วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

มีความต้องการในกามหลังจากทำสมาธิเสร็จ อยากรู้สาเหตุและวิธีแก้


ดังตฤณ : พอพูดวิธีแก้แบบพระพุทธเจ้าแนะนำไปจริงๆ ไม่มีใครอยากทำหรอก แต่ผมจะพูดเป็นคอนเซปต์ (Concept) นะ ว่าการนั่งสมาธิ ไม่ใช่การที่เราไปกำจัดกามราคะนะครับ

การที่เรานั่งสมาธิอย่างถูกต้องเลยนะ จิตใสใจเบาเลยนี่ เป็นการลดความต้องการทางกายลง คืออันนี้เรายังไม่พูดถึงกามราคะนะ เราพูดถึงความต้องการพึ่งพาทางกายเลยทีเดียว

อย่างถ้าเราอยู่ในสมาธินี่ จะรู้สึกว่า ความเบา ความนิ่ง ความใส ตรงนั้นนี่ มีความน่าพิศวาส มีความน่าติดใจ พูดง่ายๆ ว่าเราไปพิศวาสรสชาติทางจิตแทน ในกรณีที่เรานั่งสมาธิได้จริงๆนะ

จากเดิมนี่ที่เรา มีความรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า อยากเห็นนั่น อยากฟังนี่
อยากเห็น นี่ก็อยากเห็นรูปที่งามที่สุด หล่อที่สุด สวยที่สุด
อยากฟัง นี่ก็อยากฟังเครื่องเสียงที่มันมหึมาที่สุด อลังการที่สุด ฟังแล้วเพราะที่สุด
อยากกิน นี่ก็อยากกิน เนื้อ หรือว่า อาหารจานโปรดที่มีรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม ที่มันเด็ดขาดที่สุด
อันนี้คือความอยากทางกาย มันจะทำให้เกิดความรู้สึกว่าเราไม่อิ่ม เราไม่เบื่อในกามคุณ กามคุณมีทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น กาย นะครับ

แม้แต่คิดอะไรแล้วสนุก นั่นก็เป็นความติดใจ ที่มันเป็นกามได้เหมือนกันนะ ถ้าเราตรึกนึก ถึงสิ่งที่มันน่าติดใจทางผัสสะทั้ง 5 อยู่ ล้วนแล้วแต่เป็นกามราคะทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่เป็นกามคุณ ความติดในใจกามคุณ 5 นะครับ

ทีนี้ พอจิตได้เป็นอิสระจากผัสสะทั้ง 5 มันมีความรู้สึก รสชาติของจิตที่เป็นอิสระ มีความวิเวก มีความรู้สึกว่า เออ นี่เป็นความหวานชื่นอีกชนิดหนึ่ง ตรงนั้นก็เลยถอนจากความต้องการทางกายไปชั่วคราว แต่มันยังไม่ได้ถอนไปจาก ความติดใจในรสอันหวานชื่นทั้งหลายในกายใจนี้ เลยแม้แต่นิดเดียว
คือมันแค่เปลี่ยนมุม เปลี่ยนแง่ของรสชาติความน่าติดใจ จากเปรี้ยวหวานมันเค็มทางปาก ไปเป็นความรู้สึกวิเวก ไปเป็นรสแห่งความวิเวกทางจิต

หรือบางคน บางทีไม่ถึงรสแห่งความวิเวกทางจิตด้วยซ้ำ แต่เป็นสมาธิในแบบที่ โฟกัสให้กล้ามเนื้อมันแข็งแรงขึ้น ก็ไม่น่าแปลกใจว่าพอถอนออกจากสมาธินี่นะ จะมีความรู้สึกเหมือนเนื้อตัวมันพร้อม เหมือนกระทิงเปลี่ยว มันไปกระตุ้น แล้วจะมีศาสตร์เลยนะ เกี่ยวกับศาสตร์ของโยคะ เกี่ยวกับศาสตร์ของการทำสมาธิแบบตะวันตก แบบใหม่ๆ ที่เขาคิดค้นกันขึ้นมา  เป็นสมาธิแบบที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศโดยเฉพาะ มีเรื่องของต่อม มีเรื่องของอะไรหลายอย่างที่เขาให้ความรู้กันว่า จะไปทำให้เกิดความคึกคักขึ้นมา พูดง่ายๆ ใช้สมาธินี่ ในการแก้โรคกามตายด้านในบางคนได้

พอเราทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า การทำสมาธิ ไม่ได้ประกันว่าเราจะหมดกามราคะ หรือว่ากามราคะจะเบาบางลง ตรงข้าม เราไปปลุกให้มัน ไปเร้าให้มันกระเตื้องขึ้นมายังได้ เราก็มาดูว่า ถ้าเป็นแบบที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนไว้อย่างไร เพื่อที่จะดับราคะ

ท่านสอนว่า อย่างพอเรามีความสามารถที่จะรู้สึกถึงลมหายใจได้ ท่านก็ให้ดูต่อว่า ลมหายใจที่เข้าออก เข้าออกอยู่ในกายนี้ ยิ่งมีความรู้สึกถึงความเป็นกายนี้ได้ชัดขึ้นเท่าไหร่ เห็นว่ามันอยู่ในอิริยาบถไหนตามจริง เราก็จะสามารถใช้อิริยาบถนั้น มาคว้าน มาควานลงไป หาความจริงว่าภาวะทางกายนี่ มันน่าเสพย์สมจริงๆ หรือว่ามันเต็มไปด้วยความแออัด ยัดทะนานของสิ่งของสกปรก

