ดังตฤณ
: เราคงพูดถึงธรรมะของพระพุทธเจ้านะ
บอกว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับกฎแรงดึงดูดจากในหนังสือ The Secret แล้วเคยได้ยินว่ากฎแรงดึงดูดนี่ถ้าเราเอาเงินในอนาคตมาใช้
เมื่อถึงเวลาในอนาคตจริงๆ อาจไม่ได้ (เงิน) และอาจติดลบด้วย
นี่ก็เป็นเรื่องของมุมมอง
เป็นเรื่องของความเชื่อนะ อย่างทฤษฎีเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตต่างๆ นานา มีมานาน
แล้วก็มีหลากหลาย คือเราต้องทำความเข้าใจว่า ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้า
เพื่อที่จะเปรียบเทียบได้อย่างชัดเจน ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้านี่
ท่านเริ่มต้นตั้งแต่ที่พระศาสดา คือพระพุทธเจ้าของเรา ได้พบว่า อะไรๆ
ภายในกายใจนี้ รวมแล้วสรุปสั้นๆ ง่ายๆ เลย เป็นที่ตั้งของ “อุปาทาน”
เป็นเหยื่อล่อ ที่เรียกว่า อุปาทานขันธ์
อุปาทานขันธ์
คิดง่ายๆ ว่า เหมือนกับมีเจ้าใหญ่นายโตที่อยู่เหนือชีวิตเรานะ สนุกกับการเอา เห็นเราเป็นม้า
แล้วเขาก็ขี่หลังเราอยู่ แล้วเขาก็สนุกกับการที่เอาเหยื่อล่อตาม้า
ให้มันวิ่งไล่งับเหยื่อไปเรื่อยๆ ม้าวิ่งไล่งับเหยื่อไม่เคยได้นะ แต่ก็วิ่งไปเรื่อยๆ
นึกว่าจะงับทัน จะงับได้ แล้วก็นึกว่าความสุขนี่คือการที่วิ่งทันเหยื่อ
บางทีนี่ เจ้าใหญ่นายโตที่อยู่บนหลังเรานี่ ก็แกว่งๆ
ให้เหยื่อล่อเข้ามาใกล้ราวกับว่าจะงับได้ พองับไปก็วืด
คือดีใจราวกับว่าได้มานี่วูบหนึ่ง
เป็นความดีใจที่ โอ๊ย ได้แล้ว งับได้แล้ว เหมือนกับเราได้ของอะไรมา เราก็นั่นแหละ
อาการแบบนั้น นึกว่าได้เหยื่อที่แท้จริงมาแล้ว นึกว่ามันเข้าปากเราแล้ว แต่จริงๆ
ไม่เคยมีเหยื่อเข้าปากเราจริงเลย เพราะของเหล่านั้น
เราไม่สามารถกอดรัดฟัดเหวี่ยงได้ตลอด 24 ชั่วโมง แล้วเราก็ไม่สามารถอยู่กับมันได้ตลอดไป
ไม่เราก็มัน อย่างใดอย่างหนึ่ง จะต้องเสื่อมสลายหายสูญไปจากโลกนี้
ถ้าไม่มันไปก่อน เราก็ไปก่อน
เราไม่เคยได้เหยื่อมา
แต่เจ้าใหญ่นายโตที่อยู่บนหลังเรา ทำให้เรานึกว่าเราได้มาตลอดเวลา
เราก็วิ่งงับไปเรื่อยๆ พอวิ่งหมดแรงล้มตายลงไป เกิดใหม่ขึ้นมา วิ่งไล่งับต่ออีก
แล้วก็นึกว่าได้เหยื่ออีก วิ่งอยู่อย่างนั้น ชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่มีที่สิ้นสุดนะ
เสร็จแล้วเหยื่อนื่คืออะไร
เหยื่อนี่ คือกายใจนี้ สภาพความปรุงแต่ง เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง เดี๋ยวคิดดีบ้าง
