วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ขายเหล้าเจริญสติไหวไหม (ดังตฤณ)



กรณีเฉพาะตนของ – ปลา
อาชีพ – ขายของร้านชำ
ลักษณะงานที่ทำ – ยังเรียนอยู่และช่วยที่บ้านขายของ เป็นร้านเล็กๆที่มีเบียร์และ เหล้าอยู่ด้วย


คำถามแรก – ตอนช่วยพ่อแม่ดูแลร้าน ดิฉันต้องเป็นคนหยิบยื่นเหล้าและเบียร์ให้ ลูกค้ากับมือ เพราะตู้เย็นอยู่หลังเคาน์เตอร์ เพื่อให้ลูกค้าสั่งเอาไม่ใช่หยิบเอง ตอน แรกๆก็ไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เพิ่งมาทราบว่าเป็นหนึ่งในมิจฉาวณิชชา คืออาชีพที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่ใช่การค้าขายอันชอบอันควร ถือว่าเป็นการค้าสิ่งไม่ดี อย่าง นี้ถือเป็นบาปติดตัวถึงขั้นขวางการเจริญสติไหม? ตอนยื่นเหล้าเบียร์นี่ทราบวาระ จิตตัวเองอย่างหนึ่ง คือรู้สึกแย่มาก เหมือนทำผิดคิดร้าย จะหม่นหมองไปนาน

ดังตฤณ :

ต้องถามตัวเองว่าคุณ ‘คิดอยากขายเหล้า’ หรือเปล่า ถ้าไม่คิดก็ไม่ถือว่าบาป ครับ

มีคาถาพระธรรมบทอยู่บทหนึ่งที่น่าฟังมากครับ คือ เมื่อฝ่ามือไม่มีแผล ก็ย่อม ถือยาพิษได้โดยที่พิษไม่ซึมซาบเข้าสู่ร่าง ฉันใดก็ฉันนั้น บาปย่อมไม่มีแก่คนที่ไม่ คิดจะทำ คาถานี้มีที่มาจากการที่สาวคนหนึ่ง เป็นโสดาบันบุคคลผู้ไม่เบียดเบียนแล้ว มีศีล ๕ เป็นปกติแล้ว แต่ไม่ได้บวช และเป็นภรรยานายพราน นางปรนนิบัติสามีเยี่ยง ภรรยาทั่วไป แม้กระทั่งตระเตรียมและหยิบยื่นคันธนูให้พรานผู้เป็นสามีเพื่อนำไปใช้ ประกอบอาชีพทุกเช้า

เมื่อคนร่ำลือกันว่านางเป็นถึงโสดาบัน แต่กลับยื่นอาวุธให้สามีนำไปประกอบอาชีพ ก็ได้รับคำอธิบายว่าที่หยิบยื่นให้นั้น ไม่ใช่ด้วยเจตนาว่าสามีจงนำธนูนี้ไปฆ่าสัตว์ สามี จงนำธนูไปล่าสัตว์มาเลี้ยงชีพคนในบ้านได้มากๆ แต่นางทำไปโดยยืนพื้นอยู่บนความ คิดที่ว่า ‘เราจะปฏิบัติต่อสามีตามสมควรแก่หน้าที่ของภรรยา’

อาวุธของสามีนางนั่นแหละคือยาพิษ แต่จิตนางไม่ประกอบด้วยแผลคือความ คิดประทุษร้ายต่อสัตว์ เมื่อปราศจากแผลคือเจตนาฆ่าฟันใดๆ ฉะนั้นจึงไม่ถือว่ามี ส่วนผิดไปด้วย

ที่คุณรู้สึกแย่ตอนยื่นเหล้าให้ลูกค้า ก็ขอให้สังเกตอย่างนี้ครับ ตัวความรู้สึกแย่ถูกรู้ ได้ไหม รู้ไหมว่าความรู้สึกแย่นั้นเกิดขึ้นในท่ายืนหรือท่านั่ง และที่สำคัญเมื่อรู้สึกถึง ความรู้สึกแย่ ความรู้สึกแย่นั้นหายไป กลายเป็นว่างจากความรู้สึกแย่ได้ไหม?

บอกตัวเองไว้นะครับ ความสามารถในการเห็นความรู้สึกแย่ๆ ตลอดจนทราบชัด ว่าความรู้สึกแย่ๆหายไปเมื่อถูกเห็น แล้วกลายเป็นความว่างแทน นั่นแหละครับที่ แสดงให้เห็นว่าบาปไม่เกาะจิต บาปไม่ใช่ของติดตัวคุณ

ภาวะของจิตนั้น ถ้ากำลังย้อมด้วยบาปจริงจะดูไม่ได้นะครับ เพราะจิตจะมืดจน ไม่มีช่องว่างให้สติเจริญขึ้นได้ ข้อนี้ท่องไว้เลย

ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนสั่งเหล้าเข้าร้าน ไม่มีเอี่ยวอะไรด้วยกับการคัดของหรือสั่งเพิ่ม ก็อย่าเป็นกังวลไปเลย คุณช่วยพ่อแม่ขายของด้วยฐานะลูก คิดแบบลูกช่วยพ่อแม่ทำ มาหากินตามสภาพ ถือว่าไม่เปิดแผลทางใจใดๆ ตรงข้าม ความไม่สบายใจถือเป็น หลักฐานว่าคุณไม่ได้มีแม้แต่ความยินดีกับการขายเหล้าแม้แต่น้อย

เพื่อเน้นย้ำให้จิตปลอดจากอกุศลอย่างบริบูรณ์ ก็ให้พิจารณาไปด้วยว่าเมื่อสติ เจริญแล้ว สภาพของจิตย่อมมีความสามารถรู้ชัด รู้ตามจริง ตลอดจนคิดอ่านในทาง สว่าง ทางกุศล

เสร็จแล้วพิจารณาอีกที ถามตัวเองว่าเหล้ายาเป็นเครื่องบั่นทอนหรือเป็นตัวส่งเสริม สติ คุณย่อมได้คำตอบชัดเจนว่าเป็นตัวบั่นทอน เป็นเครื่องมอมเมา ไม่น่ายินด

หมายความว่าวันหนึ่งพอกิจการตกมาอยู่ในมือคุณ สิ่งแรกที่คุณจะคัดออกก็ย่อม เป็นเหล้าและเบียร์นั่นเอง พอยืนยันกับตนเองเช่นนั้นได้ก็สบายใจครับ ย้ำระลึกกับ ตนเองไว้ เมื่อมีสิทธิ์เลือก คุณเลือกที่จะขายหรือไม่ขาย นั่นแหละถึงจะเป็นกรรม ของคุณ เป็นบาปบุญของคุณ

ในวันที่กิจการยังเป็นสิทธิ์ตัดสินใจของพ่อแม่ คุณเพียงสำรวจดูใจตัวเองก็แล้วกัน ว่าที่ผ่านมามีไหมที่ดีใจขายเหล้าได้เยอะ จะได้มีเงินเข้าร้านแยะ หากพบว่าไม่เคยมีใจ ยินดีเลย ก็ให้นับว่าคุณไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยแม้แต่น้อยครับ


ตั้งจิตอธิษฐานใดๆก็ตาม หากตั้งจิตแล้วมีปีติรองรับ มักจะได้สิ่งที่อยากได้ แต่ที่น่ากลัวก็คือของต่างๆที่เราได้มามักจะแลกกับการตายของบุคคล ขอคำแนะนำ


