ผู้ถาม : ถ้าเราโมโห แล้วเราทำตัวไม่โมโห จิตใจจะบิดเบี้ยวไหม
ดังตฤณ : เวลาที่เราโมโห.. ก่อนที่เราจะโมโหนี่
มีสิ่งหนึ่ง ที่เราสามารถเตรียมไว้เป็นทุนได้
นั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเมตตา
ถามว่าเมตตานี่
เข้าใจง่ายๆ เลยคือ
ความสุขที่จะเอาชนะความโกรธของตัวเอง
ความสุขที่จะเอาชนะความโกรธของตัวเองนี่
จะเกิดขึ้นไม่ได้
ถ้าเราไม่เห็นค่าของการเอาชนะโทสะ
การเอาชนะโทสะ
จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราออกมาจากข้างในเลย
เปลี่ยนมุมมองของเรา
เปลี่ยนโลกทั้งใบของเรา
เปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของเรา
ให้ยกระดับขึ้น
ถ้าเรามองเห็นคุณประโยชน์ของการเอาชนะโทสะ
แล้วเรามีความรู้สึก
.. อย่างตอนนี้ คุณลองกำหนดใจดูว่า
ชีวิตที่เหลือ
เราจะมีตัวใหม่ ที่มาต่อสู้กับตัวเก่า
คืออย่าเพิ่งไปเอาเรื่องว่า
รู้ตามจริงหรือเปล่า
อย่าไปแทรกแซงสิ่งที่เกิดขึ้นอะไรแบบนี้
เราเอาตัวนี้ก่อนนะ
เอาตัวเก่าทิ้งไป
แล้วเอาตัวใหม่มาแทนที่
ให้มีภาพในใจอยู่อย่างนี้
ให้ชัดเจน
และตัวใหม่
ที่เข้ามา ถ้าเรานึกถึงนะ แค่นึกถึงเฉยๆ ว่า
ต่อไป
เราโมโหโกรธาอะไรขึ้นมา
ไม่ใช่เฉพาะกับพ่อแม่
แต่กับทุกคนในโลก หรือว่ากับโลกทั้งใบนี่
เราจะมีตัวใหม่ขึ้นมา
แทนที่ตัวเดิม
เป็นตัวที่มีแก่ใจ
ที่จะเอาชนะความโกรธของตัวเอง
พอเรามีความรู้สึกว่าจะมีตัวใหม่ มาแทนที่ตัวเดิม
แล้วเรารู้สึกดีเดี๋ยวนี้เลย นี่แหละคือตัวใหม่
ถ้าเรารู้สึกเป็นกันเอง
รู้สึกกลมกลืน
รู้สึกเป็นพวกเดียวกันกับตัวเดิม
ที่จะอาละวาด ฟาดงวงฟาดงาอย่างไรก็ได้
อยากจะโมโหโกรธา
แล้วพูดคำหยาบคายอย่างไรก็ได้
ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ไม่มีพอยต์
ในใจจะไม่มีจุดสังเกต
หรือว่าเป้าหมายที่จะให้เราวิ่งเข้าไปชน
แต่ถ้ามีเป้าหมายชัดว่า
ตัวต่อไปของเรา จะเลิกโมโหโกรธา
ตรงนี้จะนึกออก จะนึกออกล่วงหน้า จะเตรียมไว้ในใจล่วงหน้า
เหมือนกับมีการติดตั้งโปรแกรมใหม่ไว้ว่า
เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องที่ชวนโมโห
ใจของเรานี่จะต้องต่างไป
ทีนี้
ตรงนี้แหละ ที่เป็นจุดตัดนะ
ที่หลายคนอาจจะไม่เข้าใจนะครับว่า
ทำอย่างไรที่จะมีต้นทุน
คือความสุข ที่จะไปตอบโต้กับเหตุการณ์ที่น่าโกรธน่าโมโหโกรธา
คุณดูใจของตัวเองตอนนี้
เราคุยกันเรื่องธรรมะอยู่
คุยกันเรื่องเอาชนะความโกรธ
แค่มองเข้ามาในใจของเรา
ตอนนี้ใจของเราปกติอยู่
ถ้าหากว่า
มีเรื่องกระทบใจ แล้วเกิดความโมโห
เกิดความรู้สึกว่า
ไม่อยากที่จะอดทน ..