เดี๋ยวคิดชั่วบ้าง จำได้ว่านั่นคือพ่อแม่พี่น้อง จำได้ว่านั่นคือสามี ภรรยา และลูก
อันนี้แหละ เหยื่อล่อ
เริ่มต้นตั้งแต่
กายนี้ ที่กำลังนั่งอยู่อย่างนี้เลย ใจนี้ ที่กำลังคิด ที่กำลังรู้อยู่อย่างนี้เลย
นี่คือเหยื่อล่อ เป็นอุปาทานขันธ์
เป็นที่ตั้งของอุปาทานว่า เป็นตัวเรา เป็นของเรา
พอเราวิ่งไล่งับเหยื่ออยู๋อย่างนี้
แล้วมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันกระเด็นไปข้างหน้าเรื่อยๆ มันลอยไปข้างหน้า
ล่อให้เราวิ่งไปเรื่อยๆ นี่ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เอ้า นี่ลองหยุดวิ่งงับเหยื่อดู
คือให้เห็นน่ะ แม้ขณะของความคิดนี้ ที่กำลังปรากฏอยู่ในสมอง
ถ้าเราเห็นมันเป็นแค่ไฟฟ้าในสมอง ผุดขึ้นมาไม่ซ้ำกัน ผุดแล้วหายๆ
แต่มันยังคงรักษาความรู้สึก หรืออุปาทาน ว่ามีตัวเราอยู่ได้
ถ้ามันหยุดได้ขณะหนึ่ง
ที่ภาษาพระท่านเรียกเป็นแบบพื้นๆ บ้านๆ ว่า สันตติขาด
คือมันขาดแค่ขณะเดียวนะ ว่า เออนี่ มันไม่มีเราอยู่ มีแต่ความปรุงแต่งที่สืบเนื่อง
เป็นชุดๆ ถ้าใครสามารถที่จะเห็นความขาดตอน ไม่ต่อเนื่องของสภาวะดังกล่าวได้นี่
นี่ก็บรรลุโสดา(บัน) บรรลุสกทาคามี หรือบรรลุอนาคามี บรรลุอรหันต์ อันนี้คือธรรมะแบบพุทธ
ส่วนที่เราจะไปเปรียบเทียบว่า
กฎแห่งความสุข กฎแห่งแรงดึงดูด หรือว่ากฎแห่งการเงิน
กฎแห่งการบังคับอนาคตเอาได้อย่างใจ กฎแห่งการที่ใช้จิตสร้างจักรวาลใหม่
สร้างโลกใหม่อะไรขึ้นมา อันนี้มันคนละอย่างกับธรรมะแล้ว
อันนี้ของเรา
หยุดในทางธรรมะ แต่อันนั้น วิ่งต่อ งับเหยื่อกันต่อ ด้วยวิธีที่พิสดารขึ้น
ด้วยวิธีที่มีคุณภาพมากขึ้น ด้วยวิธีที่ได้ผลมากขึ้น
อันนี้พระพุทธเจ้าไม่ได้เถียงนะ
คือแม้แต่ในพระสูตรที่เกี่ยวกับความสามารถทางจิต พระองค์ก็ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า
ถ้าใครมีจิตที่เป็นสมาธิตั้งมั่น ระดับฌาน อย่าว่าแต่มาสร้างอะไรที่เป็นเหตุการณ์นี่
คือสิ่งที่มันไม่มีอยู่ อย่างเช่น ดิน แผ่นดินไหว น้ำท่วม น้ำที่ไม่มีอยู่
ก็ทำให้ท่วมแผ่นดินขึ้นมาได้ หรือว่าไฟที่ไม่มีอยู่ ก็บางทีพ่นออกจากปากยังได้เลย
อันนี้ก็เรื่องของฤทธิ์เดช เรื่องของในความสามารถทางจิต ไม่ใช่แค่เป็นนิทานปรัมปรา
แต่ว่าถ้าพูดง่ายๆ เราสามารถนึกภาพได้อย่างชัดเจนในใจนี่
เราก็ควบคุมให้มันออกมาได้อย่างนั้นจริงๆ
เพราะว่าอะไร