ดังตฤณเรื่องของการอธิษฐานผมสรุปก็แล้วกัน คือไม่ว่าเราจะเป็นคนที่อธิษฐานขึ้น หรือว่าไม่ขึ้นก็ตาม บางคนบอกว่า อธิษฐานแล้วได้สิ่งที่ต้องการเสมอ มันเลยยิ่งมีความรู้สึกได้ใจ ยิ่งมีความเชื่อมั่นว่า เดี๋ยวเราจะได้อีกเรื่อยๆ

แต่บางคนเกิดมาอธิษฐานอยากได้อะไรไม่เคยได้เลย มันก็จะเริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับไม่เชื่อมั่นว่าตัวเองจะทำได้นะครับ หรือว่าจะอธิษฐานสำเร็จ

คนที่อยากได้อะไรแล้วได้ดังใจเนี่ยนะครับ โดยขั้นพื้นฐานนะครับสิ่งที่มันทำให้เป็นไปตามความอยากได้เนี่ยนะครับเริ่มต้นขึ้นมาจากความแน่วแน่ คือถ้าหากว่าเป็นคนที่พูดจริงทำจริง หรือว่าเกิดความรู้สึกอยากทำอะไรแล้วตั้งใจ ตั้งใจทำอะไรแล้วทำสำเร็จเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้จะขี้เกียจตื่นนอน แต่ตั้งใจว่าวันนี้จะตื่นเช้าแล้วสามารถเอาชนะความขี้เกียจได้ สะสมนิสัยแบบนี้มาเรื่อยๆ ในที่สุดมันจะกลายเป็นคนมีอธิษฐานบารมี

คำว่าอธิษฐานที่แท้จริงมาจากการที่ เรามุ่งมั่นตั้งใจทำอะไรแล้วสำเร็จเสมอ หรือว่ามุ่งมั่นตั้งใจทำอะไร แล้วสามารถเอาชนะกิเลสตัวเอง มีอะไรมาขัดขวางก็ตามก็จะสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความขี้เกียจของตัวเอง ความรู้สึกท้อถอยของตัวเอง

ถ้าหากว่าเรามีพลังเชื่อมั่นในตัวเอง ที่สามารถเอาชนะสิ่งต่างๆ ที่มันมาขัดขวาง ที่มาเป็นอุปสรรคได้ เวลาที่อยากได้อะไร ที่มันเหมือนกับจะเหนือวิสัยปกตินะครับ มันจะดูเหมือนเป็นไปได้ มันจะดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ อันนี้ไม่ต้องไปอธิษฐานขอกับเทวดา หรือว่าจะมีการไปปฏิบัติตนที่ไหน เก็บตัวสามสิบวันอะไรแบบนั้นไม่จำเป็น เอาแค่นิสัยที่สั่งสมมา ความรู้สึกว่าเราตั้งใจทำอะไร เราทำจริงแล้วทำได้อยู่เรื่อยๆ ถึงแม้ว่าจะไม่สำเร็จเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ นี่แหละที่จะทำให้ความอยากมันกลายเป็นจริงขึ้นมา

ทีนี้อย่างบางทีโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่เข้ามาในแวดวงการปฏิบัติธรรม มันมีความผูกพันกับเบื้องสูง หรือไม่ก็มีความลึกลับอะไรบางอย่าง ที่มันรู้สึกได้สัมผัสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เคยได้ยินมาเยอะประเภทที่ว่า อยากให้ศัตรูคู่อาฆาตมีอันเป็นไป หรือว่าไปแช่งเขาว่า เออเนี่ยทำเราเจ็บใจเจ็บปวดขนาดนี้ทั้งๆที่เราไม่ได้ทำอะไรให้ ก็ขอให้ได้รับความวอดวายภายในสามวันเจ็ดวันอะไรแบบนี้นะครับ

คือลักษณะที่อธิษฐานไปบางทีเนี่ย มันเหมือนกับ .. คือจริงๆแล้วมันเป็นความอยากที่รุนแรง บางทีไม่ได้ตั้งใจสาปแช่ง หรือว่าใจร้ายอยากจะไปลงโทษเขาแบบนั้นจริงๆ แต่ว่าพอคิดไปแล้ว พออยากไปแล้วมันเกิดผลขึ้นมาจริงๆ อันนี้บางทีมันก็เกี่ยวข้องกับว่า ถ้าสิ่งที่เขาทำมันเป็นบาปเป็นกรรมจริงๆ แล้วก็ทำกับเราที่ไม่ได้ไปทำอะไรเขาก่อน แล้วประจวบเหมาะกับที่ว่า วิบากเก่าของเขา ถึงเวลาที่จะต้องให้ผลนะครับ ไอ้ตรงนี้บางทีมันก็เกิดเรื่องจริงขึ้นมาได้

บางทีไม่ใช่เพราะว่าเราไปสาปแช่งเขาแล้วมันเกิดผลกับเขาเสมอไปนะครับ มันเป็นของเก่าของเขาด้วย

แล้วทีนี้ตัวคำถามนะครับถามว่า สิ่งที่อยากจะได้มันมักจะเกี่ยวข้องกับความตาย หรือว่าความวิบัติของคนอื่น ตรงนี้เนี่ยถ้าหากว่าจะให้เกิดความรู้สึกเป็นกุศลกับตัวเองจริงๆนะครับ ขอแนะนำว่าอย่าไปคิดอธิษฐานอะไร อย่าไปอยากได้อะไร ปล่อยให้ชีวิตมันดำเนินไปตามเหตุปัจจัยที่ควรจะเป็นนะครับ แล้วความรู้สึกของเราที่ติดค้างคาใจว่า นี่คือผลงานของการอธิษฐานของเรารึเปล่ามันจะได้ไม่เกิดขึ้น

เพราะหลายคนเลย อันนี้จริงๆนะเท่าที่เคยเจอมาตัวเป็นๆเนี่ยนะ พออธิษฐานจะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ จะไปสาปแช่ง หรือว่าจะไปอยากได้อะไรเป็นส่วนตัวก็แล้วแต่ แล้วกลายเป็นความวิบัติแล้วกลายเป็นความเดือดร้อนของคนอื่นเนี่ยมันติดอยู่ในใจจริงๆนะ มันค้างคาอยู่ในใจแบบแกะไม่ออก ซึ่งอันตรายพอสมควร ถ้าหากว่าเรากำลังจะขาดใจตายแล้วไปนึกถึงว่า เอ๊ะชาตินี้ทำบาปอะไรมาบ้าง แล้วไปติดข้องกับตรงนี้จุดนี้เนี่ยนะ มันก็มีผลให้เกิดภาวะตายไม่ค่อยจะปลอดโปร่งขึ้นมาได้นะครับ

สรุปก็คือว่า ถ้าอะไรที่เป็นเหตุปัจจัย ที่ทำให้ไม่สบายใจว่าต้นเหตุมาจากเรา ก็หลีกเลี่ยงซะ เอาง่ายๆเลยนะครับ

---------------------------------------

 ผู้ถอดคำ                     แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                     ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ตั้งจิตอธิษฐานใดๆก็ตาม หากตั้งจิตแล้วมีปีติรองรับ 
                              มักจะได้สิ่งที่อยากได้ แต่ที่น่ากลัวก็คือของ
                              ต่างๆที่เราได้มามักจะแลกกับการตายของบุคคล ขอคำแนะนำ
ระยะเวลาคลิป           ๗.๐๗ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=mIznGWnZMJw&list=PLmDLNhxScsWNnKfEvpuJhA_0nMkswa8kW&index=113

