ผู้ร่วมรายการ : สวดมนต์ทุกวัน แต่ว่าอาจจะไม่เคยรู้สึกถึงความสว่างวาบ หรือว่ามีความสุขสุดขีด เป็นเพราะทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ
ดังตฤณ : อันนี้เป็นสิ่งที่เราคุยกันเป็นประจำเลย เพราะว่าการสวดมนต์เนี่ย คนมองว่าสวดไปเพื่อที่จะทำบุญ เพื่อที่จะทำหน้าที่ให้จบ ทำหน้าที่ของชาวพุทธให้จบ
ผู้ใหญ่บอกเรามาตั้งแต่เด็กๆว่าไปสวดมนต์สิ
เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง หรือเพื่อที่จะขอพรให้ชีวิตของเราเนี่ยมันดี
แล้วคนรุ่นใหม่ก็จะมีความรู้สึกขัดแย้งกับข้อแนะนำหรือว่า
ไดเรกชั่น (direction) นี้กันมากเลย
บางคนนะผมได้ยินกับปากเลยนะ เพิ่งเมื่อเร็วๆนี้เอง อายุมากแล้วแกบอกว่า แกสวดมนต์เนี่ยนะ พระไม่ช่วยไม่เคยช่วยอะไรแกเลย เพราะฉะนั้นเนี่ยแกเลิกนับถือพระ แล้วก็มานับถือตัวเองดีกว่า เป็นที่พึ่งให้ตัวเอง ทุกอย่างเนี่ยเป็นฝีมือของเราทั้งนั้นในชีวิต นี่อันนี้พูดง่ายๆว่า ถ้าเราตั้งมุมมองตั้งทิศทางในการเริ่มสวดมนต์ไว้ออกแนวว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้คุ้มครองเรา สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะได้ดลบันดาลให้ชีวิตของเรามันดี เนี่ยมันมีโอกาสที่เราจะพลาดคิดถึงขั้นที่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นช่วย แล้วเราก็เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปเลย นี่อันนี้คือข้อเสียของการที่เราได้รับคำสั่งสอนกันมาผิดๆ
พระพุทธเจ้าสอนในสมัยพุทธกาลชัดเจน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เวลาใครจะมาขอพรพระองค์ พระองค์พูดชัดเจน ตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว นี่ท่านตรัสอย่างนี้เลยนะครับ
แต่ว่ามันต้องมีข้อยกเว้นคือ ชาวบ้านชาวเมืองก็ยังขอพรจากพระสงฆ์องค์เจ้ากันอยู่ เวลาที่พระสงฆ์องค์เจ้าไปรับบิณฑบาตร หรือว่ามีใครมาหาก็มักจะขอพรกันอยู่ พระพุทธเจ้าก็เลยอนุญาตว่า ถ้าใครขอพรก็ให้เขาไปได้ มันเป็นธรรมเนียบนิยม มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาทั้งหลายเขาจะขอกัน เพราะฉะนั้นให้ได้
ทีนี้ตรงที่ให้ได้ไม่ใช่อยู่ๆเนี่ยไปให้เขาเลย เขาต้องขอก่อน อันนี้คือธรรมเนียมแบบพุทธแท้ๆ อันนี้ก็เป็นการปูรากฐานให้เข้าใจให้เกิดมุมมองชัดเจนนะครับ
พระองค์ศาสดาของเราท่านมีบุญสูงสุด ท่านมีอำนาจเหมือนกับประทานพร พูดกันง่ายๆเลยนะครับ ท่านสามารถทำให้คนเป็นบ้ากลับกลายเป็นคนสติดีได้เพียงด้วยการอธิษฐานจิตของท่าน แต่ท่านไม่ทำเป็นตัวอย่างพร่ำเพรื่อ คือท่านไม่ช่วยใครด้วยวิธีที่ลึกลับ ท่านไม่ช่วยใครด้วยวิธีที่ อ่ะเธอเอาพรนี้ไป เพราะมันมีผลเสีย จะทำให้ศาสนาของท่านเต็มไปด้วยคนขอ มานับถือศาสนาพุทธด้วยเหตุผลเดียวเพื่อจะขอพร เพื่อจะขอให้ได้ชีวิตที่มันดีขึ้นแบบทันตาทัน