เพราะว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ความหมายก็คือ กาย เป็นดินน้ำไฟลมอยู่ จิต นี่โดยสัญชาติญาณลึกๆ
ของเขา รู้ว่าจะควบคุมดินน้ำไฟลมได้อย่างไร ถ้ามีความนิ่ง ถ้าเป็นประมุข
ถ้าเป็นประธานของธาตุทั้งปวงอยู่นะครับ สามารถคุมธาตุทั้งปวงให้เป็นไปในอำนาจได้
นี่ก็เหมือนกัน
คืออย่างกฎแรงดึงดูดนี่ อันนี้ ทางพุทธไม่เถียงนะ ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง คือ
ถ้านึกภาพในใจได้ชัดเจน กระจ่าง จิตของเราจะทำตัวเป็นเหมือนกับแม่เหล็ก ที่จะดึงดูดให้ภาพนั้นอยู่กับตัว
ยิ่งภาพนั้นอยู่กับตัวได้นานขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมีพลัง
ก่อภาพให้มันกลายเป็นของจริงขึ้นมา นี้คือของจริงนั้นน่ะ ไม่ใช่สักแต่มานั่งสมาธิ นึกภาพเอานะ
แต่ของจริงนั้น ต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมของเราที่จะเดินไปสู่มัน
ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเรานึกถึงตัวของเราเองนี่ นั่งรถ นั่งเรือ นั่งเครื่องบิน แบบที่มีความสุขสบาย
เป็นอิสระทางการเงิน แล้วเราทำตามที่เขาแนะนำจริงๆ ด้วยนะ ผมไม่เคยอ่านหนังสือ The secret นะ แต่ว่ารู้หลักการ เพราะมีหนังสือประเภทนี้อยู่เยอะนะ
แล้วเคยเข้าใจหลักการของพวกนี้ดีว่า พอเราเซ็ต (set) ภาพขึ้นมา
มันมีเป้าหมายชีวิตนะ ที่จะวิ่งไปชน
ทีนี้เป้าหมายชีวิตนั้นมันเป็นภาพสุดท้าย
แต่ก่อนที่จะไปให้ถึงภาพสุดท้าย เราต้องมองก่อนว่า
ในชีวิตจริงของเราตั้งแต่ที่นอนของเรา ไปถึงห้องน้ำ หรือว่าจากบ้านไปถึงที่ทำงาน
มันมีอะไรที่หยิบจับมาเป็นชิ้นเป็นอัน
แล้วลงมือทำให้กลายเป็นเส้นทางไปสู่ภาพที่เรานึกไว้ได้บ้าง
คือไม่ใช่ว่า
นึกภาพอย่างเดียว แล้วทุกอย่างมันจะดึงดูดเข้ามาหาเราเอง
แต่เราต้องทำตัวเป็นเรดาห์ พร้อมที่จะรอ พร้อมที่จะรับ พร้อมที่จะวิ่งเข้าใส่
พูดง่ายๆ พร้อมที่จะหาโอกาสที่จะถูกหยิบยื่นเข้ามาจากไหน
จากภาพที่เราเซ็ตไว้นั่นแหละ ว่ามันคือเป้าหมายนะ
คือมองชีวิตเป็นภาพที่เราสร้างขึ้นมาเอง
ภาพของชีวิตของเรา ต้องการให้เป็นอะไร อิสระทางการเงิน แล้วก็ไปนั่งบนเรือยอร์ชหรูหรา
แต่บางคนนี่
คือเข้าใจผิดนะ ทุกวันนี้มีเยอะมาก คอร์สสอน หรือว่าผู้นำทางความคิดที่บอกว่า
เริ่มต้นขึ้นมาเมื่อคุณสร้างภาพแบบนี้ได้นี่
คุณต้องไปสร้างโปรไฟล์ของตัวเองเสียใหม่ ซึ่งถ้ามันหมายถึงการปรับปรุงบุคลิก
หวีผมเรียบแปล้ แต่งตัวดูดีสะอาดสะอ้าน อันนั้นโอเค เจ๋ง
แต่ถ้ามันหมายถึง