คุณดังตฤณสอนแผ่เมตตา พร้อมนำสวดมนต์


ดังตฤณการแผ่เมตตา การแผ่เมตตานั้นเป็นไปเพื่อละความพยาบาท เพื่อให้จิตคลายจากอาการผูกใจ ทำให้เกิดความแผ่ผาย เปิดกว้าง สว่าง เย็น อันเป็นลักษณะของสมาธิจิต ไม่กระจุกตัว อัดอั้น ปิดแคบ เร่าร้อน อันเป็นลักษณะของจิตที่ฟุ้งซ่าน

ผลของการแผ่เมตตาอย่างถูกต้อง จึงเกื้อกูลทั้งการนั่งสมาธิ และการเดินจงกรม ตลอดจนการเจริญสติให้มีคุณภาพดียิ่งๆขึ้นไป

เพื่อเริ่มฝึกแผ่เมตตา อาจทำหลังฝึกอานาปานสติ หรือจะก่อนอานาปานสติก็ได้ เพราะทั้งสองเป็นแบบฝึกจิตที่เกื้อกูลกันอยู่ กล่าวคือ อานาปานสติเป็นหลักของการฝึกรู้ตามจริง ยอมรับสภาพอันเป็นธรรมดาตามจริง ส่วนการแผ่เมตตา คือตัวอย่างของจิตที่เปิดกว้าง เบิกบานพร้อมรู้ สงบสว่างปราศจากความฝืนใจ

เริ่มต้นให้ทบทวนว่าขณะนี้เรายังผูกใจเจ็บอยู่กับใครมากที่สุด อาจจะหลับตานึกถึงคนๆนั้น ชั่วขณะที่มโนภาพของเขาปรากฏขึ้นต่อใจของเรา ปฏิกิริยาทางใจที่เกิดขึ้นทันที อาจเป็นความเกลียด ความชัง ความระคาย ความขุ่น หรือความรู้สึกเป็นลบในแบบใดๆ ให้ยอมรับตามจริง อย่าฝืนคิดให้เป็นอื่น จากนั้นพิจารณาว่า ความผูกใจเจ็บเป็นอาการจุกอก เหมือนกับจิตยังหิวน้ำ กระหายความชุ่มชื่น

หรืออีกทีก็เหมือนจิตมีอาการป่วยไม่เป็นปกติ จึงได้เกิดอาการอันเป็นทุกข์ทางใจขึ้นมาไม่เลิก ลองคิดดูธรรมดาถ้าเกิดความผิดปกติทางกาย เช่น รู้สึกจุกแน่นเสียดในอก เราจะลากลมหายใจเข้ายาวๆ ช้าๆ เพราะอยากหายจุกอก

หรือเมื่อหิวน้ำ เราจะหาน้ำดื่ม เพราะอยากแก้กระหาย หรือเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย เราจะหายากิน เพราะอยากฟื้นไข้ อยากจะได้กลับมามีกำลังวังชากระชุ่มกระชวยได้อีก แต่พอมีความผิดปกติทางใจ เกิดอาการเจ็บ อาการช้ำ อาการยอกอก เรากลับไม่หาทางแก้ ตรงข้ามบางทีจะเหมือนหวงไว้ อยากเลี้ยงความพยาบาทไว้ ด้วยความคิดว่า จะเอาไว้ระเบิดใส่ศัตรูคู่อาฆาตแก้แค้นให้สมอยากให้ได้เสียก่อน นั่นแหละจึงค่อยหายเจ็บ

ความจริงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตามธรรมชาติของจิตแค่ไม่คิดก็ไม่ทุกข์ พระพุทธเจ้าให้พิจารณาอาการผูกใจพยาบาทว่าเหมือนโรค พอเรานึกถึงความเป็นโรคทางใจ ซึ่งกำลังเกิดขึ้นจริง มโนภาพของศัตรูคู่แค้นก็จะหายไป กลายเป็นการเห็นทุกข์เห็นภัยภายในตัวเองแทน ที่ตรงนั้น เราจึงพอจะมีแก่ใจอยากหายป่วยเสียได้

หรือเมื่อพิจารณาว่าจิตกำลังหิวน้ำ หิวน้ำใจ หิวความมีเมตตาจากตนเอง ก็ค่อยสามารถรินน้ำใจให้อภัยศัตรู ซึ่งเท่ากับปลดปล่อยตนเองจากพันธนาการเสียได้

เมื่อใจเป็นอิสระจากความผู้พยาบาท เราจะรู้สึกถึงความโล่งหัวอก ปากยิ้มได้แล้ว สีหน้าคลายได้แล้ว ก็ให้ทำความรู้สึกถึงความโล่งหัวอกนั้นว่าเป็นสุข ให้เข้าใจว่านั่นเองคือทุนที่จะแผ่เมตตาได้

ขอให้สังเกตว่า ความสุขอันเกิดจากการอภัยได้อย่างไม่มีเงื่อนไขนั้น พร้อมจะขยายตัวออกมาจากความว่างภายใน และแผ่ผายกว้างออกไปทุกทิศทุกทางได้เองโดยไม่ต้องสั่ง ไม่ต้องฝืนบังคับให้เป็นเช่นนั้น เราแค่ทำความรู้สึกถึงรัศมีสุขที่แผ่ออกไป และเห็นว่าด้วยรัศมีสุขนั้น เราไม่อยากเบียดเบียนใครเลย จิตของเราจะไม่จำเอาเสียเลยว่า ใครเคยทำร้ายเราบ้าง มีแต่อยากให้กระแสสุขเช่นนี้แผ่ลามออกไปไม่มีที่สิ้นสุด และได้สุขแบบเดียวกันกับเราเสมอกันไม่เลือกหน้า

ยิ่งเกิดปีติตื้นตันในรสของจิตอันเปี่ยมเมตตามากขึ้นเท่าไหร่ ใจก็จะยิ่งตั้งมั่นในลักษณะแผ่เมตตานานขึ้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องออกแรงพยุงก็เหมือนทรงอยู่ได้เองชั่วขณะ

แต่ถ้าไม่มีปีติ ไม่มีความอิ่มใจ ก็ไม่จำเป็นต้องไปรีดออกมาให้เปลืองแรงเปล่า เพราะความสุขและเมตตาเป็นสิ่งที่เค้นกันไม่ได้ ยิ่งเค้นจะยิ่งทุกข์เสียมากกว่า

กรณีที่รู้สึกว่าหลักการแผ่เมตตาแบบมาตรฐานยังยากอยู่ ก็อาจอาศัยตัวช่วยจุดชนวนให้คือ เปล่งเสียงสวดอิติปิโสอย่างมีความสุข คลื่นเสียงที่ออกมาสรรเสริญพระรัตนตรัยนั้น จะช่วยปรับคลื่นจิตให้ตรงกัน เสียงสว่างจิตก็สว่าง เสียงศักดิ์สิทธิ์จิตก็ศักดิ์สิทธิ์ เสียงสุขจิตก็สุข เราจะเปล่งเสียงอย่างมีความสุขได้ก็ต้องมีความตั้งใจที่ประณีต เช่น คิดใช้แก้วเสียงแทนเครื่องบูชาชั้นสูง กล่าวแต่ละคำออกมาเต็มปากเต็มคำ เต็มอกเต็มใจ ด้วยอาการเช่นนั้น ยิ่งสวดนานก็จะยิ่งบังเกิดความรู้สึกอบอุ่นปรีดามากขึ้นทุกที กระทั่งสุขล้นเอ่อพอจะแผ่ออกเป็นเมตตาชั้นดีได้

(คุณดังตฤณนำสวดมนต์)