ถ้าเทียบกันนะกับใจตอนนี้
ใจที่ยังเบาอยู่ ใจที่ยังสบายอยู่
จะเห็นว่าใจแบบนั้น
เป็นใจที่ผิดปกติ
พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบไว้
เหมือนกับอาการของคนป่วย
เหมือนกับใจของเรา
ณ เวลาที่โกรธ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่
ซึ่งถ้าหากว่าเราปล่อยไว้
เราไม่รักษา ก็จะเป็นอย่างนั้นไปเรื่อยๆ จนตาย
แต่ถ้าเราคิดจะรักษา
เรามีแก่ใจ
ความมีแก่ใจตรงนี้
ที่ทำให้อยากรักษาความสุข ในการไม่เป็นคนป่วยไว้
พอเรามีความสุขได้
แล้วเราเห็นนะว่า
ใจที่ไม่คล้อยตามกับไฟโกรธ
ที่เข้ามาครอบจิตของเรา
จะทำให้เกิดความสุข
ความเบา ที่แตกต่างไปจากใจในขณะโกรธ
ซึ่งตรงนี้นะ
พระพุทธเจ้าให้อาศัยความเบา ความสบาย ความสว่าง
ที่เกิดขึ้นในจิต
ณ ขณะที่เรายังไม่ป่วยนี้ไว้ แล้วแผ่ออกไป
คำว่าแผ่ออกไป
พูดง่ายๆว่า ทำจิตให้แผ่ออกไปนั่นเอง
ถ้าหากว่าเรา ฟุ้งซ่านแบบคนปกติทั่วไป
คิดเรื่องราวโน่นนี่นั่น
จิตจะมีความเล็ก จะมีความคับแคบ
แต่ถ้าหากเราทำความรู้สึกเข้าไปที่ใจ
ที่กำลังมีความสุขจากการไม่โกรธ
หรือว่าใจที่มีความสุข
กับการอยากทิ้งโทสะไปนี่นะ เราจะพบว่ามีอะไรว่างๆ ใสๆ เกิดขึ้นอยู่ที่ใจกลาง แล้วก็พร้อมที่จะแผ่ออกไป
ตอนที่เราอยู่กับความว่างความสุขความเบา
ความสบาย ที่ไร้ความโกรธ ไร้มลทิน ไร้ความร้อนตรงนั้นได้ นานๆ นั่นแหละ
คือการแผ่เมตตา
วิธีการแผ่เมตตาของพระพุทธเจ้าท่านให้ดูจากตรงนี้
จับจุดจากตรงนี้ ยิ่งเราเป็นคนที่มีความพร้อมจะโกรธ หรือว่าเจ้าโทสะ
เจ้าอารมณ์มากขึ้นเท่าไหร่ จะสังเกตความแตกต่างตรงนี้ได้ชัด
เราแค่คิดจะทิ้ง
ตัวตนแบบเดิม หรือว่านิสัยแบบเดิมๆ หรือว่าความพร้อมที่จะโกรธ
พร้อมที่จะขัดเคืองแบบเดิมๆ นี่ ใจเบาแล้ว
ใจที่เบาตรงนั้น
เราสังเกตดู ว่า อยู่ได้นานแค่ไหน ถ้าอยู่ได้นาน นั่นแหละ คือการแผ่เมตตา
แต่ถ้าอยู่ได้สั้นๆ
ไม่เป็นไร เราสังเกตเข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งสังเกตได้บ่อยขึ้นเท่าไหร่ เราจะยิ่งเห็น
เราจะยิ่งเข้าใจ ยิ่งถ้าหากว่าคุณฝึกที่จะหายใจยาว อย่างที่ผมพูดตอนต้นรายการ
อย่างนี้ จะยิ่งมีตัวที่เป็นเหมือนกับเครื่องพยุงสติ หรือว่าเครื่องประคองความเบา
ความใส ของใจให้ตั้งอยู่ได้นาน
แล้วตรงนั้นแหละ
ที่คุณจะเริ่มรู้สึกถึงความแตกต่าง จะรู้สึกเหมือนตัวเองมีต้นทุนความเบา
ความสุขที่พร้อมจะไปเผชิญกับปัญหาตอนที่เกิดเรื่องมากระทบ แล้วเกิดความโกรธ
