
กายนี่เป็นที่ตั้งของอุปาทานมาทั้งชีวิต เป็นที่ตั้งของตัวตนมาทั้งชีวิต
ว่านี่เป็นเราแน่ๆ ก้อนกายดิบๆ นี้
แต่พอกายแยกออกมาแล้ว ยังอุตส่าห์มีตัวเรา
แยกออกมาอีก ตามออกมาด้วย
ตัวนี้ เราก็พิจารณาต่อว่า
สิ่งที่รู้สึกอยู่ว่าเป็นตัวเราดูกายอยู่ ก็คืออุปาทานว่า จิตเป็นตัวเป็นตน
เป็นของเรานั่นเอง ความคิดเป็นตัวเป็นตนของเรานั่นเอง
คราวนี้ก็จะง่ายขึ้น
เวลาที่เราพิจารณาในขั้นต่อไป ถ้าเราทำไว้ในใจล่วงหน้า แล้วเกิดภาวะนั้นอีก
ก็จะเห็นเลยว่า สิ่งที่เป็นความรู้สึกว่า มีตัวเราดูกายอยู่ ก็คือจิต
ที่ยังอุปาทานอยู่ว่า ตัวของมันมีตัวตน
ถ้าหากว่า ณ ขณะที่เกิดประสบการณ์แบบนั้นเป๊ะเลย
แล้วเกิดสติขึ้นมาอย่างนี้ได้ ว่า จิตของเรา หลงสำคัญผิดไป ว่ามีตัวตน
เราจะเห็นว่า ก้อนตัวก้อนตน ความรู้สึกในตัวในตน
ที่เป็นอุปาทาน ที่เป็นความรู้สึกลึกๆ จะเปลี่ยนไปให้ดู
คือเหมือนจะแยกออกมาจากจิตอีกชั้น
เดิม จิตของเรายึดมั่นเหนียวแน่นอยู่กับกาย
เป็นอันเดียวกับกาย แต่พอแยกออกมา เราได้เห็นเลยว่า จิตนี้ แยกออกมาจากกาย
แต่ไม่ได้ถูกแยกออกมาจากความรู้สึกในตัวตน
ทีนี้ พอเรามีสติเห็น ณ จุดเกิดเหตุนั้นว่า จิต
มีความรู้สึกในตัวในตน แล้วเรามองว่า นี่เป็นลักษณะความยึดมั่น ถือมั่น หลงติดว่า
จิตมีตัวมีตน เรามีตัวมีตนอยู่ในจิต หรือมีความคิดที่ห่อหุ้มจิตเป็นอะไรก็แล้วแต่
นึกว่าความคิดที่ห่อหุ้มจิตนั้น เป็นความคิดของเรา
พอเราเกิดสติขึ้นมา จะเห็นแยกเลยว่า
ความคิด อยู่ส่วนความคิด
จิต อยู่ส่วนจิต
จิตที่รู้สึกอยู่ ก็อยู่ส่วนความรู้สึกของมัน
อยู่ใน layer ของมัน ความคิดก็อยู่อีก layer หนึ่ง
จะเห็นง่ายๆ เพราะไม่ได้มาฝังอยู่กับกายแล้ว
ตอนที่นามธรรมแยกจากกันนี่นะ ขอแค่มี ‘สติ’ นำนิดเดียว
จะแยกกันให้ดูง่ายๆ เลย ง่ายแบบที่นึกไม่ถึงเลยนะ
แล้วถ้าความรู้สึกหนักๆ หน่วงๆ
มีตัวมีตนยังคงอยู่ ก็จะรู้ได้ว่า เหมือนกับน้ำมันที่ยังหนัก แล้วก็ยังปน
คือแนบสนิทอยู่กับน้ำ
แต่ถ้าหากว่าเรามีสติ ที่เหมือนกับเคยฝึกมาแล้ว
เคยผ่านมาก่อนว่าความคิดไม่เที่ยง ผ่านมากระทบใจ แล้วเดี๋ยวก็หายไป
จะไม่อยู๋ในลักษณะที่ความคิดห่อหุ้มจิต
แต่จะอยู่ในลักษณะที่จิตลอยมา หรือว่าวนๆ อยู่
รอบๆ จิต แล้วก็สลายตัวไป
พอเห็นว่าเหลือแต่จิต แล้วก็ความคิด
ความรู้สึกในตัวในตนค่อยๆ สลาย ค่อยๆ เปลี่ยนไป เปลี่ยนระดับ จากหนัก กลายเป็นเบาๆ
เหลือแต่จิตที่เบาอยู่จริงๆ เป็นอิสระ
ตรงนี้เราก็จะเริ่มเห็นแล้วว่า