เมื่อสวดอย่างสบายใจถึงจุดหนึ่ง ขอให้สังเกตว่า การเปล่งเสียงสรรเสริญพระรัตนตรัยอย่างมีความสุขนั้น จะช่วยลดความฟุ้งซ่านลงไปเรื่อยๆ ยิ่งสวดนานหลายรอบก็ยิ่งตกแต่งจิตให้เกิดความชุ่มชื่นเบิกบาน เหมือนพร้อมจะตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ทันที

เมื่อรู้ได้ถึงความสุขที่ทรงตัวอยู่เองแล้ว ก็ให้หยุดสวดแล้วทำความรู้สึกถึงท่านั่งหลังตรงสบายๆ จะพบว่ารัศมีสุขแผ่ผายออกไปได้เองโดยไม่ต้องจงใจ เราเพียงทำความรู้สึกถึงรัศมีสุขนั้น ด้วยจิตคิดว่า อยากให้รสสุขนี้แก่ เทวดา มนุษย์ และสัตว์ทั่วทั้งฟ้าดิน ไม่ต้องเบียดเบียนกันอีก เพียงเท่านี้ก็จัดเป็นการแผ่เมตตาอย่างดีแล้ว

หากสวดอิติปิโสจนจิตเยือกเย็น และมีอาการแผ่กว้างได้ทุกครั้ง ก็อาจช่วยเป็นตัวช่วยนำสมาธิได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าวันไหนเกิดความรู้สึกว่า ตัวเองฟุ้งซ่านจัดจิตเป็นสมาธิได้ยากกล่าวคือ ก่อนนั่งสมาธิฝึกอานาปานสติก็สวดอิติปิโสเสียก่อน อาจหลายรอบจนกว่าจะสังเกตได้ว่าจิตเข้าสู่ภาวะอ่อนโยน นุ่มนวล และมีความสว่างขึ้นที่ภายใน

ถ้าสวดอิติปิโสได้ขึ้นใจ ก็นำไปใช้ได้ทุกสถานการณ์ รู้สึกแย่เมื่อใดก็สวดอิติปิโส นอนไม่หลับก็สวดอิติปิโส ขึ้เกียจอ่านหนังสือก็สวดอิติปิโส อกหักก็สวดอิติปิโส เพื่อปรับจิตให้แผ่กระแสเมตตาออกมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นภาวะปกติในเรา ไม่เศร้าหมอง ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่สับสน และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่พยาบาทใครเลย

-----------------------------------------

คุณดังตฤณสอนแผ่เมตตา พร้อมนำสวดมนต์
ผู้ถอดคำ                       แพร์รีส แพร์รีส
ระยะเวลาคลิป           ๙.๓๓ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=HqlvqwVV-3I

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

เลิกกับแฟนแต่พยายามจะลืม แต่ความรู้สึกเดิมๆมันวนกลับมา แล้วก็อึดอัดใจมากจะทำอย่างไร จะฝึกคิดอย่างไร?


ดังตฤณอันนี้ก็เป็นอีกเคสนึง บอกว่าพยายามจะตัดใจ คนเราเนี่ย ด้วยความเข้าใจผิด ด้วยความไม่รู้นะครับว่า ธรรมชาติของใจเนี่ยมันตัดกันไม่ได้ ก็จะพยายามตัดกัน นึกว่าตัดใจได้จะหายทุกข์

แท้ที่จริงแล้วเราอยู่ในโลกความจริง อยู่กับธรรมชาติของใจที่มันไม่สามารถหักห้าม มันจะรู้สึกอะไรของมันเนี่ย มันเป็นไปตามเหตุปัจจัย

อย่างเวลาที่ความสุขที่เคยมีมากับเขา มันย้อนกลับมาสร้างความทรงจำ แล้วเกิดความสุขขึ้นมาอีก อยากได้ความสุขแบบนั้นอีก อันนี้เป็นเรื่องที่เราไปสกัดกั้นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ เราสามารถสังเกต ค่อยๆสังเกตรายละเอียดของความสุขที่มันย้อนกลับมา บางทีมันสร้างภาพแปลกๆขึ้นมานะความสุข

อย่างสมมติว่า เรามีเหตุการณ์ร่วมกับคนรัก เคยจับมือกันดูทิวทัศน์ที่สวยงามตอนกลางคืน ลองเจาะลงไปในรายละเอียด ลองดูว่าที่จับมือเนี่ย เราอยู่ข้างซ้ายหรือเขาอยู่ข้างขวา สิ่งที่เห็นตอนนั้นที่บอกว่ามันเป็นความสุข เห็นพระจันทร์แล้วมีความสุข เห็นแม่น้ำแล้วมีความสุข หรือว่าเห็นอะไรแล้วมันเกิดความสุข เป็นภาพทั้งหมดหรือว่าเราจ้องเฉพาะจุดใดจุดหนึ่ง มันถึงเกิดความสุขแบบนั้น หรือว่าเป็นความรู้สึกที่ได้อยู่ใกล้ๆกันกับคนที่เรารัก หรือว่ามันเป็นทั้งหมด คือได้อยู่ใกล้กันด้วยในท่ามกลางบรรยากาศดีๆด้วย แล้วมันถึงเกิดความรู้สึกแบบนั้น ลองเจาะรายละเอียดดู คุณจะพบว่า สิ่งที่อยู่ในความจำจริงๆมันเลอะเลือนนะครับ แต่สิ่งที่ชัดเจนมีอยู่แค่อย่างเดียว คือความรู้สึก

ความรู้สึกนั้นตรงนั้น ณ เหตุการณ์นั้นพอมันย้อนกลับมา มันเหมือนกับว่าราวกับว่ามันกลับมาเกิดขึ้นใหม่ สิ่งที่กลับมาเกิดขึ้นใหม่มีอยู่อย่างเดียวคือความรู้สึก ภาพรายละเอียดความทรงจำอะไรมันจางลงไปหมดแล้วนะครับ

หรือบางคนเถียงว่า “ความจำเราดีรายละเอียดเนี่ยบอกได้ชัดยิบๆเลย” แต่ไอ้ความจำที่เรารู้สึกว่าจำได้ละเอียดนั้นน่ะ ถ้าเจาะลงไปแล้วนะ คุณจะพบว่ามีอะไรตกหล่นอยู่เสมอ แต่สิ่งเดียวที่มันไม่หายไป ไม่ตกหล่นไปก็คือความรู้สึก

ทีนี้ถ้าหากว่าเราจับได้ว่า คีย์ของอาการตัดใจจากคนรักเก่าไม่ได้ ก็คือความรู้สึกนี้แหละ เราเป็นสุขแค่ไหน เราเคยได้รู้สึกน่าประทับใจลึกซึ้งขนาดนี้ยังไง ไอ้ตัวนี้แหละถ้าหากว่าเราสามารถอ่านออก แล้วมองมันได้ ตั้งมุมมองมันได้ถูกต้องเนี่ย เราจะไม่เป็นคนที่มีความทุกข์กับสิ่งที่ผ่านไปแล้วล่วงไปแล้ว

อย่างพอมีความคิดถึงคนรักเก่า ถามตัวเองว่า ความรู้สึกที่มันเป็นสุขตรงนั้นเนี่ย มันสุขในแต่ละวันเท่ากันมั้ย อย่างบางวันเรากำลังมีความบันเทิงรื่นเริงอยู่กับคนอื่น อยู่กับเพื่อนฝูง อยู่กับญาติ เรากำลังมีความอิ่มเต็ม มีความอิ่มใจอยู่กับอะไรเฉพาะหน้าเนี่ย ไอ้ความรู้สึกเดิมๆที่มีกับคนรักมันเหมือนจะมาแข่งไม่ได้ มันเหมือนแพ้ มันเหมือนจะเข้ามาอยู่ในใจเราไม่ได้