การสร้างโปรไฟล์เสียใหม่ ทำให้คนมองคุณเหมือนเป็นเทวดา เป็นพระเอก เป็นฮีโร่
อันนี้เริ่มต้นเข้าทางมิจฉาทิฏฐิแล้ว
เริ่มต้นด้วยการพยายามทำให้ตัวเองเป็นสิ่งที่ไม่ได้เป็น ไปโกหก
ไปสร้างมุสาคำโตขึ้นมา ว่าตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ ตัวเองเคยผ่านอย่างนั้นอย่างนี้มา
ตัวเองคิดคำนั้นคำนี้ได้ เสร็จแล้วจริงๆ มันรู้อยู่ในอกว่ามันไม่ใช่
แต่ก็พยายามกลบความรับรู้นั้น จนกลายเป็นความชินชา กลายเป็นความด้านชา
นึกเสียว่านี่คือการสร้างภาพโปรไฟล์ที่จะถางทางไปสู่ความร่ำรวย
มันเข้าไปสู่จิตใจคนได้เร็ว ไปอยู่ในความทรงจำได้ไว
ซึ่งแนวคิดแบบนี้นี่
มันประสบความสำเร็จทางการเงินจริงครับ ทำได้เร็วจริงครับ แต่มันเริ่มต้นชีวิตด้วยการเป็นในสิ่งที่ไม่เป็นนี่นะ
มันเท่ากับทำให้ชีวิตกลายเป็นคำโกหกคำโตทั้งก้อนเลย
ชีวิตนี่กลายเป็นก้อนโกหกก้อนหนึ่ง
ที่เราถามตัวเอง ตกลงเป็นใครก็ไม่รู้ ถึงจุดหนึ่ง สติมันหายไปนะ เหลือแต่ความฝัน ว่าตัวเองเป็นใครอีกคนหนึ่ง
ที่ไม่ได้เป็นอยู่จริงๆ ตั้งแต่แรก แต่นึกว่าเขาต้องสร้างกันแบบนี้ มันถึงจะรวย
มันถึงจะได้ภาพที่ต้องการ
สรุปแล้ว
อย่างบอกว่าถ้าเราไปเบิกเงินมาจากอนาคตอะไรแบบนี้ แนวคิดกู้บุญจากอนาคตมา
อะไรต่างๆ นี่ เจ้าลัทธิ ตอนนี้ก็เหมือนกับพบกับความพังของชีวิตไปแล้วนะ เห็นอยู่ ไม่ได้ซ้ำเติมใครทั้งสิ้น
คืออดีตเป็นพระนี่ แล้วก็ลบหลู่พระพุทธเจ้า ตั้งตนเป็นผู้รู้แจ้ง อะไรที่เขาทำดีๆ
งามๆ กันมา ก็ไปพยายามล้มล้างเสียหมด
นี่ก็คือสร้างโปรไฟล์ตัวเองขึ้นมาจากสิ่งที่ตัวเองมั่นใจ ได้สมาธิด้วย
เป็นครูบาอาจารย์ระดับประเทศด้วย แต่ว่าอย่างไปตบพระเศียรพระพุทธรูป
บอกว่านี่เป็นการทำให้ใจเลิกยึดสิ่งที่ไม่ควรยึดอะไรแบบนั้น ตอนนี้ก็พังไปแล้ว
คือชีวิตพังเลยนะ ก็ลองไปตามข่าวดู
คือเรื่องการเบิกบุญ
โอนบุญอะไรต่างๆ มันไม่มี เป็นไปไม่ได้นะ คือถ้าไม่ถึงจังหวะ
ไม่มีอะไรไปลัดทางได้
คือถ้าหากว่าเราสามารถทำได้
นั่นแปลว่ามันถึงจังหวะ ถึงช่องที่เราจะรับบุญอยู่แล้ว บุญกับบาป คิวของกรรมนี่
มันลัดกันไม่ได้นะ มันเป็นสิ่งที่มีอำนาจใหญ่สุดในจักรวาลนะครับ
แต่โอเคถ้าเรารู้รหัส
รู้วิธีเปลี่ยน รู้ว่าจะเคลื่อนย้ายในเรื่องของพลังอย่างไร พวกฮวงจุ้ยอะไรต่างๆ
เป็นไปได้จริงที่จะได้รับผลนะ ได้รับผลบุญ แต่อันนั้นนี่ไม่ใช่ว่าไปเบิกมาจากอนาคต