หน้าตาของจิตก็คือตัวรู้อยู่เฉยๆ ที่มีความคิดมาปรุงแต่ง หรือมีความคิดมาห่อหุ้ม
ให้เกิดความรู้สึกในตัวในตนของเรา เกิดขึ้นเพราะจิตไม่มีสติ
แต่เมื่อไหร่ที่จิตมี สติแบบพุทธ ตรงนั้นแหละ ที่ความคิดหรือความรู้สึกในตัวตน
จะเริ่มแยกชั้น เหมือนน้ำมันที่แยกออกจากน้ำอย่างชัดเจน แยกออกจากกัน
คือไม่มาแนบสนิทอยู่ด้วยกัน
ผู้ถาม : ใช่เลยครับ จริงๆ มีอีกนิดหนึ่ง
คือที่เจอเมื่อวานก็คือเหมือนกับตอนแรก จิตอยู่ข้างนอกกาย ความรู้สึกประมาณนั้น
แล้วเหมือนกับว่า พอรู้สึกว่ามันแยกกัน ก็ลองว่า ถ้าจับลมหายใจจะรู้สึกอย่างไร
แต่ว่าตอนนี้จำความรู้สึกนั้นไม่ได้แล้ว เหมือนกายแยกทำงานไปอย่างนี้ครับ
แล้วก็รู้สึกคล้ายๆ จิตกลับไปอยู่ตรงแถวหัว ยังทำความเข้าใจกับมันอยู่ครับ
ดังตฤณ : มองอย่างนี้ ตอนนั้นใจของเราเป็นสมาธิระดับหนึ่ง
ที่เห็นกายโดยความเป็นนิมิตได้ นิมิตกาย มีรูปลักษณะ มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร จิตของเราสามารถรับรู้นิมิตนั้นได้
และนิมิตนั้น
จะเป็นนิมิตที่มีสติแยกได้ชัดเจนนะครับ ว่าภาวะรูปพรรณสัณฐานของกาย
เป็นต่างหากจากจิตจากใจ ที่รู้กายนั้น
ถ้าเกิดขึ้นอีก ถ้าจะเกิดขึ้นอีกได้
ไม่ใช่ด้วยการที่ตั้งต้นขึ้นมา เราอยากเห็นแบบนั้นอีก แต่ต้องตั้งต้นขึ้นมาคือ
นับหนึ่งใหม่ เข้าทางเดิม เราต้องเริ่มจาก ศูนย์ เลย
คือไม่ได้อยากที่จะเห็นกายแยก จิตแยก แต่ทำเหตุให้ถูก ที่จะไปถึงจุดนั้นนะครับ
เราเคยทำมาอย่างไร เริ่มนับหนึ่งใหม่เสมอ
อย่าเริ่มต้นด้วยความคาดหวังว่า จะไปเจอสภาพนั้นอีก
เพราะนี่จะเหมือนที่เมื่อกี้คุณบอกว่า
ตอนนี้นึกไม่ออกแล้วว่าเป็นอย่างไร นั่นเพราะจิตไม่ได้เห็นนิมิต
และไม่ได้อยู่ในสมาธิแบบที่อยู่ในระดับนั้น
แต่ถ้าหากว่าเราทำจนชำนาญจริงๆ
หายใจเข้าออกครั้งเดียวโดยไม่คาดหวังอะไรเลย ก็จะกลับเข้าทางได้
พูดง่ายๆ นะ นับหนึ่งใหม่เสมอ
อย่าเริ่มต้นด้วยการไปคาดหวังว่าจะก๊อปปี้ของเดิมมาทำตามนะ
เข้าทางเดิมเลยเริ่มต้นมาอย่างไร เอาแบบนั้นนะ
____________________
สรุปคำถาม : นั่งสมาธิแล้วมีความรู้สึกเหมือนกายแข็งๆเป็นต่างห่างจากจิต ไม่แน่ใจว่าแบบนี้เรียกว่าเห็นจิตกับกายแยกจากกันหรือเปล่า?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีใช้เงินบริจาคของบูรณพุทธ
วันที่ 24 เมษายน 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=26VCINimgo0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น