แต่เมื่อไหร่เราเหงาๆ เราเกิดความรู้สึกราวกับว่า ไม่มีใครเหลืออยู่แล้วในโลก ความสุขเก่าๆกับคนรักเนี่ย มันจะแวะเวียนเข้ามาทันที แล้วก็มาครอบงำจิตใจเรา บอกเราว่า ไม่มีอะไรที่ทำให้เรามีความสุขได้เท่ากับตอนที่อยู่กับคนรักเก่า มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆตามเหตุปัจจัย แล้วเราก็มักจะเลือกเชื่อความรู้สึกตอนที่เราเหงา ตอนที่เราโดดเดี่ยวอยู่ ตอนที่เราไม่มีอะไรจะทำอยู่ ตอนที่เราไม่มีความสุขอย่างอื่นอยู่ในใจ เราเชื่อแล้วก็ยึดไอ้ความสุขแบบนั้น แล้วก็เก็บมาคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า อยากจะกลับไปมีความรู้สึกหรือประสบการณ์แบบเดิมอีก

พอเราได้เห็นนะครับว่า ไอ้ความรู้สึกเนี่ยมันเล่นตลกกับเรา มันครอบงำจิตใจเราได้อย่างไร เราจะเริ่มเขยิบยกระดับขึ้นมาสู้มันได้ คือสู้กับมันเนี่ย สู้ด้วยความเข้าใจ สู้ด้วยความเห็น อย่างสู้ด้วยอาการพยายามตัด อย่าสู้ด้วยอาการพยายามเอาชนะเอาดื้อๆแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า เพราะว่าการพยายามหักด้ามพร้าด้วยเข่าเนี่ย มันเป็นการพยายามที่สูญเปล่า แต่ใช้ความเข้าใจว่า แม้ความรู้สึกที่เรายึดมากที่สุด หวงไว้มากที่สุด แล้วก็เป็นเหตุให้เราอยากจะเอาคนรักเก่ากลับมาเนี่ย แต่ละวันมันไม่เท่าเดิม มันมีเหตุปัจจัยของมัน เนี่ยตรงนี้เนี่ยความเข้าใจตรงนี้นะครับ จะทำให้เราเห็นค่าของความรู้สึกเนี่ยน้อยลงเรื่อยๆ ลดความยึดมั่นถือมั่นกับความรู้สึกแบบเอาเป็นเอาตายน้อยลงเรื่อยๆนะครับ

ก็พูดง่ายๆนะครับ อาศัยความเข้าใจว่า ความสุขไม่เที่ยงเป็นตัวแก้ อย่าพยายามหักด้ามพร้าด้วยเข่า โอเคครับวันนี้คงสมควรแก่เวลาครับ ประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษ แล้วพบกันใหม่ ไม่เสาร์ก็อาทิตย์นะครับ สวัสดีครับ

---------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                       แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                     ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         เลิกกับแฟนแต่พยายามจะลืม แต่ความรู้สึกเดิมๆมันวนกลับมา 
                              แล้วก็อึดอัดใจมากจะทำอย่างไร จะฝึกคิดอย่างไร?
ระยะเวลาคลิป           ๗.๑๓ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=ojigB0XOQeU

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ


ดังตฤณ :  ตามธรรมเนียมของรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ เราจะมาสวดมนต์กันท้ายรายการทุกครั้งนะครับ ใช้หูฟังนะครับสำหรับท่านที่อาจจะเพิ่งมาใหม่นะครับ เดี๋ยวเรามาเริ่มกันเลยนะครับ

คุณดังตฤณนำสวดมนต์โดยใช้ ))เสียงสติ(( ช่วยสวดมนต์

ก็ผ่านไปนะครับสำหรับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านคืนนี้นะครับ ถ้าหากสัปดาห์หน้าวันเสาร์นะครับไม่ได้ติดธุระอะไรพร้อมกันระหว่างผมกับท่าน ก็มาพบกันใหม่นะครับ สามทุ่ม

สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

-----------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ช่วง                              สวดมนต์ร่วมกันก่อนจบรายการ                         
ระยะเวลาคลิป           ๓.๐๓ นาที
รับชมทางยูทูบ               https://www.youtube.com/watch?v=jVCIWrgI2Oc&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=11&t=0s

ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว สังเกตยังไง?


ดังตฤณ :  ลองดูนะครับ ลองเข้าไปที่ www.เสียงสติ.com คลิกเข้าไปที่คลื่นปัญญานะครับ แล้วจะมีอยู่คลิปนึงที่บอกว่าฝึกรู้ลมหายใจสั้นและยาว คือจริงๆดูมาตั้งคลิปแรกก็ดี ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะงงว่าเขาทำอะไรกันยังไง มีรายละเอียดในการดูการชมยังไง

คือถ้าคุณหายใจยาวเป็น คุณจะรู้ได้เองว่าหายใจสั้นมันแตกต่างกันอย่างไร แต่ถ้าคุณเป็นแค่หายใจสั้นเหมือนคนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่เคยฝึกหายใจยาวมาก่อน อันนี้มันยากแน่นอน เพราะว่ามันครือๆกัน มันคล้ายๆกัน มันเหมือนๆกัน มันยาวๆสั้นๆเนี่ยนะครับ

เวลาคนทั่วไปจะหายใจยาวทำยังไง หายใจด้วยอกแล้วก็อึดอัด (แสดงการหายใจด้วยอก) มันก็หายใจยาวได้แค่ครั้งเดียว เสร็จแล้วเวลาหายใจสั้นก็ไม่มีสติที่จะรู้

แต่ถ้าหากว่าคุณหัดหายใจด้วยท้อง แล้วจับจังหวะถูกนะครับ เนี่ยอย่างที่ผมเอามาฉายให้ดูบ่อยๆเนี่ยนะครับ (แสดงคลิปคลื่นปัญญา ฝึกรู้ลมหายใจสั้นและยาว) ถ้าจับจังหวะอย่างนี้ถูกนะ เอาตามนี้เลย แค่ดูเนี่ยท้องมันจะเลียนแบบตามแอนิเมชั่นไปอัตโนมัติ คุณจะหายใจยาวเป็น แล้วพอหายใจยาวเป็น มันจะหายในยาวอยู่เรื่อยๆ พอหายใจยาวอยู่เรื่อยๆ แล้วหายใจสั้นขึ้นมาสลับกัน มันก็จะมีสติเท่าทัน มันก็จะรู้ว่าหายใจยาวกับหายใจสั้นไม่เที่ยงด้วยกันทั้งคู่ อันนี้แหละที่มันจะเริ่มสังเกตเป็นขึ้นมานะครับ

---------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ลมหายใจสั้น ลมหายใจยาว สังเกตยังไง?           
ระยะเวลาคลิป           ๒.๐๖ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=iw3CQqDSWRs&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=2&t=0s

ถ้าหากตั้งมั่นจะเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ทำไม่สำเร็จ เราควรจะทำอย่างไรต่อ เพราะชาติต่อๆไปเราจะจำอะไรไม่ได้


ดังตฤณ :  พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะครับ ตั้งความศรัทธาไว้ในพระองค์ให้มีความตั้งมั่น แล้ววิธีที่จะมีศรัทธาในพระองค์อย่างตั้งมั่น คือศึกษาคำสอนของพระองค์ดีๆ แล้วก็พยายามทำตามทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะในขั้นของทาน ในขั้นของศีล ในขั้นของการภาวนาเจริญสติ ขอให้พยายามทำแบบที่พระพุทธองค์สอนจริงๆนะ ไม่ใช่ไปจำของใครที่บางทีอาจจะขัดแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้ามานะครับ