แต่ขนาดว่าพระศาสดานำทางไว้เป็นตัวอย่างว่าไม่ให้พร เวลาใครมาขอพรท่าน ท่านไม่ให้ท่านเลิกให้นานแล้ว ท่านตรัสอย่างนี้ทุกครั้ง ท่านทำไว้เป็นตัวอย่างอย่างนี้เนี่ย แต่ปัจจุบันก็ยังมีการแนะนำกันง่ายๆด้วยอัตโนมัติแบบมนุษย์ว่า สวดมนต์เนี่ยสวดเพื่อขอพร สวดมนต์สวดเพื่อจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
จริงๆแล้วถ้าสวดมนต์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็คุ้มครองจริงๆนะ แต่ไม่ใช่แบบที่เราเข้าใจ ไม่ใช่คุ้มครองจากความทุกข์ทุกชนิด ไม่ใช่คุ้มครองในแบบที่จะมาเปลี่ยนชีวิตเราจากมีเงินน้อย ให้กลายเป็นมีเงินมาก จากที่เจอศัตรูคู่อาฆาต กลายเป็นไปกำจัดศัตรูด้วยวิธีลึกลับราวกับว่าเราสวดแล้วจะได้คาถาไสยศาสตร์อะไรไปกำจัดคู่ต่อสู้อะไรแบบนั้น ไม่ใช่เลยนะครับ
การสวดมนต์ที่แท้จริง ที่ผมพูดมายืดยาวเพราะว่ามันมีความจำเป็นตรงนี้ ความเข้าใจสำคัญที่สุดคือไม่ใช่วิธีสวดที่สำคัญ ไม่ใช่บทสวดว่าสวดบทไหนแล้วมันจะได้อะไรหรือไม่ได้อะไรมากน้อยกว่าบทอื่น มันอยู่ที่ความเข้าใจ
ถ้าเราเข้าใจจริงๆว่า การสวดมนต์คือการสรรเสริญ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจิตที่ไม่มีความคิดอย่างอื่นนอกจากจะทบทวนกับตัวเองว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีคุณวิเศษอย่างไร ท่านช่วยเราอยู่แล้วยังไง อย่างเช่นพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาถือกำเนิดขึ้นมาก็เพื่อที่จะเอาธรรมะมาสอนเรา แล้วเป็นธรรมะบริสุทธิ์ถ่องแท้ พิสูจน์ได้ผ่านกาลเวลา
ส่วนพระอริยสงฆ์ก็คือคนที่ทำตามพระพุทธเจ้า สามารถพบธรรมะในตน พอเรามีความเข้าใจอย่างนี้ว่า สวดมนต์ไปเพื่อที่จะสรรเสริญว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร พระธรรมเป็นอย่างไร พระสงฆ์เป็นอย่างไร ใจของเราก็เปิดรับพลังความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้ามาประดิษฐานไว้ในใจของเราราวกับว่าจิตเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเองแล้ว
ถ้าหากว่าเราสวดด้วยอาการแบบนี้ทุกครั้ง สวดเพื่อถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชาจาระไนคุณงามความดีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โดยไม่หวังสิ่งอื่นใด คุณลองดูว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นเป็นอันดับแรกคืออะไร?