คุณจะไม่เห็นแค่สถานการณ์ภายนอกที่น่าขัดเคือง
แต่จะเห็นสถานการณ์ภายในนะว่า เรามีต้นทุนพอที่จะรับมือกับเรื่องน่าโกรธไหม
ถ้ามีต้นทุนพอที่จะรับมือกับความโกรธ
เราจะเห็นว่า จะมีพื้นที่ความเบา มีพื้นที่ความสบาย มีความรู้สึกเหมือนกับใจ
พร้อมจะแผ่ผายออกไปนะ
ณ
ขณะที่เจอเรื่องน่าโกรธนะ
แต่ถ้าเป็นแบบแต่ก่อน
จะไม่มีพื้นที่เหลือเลย พื้นที่ทางความสุขจะหายไปหมด
จะเหมือนกับจิตของเรายับยู่ยี่ แล้วก็พร้อมที่จะเป็นฟืนเป็นไฟ
แต่เมื่อเรามีต้นทุนภายในเป็นเมตตา
ยิ่งแผ่เมตตาได้บ่อยขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งแผ่เมตตาได้เก่งขึ้นเท่าไหร่ คุณจะพบว่า
มีพื้นที่ภายในเกิดขึ้นแทนที่ความคับแคบแบบเดิมๆ นะ
แต่ความพร้อมจะร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ
จะรู้สึกเลยว่า เกิดความเย็น เกิดความพร้อมที่จะระงับดับความโกรธได้ง่ายๆ นะ
ผู้ถาม
: พอฟังว่าเป็นแบบนี้ คุณดังตฤณ ไม่ชอบหนูหรือเปล่าคะ
ดังตฤณ
: ตรงข้ามเลยนะ
ผมเห็นตัวเอง แล้วก็เห็นคนทั่วไป
แต่สิ่งที่ไม่เห็นก็คือ
คนทั่วไป ไม่กล้าถาม ไม่กล้าพูดแบบนี้นะ
คนที่กล้าพูด
เป็นคนที่น่าเชื่อว่า จะเอาดีทางธรรมได้
คนที่กล้ายอมรับตัวเอง
น่าเชื่อว่าวันหนึ่ง จะมีสติ รู้ตามจริง ว่าเกิดอะไรขึ้นในตัวเอง
แล้วก็เกิดอะไรขึ้น ในเส้นทางที่เราจะพยายามยกระดับตัวเอง
อันนี้
เอาง่ายๆ ถ้าเราถามคำถามนี้กับผมนะ ผมบอกจริงๆ ว่า ถ้าเทียบกับคราวก่อนที่คุยกัน
ตอนนี้คุณดีขึ้น ใจสบายขึ้น ในเหมือนกับ กล้าพูดขึ้น กล้ายอมรับความจริงมากขึ้น
แล้วก็ไม่เห็นความยากลำบากหนักหนา ที่จะมีสติ มาบนเส้นทางนี้นะ
จากเดิมที่
เอ๊ะ เราอาจคิดว่าไม่มีหวัง เราอาจคิดว่า เอาดีไม่ได้หรอก .. ทำได้
แล้วใจที่สบายขึ้น จะบอกตัวเองว่า ยิ่งเราอยู่บนเส้นทางนี้นานขึ้นเท่าไหร่
จะยิ่งเกิดการพัฒนามากขึ้นเท่านั้น
ความต่อเนื่องคือความก้าวหน้า
ถ้าหากว่าเรามาถูกทิศถูกทาง
และการถูกทิศถูกทาง
ของวิถีการเจริญสติ ก็คือการกล้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
___________________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คลับเฮ้าส์
วันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๔
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=3xZcPjGCWgY
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น