แล้วความก้าวหน้าความเจริญของคุณ จิตที่มันมีความสว่าง มีความสบาย มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นเนี่ยนะ มันจะหยั่งรากของศรัทธาให้ลึกลงไป ลึกลงไปกว่าชั้นของจิตสำนึก ไอ้คิดๆนึกๆอะไรเนี่ย จริงๆแล้วเดี๋ยวมันก็หายไป แต่รากของศรัทธาที่หยั่งลึกลงไปในจิตจริงๆเนี่ยนะครับ อันเกิดจากการที่เราได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วได้ดีเนี่ย มันจะนำร่องให้เราได้ไปพบพระพุทธเจ้าอีก ถ้าหากว่ามีพุทธศาสนาอุบัติ ไม่ใช่ว่าคุณตายไปเนี่ย คุณจะได้ไปพบพุทธศาสนาเสมอไปนะครับ พระพุทธศาสนาไม่ได้เกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆนะครับ นานๆมาที ของดีนะครับ

บางทีทั้งกัปทั้งกัลป์พุทธศาสนาไม่อุบัติเลยก็มีนะครับ เป็นสุญญกัปเป็นช่วงเวลาที่มืดบอดอย่างแท้จริง ไม่มีพุทธศาสนามาเอาคนออกจากโอฆะกันดาร หรือว่าสังสารวัฏนี้เลยนะครับ

เพราะฉะนั้นจริงๆแล้วเนี่ย คือพยายามของคุณบางทีนะ มันอาจจะพยายามแบบเร่งร้อน อาจพยายามแบบว่าไม่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไปนะครับ

ถ้าพยายามแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป มันไม่สนหรอกว่าอนาคตจะเป็นยังไง เพราะมันรู้อยู่ในปัจจุบันว่า การที่เรามีสติค่อยๆเพิ่มขึ้น เข้ามารู้สภาพทางกายทางใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน มันจะค่อยๆสุกงอมขึ้นเอง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องไปเร่งรัดนะครับ

แล้วอาการนั้นมันจะทำให้เราใจเย็น แล้วก็ไม่เค้น ไม่ไปคิด ไม่ไปวิตกว่าอนาคตจะเป็นยังไง เพราะว่าปัจจุบันที่จิตมันมีความตื่น ที่มันมีความค่อยๆรู้ในกายในใจนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มันจะบอกตัวเองเลยว่า แบบนี้ไม่ไปไหน ชัวร์! ยังไงเดี๋ยวก็จะต้องเข้าทางตรง แล้วก็ไปจนสุดทางแน่ๆ

------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ถ้าหากตั้งมั่นจะเข้าถึงนิพพานในชาตินี้ พยายามอย่างเต็มที่แล้ว 
                             แต่ทำไม่สำเร็จ เราควรจะทำอย่างไรต่อ เพราะชาติต่อๆไป
                             เราจะจำอะไรไม่ได้  
ระยะเวลาคลิป           ๓.๐๙ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=qG5eijueVA0&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=3&t=0s


** IG **

มีความเครียดสะสม เป็นคนคิดวนไปวนมา ทำยังไงถึงจะเข้าสมาธิได้คะ?


ดังตฤณ :  ถ้าจะเอาแบบสั้นๆง่ายๆที่ตอนนี้ผมกำลังเดินสายโปรโมทอยู่เลยนะ ก็ลองเข้าไปที่ www.เสียงสติ.com นะครับ เอามาตั้งแต่แรกเลยนะครับ คือฟังเพลงก่อน ฟังเพลงคลื่นศรัทธา มันจะเหมือนคุณไปสวดมนต์แบบดีๆมีคุณภาพมา แล้วนึกถึงพระพุทธเจ้า คนเรานะนึกถึงพระพุทธเจ้าออก มันสงบลงได้ง่ายๆ

และจากนั้นลองฟังคลื่นสมาธิ หรือจะกระโดดมารับชมคลื่นปัญญาเลยก็ได้นะครับ ลองไปที่นี่นะ www.เสียงสติ.com คุณถามอย่างนี้เนี่ย คือจริงๆแล้วทุกคนที่ถามแบบนี้เนี่ยนะ ต้องการวิธีที่ง่าย ผมทำให้แล้วนะครับ ก็ลองเข้าไปดูนะครับว่ามันจะได้ผลรึเปล่า แต่ต้องตั้งใจเอาจริงๆนะ ไม่ใช่ลองแค่สิบวินาทีแล้วบอกไม่ได้ผลเนี่ย มัน .. อันนี้ก็จะต้องหาวิธีใหม่นะครับ

-----------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         มีความเครียดสะสม เป็นคนคิดวนไปวนมา ทำยังไงถึงจะเข้าสมาธิได้คะ?   
ระยะเวลาคลิป           ๑.๑๕ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=PaEE42hfqiQ&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=5&t=0s

ปรกติเป็นคนชอบทำบุญอยู่เรื่อย พอถึงช่วงที่เรามีปัญหาชีวิต เราสามารถอธิษฐานเบิกบุญมา ช่วยเราได้หรือไม่ เพราะจิตเราจะคิดถึงแต่พระพุทธรูป หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยามที่มีปัญหาชีวิต


ดังตฤณ :  อย่าคิดถึงคำว่า เบิกบุญเลย คิดถึงคำว่าเอาความชุ่มชื่นที่เกิดจากการทำบุญเป็นประจำมาใช้ได้มั้ย คุณจะตอบตัวเองได้ทันทีว่า ได้! นะครับ

ถ้าหากคุณทำบุญในแบบที่มีการเจือจาน มีการช่วยได้สำเร็จ มันจะเกิดความชุ่มชื่นใจเสมอ ถ้าใจเล็งเห็นว่าประโยชน์ของผู้รับคืออะไร แล้วเขาได้รับประโยชน์นั้นจริงๆ จะเกิดความชุ่มชื่นใจไม่มากก็น้อย จะไม่เกิดความรู้สึกชืดๆ ชาๆ เฉยๆ

ทีนี้พอมีปัญหาอะไรก็ตาม คุณน้อมระลึกถึงความชุ่มชื่นอันเกิดจากการช่วยคนสำเร็จ หรือว่าถวายทานแล้วเป็นประโยชน์กับพระสงฆ์ได้จริงๆนะครับ อย่างนี้ก็จะเกิดความชุ่มชื่นขึ้น แทนที่ความรู้สึกแห้งแล้ง หรือว่าฝืดเคืองกับปัญหาที่รุมเร้าในชีวิตประจำวัน

ทุกครั้งที่คุณนึกถึงความชุ่มชื่นในบุญได้ แล้วมันมาแทนที่จริงๆเนี่ย ตอนแรกจะเหมือนกับมีน้ำที่มันลงมาประพรม หรือว่ารดดินที่มันแห้งแล้งให้กลับกลายเป็นชุ่มฉ่ำ แต่พอทำจนชำนาญ คุณจะเห็นว่าดินที่ชุ่มฉ่ำนั้นน่ะ มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว งอกขึ้นมาจากดินที่แห้งแล้งอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความรู้สึกชื่นตาชื่นใจ มันจะเหมือนกับใจของเราเนี่ย พอมันมีความชุ่มชื่นนะ มันแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเป็นความคิดที่จะเอาชนะปัญหาได้ เนี่ยตัวนี้คือรูปของบุญ ผลของบุญที่คุณทำอยู่เรื่อย