ใจที่ไม่หวังว่าจะเอาอะไรเข้าตัว แต่ใจที่หวังจะสรรเสริญผู้ควรสรรเสริญเนี่ยนะครับมันเป็นกุศล อันดับแรกเลยที่จะเกิดขึ้นคือ จิตมันจะเป็นกุศล มันเกิดกุศลขึ้นมา มันไม่มีความโลภอยากเอา
ตอนขอพรมันมีความโลภ แล้วพอไม่ได้อย่างใจ มันมีความท้อ มันมีความไม่เชื่อ ไม่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เนี่ยมันอกุศลนะครับที่เราสอนๆกันมา
แต่พอเปลี่ยนใหม่เป็นว่า เราถวายพรไม่ใช่ขอพร สิ่งแรกที่มันเกิดขึ้นคือจิตที่เป็นกุศล แล้วพอจิตเป็นกุศล แล้วมีความเป็นกุศลนั้นต่อเนื่อง มีความคงเส้นคงวามากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันกลายเป็นความรู้สึกว่าจิตเบาจิตใส
ธรรมชาติของจิตที่เป็นกุศลนะครับ คือมีความใสมีความเบา มีความสว่างตามมา ความสว่างเนี่ยตามมาทีหลัง
ความสว่างที่มันจะปรากฏชัดกับใจของเราก็คือตอนที่เราอยู่กับตรงนั้นนานพอที่จิตมันจะตั้งเป็นสมาธิ ถ้าจิตไม่ตั้งเป็นสมาธิความสว่างมันจะยังไม่เกิดมันจะยังมืดๆมัวๆ
แต่ถ้าหากว่าเราสังเกตเข้าไปอีกว่า ความใส ความเบา ความสว่าง แต่ละรอบที่เราสวด ถ้าเราสวดหลายรอบมันจะได้เห็นชัดว่า แต่ละรอบมันไม่เท่ากัน บางรอบมีความสว่างมาก บางรอบมีความสว่างน้อย หรือไม่สว่างเลย บางรอบมันความฟุ้งซ่านมาก บางรอบความฟุ้งซ่านเบาบาง บางรอบจิตนิ่งกริบเลย ไม่มีความคิดเล็ดลอดออกมาจากจิตเลยแม้แต่นิดเดียว
ถ้าเราไม่มีความโลภเพิ่ม ไม่ไปหวังว่าจิตของเราจงเป็นสมาธิไม่มีความคิดเลย แต่มีสติสังเกตว่าแต่ละรอบมันต่างไปเรื่อยๆ เห็นความปรุงแต่งของจิตที่แตกต่างไปเรื่อยๆได้นะครับ มันจะมีปัญญาแบบพุทธมาเสริม
ปัญญาแบบพุทธหน้าตาเป็นยังไง?
ใจของเรานะครับ มันจะรู้สึกโปร่งว่าง รู้สึกว่าที่มันนิ่งก็ดี หรือฟุ้งซ่านก็ดี มันเป็นภาวะชั่วคราว มันเป็นของแป๊บนึงที่เกิดจากเหตุปัจจัย อย่างเช่นมีกำลังจิตแค่ไหนมันก็ตั้งนิ่งได้อยู่แค่นั้น พอกำลังจิตเสื่อมลง จิตมันก็กลายเป็นจิตฟุ้งซ่านแบบเดิมอีก เนี่ยเห็นตามเหตุปัจจัยแบบนี้ มันเห็นความโปร่งใสขึ้นมา มันเกิดความโปร่งจากอาการยึดมั่นถือมั่น มันเกิดความโปร่งจากอาการที่ใจมันมีความตื่นรู้ว่า ภาวะฟุ้งซ่านก็ดี ภาวะสมาธิก็ดี ภาวะสว่างก็ดี ใสก็ดีเบาก็ดี มันไม่เที่ยง นี่ตัวนี้เราจะสามารถได้จากสวดมนต์หลายๆรอบ มันไม่ใช่แค่สมาธิแต่มันเป็นปัญญาด้วยนะครับ........................................................
๑๓
มีนาคม ๒๕๖๔
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอนไลฟ์คลับเฮาส์และเฟสบุ๊ค
คำถามยูทูบ : สวดมนต์ทุกวันแต่ไม่เคยรู้สึกสว่าง ทำอะไรผิดไปไหม?
ระยะเวลาคลิป ๑๐.๔๒ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=hhd5IHjjDTw&list=PLmDLNhxScsWO7ZAuqr-FC25dor6ETZhM-&index=13
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น