มันมีอยู่แล้ว พร้อมที่จะเข้ามาอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเรารู้รหัส รู้ช่องทางนะ
แต่ไม่ใช่ว่า จะทำกันได้เสมอไป
อย่างเช่น
ศาสตร์ฮวงจุ้ย ต่อให้คุณเจอซินแสที่เก่งที่สุดในโลกนะ แต่ถ้าเขามาปรับ มาเปลี่ยนเหมือนกับเปลี่ยนรหัสรูบิค
ย้ายสีจากข้างหนึ่งไปเป็นอีกข้างหนึ่ง โอเคมันย้ายได้
แต่ไม่ใช่ว่าย้ายไปแล้วไม่มีผลกระทบ มันมีอะไรบางอย่างเสมอ
อย่างได้ขาวทั้งด้านมาด้านหนึ่ง แต่เสร็จแล้วด้านอื่นมั่วหมด
ประเภทที่จะมาทำให้มันลงล็อคไปหมดทั้งหกด้านนี่ คือต้องอาศัยความเข้าใจ ต้องอาศัยสกิล
(skill) อะไรเยอะมาก ซึ่งตรงนี้ คือไม่ใช่ว่าจะขัดแย้งกับพุทธเรา
แต่ว่าต้องอาศัยความรู้จริงๆ ในศาสตร์นั้นๆ มาเกี่ยวข้องนะครับ
อย่างถ้าเรารู้จริงๆ
ในเรื่องของจิตใจ ในเรื่องของการเห็นความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของกายใจนี้
เราจะพบว่า ศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นี่ ประเสริฐที่สุดแล้ว
คือถ้าคุณมีเวลาสิบชาติในชีวิตเดียว
สามารถที่จะเลือกให้ชาติหนึ่งๆ ในตัวเดียวนี้ ไปศึกษาศาสตร์ให้ได้สิบศาสตร์นะ
อย่างลึกซึ้งที่สุดเลย ศาสตร์ที่ดีที่สุดในโลกมารวมกันแล้ว คุณจะพบว่า ที่ควรให้เวลาจริงๆ
ที่ควรรู้ให้ลึกซึ้งจริงๆ ขอแค่ชาติเดียวที่รู้จักพุทธศาสนาให้ดี
ขอแค่ชาติเดียวที่รู้จักเข้ามาในกายใจนี้
จนกระทั่งค้นพบตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้นะว่า เออ มันไม่ใช่ตัวตนจริงๆด้วย
มันเป็นแค่ของหลอก เป็นแค่เหยื่อล่อ เป็นแค่อุปาทานขันธ์
ที่ตั้งของอุปาทานว่ามันเป็นเรา
ตรงนี้ถ้าคุณรู้แค่ศาสตร์เดียวนี่นะ
อะไรๆ ที่คาดหวังไว้นี่ เราจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
เพราะจิตจะไปถึงจุดหนึ่งที่มันได้เป้าหมายที่แท้จริง ที่พวกเราต้องการ
แล้วจะรู้ตรงกันว่า นั่นคือสุดท้ายของที่สุดจริงๆ ที่เราพึงปรารถนานะครับ!
_______________
คำถามเต็ม : ธรรมะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับกฎแรงดึงดูด(หนังสือ The secret) ไหมคะ แล้วเคยได้ยินว่ากฎแรงดึงดูดถ้าเราเอาเงินในอนาคตมาใช้
แล้วเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆเราจะไม่ได้ แล้วแถมอาจจะติดลบด้วยซ้ำ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ทำไมยิ่งทำสมาธิยิ่งขี้โมโห?
วันที่
4
กรกฎาคม 2563
ถอดความ : เอ้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น