ถ้าหากว่าคุณทำบุญมาอย่างถูกต้อง ทำแล้วได้ความชุ่มชื่นใจนะครับ เพียงคุณนึกถึง ณ ขณะที่ใจกำลังแห้งแล้ง มันจะถูกแทนที่ด้วยความชุ่มชื่น แล้วพืชพรรณหรือดอกไม้มันจะแตกกิ่งก้านสาขาออกมาเป็นความคิดว่าจะเอาชนะปัญหาได้ยังไง จะเกิดไอเดียแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่า  เออทำแบบนี้ก็ได้นี่ ทำไมจะต้องไปแช่อยู่กับความคิดแบบเก่าๆ วิธีแบบเดิมๆที่ทำสืบๆกันมาโดยไม่มีความคิดอะไรใหม่ๆเลยนะ ความคิดของคุณจะงอกงามขึ้นมาแล้วก็เอาชนะอุปสรรคได้ด้วยความรู้สึกที่ง่ายดาย นี่ย้ำ!นะครับว่า ถ้าคุณทำบุญมาอย่างถูกต้องเป็นประจำ ทำบุญแล้วเกิดความชุ่มชื่นขึ้นทันที เนื่องจากเห็นว่าประโยชน์ของผู้รับมันสำเร็จแล้ว นี่ตัวนี้ความชุ่มชื่นที่เกิดขึ้นเป็นประจำนั่นแหละ จะมาช่วยแน่นอนนะครับ

อย่าไปคิดถึงคำว่าเบิกบุญเลย คนคิดคำว่าเบิกบุญนี่ก็โอเคเขาฉลาดในการใช้คำ แต่ว่านำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดนะครับ

-------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ปรกติเป็นคนชอบทำบุญอยู่เรื่อย พอถึงช่วงที่เรามีปัญหาชีวิต 
                              เราสามารถอธิษฐานเบิกบุญมาช่วยเราได้หรือไม่ 
                              เพราะจิตเราจะคิดถึงแต่พระพุทธรูป หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยามที่มีปัญหาชีวิต
ระยะเวลาคลิป           ๓.๔๐ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=ejfSmCQxIjo&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=6&t=0s


** IG **

ขอคำแนะนำวิธีกรวดน้ำที่ถูกต้องค่ะ บางพระบอกห้ามให้เจ้ากรรมนายเวร เดี๋ยวเขามีพลัง


ดังตฤณ : คือพระบางรูป หรือบางความเชื่อก็อาจจะไปเห็นอะไรมาจริงๆ แต่บางความเชื่อก็สักแต่เชื่อ เอาอย่างนี้แล้วกัน พูดอย่างนี้นะครับ เรื่องขอการอุทิศส่วนกุศลจริงๆไม่จำเป็นต้องกรวดน้ำเลยด้วยซ้ำ

การกรวดน้ำเป็นสื่อ เพื่อให้คนส่วนใหญ่มีใจที่นิ่งอยู่กับสายน้ำที่ไหลลงไป เปรียบเหมือนกับใจของเราที่รินรดลงไปมีน้ำใจนะครับ

การกรวดน้ำแทนน้ำใจที่มันมีความชุ่มเย็น มันมีความรู้สึกว่า เป็นของไหลที่อ่อนโยน แล้วก็เป็นของบริสุทธิ์สะอาดที่แทนสภาพกุศลที่มันออกไป

แต่จริงๆแล้ว ลักษณะการอุทิศส่วนกุศลที่ดีที่สุด คือการรู้อยู่ที่บุญ ลักษณะบุญเป็นยังไง มันมีความสบาย มันมีความเปิด มันมีความแผ่ มันมีความสว่าง มันมีความจ้าในความเป็นกุศล จิตที่จ้าๆในแบบที่เป็นกุศลมันมีความ .. เขาเรียกว่า มีความแก่รอบ มีความแก่กล้าที่จะแผ่กุศลออกไป ซึ่งอันนี้คนส่วนใหญ่ยังทำกันไม่ได้

แต่ถ้าหากคุณสังเกตนะครับว่า เมื่อไปถวายสังฆทานก็ตาม หรือว่าทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยโคกระบือ หรือว่าจะบุญชนิดไหนก็ตาม ถวายตู้พระไตรปิฎก ขุดเจาะน้ำบาดาล อะไรก็ตามที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับจ้าๆออกไปได้เนี่ย คุณสังเกตตรงนั้นว่า แค่เราทอดสายตาออกไปสบายๆ แล้วตามอาการจ้านั้นไป ที่มันสว่างๆ ที่มันแผ่ออกไป แค่เราน้อมให้ความสว่างตรงนั้นไปได้เหมือนกับกลุ่มน้ำในห้วงทะเล หรือว่ามหาสมุทร ที่มันแผ่ออกไปไม่มีประมาณ แล้วบอกว่า ขอให้บุญตรงนี้ที่เราเพิ่งทำสำเร็จแล้วมีใจเบิกบาน มีใจปีติ จงได้แก่ทุกท่านทุกรูปทุกนาม โดยเฉพาะถ้าหากว่าท่านกำลังรออนุโมทนาอยู่ หรือท่านมีตัวตนอยู่ในละแวกนี้ ถ้าสามารถรับรู้ได้ ก็โปรดอนุโมทนา เราขอให้กำลังใจอันเข้มแข็งแบบมนุษย์ของเรานี้ที่จะแผ่อุทิศให้ ที่เพิ่งทำบุญเสร็จ จงได้แก่ทุกคน อานิสงส์นี้ขอให้เสมอกัน แค่มีใจเผื่อแผ่แบบนี้เนี่ยนะ มันจะรู้สึกว่าใจของเราเนี่ย คล้ายๆกับเปลวเทียนที่สว่างโพลงนะครับ แล้วก็ไปต่อกับเทียนเล่มอื่นให้มันมีความสว่างไสวทั่วๆกัน

คือเรื่องการกรวดน้ำเนี่ยว่าก็ว่านะ เป็นธรรมเนียมของพราหมณ์ จริงๆแล้วทางพุทธเราก็ทำสืบๆกันมา ก็มีประโยชน์นะครับ แต่ถ้าเราเข้าใจจริงๆว่า ตัวที่จะมีพลังอุทิศบุญ อุทิศกุศลอย่างแท้จริงมันอยู่ที่จิต

แล้วถ้าจิตเราสบาย จิตเรามีความสุข จิตเราเปิดแผ่ออกไป ณ ขณะนั้น จะใช้การกรวดน้ำก็ตาม หรือไม่กรวดน้ำก็ตามมันได้ผล อย่างน้อยได้ผลยิ่งกว่าพวกที่กรวดไป แล้วก็พึมพำเป็นนกแก้วนกขุนทองแบบงึมงำว่า ขอให้เจ้ากรรมนายเวรจงได้รับส่วนบุญอะไรอย่างนี้ แต่ใจนี่แห้งๆอึดอัดอยู่นะครับ เพราะนึกหน้าไม่ออกว่า เจ้ากรรมนายเวรเป็นยังไง เทวดาหน้าตาเป็นยังไง หรือควรจะมีลักษณะออร่าอย่างไร เพราะใจมันอึดอัดอยู่ ใจมันมัวแต่เค้นว่า เออขอให้ได้ ขอให้ได้ แล้วในที่สุดขอให้ข้าพเจ้าเนี่ย จงเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์สูงสุดของการได้อุทิศ พูดง่ายๆว่ามันแฝงอยู่ด้วยความอยากเอาเข้าตัว