คือถ้ามันมีนิมิตขึ้นมาตามจริงว่า ทั้งกายนี้เต็มไปด้วยของสกปรกนะ จิตจะไม่มีความยินดี จิตจะถอนออกมา จิตจะมีความไม่ปลื้มในรสแห่งกามคุณ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ที่เจริญอสุภกรรมฐาน มีความสามารถที่จะเห็นกายนี้โดยความเป็นของสกปรกได้นี่ จิตจะมีความวิเวก คือจะถอนออกมาจากอาการยึดกาย แล้วก็มีความตั้งมั่น เป็นฌานได้ง่าย อันนี้คือจุดประสงค์ของอสุภกรรมฐาน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พอเราเข้าใจเหตุ เข้าใจปัจจัยแบบนี้นี่ เราก็จะมองได้อีกว่า ใครก็ตามจะมานั่งสมาธิให้เห็น เดินจงกรมให้เห็น จะมีสมาธิอย่างไรก็ตามนี่ ถ้าไม่ได้พิจารณาเพื่อละความยึดติดในกายนี้ ก็ยังสามารถยินดีที่จะอยู่แบบฆราวาสได้ต่อไป

บางคนกลัวว่า ถ้าขืนมาปฏิบัติธรรมภาวนาแล้ว จะต้องเข้าป่าท่าเดียว จริงๆ ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังไปถึงไหนของจิต จิตไปถึงไหน ในเส้นทางธรรมนะครับ เพื่อความปล่อยวาง เพื่อความละ

อย่างฆราวาสเรา พูดกันง่ายๆ เลยนะ เราตั้งเป้า เอาแค่โสดาบันกัน เอาแค่ความ คือ ตัดความเห็นผิด ทิ้งออกไปให้ได้เด็ดขาดว่า กายใจนี้เป็นตัวเป็นตน
การบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ยังไม่ต้องถึงขั้นปลีกวิเวก เข้าป่าเข้าเขา ซึ่งก็เหมาะสมถ้าหากว่าเราจะอยู่ในโลกต่อ แล้วก็ปฏิบัติธรรมไปด้วย คือ ไม่ได้คิดหวังขนาดที่จะไปตัดกามราคะให้สิ้น เพราะไม่อย่างนั้นคนที่เขาอยู่กับเราก็จะลำบาก ก็จะเป็นความย้อนแย้งขัดแย้งกันนะ

บางคนบอกว่า โอ๊ย ไม่อยากให้คู่ของตัวเองมาปฏิบัติธรรมเลย ไม่มีอะไรกันเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราจะทราบด้วยตัวเองนะครับว่า เรากำลังเจริญสติไปนี่ ด้วยเงื่อนไขแบบไหน ถ้ามีพันธะ ถ้ามีความผูกพันอยู่ เราก็ไม่ต้องปฏิบัติให้เหมือนกับพระนักก็ได้ เอาแค่เป็นบางเวลา เป็นพาร์ทไทม์ ยังไม่ต้องทำแบบฟูลไทม์นะครับ

แต่ถ้าเราไม่มีพันธะ เราโสด เราเดี่ยวอยู่ อันนั้นเต็มที่เลย คือจัดหนักเลยนะ เอาแบบที่เหมือนกับบางที ฆราวาสบางคนปฏิบัติถูก ปฏิบัติตรงมา ใช้เวลาไม่นาน เป็นหลักเดือน อาจได้มากกว่าพระ ที่บวชแล้วเป็นสิบๆ พรรษาเสียอีก
เพราะการที่อยู่ในภาวะไหน เพศไหน เป็นเพศฆราวาส หรือเพศบรรพชิต ไม่ได้ประกันเสมอไปว่า จะต้องประสบความสำเร็จในการภาวนานะครับ ขึ้นอยู่กับว่า เราภาวนาอย่างไร แล้วรู้ตัวว่าเราต้องการอะไรจริงๆ

เพราะบางที อย่างหลายคนบอก ตั้งใจทำเต็มที่เลย แต่ก็ยังอ้อยอิ่ง อาลัย ยังมีอาการที่อาลัยอาวรณ์ กับความบันเทิงแบบโลกๆ อยู่ มันก็จะขัดแย้งกับตัวเองมากๆ เลย เพราะบางทีมันมีความต้องการขึ้นมา ก็เอ๊ะ เอาดี ไม่เอาดี เราต้องรู้ตัวนะ ว่า ณ ขณะหนึ่งๆ ช่วงหนึ่งๆ เราต้องการอะไร โลกหรือว่าธรรม นะครับ

ถ้าเรารู้ตัวว่า ขณะนี้เราต้องการแบบโลกๆ อยู่ ก็ไม่ต้องไปฝืนอะไรมาก แต่ถ้าเราต้องการธรรม ปฏิบัติในแบบพระพุทธเจ้าสอนให้เต็มที่ มันก็จะเหมือนกับเป็นพระในคราบฆราวาสได้นะครับ!
_____________

คำถามเต็ม : ทำไมทำสมาธิแล้ว แต่ยังมีความต้องการกามขึ้นมาหลังจากทำสมาธิเสร็จ ทำให้เรามีความต้องการในบางครั้ง แต่บางครั้งก็ลดน้อยลง อยากรู้สาเหตุและวิธีแก้ครับ

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำไมยิ่งทำสมาธิยิ่งขี้โมโห?
วันที่ 4 กรกฎาคม 2563

ถอดความ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=TXyeR5XhwhE


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น