ถ้าเริ่มต้นขึ้นมาจากอยากเอาเข้าตัวเนี่ย จิตไม่มีทางเปิดแผ่ออกไป ไม่มีทางสว่าง ไม่มีทางสบาย ไม่มีทางที่จะจ้าอยู่ในลักษณะของรัศมีบุญที่แผ่ออกไป มันมีแต่จะเอาเข้าตัว

นี่คือความเข้าใจที่ถูกต้อง เราเข้าใจเข้ามาที่จิต ไม่ใช่เข้าใจเข้าไปที่รูปแบบของการอุทิศส่วนกุศล จะใช้ขันกรวดน้ำ หรือว่าจะใช้อะไรก็ตาม ขอให้สังเกตเข้ามาที่จิตของตัวเองว่า มีลักษณะของการเปิดแผ่ แบบเผื่อแผ่ให้คนอื่นจริงๆรึเปล่า

หรือว่ามันมีอาการแบบที่เขาสอนๆกันมาว่า เอาความสุขเข้าตัว เอากำไรเข้าตัว เอาสวรรค์เข้าตัว เอาหวยเข้าตัวนะ (คุณดังตฤณหัวเราะน้อยๆ) หรือว่าเอาโชคลาภอะไรทั้งหลายเนี่ยนะ ขอให้มันจงปรากฏแก่เรา ขอให้จงได้แก่เรา เนี่ยลักษณะของการอธิษฐานแบบนี้ หรืออุทิศแบบนี้เนี่ยนะครับ สุดท้ายแล้วมันก็คือการเพิ่มความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่เป็นการแผ่เมตตา หรือทุทิศส่วนกุศลที่แท้จริงนะครับ

--------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ขอคำแนะนำวิธีกรวดน้ำที่ถูกต้องค่ะ บางพระบอกห้ามให้
                              เจ้ากรรมนายเวร เดี๋ยวเขามีพลัง  
ระยะเวลาคลิป           ๖.๐๘ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=eUZyhNBGBHo&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7&t=0s


** IG **

คำว่า "จิตส่งออก" “ความฟุ้งซ่าน” เป็นอาการเหมือนหรือต่างกับคำว่า "กลุ่มความคิดที่หนาแน่นบ้าง เบาบางบ้าง” ตามแอนิเมชั่นในคลื่นปัญญาคะ?


ดังตฤณ :  นี่แสดงว่าปฏิบัติมาจนเห็นระดับนึงแล้ว คือจิตส่งออกเนี่ย พูดง่ายๆว่าเราปล่อยใจ ปล่อยใจให้ไปคิดเรื่องนอกกายนอกใจ เอาจำกัดความง่ายๆสั้นๆ

“ความฟุ้งซ่าน” เป็นอาการที่ห้ามไม่ได้ แต่ยังไม่แน่ว่าจิตส่งออกนอกรึเปล่า เพราะบางคนฟุ้งซ่านแค่เบาบาง เบาบางหมายความว่ายังไง หมายความว่า เนี่ยเริ่มกระโดดไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ ทั้งๆที่มันไม่จำเป็นต้องคิด มันไม่น่าคิด ใจมันลอยๆออกไป แต่มีสติรู้ขึ้นมาว่านี่เริ่มจะลอยออกไป เริ่มจะฟุ้งออกไป เห็นมั้ยเนี่ยฟุ้งซ่าน แต่จิตไม่ส่งออกนอก คือมันมีสติรู้ขึ้นมาว่าเนี่ยมันเริ่มจะลอยๆแล้ว มันเริ่มจะฟุ้งๆขึ้นมาแล้ว แล้วพอรู้ขึ้นมา ก็เห็นอาการฟุ้งตรงนั้น มันกลายเป็นสภาวะหนึ่งที่กำลังปรากฏแสดงความไม่เที่ยงอยู่

อาการรู้แบบนี้นี่แหละ คือจิตอยู่ข้างใน จิตตั้งมั่นอยู่ๆกับการรู้สิ่งที่ควรรู้ ถ้าเทียบกับแอนิเมชั่นก็คือถ้าฟุ้งหนักๆเนี่ยนะ .. คือในแอนิเมชั่นเนี่ยต้องมาตามลำดับก่อนว่า เราเห็นลมหายใจอย่างชัดเจน

คุณจะสังเกตได้ว่า ถ้าเราเห็นลมหายใจอย่างชัดเจน มันรู้ขึ้นมาเองว่า ในหัวเนี่ยนะมันมีภาวะอะไรเคลื่อนอยู่ข้างใน มันเหมือนกับเมฆหมอกบางๆ หรือมันฟุ้งยุ่งขึ้นมา ตรงนี้นะครับพูดง่ายๆเลยว่า เรามีฐานของความรู้ที่มีความชัดเจนพอที่จะไปรู้สิ่งที่ละเอียดกว่าลมหายใจ

ลมหายใจเนี่ยจะว่าหยาบก็ไม่ใช่ จะว่าละเอียดก็ไม่เชิง (ขึ้นแอนิเมชั่นฝึกรู้ลมหายใจ) มันขึ้นอยู่กับคุณภาพของจิต ถ้าหากว่าจิตกำลังหยาบๆอยู่นะครับ ลมหายใจก็ปรากฏเป็นของหยาบๆ ดูก็ไม่รู้ว่าเป็นสาย แต่ถ้าหากว่าจิตเริ่มละเอียดขึ้นมานะครับ ลมหายใจจะปรากฏเป็นสายชัดราวกับน้ำตกเลย แล้วเห็นเป็นอย่างนี้เลยนะครับ มีความสว่างอย่างนี้เป็นสายอย่างนี้เลย

แล้วถ้าหากว่าลมหายใจปรากฏเป็นสายอย่างนี้ แสดงว่าจิตมีคุณภาพแล้ว จิตมีความนิ่ง จิตมีความว่างและไม่พร้อมจะคิดฟุ้งซ่าน ไม่ปล่อยใจฟุ้งซ่านแล้ว ตรงนี้แหละเวลาที่ความคิดมันผุดขึ้นมา เราจะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า แต่ละครั้งที่ความคิดผุดขึ้นมาเนี่ยนะมันไม่เท่ากัน บางทีลอยมาเป็นสายยังไม่รู้เลยว่าเป็นความคิดด้วยซ้ำ มันเหมือนกับมีอะไรเป็นกระเพื่อมๆมาอ่อนๆ

แต่ถ้าหากว่ามันมีความกระเพื่อมที่แรงพอ ความกระเพื่อมนั้นมันจะมาพร้อมกับความจำ ความจำได้หมายรู้ว่า กำลังมีอาการเล็งถึงเรื่องอะไร แล้วเรื่องนั้นมันก็จะปรากฏเป็นภาพขึ้นมา แต่บางทีมันก็ไม่ปรากฏนะเป็นภาพ มันเหมือนกับเป็นความคิดเป็นคำๆไหลออกมาเป็นสายธารอักษร เป็นสายธารคำพูด ซึ่งอันนี้แหละที่ผมหมายถึงว่า ตัวความคิดที่มันหนาแน่นขึ้น แต่ถ้ามันเบาบางเนี่ยหมายความว่า มันแค่กระเพื่อมขึ้นมาน้อยๆ จนกระทั่งเราแทบจับไม่ได้ว่า มันมีความหมายอย่างไร หรือว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่นะครับ

-----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         คำว่า "จิตส่งออก" “ความฟุ้งซ่าน” เป็นอาการเหมือนหรือต่างกับคำว่า 
                             "กลุ่มความคิดที่หนาแน่นบ้าง เบาบางบ้าง” 
                              ตามแอนิเมชั่นในคลื่นปัญญาคะ?                     
ระยะเวลาคลิป           ๔.๐๙ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=Tm6vgQKLnjU&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=8&t=0s